สังคมอังกฤษแตกแยก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 7 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/655957

 

บริษัท พัฒน์กล จำกัด (มหาชน) เขตประเวศ กรุงเทพฯ จัด Exclusive Seminar เรื่อง “ทำอย่างไรให้โตได้ในตลาดไทยและ AEC” พูดโดยนายแสงชัย โชติช่วงชัชวาล อาจารย์ธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย และ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ 13.00-16.00 น. พฤหัสบดีวันนี้

ขณะนี้มีความตระหนกตกใจเกิดขึ้นในหมู่คนอังกฤษจำนวนไม่น้อย ในเรื่องที่อังกฤษจะออกจากสหภาพยุโรป ผู้คนเริ่มกลัวการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติ

ก่อนหน้าจะลงประชามติ remain หรือ leave ต่างฝ่ายต่างก็รณรงค์หาเสียงเพื่อจะเอาชนะคะคานกัน เมื่อฝ่าย leave ชนะแล้ว คนจำนวนมากจึงค่อยมาตระหนักและถามตัวเองว่า นี่เราทำอะไรลงไป แม้แต่หัวหน้าพรรคการเมืองที่สนับสนุน leave เมื่อชนะแล้วก็ต้องลาออกจากความเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อหนีจากผลลัพธ์ทางร้ายที่กำลังจะตามมา

สังคมอังกฤษตอนนี้โกลาหลอลหม่าน สับสนวุ่นวาย ทุกตรอกซอกมุมมีแต่แรงกดดัน ความกดดันทั้งหลายทั้งปวงไปลงกับพวกนักการเมืองที่สนับสนุน leave เพราะเมื่อสังคมถามต่อว่า คุณสนับสนุน leave บัดนี้คุณชนะแล้ว คุณจะทำอย่างไรต่อไป ก็ปรากฏว่ายังไม่เห็นมีใครตอบได้สักคน เมื่อโดนถามหนักเข้า นักการเมืองพวกนี้ก็ลาออกไปทีละคน สองคน และก็หลบลี้หนีหายจากสังคมไป ทิ้งอุจจาระปัสสาวะให้คนทั้งหลายล้างเช็ดกันเอง

นายไนเจล ฟาราจ หัวหน้าพรรคยูเค อินดิเพนเดนต์ ปาร์ตี้ เป็นคนหนึ่งซึ่งตอนรณรงค์ แกพูดจาปราศรัยให้ leave ด้วยประโยคที่รุนแรงมาก แต่วันนี้แกทนแรงกดดันไม่ไหว ประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคไปเมื่อ 4 กรกฎาคม 2559 แล้วครับ

มีคนถามว่า ทำไมคุณถึงลาออกเล่า? แกตอบกวนๆว่าก็ฝ่าย leave ชนะแล้ว ผมบรรลุจุดมุ่งหมายทางการเมืองของผมแล้ว ผมก็ ลาออก แต่คนส่วนใหญ่รู้ทันครับ ว่าไอ้หมอนี่ขี้ขลาดตาขาว หนีความ สับสนวุ่นวายที่ตัวเองเป็นหนึ่งในผู้ก่อปัญหา

คนที่สนับสนุน remain และเมื่อแพ้ก็ลาออกไป มีอยู่หลายคน พวกนี้ไม่ค่อยโดนสังคมประณามเท่าใด บางคนอาจได้รับเสียงชื่นชมว่าเป็นการแสดงสปิริตเสียด้วยซ้ำ อย่างเช่น นายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ มีหลายคนเสนอว่า ให้นายคาเมรอนไปเจรจากับสหภาพยุโรปให้เสร็จสิ้นก่อนจึงค่อยลาออก แต่นายคาเมรอนไม่เอา บอกว่าต้องเป็นหน้าที่ของนายกฯคนใหม่

อังกฤษกลายเป็นมหานครแห่งการประท้วง ประท้วงแต่ละครั้ง ไม่ใช่ออกมาเดินแค่คนสองคนนะครับ มากันครั้งละ 4-5 หมื่น ภายในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ มีการเดินขบวนประท้วงใหญ่ตามถนนหนทางในกรุงลอนดอนถึง 2 ครั้ง มาพร้อมกับป้ายที่เขียนข้อความแสดงความเสียใจที่จะต้องออกจากสหภาพยุโรป บางป้ายก็โจมตีพวกสนับสนุน leave

ข้อความในป้ายก็เช่น Bregret ที่มาจาก Br+regret หมายถึง สหราชอาณาจักรเสียใจ บางป้ายก็เขียนว่า Breverse ที่มาจาก Br+reverse ที่หมายถึง สหราชอาณาจักรถอยกลับไปสู่สหภาพยุโรป บางป้ายเขียนว่า The Leave Campaign Lied พวกรณรงค์ให้ออกจากอียูโกหก ฯลฯ

สังคมยุโรปไม่กลมเกลียวสามัคคีเหมือนเดิมแล้วครับ ปัญหาเก่า ปัญหาใหม่ ไหลมารวมกัน ทำให้สังคมที่นั่นขัดแย้งสูงปรี๊ด ประเทศอื่นๆในสหภาพยุโรปก็ถือโอกาสนี้ ขับไล่ไสส่งอังกฤษ ถึงขนาด จะไม่ใช้อังกฤษเป็นภาษาที่ใช้ในสหภาพยุโรป ต่อไปคนอังกฤษจะ เข้าไปในสหภาพยุโรปก็ต้องถูกตรวจตรา ไม่สะดวกสบายเหมือนเมื่อก่อน

คนอังกฤษชี้นิ้วด่ากันมั่วไปหมด แม้แต่นายเดวิด คาเมรอน ซึ่งเป็นผู้สนับสนุน remain แท้ๆ ก็ยังโดนพวก remain ด้วยกันบางคนด่า ข้อหาที่เป็นผู้จัดให้มีการลงประชามติ จนเดี๋ยวนี้ต้องซุกตัวเงียบ

พวก leave ตอนนี้ก็ไม่ค่อยอยากเดินไปไหนต่อไหน เพราะถ้ามีคนรู้จักหรือจำได้ ก็จะมีคนเดินปรี่เข้ามา พร้อมชี้หน้าว่า แกให้ข้อมูลประชาชนอย่างผิดๆ เราจึงตัดสินใจผิด (ต้องออกจากอียู) เพราะการโกหกของแก

บางคนก็ถูกตะโกนด่าใส่หน้าว่า ไอ้พวกสนับสนุน leave อย่างเอ็ง ไม่เคยยอมรับฟังอะไรเลย เอาแต่เกลียดผู้อพยพ

อังกฤษไม่กลับไปเหมือนเดิมแล้วครับ และบาดแผลครั้งนี้ ลึกเกินกว่าจะถูกเยียวยาให้หายได้อย่างไวภายในเวลาไม่กี่ปี ซึ่งผิดกับสังคมอังกฤษเมื่อก่อน ที่รู้แพ้รู้ชนะ

แต่วันนี้ไม่ใช่ พวกแพ้เริ่มออกมาเดินขบวน

ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้แล้วครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

หวยออกที่กัมพูชา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 6 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/655059

 

นายประยงค์ ใสโต นายกสมาคมรองผู้อำนวยการสถานศึกษาการศึกษาขั้นพื้นฐานแห่งประเทศไทย เชิญ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ พูด “ทิศทางการเปลี่ยนแปลงการศึกษาของโลกยุคปัจจุบัน” ในโครงการอบรมสัมมนาวิชาการและประชุมใหญ่ สามัญประจำปี 2558 ที่โรงแรมโลตัส ปางสวนแก้ว อ.เมือง จ.เชียงใหม่ พุธ วันนี้ 09.00-12.00 น.

ผมเคยตาม ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ ซึ่งเป็นอดีตที่ปรึกษาสภาธุรกิจไทย-บังกลาเทศที่มีนายมิ่งขวัญ ฉายาวิจิตรศิลป์ เป็นประธานสภา ไปพูดที่สมาคมหอการค้ากรุงธากา และคณะเคยเดินทางจากกรุงธากาไปเมืองจิตตะกอง เพื่อเยือนโรงงานผลิตเสื้อผ้า รองเท้า จำนวนมากมายหลายสิบแห่ง โรงงานเหล่านี้ลงทุนโดยนักธุรกิจเกาหลี ญี่ปุ่น และชาติอื่นๆ สิบกว่าปีที่แล้ว อุตสาหกรรมสิ่งทอ เสื้อผ้าและรองเท้า ไม่มีที่ไหนสู้บังกลาเทศได้ เพราะค่าแรงที่นั่นถูกมาก แถมยังได้สิทธิพิเศษทางภาษีและไม่จำกัดโควตาจากอีกหลายประเทศ

สิบกว่าปีที่ผ่านมา เมื่อมีนักลงทุนถามถึงประเทศที่ควรไปตั้งฐานผลิตเสื้อผ้า รองเท้า คอลัมน์เปิดฟ้าส่องโลกก็จะแนะนำบังกลาเทศเป็นอันดับแรก แต่วันนี้ขอเปลี่ยนประเทศที่ควรจะลงทุนหน่อยครับ ด้วยในห้วงช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลบังกลาเทศกวาดล้างนักรบญิฮาดในท้องถิ่นไปมากกว่า 11,000 คน มีคนบอกว่าเป็นการจับกุมตามอำเภอใจ นึกอยากจะจับใครก็จับ บางทีก็จับฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองและก็ยัดข้อหาก่อการร้ายให้

รัฐบาลบังกลาเทศปฏิเสธมาตลอดว่าประเทศของตนเองไม่มีกลุ่มก่อการร้ายระดับโลกอย่างพวกไอเอสและอัลกออิดะห์เข้ามาฝังตัว เพราะกลัวนักลงทุนต่างชาติจะหนีไปที่อื่น แต่ตอนนี้การก่อการร้ายในบังกลาเทศแรงขึ้นเรื่อยๆ 1 กรกฎาคม 2559 มีการโจมตีคาเฟ่สไตล์ตะวันตก โฮลี อาร์ติซัน เบเกอรี่ ในย่านคุลศาน จับตัวประกันไว้เยอะแยะ และให้ท่องอัลกุรอาน คนไหนท่องได้ก็ปล่อย คนไหนท่องไม่ได้ก็ใช้มีดยาวหั่นคอให้ตายทีละคน รวมทั้งหมดตายไป 20 คน เป็นญี่ปุ่น 7 คน อิตาลี 9 คน ฯลฯ พวกนี้ก็ทำงานในอุตสาหกรรมสิ่งทอทั้งนั้น

บังกลาเทศมีพรมแดนประชิดติดกับเมียนมา รัฐยะไข่ของ เมียนมามีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งและฆ่ากันตาย เป็นความขัดแย้งระหว่างเมียนมาพุทธกับโรฮีนจามุสลิม เรื่องนี้ทุกคนทราบกันดีอยู่แล้ว แต่ที่เพิ่งเกิดเมื่อไม่นานมานี้ ก็คือชาวเมียนมาพุทธรวมตัวกันเข้าไปเผามัสยิดที่เมืองพะโคที่อยู่ในเมียนมาภาคกลาง และเริ่มลามไปตามที่ต่างๆหลายแห่งทั่วประเทศ ข่าวลับที่ไม่ลับก็คือพวกญิฮาดที่จะเข้าไปปกป้องศาสนาในเมียนมาเตรียมพร้อมกันอย่างเต็มที่แล้วครับ เดิมเราคิดว่าเมียนมามีรัฐบาลที่มาจากพลเรือนแล้ว เรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชนจะเบาบางลงไป ใครถามถึงประเทศที่น่าสนใจเข้าไปลงทุน เปิดฟ้าส่องโลกก็แนะนำเมียนมาเป็นลำดับที่ 2 ต่อจากบังกลาเทศ

แต่ตอนนี้ก็ต้องยกเลิกคำแนะนำทั้ง 2 ประเทศ เพราะสถานการณ์การก่อการร้ายและการแบ่งแยกเผ่าพันธุ์/ศาสนา ทวีความรุนแรงมากขึ้นทั้งสองแห่ง

หวยน่าจะไปตกที่กัมพูชา เพราะค่าแรงงานถูก แม้ว่ารัฐบาลปรับค่าแรงขั้นต่ำในอุตสาหกรรมสิ่งทอและรองเท้าเมื่อกุมภาพันธ์ 2557 มาอยู่ที่ระดับ 95 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อเดือน+เงินช่วยเหลือด้านสุขภาพ 5 ดอลลาร์=100 ดอลลาร์ ก็ยังถือว่าต่ำ บวกกับสิทธิพิเศษทางภาษีที่กัมพูชาได้จากหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย สองสามปัจจัยนี่ทำให้กัมพูชาเป็นดินแดนในฝันของนักลงทุน

นักลงทุนไทยก็ต้องย้ายฐาน เพราะตั้งแต่ 1 มกราคม 2558 อียูตัดสิทธิ GSP สินค้าไทย 6,200 รายการ เดิมเราส่งรองเท้าแตะและรองเท้าใส่ภายในบ้านไปขายใน 28 ประเทศในอียู เราเสียภาษีแค่ร้อยละ 4.5 แต่ตอนนี้ต้องเสียถึงร้อยละ 8 หรืออย่างรองเท้าผ้าใบ เคยเสียภาษีร้อยละ 7.8 ตอนนี้ต้องเสียภาษีนำเข้าสูงถึงร้อยละ 17.8

ตั้งแต่ พ.ศ.2557-2558 เป็นต้นมา เราผลิตของส่งไปขายให้โลกยากขึ้นแล้วครับ ทางออกของเราก็คือย้ายฐานไปบังกลาเทศ เมียนมา และกัมพูชา

บังกลาเทศกับเมียนมาก็มีปัญหาอย่างที่ผมเรียนรับใช้ไปแล้ว

หวยมาออกที่กัมพูชาครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

ตุรกีเป็นประเทศ ‘มีของ’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 5 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/654069

 

อีก 10 วัน คณะของ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ จะไปสำรวจกรุงหริหราลัย บนเทือกเขามเหนทรบรรบตของกัมพูชาครั้งที่ 3 การสำรวจครั้งนี้จะใช้เวลา 3 วัน 2 คืน 16-18 ก.ค.59 ท่านใดสนใจร่วมคณะเชิญเข้าไอดีไลน์ @LGJ0596P ครับ

เรียนรับใช้ในคอลัมน์นี้มาแล้วหลายครั้ง ว่าตุรกีเป็นประเทศ ‘มีของ’ ทำให้ทั้งสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปต้องง้อ เมื่อปีที่แล้ว ตุรกียิงเครื่องบินรัสเซียตก รัสเซียทำเป็นโมโหโกรธาฉุนเฉียว สั่งให้มีข้อจำกัดด้านการท่องเที่ยว ห้ามขายแพ็กเกจทัวร์ไปเที่ยวตุรกี ห้ามเครื่องบินเช่าเหมาลำบินไปลงตุรกี แถมสั่งให้มีการคว่ำบาตรทางการค้ากับตุรกี

มาวันนี้ อ้าว รัสเซียต้องสั่งเลิกคว่ำบาตรแล้ว

การคว่ำบาตรของรัสเซีย สร้างบาดแผลให้กับทั้งรัสเซียและตุรกี ผู้อ่านท่านก็คงจะเคยได้ยินนะครับ ว่านักท่องเที่ยวรัสเซียไปเที่ยวตุรกีมากเป็นอันดับหนึ่ง รัสเซียเองซื้ออาหารการกินมาจากตุรกี เมื่อความสัมพันธ์ไม่ดี เศรษฐกิจตุรกีเองก็แย่ คนรัสเซียเองก็เริ่มจะเป็นลมเพราะเริ่มขาดอาหาร แขนขาอ่อนล้าไม่มีแรง เมื่อประธานาธิบดีของตุรกี นายเรเซพ ตอยยิบ เออร์โดกัน ง้อนิดหน่อย นายปูตินก็ใจอ่อน ตอนนี้ รัสเซียจึงยอมและยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรตุรกีหมดแล้วครับ

ตุรกีเป็นประเทศมีของ ของอย่างแรกเลยก็คือ ภูมิยุทธศาสตร์ ประเทศนี้ตั้งอยู่บนจุดยุทธศาสตร์ที่เชื่อมต่อหลายภูมิภาค มีทั้งยุโรปบอลข่าน คอเคซัส เอเชียกลาง และทะเลดำ อนุภูมิภาคตรงนี้เรียกว่ายูเรเซีย มีตุรกีตั้งอยู่ตรงจุดศูนย์กลาง ตุรกีมีพรมแดนติดกับเพื่อนบ้าน 8 ประเทศ ทางตะวันตกติดกับยุโรปบอลข่าน 2 ประเทศ คือ กรีซ (มีพรมแดนติดกันยาว 203 กม.) และบัลแกเรีย (269) ทางอีสานติดกับคอเคซัส 3 ประเทศ คือ จอร์เจีย (276) อาร์เมเนีย (325) และเขตปกครองตนเองของอาเซอร์ไบจาน (18) ตะวันตกเฉียงใต้ติดพวกตะวันออกกลาง 3 ประเทศ คืออิหร่าน (529) อิรัก (378) และซีเรีย (877) ว่าไปแล้ว จะหาประเทศที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สมบูรณ์อย่างนี้ได้ยากครับ

รัสเซียต้องพึ่งพาอาหารจากตุรกีเยอะ 1 ใน 3 ของพื้นที่ประเทศตุรกี หรือประมาณ 26.7 ล้านเฮกตาร์ เป็นพื้นที่เกษตรกรรม ร้อยละ 16.5 อยู่ในเขตชลประทาน มะเดื่อ องุ่น ส้ม มะนาว แอปริคอต เม็ดฝ้าย เม็ดทานตะวัน ถั่วลิสง ฯลฯ พวกนี้แหละครับที่ปากและท้องคนรัสเซียชอบทาน พวกอุตสาหกรรมอาหารต่างๆ เช่น ซอสมะเขือเทศ น้ำมันมะกอก น้ำตาล ชา ยาสูบ ฯลฯ พวกสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูป เครื่องจักรกลและชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ที่ใช้กันในครัวเรือนของคนรัสเซีย ส่วนหนึ่งก็มาจากตุรกี

แม้แต่เยอรมนี ก็ต้องง้อตุรกี หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เศรษฐกิจเยอรมันกลับมารุ่งเรืองเฟื่องฟูอีกครั้งหนึ่ง ทำให้เกิดการขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก รัฐบาลเยอรมันตะวันตกจึงขอไปลงนามกับตุรกีเมื่อ ค.ศ.1961 เพื่อส่งแรงงานตุรกีเข้ามาทำงานในเยอรมนีตะวันตก

พอเยอรมนีขอได้ เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม และออสเตรีย ก็ไปขอแรงงานตุรกี เข้ามาทำงานในประเทศของตนบ้าง โดย 3 ประเทศนี้ไปลงนามกับตุรกีเมื่อ ค.ศ.1964 ฝรั่งเศสลงนามเมื่อ ค.ศ.1965 และสวีเดนลงนามเมื่อ ค.ศ.1967

คนตุรกีชุดแรกที่เข้าไปทำงานในเยอรมนีมี 6,800 คน คนเยอรมันเรียกคนตุรกีพวกนี้ว่า Gastarbeiter ถ้าภาษาอังกฤษน่าจะแปลว่า Guest Workers หรือแขกผู้มาช่วยทำงาน คนตุรกีทำงานดีจนคนเยอรมันขาดไม่ได้ ต้องนำเข้ามาเพิ่มเรื่อยๆ ค.ศ.1973 มีคนตุรกีอยู่ในเยอรมนีมากถึง 900,000 คน และเมื่อพฤษภาคม ค.ศ.2016 ที่ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ ไปเยือนชุมชนตุรกีในเยอรมนี ก็ทราบตัวเลขอย่างเป็นทางการว่า มีชาวตุรกีอยู่ในเยอรมนีมากถึง 3,000,000 คนแล้ว

รัสเซียมีพรมแดนติดกับจอร์เจีย จอร์เจียมีพรมแดนติดกับตุรกี ตอนนี้รัสเซียเสียจอร์เจียไปให้สหรัฐฯ และพวกตะวันตกแล้ว หากรัสเซียมีปัญหากับตุรกีต่อไป รัสเซียก็อาจจะตกอยู่ในสถานะถูกล้อมกรอบได้ง่าย พรมแดนด้านนี้ของรัสเซียเปราะบางมาก

แม้แต่ตอนเหนือ รัสเซียก็เริ่มมีปัญหา พรมแดนตอนเหนือของรัสเซียติดกับฟินแลนด์ แต่ก่อนง่อนชะไร ฟินแลนด์ปฏิบัติตนเป็นกลาง รัสเซียก็สบายใจ ตั้งกองกำลังทหารห่างจากพรมแดนฟินแลนด์ตั้ง 1,500 กม. แต่ตอนหลังดูเหมือนฟินแลนด์จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายทางทหารของนาโต ซึ่งเคลื่อนพลเข้ามาถึงพรมแดนรัสเซียได้ภายในชั่วข้ามคืน ปูตินจึงพูดขู่เมื่อ 1 กรกฎาคม 2559 ว่า ถ้าฟินแลนด์ตัดสินใจเข้าร่วมเป็นสมาชิกนาโตเมื่อใด รัสเซียจะส่งทหารเข้าประชิดพรมแดนฟินแลนด์ทันที

หนึ่งในหลายสาเหตุหนึ่งที่รัสเซียเลิกคว่ำบาตรตุรกี อาจจะเป็นเพราะรู้ตัวว่า ตัวเองมีศัตรูมากเกินไปแล้ว.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

 

ในดีมีเสีย ในเสียมีดี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 4 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/653582

 

กลับจากบรรยายที่สุราษฎร์ธานีเมื่อวันศุกร์และเสาร์ พอถึงวันอาทิตย์ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ ต้องกลับมากรุงเทพฯ เพื่อพูดรับใช้ข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ที่จะขึ้นตำแหน่งพาณิชย์จังหวัด อำนวยการระดับสูง 50 คน ที่โรงแรมริชมอนด์ ซึ่งในการบรรยายรับใช้ครั้งนี้ ก็เข้ากันกับบรรยากาศที่ประเทศของเรามีทั้งข่าวผิดหวังและสมหวังที่กระทบกับการค้าพาณิชย์

ผิดหวังก็คือเราแพ้คาซัคสถานในการโหวตลงคะแนนเลือกสมาชิกแบบไม่เป็นทางการในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ซึ่งเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าสังคมนานาประเทศไม่ให้ราคาค่างวดอะไรกับไทย ทั้งที่เราเป็นสมาชิกสหประชาชาติมานานกว่า 70 ปี และเข้าร่วมปฏิบัติการและภารกิจเพื่อสันติภาพในกรอบสหประชาชาติมาตั้งแต่ พ.ศ.2501 จนถึงปัจจุบัน

เราส่งอดีต รมว.ต่างประเทศไปล็อบบี้หาเสียงกับประเทศต่างๆ ทราบว่ามีการใช้สตางค์ไปมากมายเป็นร้อยล้าน แต่ผลกลับตรงกันข้าม เราแพ้ทั้งสองรอบ ที่แสบก็คือองค์กรระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนอย่างฮิวแมนไรต์วอตช์ดันออกมาเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ นำประวัติการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลไทยมาประกอบการพิจารณาลงคะแนนในครั้งนี้ด้วย ที่แสบกว่าองค์กรระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนก็คือจีนกับรัสเซีย ผู้อ่านท่านที่เคารพก็คงจะรู้สึกได้นะครับ ว่าในห้วงที่ผ่านมา เราพยายามเอาใจจีนกับรัสเซียอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู แต่ก็พิสูจน์แล้วนะครับ ว่าสองมหาอำนาจเห็นราคาค่างวดและความสำคัญของเราน้อยกว่าประเทศเกิดใหม่อย่างคาซัคสถาน ทั้งที่คาซัคสถานปฏิบัติงานร่วมกับสหประชาชาติน้อยกว่าไทยมาก

ผิดหวังอยู่ได้ไม่กี่วัน ก็มีข่าวดีที่สหรัฐอเมริกาถอดประเทศไทยให้พ้นจากบัญชีเฝ้าระวังด้านการค้ามนุษย์ จากประเทศที่มีประวัติการค้ามนุษย์ขั้นเลวร้าย หรือที่เรียกว่า “เทียร์ 3” มาสู่ระดับ “เทียร์ 2” หรือบัญชีประเทศที่ถูกจับตามอง ทำให้เรามีสถานะคงเดิมเหมือนเมื่อก่อนการปฏิวัติรัฐประหาร หลายท่านมองว่า การที่สหรัฐฯยกระดับไทยมาอยู่ในบัญชีประเทศที่ถูกจับตามองเป็นเพราะสหรัฐฯเล่นการเมือง ต้องการเอาไทยกลับไปเป็นพวกในมหาสงครามความขัดแย้งกรณีทะเลจีนใต้ ซึ่งดูเหมือนว่าสหรัฐฯอาจกำลังรู้สึกว่าจะสูญเสียการสนับสนุนจากไทยและประธานาธิบดีฟิลิปปินส์คนใหม่ก็มีคำพูดคำจาหลายประเทศที่ไม่ง้อไม่แคร์ไม่พึ่งพาสหรัฐฯ

สหรัฐฯจึงรักษาน้ำใจด้วยการเขยิบสถานะประเทศไทยขึ้นมา เป็นเทียร์ 2 ที่ถูกจับตามองและยกฟิลิปปินส์อยู่ในเทียร์ 1 ผมว่ามองในแง่นั้นก็ไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะในห้วงช่วง 2 ปี หน่วยงานราชการทำงานกันหนักมาก มีการจับกุมอย่างไม่ไว้หน้าอินทร์หน้าพรหม แม้แต่นายทหารระดับชั้นนายพลก็โดนจับ และมีการแก้ไขปัญหาข้อบกพร่องอย่างต่อเนื่อง ผมมองว่าการที่เราได้กลับสถานะเท่ากับรัฐบาลก่อนการปฏิวัติรัฐประหารก็เหมาะแล้วครับ ถ้าไม่เขยิบขึ้นนี่ซีครับเป็นเรื่องแปลก

ขณะที่เคาะแป้นคอมพิวเตอร์รับใช้ผู้อ่านท่านที่เคารพอยู่นี่ คนไทยทั้งประเทศกำลังรอผลของไอยูยูของสหภาพยุโรป ในฐานะที่เป็นคนไทย ไม่มีใครอยากให้ประเทศของตนได้ใบแดงดอกครับ เพราะใบแดงหมายถึงความสูญเสียตลาดสินค้าประมงไปสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นความสูญเสียของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ

ในห้วงช่วงสองปีที่ผ่านมา เราโดนอะไรต่อมิอะไรมากมายหลายดอกจากพวกมหาอำนาจ ไม่ว่าการลดสถานะของเราโดยสหรัฐฯ การโดนใบเหลืองไอยูยูและโดนตัดจีเอสพีในสินค้า 6,200 รายการจากสหภาพยุโรป รวมทั้งจีนและรัสเซียไม่โหวตให้ ทั้งที่เราถลาไปซบแล้ว ต่อไปนี้ เราต้องเลิกแคร์มหาอำนาจมากจนเกินความจำเป็น และกลับมาสร้างประเทศของเราให้มีมาตรฐานสากลโดยที่ไม่ต้องมีแรงกดดันจากประเทศโน้นชาตินี้ แต่เราทำของเราเอง

การสร้างมาตรฐานให้ประเทศไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถทำให้เสร็จได้เพียงวันเดียว ต้องทำต่อเนื่องยาวนาน และที่สำคัญต้องอรรถาธิบายขยายความให้ประชาชนทราบด้วยเพื่อให้ประชาชนคนทั้งชาติมีส่วนร่วม

ในดีมีเสียและในเสียมีดีครับ การที่เราโดนเรื่องต่างๆก็ทำให้คนของเราได้ตระหนัก เมื่อก่อนนั้น ผู้คนในประเทศจำนวนไม่น้อยยังไม่ทราบเลยครับว่าเทียร์ 3 คืออะไร? ไอยูยูคืออะไร? วันนี้ก็ทราบกันเป็นจำนวนมากแล้ว ทำให้เราระวังได้ถูกต้อง จะได้ช่วยกันแก้ไขซะตอนนี้ ดีกว่าให้ไปเกิดและแก้ไขในอนาคตครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

 

ป้ายใหญ่ สมองเล็ก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 1 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/651129

 

ศุกร์วันนี้ นายสุชาติ หงษ์ทอง ผอ.ร.ร.สุราษฎร์ธานี เชิญ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ พูด “คนสุราษฎร์ธานี จะยืนอยู่ในเวทีอาเซียนโลก อย่างไร” รอบเช้า 08.30-11.30 น.และรอบบ่าย 13.00-15.30 น. ที่หอประชุมคุณครูลำยอง ร.ร.สุราษฎร์ธานี

เสาร์พรุ่งนี้ทั้งวัน ร.ต.อ. ดร.นิติภูมิ จะพบปะแนะแนวอาชีพแก่ศิษย์บาลานซ์ หลักสูตรเตรียมสอบนายสิบตำรวจสายปราบปราม ที่บาลานซ์ (ติวเตอร์หมู) สาขาสุราษฎร์ธานี ที่อาคารของสถาบันในโครงการ Airport Business Centre (ABC) ติดสนามบินสุราษฎร์ธานี

นักเรียนหญิงชาวอินเดียอายุ 17 ปีคนหนึ่ง ทำคะแนนสูงสุดวิชามนุษยศาสตร์ ในการสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาระดับมัธยมปลายของรัฐพิหาร ที่จัดโดย Bihar School Examination Board เธอดังจนมีโทรทัศน์มาขอสัมภาษณ์ ในรายการเธอสะกดคำว่า Political Science ที่หมายถึง วิชารัฐศาสตร์ ไม่ถูก และเมื่อถูกถามว่า Political Science ที่หนูเพิ่งทำข้อสอบไปนี่ เป็นวิชาที่ว่าด้วยเรื่องอะไรจ๊ะ? เธอตอบว่า “อ้า เป็นวิชาที่ว่าด้วยการทำอาหารค่ะ”

มีผู้ไปแจ้งความให้สืบสวนหาข่าวการทุจริตการสอบ บั้นปลายท้ายที่สุด ตำรวจจับเด็กหญิงคนนี้และเพื่อนรวม 18 คน ข้อหาทุจริตการสอบ

ในแต่ละปี มีการทุจริตการสอบกันเยอะครับ ผู้ร่วมขบวนการมีตั้งแต่เจ้าหน้าที่การศึกษา ผู้ปกครอง ตำรวจ ฯลฯ ทุจริตกันมากขนาดทางการต้องยกเลิกการสอบกันหลายครั้ง เช่น เดือนเมษายนที่ผ่านมา มีการยกเลิกการสอบของนักเรียนอินเดีย 1.7 แสนคน หลังจากพบว่าเจ้าหน้าที่ทุจริตเอาข้อสอบออกมาสู่ภายนอก

ปีที่แล้ว มีคลิปผู้ปกครองปีนฝาผนังอาคารเพื่อยื่นโพยให้กับลูกหลานที่กำลังสอบอยู่ในห้อง พวกที่ปีนป่ายมีหลายสิบคน ข่าวคราวเรื่องการทุจริตการศึกษาของอินเดียที่แพร่ขยายกระจายไปในโลกออนไลน์ ทำให้บางคนเริ่มสงสัยความน่าเชื่อถือระบบการศึกษาของประเทศนี้

สถาบันที่มีชื่อเสียงระดับโลกบางแห่งจึงเลิกการสอบข้อเขียน และหันไปใช้วิธีการให้ผู้เข้าสอบพูดอรรถาธิบายขยายความให้คณะกรรมการสอบฟังแทน แม้จะเสียเวลาหน่อย แต่การพูดเป็นการวัดผลความเข้าใจได้อย่างแท้จริง

บางประเทศไปไกลถึงขนาดไม่มีการตัดเกรดนักเรียนจนถึงชั้นประถม 4 อย่างที่ฟินแลนด์ ซึ่งขณะนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศที่สำเร็จด้านการศึกษาในระดับชั้นประถม-มัธยมเป็นอันดับต้นของโลก สำเร็จได้เพราะหันมาเน้นการเรียนรู้มากกว่าการแข่งขันอย่างบ้าเลือด

โรงเรียนอนุบาลบางแห่งในบ้านเรา ให้ทั้งเด็กทั้งผู้ปกครองต้องสอบเข้า ทำให้ถูกกดดัน หลายประเทศกลับทำตรงกันข้าม ไม่ต้องให้เด็กเข้าเรียนชั้นอนุบาล แต่ให้ไปเริ่มเรียนในชั้นประถม 1 เลย เพราะต้องการให้เด็กอยู่กับครอบครัว อยู่ในความดูแลของพ่อแม่อย่างใกล้ชิดเสียก่อน อย่างที่ฟินแลนด์ก็เช่นเดียวกัน เด็กเล็กไม่ต้องเข้าเรียนจนกระทั่งอายุ 7 ขวบ

พ่อและแม่ทั้ง 2 คน ดูแลลูกคนเดียวนี่ก็ยุ่งพอสมควรแล้ว ผู้อ่านท่านลองนึกถึงโรงเรียนอนุบาลในหลายประเทศที่ปล่อยให้เด็กเล็ก 15-20 คน อยู่ในความดูแลของพี่เลี้ยงเพียงคนเดียว “ใครจะดูไหว?” เราจึงเคยได้ยินข่าวอยู่บ่อยๆว่า ครูอนุบาลเอายานอนหลับผสมนมให้เด็กดื่ม ทำให้เด็กหลับทั้งวัน คลิปแอบซ่อนกล้องที่เผยแพร่ในสื่อออนไลน์ก็มีเยอะ ที่พี่เลี้ยงตบตีเด็กเล็ก เด็กยังพูดไม่เป็น พ่อแม่จึงไม่มีโอกาสได้ทราบ

พ.ศ.2545 พ่อของผมไปดูงานที่โรงเรียนประถมแห่งหนึ่งในสวิตเซอร์แลนด์ ได้พบเด็กต่างชั้นเรียนอยู่ในห้องเรียนเดียวกัน พ่อยังถ่ายทำนำมาเป็นสารคดีแพร่ภาพทางช่อง 3 ของไทยเลยครับ ที่ฟินแลนด์ก็เหมือนกัน มีการสร้างสิ่งแวดล้อมที่สนับสนุนความร่วมมือให้เด็กต่างระดับชั้นได้เรียนร่วมและแลกเปลี่ยนกันโดยไม่แบ่งแยก ครูเองก็ยังได้ร่วมกันช่วยกันเป็นที่ปรึกษาให้เด็กเหล่านั้นด้วย

พฤษภาคม 2559 พ่อไปดูงานโรงเรียนและการบริหารการศึกษาในเยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และเบลเยียม พบว่าป้ายชื่อของโรงเรียนที่ไปดูงานเล็กมาก ผิดกับป้ายชื่อโรงเรียนในบางประเทศ ที่ทำขนาดใหญ่ใช้งบเยอะ ตามรั้วโรงเรียนก็อวดรูปและรายชื่อของนักเรียนที่สอบเรียนต่อได้ในสถาบันชื่อดังได้ นี่เป็นการส่งเสริมการแข่งขันของแต่ละโรงเรียน ในหลายประเทศไม่ทำ แม้แต่โรงเรียนก็ห้ามมีชื่อ แต่ให้เรียกเป็นหมายเลขแทน เช่น “โรงเรียนหมายเลข 235 แห่งเมืองแกร์”

ที่ใช้โรงเรียนหมายเลขแทน เพราะไม่ต้องการให้โรงเรียนแข่งขันกันอย่างบ้าเลือดนั่นเองครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

 

ตุรกีอาจจะโชคดีจาก Brexit

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 30 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/650147

 

พ่อและน้องสาวของผมได้รับเกียรติจากโรงเรียนนานาชาติแพนเอเชีย เขตประเวศ กรุงเทพฯ ให้ไปร่วมงานเลี้ยงละศีลอดร่วมกับพี่น้องทุกศาสนิกเมื่อ 27 มิถุนายน 2559 ซึ่งในงานมีนายอูฟุค จีเวเล็ค (Ufuk Civelek) ประธาน, นายเอนกิน ยาสมุน (Engin Yasmun) รองประธาน และนายอับดุลลาห์ ซาบรี ทอค (Abdullah Sabri Tok) ผู้อำนวยการหอการค้าไทย-ตุรกี และชาวตุรกีในประเทศไทยอีกหลายสิบคน

นางสาวบาลาซาน นวรัตน์ น้องสาวของผมเล่าว่า ขณะนั่งทานอาหาร ได้เห็นชาวฟิลิปปินส์คนหนึ่งเปิดเฟซบุ๊กดูเรื่องที่รัฐบาลตุรกีโดยประธานาธิบดี เรเซป ตอยยิป เออร์โดกัน ติดต่อขอไกล่เกลี่ยกับรัฐบาลรัสเซียของนายปูติน

เมื่อพฤศจิกายนปีที่แล้ว เครื่องบินรัสเซียหลงจากซีเรียเข้าไปในน่านฟ้าของตุรกีและถูกกองทัพตุรกียิงตก ฝ่ายรัสเซียยืนยันว่า เครื่องบินของตนไม่ได้ข้ามน่านฟ้าเข้าไป หลังจากเกิดเรื่อง รัสเซียก็คว่ำบาตรการค้ากับตุรกี ตุรกีแสดงท่าทีแข็งกร้าวอยู่นานหลายเดือน ทว่าเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ก็เอ่ยปากขอโทษ แถมบอกว่าพร้อมที่จะจ่ายค่าชดเชย และเรียกร้องให้รัสเซียฟื้นฟูความสัมพันธ์ พร้อมทั้งช่วยกันจัดการกับวิกฤติในภูมิภาคและจับมือร่วมกันต่อสู้กับการก่อการร้าย

หลังจากสหราชอาณาจักรลงประชามติจะออกจากสหภาพยุโรป ผมว่าตุรกีอาจจะได้เป็นสมาชิกสหภาพยุโรป สำหรับตุรกีนะครับ หนึ่งในความใฝ่ฝันปรารถนาสูงสุดก็คือ การเป็นส่วนหนึ่งของยุโรป ตุรกีพยายามสมัครเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปตั้งแต่ที่สหภาพยุโรปก่อตั้งได้เพียง 1 ปี คือเมื่อ ค.ศ.1959 เป็นเวลา 57 ปีแล้วครับ ที่ตุรกีพยายามแล้ว พยายามอีก แต่จนถึงทุกวันนี้ ก็ยังไม่ได้รับการยอมรับให้เป็นสมาชิก ลองนึกถึงใจ
ตุรกีดูเถิด ว่าระทมขมขื่นเพียงใด ที่เห็นประเทศเล็กชาติน้อยที่ยื่นใบสมัครทีหลัง แต่กลับได้เป็นสมาชิกก่อน

ตุรกีพยายามพัฒนาระบบเศรษฐกิจเพื่อให้เข้ากับมาตรฐานของสหภาพยุโรปทุกด้าน แต่เพราะเป็นประเทศขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่เกือบ 8 แสนตารางกิโลเมตร มีประชากรเกือบ 78 ล้านคน การพัฒนาเศรษฐกิจให้สำเร็จต้องใช้เวลานาน แถมในห้วงเวลานี้ ตุรกีเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ 2 รอบ รอบแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.2000 รอบที่ 2 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.2001 ตุรกีถูกไอเอ็มเอฟบีบให้ปฏิรูปและปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ

ผมคิดเอาเองนะครับว่าสมาชิกของอียูบางประเทศคงจะนึกว่า หากรับตุรกีเข้าเป็นสมาชิกแล้ว งบประมาณประจำปีของสหภาพยุโรปคงจะมีไม่พอที่จะใช้อุดหนุนภาคเกษตรกรรม เพราะผลผลิตธัญพืชต่อไร่ของตุรกีได้น้อยกว่าของประเทศอื่นมาก อย่างเดนมาร์กผลิตได้ 6,120 กิโลกรัมต่อเฮกตาร์ ฮังการีที่ว่าต่ำแล้ว ก็ยังได้ 4,500 กิโลกรัมต่อเฮกตาร์ แต่ของตุรกีได้โดยเฉลี่ยเพียง 2,290 กิโลกรัมต่อเฮกตาร์ เท่านั้น

อีกสองสามเรื่องที่ผมว่าสมาชิกสหภาพยุโรปยังกังวลใจเกี่ยวกับตุรกี แม้ว่าการเมืองตุรกีจะพัฒนาไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยโดยลำดับ แต่ก็ยังมีปัญหาตรงที่เคยมีทหารเข้ามาทำรัฐประหารถึง 2 ครั้งเมื่อ ค.ศ.1960 และ ค.ศ.1980 แถมกองทัพตุรกียังเคยเข้ามาแทรกแซงการเมืองโดยอ้อมใน ค.ศ.1971 และ ค.ศ.1997 สมาชิกสหภาพยุโรปมองว่า การเข้ามาแทรกแซงการเมืองของกองทัพตุรกีเป็นเรื่องล้าสมัย

อีกเรื่องหนึ่งที่ผมมองว่าเป็นอุปสรรคสำหรับตุรกีก็คือ เรื่องสิทธิและเสรีภาพของชนกลุ่มน้อยชาวเคิร์ด ผู้อ่านท่านที่เคารพ สนธิสัญญาที่ทำให้มีการก่อตั้งประเทศตุรกีก็คือ สนธิสัญญาโลซานน์ ในสนธิสัญญานี้ พวกชนกลุ่มน้อยเท่านั้นที่ได้รับสิทธิและเสรีภาพพิเศษ เช่น พวกยิว และกรีก ประชากรตุรกี 78 ล้านคน เป็นชาวเคิร์ด 12 ล้านคน พวกนี้ไม่ได้รับสิทธิและเสรีภาพพิเศษตามสนธิสัญญาโลซานน์เพราะนับถือศาสนาอิสลามเช่นเดียวกับชาวตุรกีส่วนใหญ่ เรื่องของชาวเคิร์ดจึงเป็นประเด็นปัญหาเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของชนกลุ่มน้อยที่ทำลายภาพลักษณ์ของตุรกีเยอะครับ

ตุรกีกับกรีซทะเลาะกันมาตั้งแต่อดีตเรื่องทะเลอีเจียน แต่กรีซได้เป็นสมาชิกสหภาพยุโรปก่อน ทุกครั้งที่จะมีการพิจารณาสมาชิกภาพรับตุรกี กรีซก็จะใช้สิทธิยับยั้ง

อีกเรื่องหนึ่งที่สมาชิกสหภาพยุโรปเหล่ตามองตุรกีอย่างไม่ค่อยพอใจนักก็คือ พวกทหารที่เข้ามาแทรกแซงการเมืองของตุรกี ทหารพวกนี้เคยส่งกองกำลังไปบุกเกาะไซปรัสเมื่อ ค.ศ. 1974

เรื่องของตุรกีอาจจะมีเยอะหน่อยครับ แต่ถ้าทราบก็ทำให้เราสามารถมองทะลุถึงการสร้างและการทำลายภาพลักษณ์ของประเทศใดประเทศหนึ่งในเวทีโลกได้.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

 

เมียนมาท่าจะแย่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 29 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/649069

 

เมียนมามีรัฐธรรมนูญครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2553 มีการเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2554 และได้รัฐบาลกึ่งทหารของนายพลเต็ง เส่ง รัฐสภาชุด พ.ศ.2554 มี ส.ส.มุสลิมอยู่บ้าง แต่การเลือกตั้งครั้งที่ 2 เมื่อ 8 พฤศจิกายน 2558 ไม่มีพรรคใดยอมรับผู้สมัครมุสลิมเลย แม้แต่พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยของนางซูจีก็ไม่เอา กระแสต่อต้านมุสลิมอุบัติขึ้นแรงมากในแผ่นดินเมียนมาทั้ง 7 รัฐ 7 จังหวัด

การทะเลาะเบาะแว้งเผามัสยิดและเผาบ้านเมืองเกิดขึ้นในรัฐยะไข่ ทำให้ชาวโรฮีนจาซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยมุสลิมไร้สัญชาติล้มหายตายจากเป็นจำนวนมาก หลายหมื่นคนต้องไปอาศัยอยู่ในค่ายผู้พลัดถิ่น และจำนวนไม่น้อยต้องวิ่งลงเรือเพื่ออพยพหนีออกนอกประเทศ

เดิมเรามีความหวังตั้งใจไว้ที่นางซูจี ในฐานะเธอเป็นบุคคลของโลก ย่อมมีปัญญาสากลที่จะเอาเข้าไปใช้แก้ปัญหาความขัดแย้งทั้งด้านเผ่าพันธุ์และด้านศาสนาในบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง แต่ทุกคนก็ผิดหวังครับ

ผมเริ่มสงสัยในความสามารถและทัศนคติที่มีต่อชนกลุ่มน้อยโรฮีนจาและมุสลิมของนางซูจี ตั้งแต่เธอเริ่มปฏิเสธผู้สมัครมุสลิม และมั่นใจว่านางซูจีมีทัศนคติลบต่อมุสลิม เมื่อเธอไปหาเสียงที่รัฐยะไข่ในการเลือกตั้งทั่วไปปีที่แล้ว เธอไปปรากฏตัวแว้บๆ เฉพาะภาคใต้ของรัฐ แต่ไม่ยอมเข้าไปหาเสียงในเมืองซิตตเวซึ่งเป็นเมืองเอก และยังไม่ยอมเข้าไปที่ค่ายพักแรมสำหรับผู้ไร้ที่อยู่จากเหตุความรุนแรง นักข่าวต่างประเทศพยายามสัมภาษณ์นางซูจีถึงชะตากรรมของชาวโรฮีนจา ทว่านางซูจีก็มักจะตอบอย่างเลี่ยงๆ เมื่อโดนกดดันก็จะตอบอย่างไม่เต็มใจและใช้อารมณ์ ซึ่งพฤติกรรมอย่างนี้ไม่เคยมีในบุคคลระดับโลกผู้รับรางวัลโนเบล

นับแต่นั้นเป็นต้นมา นางซูจีก็มักจะถูกวิจารณ์ด้านลบในส่วนที่เกี่ยวดองหนองยุ่งกับสิทธิมนุษยชน และสิ่งนี้ก็เป็นเหมือนกับจุดดำบนผ้าขาวที่ห่อร่างของนางซูจี

เมียนมาเป็นสาธารณรัฐแห่งสหภาพที่ประกอบไปด้วยผู้คนชนเผ่าต่างๆ มากถึง 135 เผ่า ชาวโรฮีนจาซึ่งเกิดในแผ่นดินเมียนมาพยายามตะโกนก้องร้องว่า ขอให้พวกข้าพเจ้าได้เป็นเผ่าพันธุ์ที่ 136 ของประเทศอย่างเป็นทางการด้วยเถิด แต่ก็ไร้เสียงตอบจากนางซูจี

นางยาง ฮี ลี ผู้แทนพิเศษด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติไปเยือนค่ายผู้อพยพลี้ภัยเมื่อหลายปีก่อน เธอก็ถูกพระสงฆ์หัวรุนแรงเรียกเธอว่าโสเภณี เดือนมิถุนายน 2559 ปีนี้ นางลีมีหน้าที่ต้องไปเยือนชาวโรฮีนจาในเมียนมาอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้มีคำสั่งของกระทรวงข้อมูลข่าวสารเมียนมาที่ตีตราลับมาก ส่งไปยังหน่วยงานต่างๆ สั่งว่า ในช่วงที่ผู้แทนพิเศษของสหประชาชาติมาเยือนเมียนมา ไม่ให้ราชการใช้คำเรียกว่าโรฮีนจา หรือเบงกาลี ซึ่งแปลว่าผู้อพยพผิดกฎหมายจากบังกลาเทศ แต่ให้ใช้คำว่าคนที่เชื่อศาสนาอิสลามในรัฐยะไข่แทน

ชีวิตการเมืองของนางซูจีเริ่มด้วยความเป็นนางเอกแห่งมวลมนุษยชาติ แต่ก็ไม่แน่นะครับ ถ้าเป็นผู้นำประเทศไปนานๆ เธอก็อาจจะจบชีวิตการเมืองได้ไม่สวย อาจจะกลายเป็นนางมารด้านสิทธิมนุษยชนของโลกก็ได้ ตอนนี้ก็มีรายงานของสหประชาชาติออกมาแล้วว่า ชาวโรฮีนจาถูกเจ้าหน้าที่รัฐบาลเมียนมาล่วงละเมิด กดขี่ข่มเหง จับกุมตามอำเภอใจ สังหาร กักขังทรมานและบังคับใช้แรงงาน นักกฎหมายหลายคนในองค์กรโลกอย่างสหประชาชาติเริ่มออกมาเตือนแล้วว่าการล่วงละเมิดอย่างต่อเนื่องกับชาวโรฮีนจาของคณะผู้นำเมียนมาอาจจะเป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

สัปดาห์ที่แล้ว ความขัดแย้งด้านศาสนาบานปลาย ย้ายจากรัฐชายแดนตะวันตกมายังภาคกลางที่เมืองพะโค ชุมชนมุสลิมต้องการสร้างโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ก็มีชาวบ้านมาต่อต้าน และตามด้วยผู้คนอีกประมาณ 200 คนมาเผามัสยิด พังกุโบรฺที่ฝังศพของมุสลิม มุสลิมทั้งหลายแม้ไม่ใช่ชาวโรฮีนจาก็ต้องหนีเอาตัวรอด หลายคนไม่กล้ากลับบ้าน

ความขัดแย้งทางศาสนาน่าจะทำให้เมียนมาตกเหวอีกครั้งหนึ่งก็ได้.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

 

ประชาชนเลือกเอง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 28 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/648137

 

ประเทศที่มีหลักจากนักปรัชญาการเมืองเป็นพื้นฐานการเมืองการปกครองที่น่าสนใจก็คือ อังกฤษ ผู้คนของประเทศนี้ได้รับอิทธิพลจากนักปราชญ์หลายท่าน เช่น โทมัส ฮอบส์ ที่หนุนอำนาจสูงสุดของผู้ปกครอง และหนุนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จอห์น ล็อค ท่านผู้นี้หนุนอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน อดัม สมิธ ผู้เสนอความคิดเสรีนิยมทางเศรษฐกิจโดยให้รัฐบาลแทรกแซงกิจการของเอกชนให้น้อยที่สุด ควรปล่อยให้มีการประกอบกิจการโดยเสรี ความมั่นคงของเอกชนคือความมั่งคั่งของชาติ ฯลฯ

อังกฤษลองผิดลองถูกการเมืองการปกครองมานานหลายร้อยปี จนท้ายที่สุดก็ยอมรับว่าประชาธิปไตยเป็นระบอบที่เลวน้อยที่สุด แทบทุกประเด็นสำคัญของชาติ รัฐบาลได้จัดให้มีการลงประชามติ เมื่อเสียงส่วนใหญ่ว่ายังไง เสียงส่วนน้อยก็ว่าไปตามนั้น และรอจนกว่าจะมีการลงประชามติหรือเลือกตั้งรอบใหม่ ด้วยเหตุนี้บ้านเมืองจึงสงบร่มเย็นได้

ชาติรัฐใดก็ตาม ที่ยังมีการไม่รับเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน แพ้การเลือกตั้งก็ไม่ยอมรับ พอรู้ว่าจะแพ้ก็ล้มกระดาน ชาติรัฐพวกนี้จะอยู่แบบถูลู่ถูกัง ชาติจะเหมือนคนเป็นโรคร้ายแต่ไม่ตาย ทว่าอยู่แบบทรมาน ไม่มีความสุขสมบูรณ์เหมือนคนในชาติบ้านเมืองที่ยอมรับกติกา ชนะก็ชนะ แพ้ก็ไปปรับปรุงเปลี่ยนแปลงนโยบายให้ได้รับชัยชนะในอนาคต

เราจะเห็นว่ามีการลงประชามติถึงสองครั้งในสหราชอาณาจักรในระยะเวลาไม่ถึง 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งการลงประชามติแยกสกอตแลนด์ออกจากสหราชอาณาจักร และการแยกสหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรป รัฐบาลปล่อยให้มีการรณรงค์กันอย่างเต็มที่ ทั้งฝ่ายต่อต้านและฝ่ายสนับสนุน เพื่อให้มีข้อมูลไปสู่ประชาชนอย่างครบถ้วน เพื่อให้ทุกคนได้รับข้อมูลและพิจารณาอย่างตกผลึก แล้วจึงตัดสินใจด้วยวิจารณญาณของตนเอง

ฝ่ายแพ้ก็จะลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ ตัวอย่างของจริยธรรมการเมืองแบบประชาธิปไตยสากลมีให้เห็นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี่เองครับ ทันทีที่ทราบว่าฝ่ายเบร็กซิตเป็นผู้ชนะ นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน ก็ออกมาประกาศลาออกจากตำแหน่งทันที

คนดังของอังกฤษก็ไม่ทำตัวเป็นอีแอบ ต่างแสดงทัศนะของตนอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกลัวใครจับไปปรับทัศนคติ พอทราบว่าฝ่ายให้แยกตัวออกจากอียูหรือฝ่าย Leave ชนะ ฝ่ายหนุนหรือ Remain ก็เขียนคอมเมนต์ลงในโซเชียลมีเดียอย่างตรงไปตรงมา เช่น เจ.เค. โรว์ลิ่ง ผู้เขียนแฮร์รี่ พอตเตอร์โพสต์ว่าเธอไม่อยากได้เวทมนต์อะไรอีกแล้ว ไมเคิล มัวร์ ผู้สร้างภาพยนตร์ คนนี้แรงหน่อย โพสต์ว่า “คนอังกฤษยังอยู่ในวังวนของความโง่เขลาต่อไป หลังจากร่วมทำสงครามในอิรัก แปรรูปรถไฟ ลอกเลียนแบบเงินกู้การศึกษาของอเมริกันมาใช้ ตอนนี้ก็ยังจะมาเบร็กซิตอีก” เพียร์ส มอร์แกน พิธีกรคนดัง โพสต์ว่า “อย่างนี้นะซี นายโดนัลด์ ทรัมป์ ถึงมีโอกาสที่จะได้เป็นผู้นำสหรัฐฯ คนถูกป้อนข้อมูลด้วยนักการเมืองพื้นๆ”

พวก leave ซึ่งเป็นฝ่ายชนะก็ออกมาโพสต์กันเต็มหน้าจอ ไนเจล ฟาราจ แกนนำฝั่ง Leave บอกว่า ตนกล้าจะฝันถึงรุ่งอรุณของสหราชอาณาจักรที่เป็นอิสระ เคที ฮอปสกินส์ นักแสดงหญิงโพสต์ว่า “วันนี้เรารับอรุณใหม่ และรับสหราชอาณาจักรที่เจิดจ้ากล้าหาญ ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่อยู่ข้างที่ถูกต้องของประวัติศาสตร์” ฯลฯ

พ.ศ.2546 ผมมีโอกาสเคยสนทนากับนักการเมืองบูร์กินาฟาโซ แกบอกว่าแกชื่นชมประชาธิปไตยสไตล์บูร์กินาฟาโซเท่านั้น “ข้าพเจ้าจะไม่รับอะไรจากตะวันตกเลยแม้แต่อย่างเดียว” ผมฟังแล้วก็สมเพชแกมาก ในขณะที่บอกว่าไม่รับอะไรจากตะวันตก แต่แกยังใส่เสื้อผ้าแบบตะวันตก ใช้นาฬิกายี่ห้อสวิส รถที่จอดหน้าสำนักงานก็เป็นรถยุโรป ในสำนักงานของแกเย็นฉ่ำด้วยแอร์ซึ่งเป็นเทคโนโลยีตะวันตก รอบตัวของนักการเมืองแอฟริกันคนนี้เป็นตะวันตกเกือบทั้งหมด แต่แกดันสร้างวาทกรรมลวงโลก สร้างเพื่อหาคะแนนเสียงเท่านั้นเอง

กรณีเบร็กซิต รัฐบาลอังกฤษปล่อยให้ข้อมูลของทั้ง 2 ฝ่ายออกมาสู่ประชาชนอย่างเต็มที่ ไม่กีดขวางกางกั้น ประสงค์เพื่อให้ผู้คนทั้งประเทศช่วยกันกรองว่าสิ่งใดดีที่สุดสำหรับตน รัฐบาลมีหน้าที่เพียงดำเนินการตามสิ่งที่เคยให้สัญญาประชาคมกับประชาชนเท่านั้น

ดูสหราชอาณาจักร

ดูบูร์กินาฟาโซ

และก็มาย้อนดูไทยแลนด์ครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

 

ลาแล้วอียู

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 27 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/647474

 

อนุโมทนาผู้ทำบุญถวายผ้าป่าสามัคคีสมทบทุนซื้อเครื่องตรวจหัวใจและอุปกรณ์การแพทย์ให้ศูนย์การแพทย์ภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ วัดป่าคลองกุ้ง อ.เมือง จ.จันทบุรี ในโอกาสที่พระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ (มหาเข้ม จิตฺตธมฺโม) อายุ 80 ปี 60 พรรษา เมื่อ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา ได้เงิน 5,098,777.54 บาท ศูนย์ฯนี้ รักษานักบวชทุกศาสนาโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ส่วนฆราวาสรับรักษาในราคาถูก

ผลการนับคะแนนประชามติเบร็กซิต ผู้ต้องการให้สหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรปมีมากถึง 17.4 ล้าน ผู้ให้เป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปต่อมี 16.1 ล้าน ทันทีที่ทราบผล ใจของผมก็ประหวัดถึงวินสตัน เชอร์ชิล และชอง มอนเนต์ ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งยุโรปและจุดประกายให้เกิดการบูรณาการยุโรป

แนวความคิดของเชอร์ชิล อดีตนายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักรก็คือ ต้องการให้รัฐในยุโรปรวมตัวกันเป็นสหพันธ์หรือสหรัฐเหมือนสหรัฐอเมริกา ความฝันของเชอร์ชิลก็คือ ในอนาคตจะมีประเทศใหม่ที่มีชื่อว่า สหรัฐยุโรปหรือ United States of Europe เรื่องนี้ผมไม่ได้เขียนลอยๆนะครับ เชอร์ชิลกล่าวไว้ในสุนทรพจน์ที่เมืองซูริก เมื่อ ค.ศ.1946

ส่วนมอนเนต์ก็เคยพูดประโยคทองของการรวมตัวกันว่า ไม่มีอนาคตอื่นใดสำหรับคนในยุโรปนอกเหนือไปจากการเป็นสหภาพมอนเนต์หนุนการรวมยุโรปแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มจากประชาคมถ่านหินและเหล็กกล้า ประชาคมพลังงานปรมาณู ประชาคมยุโรป สหภาพยุโรป และท้ายที่สุดก็จะไปบรรจบกับคำที่เชอร์ชิลเคยคิดไว้เรื่องสหรัฐยุโรป

มอนเนต์ร่างแผนการชูมองด้วยตนเอง โดยให้แต่ละรัฐเริ่มความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจก่อน

เมื่อสหราชอาณาจักรจะออกจากการเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปทำให้ผมเสียดายเหตุการณ์เมื่อ 9 พฤษภาคม 1950 ที่นายกรัฐมนตรีเยอรมนีตะวันตกกับรัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศสลงนามในแผนชูมอง ทำให้เกิดประชาคมถ่านหินและเหล็กกล้ายุโรป ซึ่งตอนนั้นได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากอิตาลี เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ และลักเซมเบิร์ก ผู้อ่านท่านที่เคารพ 6 ประเทศนี่ล่ะครับ ถือว่าเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งสหภาพยุโรป

อังกฤษไม่ได้เป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งประชาคมยุโรป ไม่ว่าจะเป็นประชาคมถ่านหินและเหล็กกล้า หรือประชาคมเศรษฐกิจยุโรป เพราะตอนนั้นอังกฤษคิดว่าตนมีความมั่นคงแล้ว ตัวเองมีเครือจักรภพซึ่งมีประเทศอดีตอาณานิคมเป็นสมาชิกอยู่มากมายหลายสิบประเทศ แถมยังมีความสัมพันธ์เป็นพิเศษกับสหรัฐอเมริกา มีอะไรก็สามารถพึ่งพาอเมริกาได้

ต้นทศวรรษ 1960 นายกรัฐมนตรีฮาโรลด์ แมกมิลแลน แถลงต่อรัฐสภาว่าอังกฤษจะยื่นใบสมัครเข้าเป็นสมาชิกตลาดร่วมยุโรปที่ตอนนั้นเรียกว่า ประชาคมเศรษฐกิจยุโรป เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ การเงิน และการว่างงาน แต่ประธานาธิบดีของฝรั่งเศสคือ นายพลชาร์ลส์ เดอ โกล ยับยั้งใบสมัครของอังกฤษเมื่อมกราคม 1963อังกฤษต้องรออีกถึง 4 ปี จึงได้ไปสมัครใหม่เป็นครั้งที่ 2 เมื่อ ค.ศ.1967 แต่โดนประธานาธิบดีฝรั่งเศสคนเดิมยับยั้งใบสมัครอีก

อังกฤษรอจนนายพลชาร์ลส์ เดอ โกล พ้นจากอำนาจ จึงยื่นใบสมัครอีกครั้งเมื่อ ค.ศ.1970 คราวนี้ได้รับการพิจารณาด้วยดี และได้ลงนาม

ในสนธิสัญญาเข้าร่วมประชาคม เมื่อ ค.ศ.1972 พอถึง 1 มกราคม 1973 อังกฤษก็เป็นสมาชิกของประชาคมยุโรปอย่างเป็นทางการพร้อมกับเดนมาร์กและไอร์แลนด์ ทำให้ประชาคมยุโรปในตอนนั้นมีสมาชิก 9 ประเทศ

ค.ศ.1975 อังกฤษจัดให้มีการลงประชามติในประเทศเพื่อให้ประชาชนลงคะแนนเสียงว่าจะยังคงอยู่ในประชาคมยุโรปต่อไปหรือไม่ ผลของการแสดงประชามติคือ remain ยังคงให้อยู่ต่อไป แต่ก็มีคนเป็นจำนวนมากคัดค้านต้องการให้ leave ออก

ภายหลังมีการจัดตั้งตลาดเดียวแห่งยุโรปหรือ Single European Market และสหภาพยุโรป European Union อังกฤษให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่ยอมใช้เงินสกุลยูโร ทุกครั้งที่มีการรับสมาชิกใหม่ อังกฤษก็ให้การสนับสนุนทุกครั้ง แต่ก็จะยกปัญหาเรื่องผู้อพยพจากประเทศสมาชิกใหม่เข้ามาทำงานในอังกฤษและปัญหาเงินช่วยเหลือของสหภาพยุโรปที่จะต้องช่วยประเทศสมาชิกใหม่มาเจรจา

ความต้องการอยู่และความต้องการแยกจากสหภาพยุโรปของประชาชนคนอังกฤษมีจำนวนก้ำกึ่งอยู่ตลอด ทุกครั้งที่มีการทำโพลสำรวจความคิดเห็นก็ 49/51 บางทีฝ่ายต้องการแยกชนะ ฝ่ายต้องการอยู่ชนะ

วันนี้ก็ชัดเจนแล้วนะครับ ว่าความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษกับอียูนั้นจะย้อนกลับไปก่อน 1 มกราคม 1973.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

 

นกไม่มีคอนเกาะ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 24 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/645159

 

World Beyond เดินทางสร้างชาติ ช่อง 3 เสาร์พรุ่งนี้ 06.00-06.30 น. รับใช้เรื่องของกรุงหริหราลัย ในส่วนที่เกี่ยวกับอิทธิพลจากชวาและรัฐทมิฬนาฑูของอินเดีย น่าชมครับ

ศุกร์วันนี้ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ พูดรับใช้ผู้บริหารท้องถิ่น ที่สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย 13.00-16.00 น.

ติดตามการหาเสียงของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครแข่งขันเป็นประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน ทำให้หลายคนนึกถึงนายจอร์จ วอลเลซ อดีตผู้ว่าการรัฐอลาบามาที่สมัครแข่งขันเป็นประธานาธิบดีแบบอิสระ เมื่อ ค.ศ.1968 ซึ่งไม่เคยมีใครคิดมาก่อนดอกครับ ว่าแกจะได้คะแนนเสียงมาก เพราะแกหาเสียงว่าจะปราบปรามนิโกรด้วยดาบปลายปืน และจะทิ้งระเบิดเวียดนามเหนือให้หนักขึ้น

ตอนนายวอลเลซพูดหาเสียงช่วงแรกๆไม่มีใครชอบแกเลย แถมดูแกเป็นผู้สมัครจอมโหด แต่ผลการเลือกตั้งนายวอลเลซกลับได้คะแนนจากประชาชนมากถึง 9,906,473 คน และ 45 คะแนนจากคณะผู้เลือกตั้งประธานาธิบดี มีคนทำนายทายว่าถ้าแกได้เป็นผู้สมัครของพรรคใดพรรคหนึ่งในสองพรรคใหญ่ คือรีพับลิกันหรือเดโมแครต
แกจะต้องได้เป็นประธานาธิบดีชัวร์ กระแสคนอเมริกันสมัยนั้นคล้ายกับสมัยนี้ครับ คือชอบคนแรง แรงอย่างนายทรัมป์นี่ใช่เลย

หลายครั้งที่คนอเมริกันไม่รู้จะเลือกใคร เพราะผู้เสนอตัวให้เลือกอยู่บนเวทีมีคุณสมบัติไม่เจ๋ง แต่ขึ้นไปได้เพราะความพยายามซ้ำๆ ที่เห็นชัดก็อย่างนายริชาร์ด นิกสัน ที่แพ้เลือกตั้งประธานาธิบดีไปแล้วรอบหนึ่งเมื่อ ค.ศ.1960 อีก 2 ปีต่อมา ก็ไปสมัครเป็นผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย แต่ก็สอบตก ไม่มีงานทำก็ไปเป็นทนายความแล้วก็เสนอตัวเป็นผู้สมัครของพรรครีพับลิกันใหม่ ถูไถเก็บคะแนนรัฐโน้นรัฐนี้มาเรื่อยจนได้เป็นผู้สมัคร แล้วก็ชนะเลือกตั้งด้วยคะแนนคิดเป็นร้อยละ 43.4 ในขณะผู้สมัครของเดโมแครตที่ได้ที่สองหายใจรดต้นคอได้ร้อยละ 42.7

ความโกลาหลอลหม่านของสังคมอเมริกันมีสูงมากในทศวรรษ 1960 อดีตประธานาธิบดีจอห์นสัน พรรคเดโมแครตก็อ่อนล้าซะจนประกาศว่า ข้าพเจ้าไม่เอาแล้วการเมือง ขอเป็นสมัยเดียวพอ ข้าพเจ้าเหนื่อยใจ และไม่ขอลงสมัครประธานาธิบดีเป็นครั้งที่สอง

ในสภาคองเกรส ทั้งสภาล่างสภาบนมีแต่สมาชิกพรรคเดโมแครต เมื่อนิกสันชนะเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดี จึงทำงานลำบากมาก คนที่ประคองให้รัฐบาลนิกสันยังพอทำงานไปได้ก็คือรัฐมนตรีต่างประเทศคนเก่งที่มีชื่อว่านายเฮนรี คิสซิงเจอร์ แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอดครับ นายนิกสันเป็นประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐฯ ที่ต้องลาออกจากตำแหน่ง

50 ปีต่อมา วันนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วนะครับ ถ้าไม่ใช่นางคลินตัน ก็ต้องเป็นนายทรัมป์ที่จะชนะเลือกตั้ง 8 พฤศจิกายน 2559 ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทั้งสองคนไม่สด เป็นผู้ที่เคยสมัครมาก่อน และก็สอบตกจนช้ำแล้ว หลายคนเริ่มกังวลว่าสหรัฐฯจะกลายเป็นดินแดนวุ่นวายขายปลาช่อนเหมือนเมื่อสมัยทศวรรษ 1960 ซึ่งในยุคนั้นคนหนุ่มสาวออกมาต่อต้านวัฒนธรรม ต่อต้านบรรพบุรุษที่ยึดหลักทำงานหนักเพื่อความก้าวหน้าในชีวิต ต้องมีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ ต้องมีความมัธยัสถ์ ต้องขยันทำมาหากินเพื่อเอาชนะความยากจน ต้องเคารพกฎหมาย ยึดมั่นกับครอบครัว และต้องมีความนับถือตัวเองสูง

เมื่อผู้นำเป็น “ตัวอย่างที่ดี” ไม่ได้ สังคมจึงลอยเหมือนนกไม่มีคอนเกาะ วัยรุ่นอเมริกันในยุคทศวรรษ 1960 เป็นโรคซึมเศร้ากันเยอะ จำนวนไม่น้อยเข้าหากัญชาและเฮโรอีน ยาเสพติดระบาดเข้าไปในทุกมหาวิทยาลัย

คนอเมริกันสมัยนั้นเบื่อการเมือง คนจำนวนหนึ่งเริ่มทำตัวเป็นฮิปปี้ส์ ไม่สนใจตัวเองแล้ว ไม่อาบน้ำ แต่งตัวสกปรกซอมซ่อ ไว้ผมหนวดเครายาวเฟื้อย ใส่รองเท้าแตะ ไม่ผูกเนกไท ไม่ใส่รองเท้าเด็กหนุ่มสาวกลายเป็น flower children หรือบุปผาดรุณ พวกผู้ใหญ่ก็กลายเป็น flower people หรือบุปผาชน ที่ไม่สนใจประเพณี ปล่อยตัวตามสบายและเลิกสนใจการเมือง เพราะถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่จริงใจต่อกัน เป็นเรื่องของไอ้พวกบ้าอำนาจ

มีคนทำนายทายว่า

ถ้านายทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี

สังคมอเมริกันจะเป็น “อะไรสักอย่างหนึ่ง” แบบเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในยุคของจอห์นสัน และนิกสัน

ไม่มีใครบอกได้ว่าคืออะไร

แต่เชื่อกันว่าแนวโน้มอย่างนั้นจะเกิดขึ้นแน่นอน.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand