เลาะรั้วเกษตร : ถึง คุณสนธิ ลิ้มทองกุล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/446432

281225166

เลาะรั้วเกษตร : ถึง คุณสนธิ ลิ้มทองกุล

วันศุกร์ ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2562, 06.00 น.

เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2562 เวลาประมาณ 17.00 น.ผมได้รับโทรศัพท์จาก ดร.อดิศักดิ์ ศรีสรรพกิจซึ่งเป็นรุ่นน้องที่ใกล้ชิดตั้งแต่เรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และรับราชการอยู่ในกรมส่งเสริมการเกษตร และไปสิ้นสุดชีวิตราชการที่กรมวิชาการเกษตรด้วยกัน แต่ต่างกรรมต่างวาระ

ดร.อดิศักดิ์ ศรีสรรพกิจ ได้ถามผมว่าผมได้รับฟังรายการ “คุยทุกเรื่อง” กับสนธิในหัวข้อ “เปิดเบื้องหลังยื้อแบนพาราควอต” หรือเปล่า หลังจากนั้นท่านก็เล่าถึงสิ่งที่ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ได้พยายามอธิบายถึงสารพาราควอตไกลโฟเซต และคลอไพริฟอส รวมถึงผลร้ายที่มีต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม และวิพากษ์วิจารณ์ผู้ที่คัดค้านการเสนอให้ยกเลิกการใช้สารทั้งสามชนิดนี้ ว่า เป็นคนอำมหิต ใจร้าย รวมถึงวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของคณะกรรมการวัตถุอันตรายและการทำงานของกรมวิชาการเกษตรในลักษณะว่าเป็นผู้ขัดขวางการขอให้ยกเลิกการใช้สารทั้งสาม

เรื่องที่ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ได้พูดเบื้องต้นผมได้รับฟังจาก NGO จากนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา จนเบื่อและรู้สึกรำคาญในการบิดเบือนข้อเท็จจริง รวมทั้งการกล่าวหาผู้ที่มีความเห็นต่างว่า เป็นผู้มีผลประโยชน์รับเงินจากบริษัทที่ทำธุรกิจสารเคมี เพื่อการเกษตร รวมทั้งรับเงินจากต่างชาติเป็นเช่นนี้มาหลาย 10 ปีที่ผ่านมา

หาก คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ได้กล่าวพาดพิงถึงกรมวิชาการเกษตร ว่า “กรมวิชาการเกษตรถูกครอบงำด้วยทุนต่างชาติ มีนักวิชาการในกรมวิชาการเกษตรรับเงินรับทองจากบริษัททำสารพิษ มีการดูแลกันตั้งแต่เป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยไล่ขึ้นมาจนเป็นผู้อำนวยการฝ่าย จนกระทั่งถึงรองอธิบดี และอธิบดี ตำแหน่งอธิบดีกรมวิชาการเกษตรจึงมีการลงขันกันเป็นสิบๆ ล้าน ถึงร้อยล้าน พฤติกรรมมันบัดซบ และกรมวิชาการเกษตร เป็นกรมที่มีปัญหามากที่สุด ถ้ายุบไปได้ เกษตรไทยจะดีขึ้น เป็นกรมที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน งานที่ดีๆ ก็มี แต่ว่ามีผลงานและการกระทำที่เลวมากกว่าดี” ผมคงไม่ออกมาตอบโต้เพราะผมเป็นเพียงอดีตข้าราชการที่มีโอกาสทำงานอยู่ที่กรมวิชาการเกษตร ประมาณ 3 ปีครึ่ง และปัจจุบันผันตัวมาเป็นเกษตรกร

ผมดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2540 โดยท่านชูชีพ หาญสวัสดิ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในขณะนั้น เพราะอธิบดีกรมวิชาการเกษตรในขณะนั้น คือ ดร. วิจิตร เบญจศีล จะเกษียณอายุราชการ ในวันที่ 30 กันยายน 2540 ท่านชูชีพ หาญสวัสดิ์ ได้ถามผมว่า “อยากให้พี่นันต์ไปเป็นอธิบดีกรมวิชาการเกษตร: ชอบไหม?” (ท่านชูชีพเรียกผมว่าพี่ เพราะท่านอายุน้อยกว่าผม 1 ปี และเป็นคนไหหลำด้วยกัน ท่านให้เกียรติผมมาก) ผมก็ตอบตกลง ผมไม่ต้องเสียเงินแม้แต่บาทเดียว ท่านชูชีพไม่เคยเรียกร้องเงินจากผม เพราะท่านรู้ว่าผมไม่มีเงิน และท่านไม่คิดที่จะทำ แม้แต่การเดินทางไปต่างจังหวัด หรือไปประชุมต่างประเทศ ท่านไม่เคยให้ผมต้องจ่ายเงินในการเลี้ยงดูท่านเลย

กรมวิชาการเกษตร เป็นกรมที่รับผิดชอบงานด้านการวิจัยและพัฒนาทางด้านพืช มีงบประมาณน้อย ข้าราชการส่วนใหญ่เป็นนักวิชาการ จบระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก เป็นจำนวนมาก สมัยที่ผมรับราชการอยู่ที่กรมวิชาการเกษตร มีนักวิจัย นักวิชาการ จบระดับปริญญาเอก ประมาณ 300 คน ซึ่งน่าจะมากกว่าทุกกรมในประเทศไทย บุคลากรส่วนใหญ่ได้ทำงานอยู่ในห้องปฏิบัติการ ในสถานีทดลอง ศูนย์วิจัย รวมทั้งด่านกักกันพืช ศูนย์จักรกลการเกษตร อยู่ในส่วนภูมิภาค ประมาณ 150 แห่ง (ในขณะนั้น ปี พ.ศ. 2540) ข้าราชการส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นนักวิชาการ คือ สมถะ ใช้ชีวิตเรียบง่าย มีสังคมภายนอกน้อย มีลักษณะอนุรักษ์ รักพวกพ้อง ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นแทบที่จะไม่มี (ยกเว้นในกรณีกล้ายาง 1 ล้านไร่ ที่ก่อให้เกิดความมัวหมองแก่กรมวิชาการเกษตร)

ดังนั้น การที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวหาว่า นักวิชาการรับเงินจากบริษัททำสารพิษ มีการดูแลกันทุกระดับชั้น ตำแหน่งอธิบดีมีการลงขันกันเป็นสิบๆ ล้าน ถึงร้อยล้าน พฤติกรรมบัดซบ เป็นการกล่าวหาที่รุนแรงสุดที่จะรับได้ ทั้งยังจะให้ยุบกรมวิชาการเกษตรว่าถ้ายุบไปได้ เกษตรกรไทยก็จะดีขึ้น เพราะมีผลงานและการกระทำที่เลวมากกว่าดี เป็นการดูถูก ดูหมิ่นองค์กรที่มีประวัติการจัดตั้งมายาวนาน มีผลงานทั้งการวิจัยและพัฒนามากมาย ซึ่งไม่เป็นธรรมต่อองค์กรนี้เป็นอย่างยิ่ง

ในกรณีการวิพากษ์วิจารณ์คณะกรรมการวัตถุอันตราย ว่า ทำไมถึงยอมให้คน 29 คน มีอำนาจเหนือชีวิตคนไทย 65 ล้านคน เป็นคำพูดที่เหมือนกับคำพูดของคุณหมอคนหนึ่ง ก็เป็นการดูหมิ่นดูแคลนคณะกรรมการวัตถุอันตรายเช่นกัน ผมเคยเป็นหนึ่งในคณะกรรมการชุดนี้ ไม่เคยรู้ว่าคณะกรรมการชุดนี้มีผลประโยชน์ เพราะไม่เคยได้รับเงินจากใคร และสำหรับคณะกรรมการชุดปัจจุบัน ผมก็ไม่เชื่อว่าจะได้รับผลประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น ใครเขาจะให้มาทำไม โดยเฉพาะคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งผมรู้จักเป็นส่วนใหญ่ ผมเชื่อมั่นว่าท่านเหล่านี้ เป็นคนดี มีจริยธรรม ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการแบนสารทั้ง 3 ชนิด

ผมทำงานอยู่ที่กรมวิชาการเกษตร เพียง 3 ปีครึ่ง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2540 ถึงวันที่ 15 มีนาคม 2544 แล้วลาออกไปลงสมัครรับเลือกตั้งวุฒิสมาชิกจังหวัดสุราษฎร์ธานี ผมไม่ได้เป็นลูกหม้อกรมวิชาการเกษตร แต่ช่วงเวลาที่รับราชการอยู่ที่กรมวิชาการเกษตร ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตราชการของผมได้รับสิ่งดีๆ ประสบการณ์ดีๆ และสิ้นสุดชีวิตราชการที่ดี เป็นมงคลแก่ชีวิตมาจนถึงปัจจุบัน จึงไม่ต้องการจะให้ใครมาเหยียบย่ำองค์กรนี้ ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม

ผมได้ติดตามรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” ของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล มาโดยตลอด โดยเฉพาะสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่คนไทยคนหนึ่งกับผู้ร่วมอุดมการณ์ เป็นผู้ถือธงนำมวลมหาประชาชนล้มระบบทักษิณจนเป็นผลสำเร็จ ทำให้เกิดความเคารพและศรัทธาในการเป็นนักต่อสู้เพื่อความถูกต้องของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบันไม่เสื่อมคลาย แต่กรณีสารเคมี 3 ชนิดนี้ อยากให้คุณสนธิได้ศึกษาหาข้อมูลความเป็นไปตั้งแต่เริ่มต้นมาจนถึงปัจจุบันอย่างละเอียด ท่านจะได้ทราบความจริงที่แตกต่างจากที่เคยทราบมาก่อน และนำความจริงมาตีแผ่ให้สังคมได้รับทราบ จะเป็นประโยชน์และสังคมต้องยอมรับ เพราะมีความเชื่อมั่นในตัวคุณสนธิ ลิ้มทองกุล

อนันต์ ดาโลดม 

เลาะรั้วเกษตร : อย่าตามกระแส

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/444980

281225166

เลาะรั้วเกษตร : อย่าตามกระแส

วันศุกร์ ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2562, 06.00 น.

เดือนกันยายน เป็นเดือนสุดท้ายของปีงบประมาณสำหรับหน่วยงานราชการ เป็นธรรมเนียมของหน่วยงานที่จะต้องมีการประชุม สัมมนา และจัดงานมอบโล่ประกาศเกียรติคุณสำหรับผู้เกษียณอายุราชการ เป็นการขอบคุณ ผู้ที่ปฏิบัติงานให้กับองค์กรมาเป็นเวลานานจนถึงวาระเกษียณอายุราชการ ในวัย 60 – 61 ปี (บางท่านมีแถมเพราะเกิดหลังวันที่ 30 กันยายน)

ปีนี้ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่เกษียณอายุราชการ ได้แก่อธิบดีกรมการข้าว ประสงค์ ประไพตระกูล ที่ทำงานจนวันสุดท้าย 30 กันยายน 2562 เดินลงจากตึกที่ทำการ รับดอกกุหลาบแดงจากผู้ใต้บังคับบัญชาที่มารอส่งจากชั้นบน จนถึงชั้นล่าง ได้กุหลาบแดงหอบใหญ่ล้นเกินจะหอบได้ ก่อนที่จะขับรถเบนซ์ส่วนตัวกลับบ้าน ถอดหัวโขนไว้ที่กรมการข้าว…….

นอกจากนี้ยังมี อธิบดีกรมหม่อนไหมศิริพร บุญชู อธิบดีกรมประมง อดิศร พร้อมเทพเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร จริยาสุทธิไชยา ซึ่งบรรยากาศการจากลากับผู้ใต้บังคับบัญชาคงไม่แตกต่างกัน…….คนเก่าไปคนใหม่มา…..มาแทนคนที่เกษียณบ้าง มาแทนคนที่ถูกย้ายบ้างว่ากันไป….ลอตแรกของการแต่งตั้งคนใหม่มาแทนคนเก่า คือ สุดสาคร ภัทรกุลนิษฐ์ จากผู้ตรวจราชการกระทรวงมาเป็นอธิบดีกรมการข้าว มีศักดิ์ ภักดีคงจากรองปลัดกระทรวง มาเป็นอธิบดีกรมประมงเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง จากผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ มาเป็นอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร โดยโยกอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร(เดิม) สำราญ สาราบรรณ์ ไปเป็นรองปลัดกระทรวง

ลอตที่ 2 แต่งตั้ง ระพีภัทรจันทรศรีวงศ์ จากผู้ช่วยปลัดกระทรวงเกษตรฯเป็นเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร และ วสันต์ นุ้ยภิรมย์ รองอธิบดีกรมหม่อนไหม ขึ้นเป็นอธิบดีกรมหม่อนไหม…….นอกนั้นจะมีตำแหน่งว่างของผู้ตรวจราชการกระทรวง และ รองอธิบดีอีกหลายกรม ที่เกษียณอายุราชการ ให้คนที่อยู่ได้หมุนเวียนเติบโตอีกหลายท่าน…ขอให้ทุกท่านโชคดี

การแต่งตั้งโยกย้ายระดับอธิบดีคงลงตัวแล้ว แต่อย่างที่เคยบอกว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ในบรรยากาศการขับเคลื่อนด้วยนักการเมือง….กรมที่หลายคนเป็นห่วง คือ กรมวิชาการเกษตร ที่ถูกการเมืองเล่นแรงเกิน….นับตั้งแต่ได้รัฐมนตรีช่วยว่าการหญิงมาดูแล ด้วยการชูธงแบนสารเคมี 3 ชนิด โดยที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสารเคมี 3 ชนิด ที่จะแบน หรือยกเลิกนั้นเขาใช้ทำอะไร ใช้อย่างไร ใช้กับพืชอะไร แบนแล้วจะมีผลกระทบอย่างไรบ้าง และที่เขาทำกันมาเป็นแรมปี เขาทำกันไปถึงไหนแล้ว

กรมวิชาการโดนดิสเครดิต ตั้งแต่การรายงานข้อมูลสต๊อคสารเคมีที่ไม่รวดเร็วทันใจจนรัฐมนตรี ต้องบุกมาขอข้อมูลเองถึงสำนักงาน ได้ข้อมูลไปแล้วยังมีการตรวจสอบด้วยการบุกไปดูการทำงานของด่านตรวจพืชท่าเรือ กรุงเทพฯ ของกรมวิชาการเกษตร เพื่อจะดูว่าการนำเข้าสารเคมี3 ชนิดนั้น เมื่อนำเข้ามาแล้วกระจายไปอยู่ที่ใดบ้างตรงกับข้อมูลที่ได้มาหรือไม่ พร้อมกับบอกว่า“เมื่อมีการยกเลิก ของเหล่านี้ต้องหายไปไม่ใช่การยืดเวลาขายของ เราต้องการให้สาร 3 ชนิดนี้ขาดไปเลย”

จากคำพูดนี้ แสดงให้เห็นว่า ท่านไม่เข้าใจการทำงาน และกระบวนการในการยกเลิกการใช้สารเคมี ซึ่งต้องมีระยะเวลานานพอสมควร ที่จะให้สินค้าที่มีอยู่ในสต๊อคของผู้ประกอบการค่อยๆ หมดไป ด้วยมาตรการห้ามนำเข้ามาเพิ่มเติม และจำกัดการใช้ คือใช้ให้ถูกวิธี ใช้ให้ปลอดภัย ใช้ในพืช และพื้นที่ที่กำหนด และมาตรการควบคุมอื่นๆ ที่ออกมาก่อนหน้านี้ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังดำเนินการอบรมเกษตรกร ชี้แจงทำความเข้าใจในมาตรการจำกัดการใช้สารเคมี 3 ชนิด กับเกษตรกรอยู่แทบเป็นแทบตายทั่วประเทศในขณะนี้ โดยมาตรการนี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 20 ตุลาคม ที่จะถึงนี้

มาตรการที่บังคับใช้ คือ เกษตรกรที่จะซื้อสารเคมี 3 ชนิดนี้ ไปใช้ได้ จะต้องผ่านการอบรมการใช้สารเคมีอย่างถูกต้องก่อน และต้องเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมส่งเสริมการเกษตรเท่านั้น ผู้ที่ใช้สารเคมี 3 ชนิดนี้ ฉีดพ่นในแปลงพืช จะต้องเป็นผู้ที่ผ่านการอบรมวิธีการฉีดพ่นที่ถูกต้อง และปลอดภัยจากกรมวิชาการเกษตรก่อน จึงจะอนุญาตให้ฉีดพ่นได้สารเคมีกำจัดวัชพืช พาราคาควอต และไกลโฟเซต จะใช้ได้กับพืช 6 ชนิดเท่านั้น คือ ข้าวโพด มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน อ้อยและ ไม้ผล คลอร์ไพรีฟอส ใช้เฉพาะกำจัดหนอนเจาะลำต้นในไม้ผลเท่านั้น ห้ามใช้สาร 3 ชนิดในนาข้าว พืชผัก สมุนไพร พื้นที่สาธารณะ และพื้นที่ต้นน้ำ

มาตรการจำกัดการใช้ ยืดเวลาการขายจริง แต่เป็นการยืดเวลาเพื่อให้สินค้าหมดไปด้วยวิธีการที่ไม่เสียหาย การที่ท่านประกาศจะยกเลิกการใช้ แล้วให้สารเคมี 3 ชนิด หมดไปทันทีนั้น ทำได้อย่างเดียว คือเอามาเผาทำลาย เหมือนการทำลายยาเสพติด ผู้ประกอบการยอมหรือไม่….เพราะเขานำเข้ามาจำหน่ายอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และจำหน่ายมานานเป็น 30-40 ปี….เป็นธรรมกับเขาหรือไม่….ถ้าจะให้ผู้ประกอบการยอมก็คือ รัฐบาลจะต้องเป็นผู้ซื้อสารเคมีเหล่านั้นเอง เพื่อนำมาทำลาย การทำลายสารเคมีไม่ใช่เผาทำลายง่ายๆ แบบยาเสพติด ต้องมีวิธีการและต้องใช้เตาเผาพิเศษ แน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่รั่วไหล..ฯลฯ สารพัดปัญหาละท่าน ถ้าท่านจะโหนกระแส……แต่ถ้าท่านจะทำด้วยความสุขุมคำภีรภาพ ท่านก็จะประสบความสำเร็จ และได้ใจมวลชน อย่างน้อยก็เกษตรกรที่ยังจำเป็นต้องใช้สารเคมี 3 ชนิดนี้อยู่

คิดสิ…คิดถึงคนอื่นบ้าง…

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร :ว่ากันคนละเรื่อง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/443298

281225166

เลาะรั้วเกษตร :ว่ากันคนละเรื่อง

วันศุกร์ ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2562, 06.00 น.

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แสดงความยินดีกับว่าที่อธิบดีกรมหม่อนไหม และเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรไปแล้ว แต่ลืมแสดงความยินดีกับคนเกษตรอีกท่านหนึ่ง ที่หลายคนคงลืมไปแล้ว นั่นคือ อดีตปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ธีรภัทร ประยูรสิทธิ์ ที่ถูกย้ายให้ไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการพิเศษ สำนักนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาล คสช. แต่จากมติ ครม. เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2562 ที่ผ่านมา มีชื่อธีรภัทร ประยูรสิทธิ มาดำรงตำแหน่ง ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี แทนพัชราภรณ์ อินทรียงค์ ที่จะเกษียณอายุราชการ ในอีกไม่กี่วันนี้

กลับมาแวดวงเกษตรที่มีความเคลื่อนไหวในหลายเรื่อง ที่ยังมีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง คือสารเคมี 3 ชนิด คือ ไกลโฟเซต พาราควอท และคลอร์ไพรีฟอส ที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ มนัญญา ไทยเศรษฐ์ กำลังผลักดันให้มีการยกเลิกให้ได้ภายในปีนี้ ซึ่งจากการประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตรายเมื่อวันที่ 18 กันยายน ประธานการประชุม อภิจิณ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมได้ชี้แจงว่า นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีบัญชาเกี่ยวกับเรื่องสารเคมี 3 ชนิดนี้ว่า ให้กระทรวงเกษตรฯ ไปสร้างความเข้าใจกับผู้เกี่ยวข้อง 4 ฝ่าย คือ หน่วยงานของรัฐผู้นำเข้า เกษตรกร และผู้บริโภค ให้ทราบถึงปัญหา วิธีการ และผลกระทบของสารเคมีดังกล่าว รวมทั้งหาสาร หรือวิธีการอื่นทดแทนการใช้สารเคมี 3 ชนิดนี้ ภายใน 60 วัน

ที่เป็นห่วงคือ กระทรวงเกษตรฯ จะให้ใครไปทำความเข้าใจ ทำความเข้าใจโดยวิธีใด เพราะรัฐมนตรีเองยังไม่เข้าใจสารเคมี 3 ชนิดนี้อย่างดีพอ ฟังแต่ข้อมูลด้านเดียว และยืนยันอย่างแข็งกร้าวว่าต้องยกเลิกเท่านั้น แต่ไม่ได้วิเคราะห์ถึงผลที่ตามมาในด้านต่างๆ อย่างรอบคอบ เช่นที่ผู้บริหารควรจะเป็น….

หรือแม้แต่กระทรวงสาธารณสุขเอง รัฐมนตรีว่าการ อนุทิน ชาญวีรกูล ก็ออกมาตอกย้ำที่ดูเหมือนจะดีว่า ถ้าเป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะดีสารพิษอันตรายขนาดนี้ถ้าไม่ยกเลิกก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร…ก็อาจจะมีคนย้อนถามท่านกลับไปเหมือนกันว่า ถ้าเป็นคนที่มีสตติสัมปชัญญะดี ควรจะมีการศึกษาข้อมูลให้รอบด้านก่อนที่จะเชื่อข้อมูลของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียว จนมีคนตั้งข้อสังเกตว่าต้องมีอะไรอยู่ในกอไผ่แน่ๆ มิเช่นนั้นคงไม่มีการส่งต่อไม้กันอย่างเหนียวแน่นเช่นนี้….

พักเรื่องสารเคมี มาว่าเรื่องการช่วยเหลือเกษตรกรกันบ้าง ความเคลื่อนไหวเรื่องนี้แม้จะไม่ใช่ภารกิจของกระทรวงเกษตรฯ โดยตรง แต่กระทรวงเกษตรฯ มีส่วนในการให้ข้อมูล หรือชี้เป้าให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. ในการจ่ายเงินอุดหนุนให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ตามโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 โดยเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกข้าว ไร่ละ 500 บาท รายละไม่เกิน 20 ไร่ ทั้งนี้ต้องเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปีกับกรมส่งเสริมการเกษตรจำนวน 4.5 ล้านราย วงเงินรวม 2.4 หมื่นล้านบาท

ส่วนเกษตรกรที่ประสบภัยแล้ง และอุทกภัย กระทรวงการคลังมีมาตรการช่วยเหลือ โดยให้ ธ.ก.ส. ปล่อยสินเชื่อให้เกษตรกรเป็นสินเชื่อฉุกเฉินรายละ 50,000 บาท ปลอดดอกเบี้ยในปีแรก และสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูสภาพพื้นที่ และชีวิตความเป็นอยู่รายละ 500,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี

มาถึงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยของกระทรวงเกษตรฯ ที่ดำเนินการไปเมื่อวันที่ 23 กันยายน ที่ผ่านมา คือ โครงการจิตอาสากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ช่วยเหลือฟื้นฟู ดูแลเกษตรกรผู้ประสบภัย โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ เฉลิมชีย ศรีอ่อน ได้เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ ที่สำนักงานชลประทานที่ 7 อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี

โครงการนี้ให้หน่วยงานของกระทรวงเกษตรฯ ในพื้นที่ได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือเกษตรกรตามภารกิจหน้าที่ของหน่วยงานนั้นๆ พร้อมๆ กันในพื้นที่จังหวัดที่ประสบอุทกภัย 21 จังหวัด

ฝ่ายรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ประภัตร โพธสุธน หลังจากลงพื้นที่ประสบอุทกภัยจังหวัดร้อยเอ็ด ได้รับรายงานพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิได้รับความเสียหายกว่า 8 แสนไร่ ก็เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี ช่วยเหลือเกษตรกรโดยการส่งเสริมอาชีพหลังน้ำลด โดยการให้เกษตรกรปลูกถั่วเขียว ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และ เลี้ยงโคขุน โดยเฉพาะการเลี้ยงโคขุนนี้จะชงโครงการสนับสนุนเงินกู้ให้เกษตรกรรายละ 120,000 บาท สำหรับซื้อลูกวัว 5 ตัว

บังเอิญเห็นองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร ลงโฆษณาประชาสัมพันธ์ในหนังสือพิมพ์เต็มหน้าสี่สี พื้นที่ส่วนหนึ่งเชิญชวนช่วยเหลือเกษตรกร 3 จังหวัดชายแดนใต้ด้วยการซื้อลองกองที่จะนำมาจำหน่ายที่ อ.ต.ก. ระหว่างนี้จนถึงวันที่ 12 ตุลาคม นี้ แต่พื้นที่อีกส่วนหนึ่ง เป็นรูปรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า พร้อมกับข้อความซึ่งเป็นนโยบายที่มอบให้อ.ต.ก. ดำเนินงาน คือ การแก้ปัญหาผลไม้ล้นตลาด แต่ไม่ได้มีเนื้อหาสาระที่เป็นข้อมูลอะไรที่เป็นรูปธรรม

เป็นภาพและข้อความโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่ดูจะเร่งรีบทำให้ทันปีงบประมาณนี้หรือเปล่าไม่กล้ายืนยัน

ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ คงเห็นได้ว่า ภารกิจของรัฐมนตรีทั้ง 4 ท่านของกระทรวงเกษตรฯ ต่างคนต่างว่ากันไป อะไร คือ นโยบายหลักที่เป็นเอกภาพของกระทรวงเกษตรฯ ยังมองไม่เห็น…

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : อะไรก็เป็นไปได้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/441699

281225166

เลาะรั้วเกษตร : อะไรก็เป็นไปได้

วันศุกร์ ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2562, 06.00 น.

เรื่องนี้ไม่พูดถึงไม่ได้…นั่นคือ เรื่องที่ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มนัญญาไทยเศรษฐ์ บุกไปถึงสำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร แบบเจ้าของบ้านไม่ทันตั้งตัว เพื่อทวงข้อมูลสต็อกสารเคมีที่ขอไปหลายวันแล้วไม่ได้เสียที…..งานนี้ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เสริมสุข สลักเพ็ชร ไม่ตอบอะไร เมื่อถูกผู้สื่อข่าวประจำกระทรวงเกษตรฯ ถามถึงเหตุการณ์ดังกล่าว

คนที่ต้องตอบคำถามแทนอธิบดีกรมวิชาการเกษตร คือ ปลัดกระทรวงเกษตรฯ อนันต์ สุวรรณรัตน์ แต่คำตอบของท่านปลัดฯก็ไม่ได้ความกระจ่างแต่อย่างใด ได้แต่บอกว่าอาจจะเป็นความเข้าใจไม่ตรงกัน และจะนำอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เข้าพบรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจต่อไป

ไม่เคยปรากฏมาก่อนว่า รัฐมนตรีท่านใดจะบุกไปถึงหน่วยงานเพื่อที่จะทวงข้อมูล ที่สั่งการไปแล้วให้หน่วยงานจัดทำมาให้ แต่เวลาผ่านไปหลายวันหน่วยงานก็ยังไม่จัดทำมาให้เสียทีจนทนไม่ไหวต้องไปตามทวงเองถึงที่ทำงาน ทั้งๆที่ไม่ต้องทำเช่นนั้นก็ได้ แค่ยกหูโทรศัพท์ทวงถามกับอธิบดีก็น่าจะได้อย่างที่ต้องการ แต่งานนี้ข่าวว่าอธิบดีทวงแล้วก็ไม่ได้เช่นกัน….ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง..ต้องบอกว่าสำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร (หน่วยงานที่รวบรวมข้อมูลสต๊อกสารเคมี)..นายแน่มาก….

ว่าแต่ท่านรัฐมนตรีช่วยฯ มนัญญาจะเร่งรีบเอาข้อมูลไปทำอะไร หรือถามใหม่ว่า ข้อมูลสต๊อกสารเคมี จะทำอะไรได้ กับเป้าหมายของท่านที่มีอยู่แล้ว คือการยกเลิกการใช้สารเคมี 3 ชนิด พาราควอตไกลโฟเซต และคลอไพรีฟอส ถ้าได้ข้อมูลไปแล้ว แต่ไม่ได้นำไปใช้ประกอบการพิจารณาใดๆ อย่างเป็นธรรม ก็ไม่น่าลงทุนไปตามข้อมูลด้วยตนเอง เว้นเสียแต่จะประกาศให้ใครๆ ได้รู้ว่า…อย่ามาทำเล่นๆ กับ มนัญญา

ไม่ว่าข้อมูลสต๊อกสารเคมีจะมีส่วนในการเป็นสาเหตุให้ยกเลิกการใช้สารเคมี 3 ชนิดหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ คือ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดพิเศษเมื่อวันที่ 13 กันยายน ที่ผ่านมาที่ประชุมมีวาระพิจารณาตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการควบคุมการใช้สารเคมีในภาคเกษตรกรรม และมีมติให้ตั้งคณะกรรมาธิการจำนวน 39 คน ใช้เวลาศึกษา 60 วัน

ที่ไม่แน่จริง คือกรรมาธิการ 39 คน ไม่มีใครที่มาจากฝ่ายเกษตรกร หรือฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกสารเคมี 3 ชนิดเลย ส่วนใหญ่มาจากฝ่ายที่สนับสนุนให้มีการยกเลิกสารเคมีแทบทั้งสิ้น คำถามจึงตามมาว่า แล้วความเป็นธรรมอยู่ที่ไหน…ที่ว่ามานี้ไม่ได้เข้าข้างใคร แต่เห็นแล้วรู้สึกไม่น่าจะใช่สิ่งที่ถูกต้องถ้าเป็นเช่นนี้
ไม่ต้องเสียเวลาตั้งคณะกรรมาธิการ เสียเวลาประชุม เปลืองงบประมาณเบี้ยประชุม เปล่าๆ สุดท้ายก็ต้องยกเลิกตามธงที่ตั้งไว้อยู่ดี

แน่จริง ก็ยกเลิกการใช้สารเคมี 3 ชนิดนี้ ไปเลยแล้วมาดูว่าผลตามมาจะเป็นอย่างไร หมายเหตุ และขีดเส้นใต้หลายๆ เส้นด้วยว่า การยกเลิกนี้ ต้องยกเลิกสารเคมีที่มาทดแทนที่มีราคาแพงกว่าหลายเท่า นั้นด้วยเพราะมีข้อมูลว่าเป็นสารเคมีที่มีสูตรเดียวกันกับสารเคมี 1 ใน 3 ชนิดที่ขอให้ยกเลิกนั่นเอง

ไม่ได้ต่อต้านการยกเลิกการใช้สารเคมีที่มีอันตรายจริงๆ เป็นอันตรายที่มีการศึกษา วิจัยมีข้อมูลที่เป็นวิทยาศาสตร์ยืนยัน และการยกเลิกนั้นเป็นไปตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย ไม่ใช่ให้กลุ่มบุคคลใดๆ มากดดัน และบิดเบือนข้อมูล หรือใช้โซเชียลมีเดีย และสื่อหลัก เป็นช่องทางการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องจนสาธารณชนเข้าใจผิด

เรื่องสารเคมี 3 ชนิด คงยังไม่จบเพียงแค่นี้ เพราะสำหรับกระทรวงเกษตรฯ ในยุคนี้ และสำหรับพรรคการเมืองบางพรรคที่ตั้งธงไว้ตั้งแต่ตอนชูนโยบายหาเสียง คงเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น….

พักเรื่องสารเคมีที่ไม่น่ายินดีเอาไว้ก่อน หันมาพูดถึงเรื่องน่ายินดีบ้าง…

ขอแสดงความยินดีกับ ว่าที่อธิบดีกรมหม่อนไหม วสันต์ นุ้ยภิรมย์ ที่นั่งเก้าอี้รองอธิบดีกรมหม่อนไหมมานานหลายปี คราวนี้ได้เป็นอธิบดีสมใจเสียที นับเป็นลูกหม้อกรมหม่อนไหมอย่างแท้จริง เพราะเติบโตมาจากนักวิชาการของสถาบันวิจัยหม่อนไหม ที่เดิมสังกัดอยู่กับกรมวิชาการเกษตร ก่อนที่จะมารวมกับหน่วยงานของกรมส่งเสริมการเกษตร จัดตั้งเป็นกรมหม่อนไหมในปัจจุบัน

อีกท่านหนึ่งที่ต้องแสดงความยินดี คือผู้ช่วยปลัดกระทรวงเกษตรฯ ระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ มาดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร แทน จริยา สุทธิไชยา ที่เกษียณอายุราชการ คงสร้างความผิดหวังให้ใครหลายคน ที่คาดกันว่าน่าจะได้นั่งเก้าอี้นี้ ที่น่าเสียดายคือ ฉันทานนท์ วรรณเขจร รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ที่ถูกย้ายไปลงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ

นี่คงเป็นแค่ลอตที่ 2 ของการแต่งตั้งโยกย้ายในกระทรวงเกษตรฯ แต่ยังมีตำแหน่งที่ว่างลงอีกหลายตำแหน่งภายหลังเดือนกันยายน 2562 ให้ผู้มีอำนาจในกระทรวง ได้เดินหมากบนกระดาน ผลจะออกมาอย่างไร สร้างผลงานให้กระทรวงได้มากน้อยแค่ไหน ส่งผลให้นโยบายของกระทรวงประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน คนแต่งตั้งรับผิดชอบกันเอาเอง….

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : ตลาดของเกษตรกร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/440013

281225166

เลาะรั้วเกษตร : ตลาดของเกษตรกร

วันศุกร์ ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2562, 06.00 น.

เห็นข่าวรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประกาศจะจัดระเบียบองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร หรือ อ.ต.ก. เพราะมี พ่อค้า แม่ค้า มาร้องเรียนขับไล่ผู้อำนวยการ อ.ต.ก. กมลวิศว์ แก้วแฝกที่ปล่อยให้มีกลุ่มผูกขาดแผงค้าในตลาด อ.ต.ก.เป็นกลุ่มมาเฟียที่เช่าแผงค้ารายละ 20 – 30 แผงแล้วเอาไปให้คนอื่นเช่าต่อ เป็นเสือนอนกิน…..จริงเท็จอย่างไรไม่มีข้อมูลยืนยัน

กลุ่มมาเฟียที่ว่านี้ เกิดขึ้นมาอย่างไร เกิดขึ้นในยุคไหนคงสืบหาได้ไม่ยาก ถ้าคนเก่าคนแก่ ที่ทำงานกับ อ.ต.ก. มาก่อนคงรู้ดีว่า อ.ต.ก. เป็นรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่พรรคการเมืองที่ดูแลกระทรวงเกษตรฯ มักจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ จึงไม่ต้องแปลกใจว่าพรรคไหนเข้ามาก็มักจะพ่วงเอาคนที่ไว้ใจได้ มาเป็นผู้อำนวยการ อ.ต.ก. ด้วย เป็นส่วนใหญ่

ย้อนกลับไปดูวัตถุประสงค์ของการจัดตั้ง อ.ต.ก. ในพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2535 สมัยรัฐบาล อานันท์ ปันยารชุน ระบุไว้ในมาตรา 3 ว่า จัดตั้งตลาดเพื่อให้เป็นแหล่งกลางในการซื้อขายผลิตผล หรือผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และสินค้าอื่นๆ

ส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรส่งผลิตผล หรือผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และสินค้าอุตสาหกรรมในครัวเรือนมาจำหน่ายโดยตรงโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง ซื้อและจัดให้มีการซื้อผลิตผลหรือผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร หรือสินค้าอุตสาหกรรมในครัวเรือน รวมทั้งเครื่องอุปโภคและบริโภคเพื่อจำหน่าย

ดำเนินการพยุงราคาผลิตผลหรือผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ช่วยเหลือเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในการผลิต การจำหน่าย การตลาด การเก็บรักษา และการขนส่งซึ่งผลิตผลหรือผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ดำเนินการ หรือส่งเสริมให้สถาบันเกษตรกรดำเนินการค้า ขนส่ง และรับฝากซึ่งผลิตผลหรือผลิตภัณฑ์ทางทางการเกษตร ปัจจัยในการผลิต วัสดุการเกษตร เครื่องมือเครื่องใช้ในการเกษตร หรือเครื่องอุปโภคและบริโภค

ส่งเสริมให้มีการปรับปรุงคุณภาพ มาตรฐานและการผลิต ผลิตผลทางการเกษตรให้ตรงกับความต้องการของตลาด ดำเนินการในฐานะตัวแทนของรัฐบาล กระทรวง ทบวง กรม เพื่อจัดหาปัจจัยในการผลิตและเครื่องอุปโภคและบริโภคจำหน่ายให้แก่เกษตรกรในราคาอันสมควร

ไม่ทราบว่า อ.ต.ก.ในปัจจุบัน ดำเนินการตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวได้มากน้อยเพียงใด…แต่เท่าที่ดูเชื่อว่า อ.ต.ก. ยังไม่ได้ดำเนินการเพื่อสนองวัตถุประสงค์อีกหลายข้อ…นี่สิท่านรัฐมนตรีน่าจะผลักดันให้ อ.ต.ก. มีบทบาทตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งเหล่านั้น

ในฐานะผู้บริโภค ที่มีโอกาสเป็นลูกค้า อ.ต.ก.บ้างเป็นครั้งคราว ต้องบอกว่า ในช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา อ.ต.ก. มีการพัฒนา ปรับปรุงให้ทันสมัยมากขึ้น ทั้งลักษณะของแผงค้า และสินค้าที่นำมาจำหน่าย รวมทั้งการจัดโซนสินค้า ได้แก่ โซนตลาดผลผลิตทางการเกษตร ผลิตภัณฑ์และอาหาร โซนกล้วยไม้ไม้ดอกไม้ประดับ และโซนสัตว์เลี้ยง

สินค้าเกษตรส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าเกรดพรีเมียมที่ราคาค่อนข้างสูง แต่เป็นสินค้าคุณภาพที่ลูกค้าพอใจ ราคาจึงไม่ใช่ปัญหา นอกจากนี้ยังมีส่วนของสินค้าเกษตรปลอดภัย ทั้งเกษตรอินทรีย์ และ เกษตร GAP ความพึงพอใจของลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้ ตลาด อ.ต.ก. จัดอยู่ในอันดับที่ 4 ใน10 อันดับ ของตลาดที่ดีที่สุดในโลก จากการจัดอันดับของเว็บไซต์ข่าว CNN เป็นรองแค่ 3 อันดับ คือ ตลาดโบเกเรีย ที่บาร์เซโลนา ประเทศสเปน ตลาดปลาซึกิจิ ที่โตเกียว และ ตลาดยูเนียน สแคว์ ฟาร์เมอร์ ที่นิวยอร์ก

เหตุผลที่ได้รับการชื่นชม เนื่องมาจาก ตลาด อ.ต.ก. มีความหลากหลายทั้ง ผักสด ผลไม้ อาหารสด อาหารปรุงสุก สะอาด สว่างไสว เลือกซื้อสินค้าได้สะดวก

นั่นคือภาพพจน์ ของ อ.ต.ก.ในมุมมองของผู้บริโภค แต่เบื้องหลังการบริหารจัดการ ที่มีกลุ่มผูกขาดแผงค้า และผู้ค้าส่วนใหญ่ ไม่ใช่เกษตรกรที่แท้จริงนั้นคงเป็นปัญหาที่สั่งสมมานาน จะแก้ไขแบบพลิกฝ่ามือไม่เชื่อว่าจะทำได้ โดยเฉพาะตลาด อ.ต.ก. ในส่วนกลาง คงหาเกษตรกรแท้ ๆ มาขายของเองค่อนข้างยาก เพราะเดี๋ยวนี้เกษตรกรจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะเกษตรกรที่มีผลผลิตคุณภาพเกรดพรีเมียมอย่างที่ขายที่ อ.ต.ก. ส่วนใหญ่จะขายเหมาสวน หรือไม่ก็ขายแบบประมูล หรือแบบออนไลน์ กันหมดแล้วอีกประการหนึ่งที่มักจะได้คำตอบจากเกษตรกรคือ ไม่มีคนมาขาย
ต้องทำงานดูแลเรือกสวนไร่นา

ส่วนนโยบายของ รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ ร.อ.ธรรมนัส ที่จะให้จัดตั้ง อ.ต.ก. ระดับจังหวัดทุกจังหวัด ก็ต้องย้อนกลับไปดูนโยบาย “ตลาดเกษตรกร” สมัยรัฐบาล คสช. ที่พยายามผลักดันให้เกิดขึ้นทุกจังหวัด เพื่อจำหน่ายผลิตผลและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร โดยเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรเป็นผู้จัดจำหน่ายโดยตรง สินค้าต้องมีคุณภาพ และความปลอดภัย ผ่านการรับรองระบบการผลิตต่างๆ ทั้งเกษตรอินทรีย์ GAP หรือ GMP แม้จะมีความพยายามมากมายอย่างไร แม้สถานที่จัดตั้งตลาดจะอยู่ในย่านชุมชนที่มีคนมากมายเพียงใดแต่ตลาดเกษตรกรก็ไม่เกิด

การพูดว่าจะจัดตั้ง หรือสั่งให้จัดตั้งตลาด ดูว่าง่ายแต่การลงมือทำคงต้องใช้นักการตลาดขั้นเทพมาช่วย….กระนั้นก็ไม่อาจคาดหวังได้ว่าจะสำเร็จ…จัดการตลาด อ.ต.ก.เท่าที่มีอยู่ให้สำเร็จก่อนดีไหม…

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : กัญชามาแรง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/438344

281225166

เลาะรั้วเกษตร : กัญชามาแรง

วันศุกร์ ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2562, 06.00 น.

ตั้งแต่เข้ามาร่วมรัฐบาล พรรคภูมิใจไทยก็เร่งงานซึ่งเป็นนโยบายที่ชูไว้ตอนหาเสียงเลือกตั้ง ที่โดดเด่นสุดคงไม่พ้น “กัญชา” แม้วันแรกที่เข้าไปทำงานที่กระทรวงสาธารณสุข เมื่อ 18 กรกฎาคม 2562 ขณะที่นายกรัฐมนตรียังไม่ได้แถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข อนุทิน ชาญวีรกูล ก็ยังเกริ่นเรื่องกัญชาไว้อย่างมาดมั่นว่า

อยากให้มั่นใจว่ากัญชา และกัญชงมีประโยชน์หาก อย. ดำเนินการเพื่อให้นำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ทั้งกัญชาและกัญชง ไม่เพียงแต่รักษาโรค แต่ยังช่วยในเรื่องของเศรษฐกิจอีกด้วย และย้ำว่า ทั้งตนเองและรัฐมนตรีช่วยฯ (สาธิต ปิตุเตชะ) ไม่มีเจตนาแฝงใดๆทั้งสิ้น

รัฐมนตรีฯ อนุทิน ยังยืนยันด้วยว่าจะเร่งรัดให้กัญชามาอยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยจะนำกัญชามาใช้เสรีทางการแพทย์การสร้างนวัตกรรมต่างๆ ซึ่งกัญชาไม่ใช่แค่เรื่องของกระทรวงสาธารณสุข แต่เป็นเรื่องของรัฐบาล เป็นวาระเร่งด่วน พร้อมย้ำว่า กัญชา ต้องมีการควบคุมการใช้ อย่าให้คนที่ไม่ควรได้ใช้ไปหยิบฉวยอย่างสะดวกเสรี อย่าไปมองเป็นกัญชาให้มองที่สาร CBD และTHC เป็นสำคัญ

เข้าทำงานในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ไม่ถึง 1 เดือน ก็มีประกาศกระทรวงสาธารณสุข แก้ไขประกาศกระทรวง ในเรื่องเดียวกัน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการ คนก่อนหน้า คือ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร ลงนามไว้เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2562 เรื่อง กำหนดตำรับยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ที่มีกัญชาปรุงผสมอยู่ ที่ให้เสพเพื่อรักษาโรคหรือการศึกษาวิจัยได้ พ.ศ. 2562

สาระสำคัญของประกาศ คือลักษณะของตำรับยาที่มีกัญชาผสมอยู่ อนุญาตให้เสพเพื่อรักษาโรค หรือศึกษาวิจัยได้ มีระบุไว้ในข้อ 5 ว่า ตำรับยาที่หมอพื้นบ้านปรุงขึ้นจากองค์ความรู้และภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยที่ชัดเจน และได้รับการรับรองจากกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ทั้งนี้วัตถุดิบจากกัญชาต้องไม่สามารถแยกเป็นช่อดอก ใบ เพื่อนำไปใช้ในทางที่ผิดได้

รัฐมนตรีฯ อนุทิน ออกประกาศใหม่ ให้ยกเลิกความในข้อนี้ และใช้ข้อความต่อไปนี้แทน คือ“ข้อ 5 ตำรับยาที่ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์ และหมอพื้นบ้านตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพการแพทย์แผนไทยปรุงขึ้นจากองค์ความรู้และภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยที่ชัดเจน และได้รับการรับรองจากกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก” ตัดข้อความวรรคท้ายตั้งแต่ “ทั้งนี้……..” ออก

ต่อมาวันที่ 27 สิงหาคม 2562 มีประกาศกระทรวงสาธารณสุขออกมาอีก 1 ฉบับ เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภทที่ 5 (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ. 2562 ประกาศฉบับนี้ให้ยกเลิกชื่อยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ลำดับที่ 1 ในบัญชีท้ายประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 พ.ศ. 2561

ประกาศของปี พ.ศ. 2561 มีบัญชีท้ายประกาศ ระบุชื่อยาเสพให้โทษติดประเภทที่ 5 คือ กัญชา (ซึ่งระบุเงื่อนไขว่า เป็นพืชในสกุล Cannabisทั้งนี้ให้หมายความรวมถึง ทุกส่วนของกัญชา เช่น ใบ ดอก ยอด ผล ลำต้น วัตถุหรือสารต่างๆ ที่มีอยู่ในพืชกัญชา เช่น ยาง น้ำมัน) พืชกระท่อม พืชฝิ่น และเห็ดขี้ควาย แต่ประกาศของปี 2562 มีแก้ไขบัญชีแนบท้ายประกาศ โดยเพิ่ม กัญชง (hemp) ขึ้นมาอีกชนิดหนึ่ง และกำหนดเงื่อนไข กัญชาละเอียดขึ้น โดยยกเว้นสาร CBD ที่สกัดจากกัญชาความบริสุทธิ์ 99% มีปริมาณสาร THC 0.01% โดยน้ำหนัก หรือผลิตภัณฑ์จากสารสกัดจากกัญชา เปลือกแห้ง แกนลำต้นแห้ง เส้นใยแห้ง
และผลิตภัณฑ์จากส่วนแห้งเหล่านี้ ไม่ถือเป็นยาเสพติด

ในส่วนของกัญชง ก็ระบุเงื่อนไขเช่นเดียวกับกัญชา คือ สารสกัด ผลิตภัณฑ์สารสกัดจากกัญชง เมล็ดกัญชง น้ำมันจากเมล็ดกัญชงสารสกัดจากเมล็ดกัญชง เปลือกแห้ง แกนลำต้นแห้ง เส้นใยแห้ง และ ผลิตภัณฑ์จากส่วนที่แห้งเหล่านี้ ไม่ถือว่าเป็นยาเสพติด ทั้งนี้ได้ระบุอัตราส่วนความบริสุทธิ์ของสาร CBD และส่วนผสมของ THC เช่นเดียวกับกัญชา

ข่าวนี้ออกไปไม่ทันไร ชาวบ้านต่างเข้าใจว่ารัฐมนตรีฯ อนุทิน ปลอดล็อกกัญชาออกจาก พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษได้แล้ว ต่อแต่นี้ไปทั้งกัญชา และ กัญชง เป็นพืชถูกกฎหมาย ปลูกได้อย่างเสรี หรือเสพได้อย่างเสรี ป.ป.ส. รีบออกมาเบรกตัวโก่งว่า มิได้เป็นเช่นนั้น ทั้งกัญชา และ กัญชงยังเป็นพืชเสพติด ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษที่ห้ามผลิต ห้ามนำเข้า ส่งออก จำหน่ายครอบครอง หรือเสพ ยกเว้นได้รับอนุญาตตามกฎหมายเท่านั้น นั่นคือเงื่อนไขในบัญชีแนบท้ายประกาศของกระทรวงสาธารณสุขล่าสุด เมื่อวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมาเท่านั้น

ฝ่ายสนับสนุนกัญชาทางการแพทย์อีกคนหนึ่งศิลปินแห่งชาติ แอ๊ด คาราบาว มองประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับนี้ ไปไกลถึงขั้นล็อกสเปกให้บริษัทผู้ประกอบการได้ประโยชน์ พร้อมกับแสดงความสนิทสนมกับคนใกล้ชิดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่อ้างว่าสามารถล้วงลึกข้อมูลมาได้ว่า มีกระบวนการสมคมคิดกันระหว่างคณะกรรมการวัตถุอันตราย กับ อย. ชงเรื่องมาให้รัฐมนตรีฯ อนุทินลงนาม ภายใต้ “การวางยาและเจาะยาง จากกลุ่มข้าราชการพุงกาง” ฝ่ายรัฐมนตรีฯก็ลงนามให้อย่างเสียไม่ได้ แต่จะหาทางแก้ไขให้ภายหลัง (เป็นสาระที่น้าแอ๊ดโพสต์เฟซบุ๊ค)

อยากรู้เหลือเกินว่า แหล่งข่าวของน้าแอ๊ด เป็นใคร สร้างเรื่องได้ราวกับนวนิยายไร้รสนิยม ฝ่ายน้าแอ๊ดก็เชื่อแหล่งข่าวเสียจนนอนไม่หลับ….แถมยังอวยรัฐมนตรีฯ อนุทินว่า “เป็นลูกแกะในวงล้อมของสุนัขจิ้งจอก”……นี่น้าแอ๊ดอารมณ์ศิลปินมากไปหรือเปล่า…หรือไม่ก็เอาน้ำมันกัญชาป้ายใต้ลิ้นมากไปหน่อยจนมึนงง….ถ้าระดับเสนาบดีลงนามในกฎหมายโดยไม่พิจารณาให้รอบคอบแล้วมาแก้ไขภายหลัง..บ้านนี้เมืองนี้คงยุ่งพิลึก

นี่แค่กัญชายังจินตนาการได้ขนาดนี้ ถ้าเจอสารเคมี 3 ชนิดเข้าไปอีก น้าแอ๊ดคงมีข้อมูลแต่งเพลงได้เป็นอัลบั้มเลยทีเดียว….. เป็นห่วงแต่ว่าใครจะกู่เรียกน้าแอ๊ดกลับมาอยู่กับความจริง และข้อมูลที่แท้จริงเสียที…เป็นห่วงว่า “ลูกแกะในวงล้อมของสุนัขจิ้งจอก” จะเป็นน้าแอ๊ดเสียเอง…

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : ลอตแรก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/436764

281225166

เลาะรั้วเกษตร : ลอตแรก

วันศุกร์ ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2562, 06.00 น.

ในที่สุดโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว และปาล์มน้ำมันของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็ผ่าน ครม. ฉลุย ใช้งบประมาณรวมกัน 2 พืชกว่า 3.4 หมื่นล้านบาท ยังแถมโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 มาอีกกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท

โดยสรุปคือ ประกันรายได้ให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปี 2562/63 ที่ความชื้นไม่เกิน 15% ครัวเรือนละไม่เกิน 40 ไร่ หรือชดเชยราคาเป็นจำนวนตันของข้าวเปลือกชนิดต่างๆ ดังนี้

ข้าวหอมมะลิ ประกันที่ราคาตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน ข้าวหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 14,000 บาท ไม่เกิน 16 ตัน ข้าวเจ้า ตันละ 10,000 บาท ไม่เกิน 30 ตัน ข้าวหอมปทุมธานี ตันละ 11,000 บาท ไม่เกิน 25 ตัน และ ข้าวเหนียวตันละ 12,000 บาท ไม่เกิน 16 ตัน รัฐโดย ธ.ก.ส. จ่ายชดเชยส่วนต่างระหว่างราคาประกันกับราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง เข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรง

ส่วนปาล์มน้ำมัน ประกันรายได้ให้กับเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันปีการผลิต2562-2563 กำหนดราคาประกัน ดังนี้ ผลปาล์มทะลาย คุณภาพน้ำมัน 18% กิโลกรัมละ 4 บาท ณ หน้าโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม รัฐโดย ธ.ก.ส. จ่ายชดเชยส่วนต่างระหว่างราคาประกันกับราคาตลาดอ้างอิงผ่านบัญชีของเกษตรกร

สำหรับโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีนั้น เกษตรกรจะได้รับเงินสนับสนุนไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรจะนำรายชื่อเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 ไว้กับกรมส่งเสริมการเกษตรส่งให้ ธ.ก.ส. เพื่อจ่ายเงินให้เกษตรกร

ทั้ง 3 โครงการที่ว่ามานั้น ภารกิจตกหนักที่กรมส่งเสริมการเกษตร เพราะเชื่อว่าจะต้องมีเกษตรกรมาขอขึ้นทะเบียน หรือขอปรับปรุงข้อมูลในทะเบียนเดิม เพื่อจะขอใช้สิทธิ์ดังกล่าวอีกโกลาหล

งานนี้ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร สำราญ สาราบรรณ์ จึงโชคดีไป เพราะถูกย้ายไปดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสียแล้ว งานหนักตกอยู่กับผู้ตรวจราชการกระทรวง เข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรคนใหม่ที่มาแทน…..ขอให้ท่านเข้มแข็งสมชื่อ…

ถ้าจะเปรียบก็คงเหมือนนวนิยายของโกวเล้ง เป็นการเปลี่ยนม้ากลางศึก…และสนามรบนี้ไม่ง่ายเลย

ไหนๆ ก็ไหนๆ พูดถึงการโยกย้ายแล้ว ก็บอกกล่าวกันให้ครบถ้วน ครม. มีมติเมื่อวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา ตามที่กระทรวงเกษตรฯ เสนอการแต่งตั้งข้าราชการตำแหน่งสำคัญ จำนวน 7 ราย แทนตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายน 2562 นี้ ขณะเดียวกันก็สับเปลี่ยนหมุนเวียนด้วย

ผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ ประกอบด้วย รองปลัดกระทรวง 3 ท่าน คือ ดุจเดือน ศศะนาวิน สุรจิตต์ อินทรชิต และสุรเดช เตียวตระกูล ซึ่งเจ็บป่วยพักรักษาตัวมาเป็นเวลานานหลายเดือน ผู้ตรวจราชการกระทรวง 2 ท่าน คือ วราภรณ์ พรหมพจน์ และ อานัติ วิเศษรจนา ระดับอธิบดี 4 ท่าน คือ อธิบดีกรมการข้าว ประสงค์ ประไพตระกูล อธิบดีกรมหม่อนไหม ศิริพร บุญชู อธิบดีกรมประมง อดิศร พร้อมเทพ และ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร จริยา สุทธิไชยา

กระทรวงเกษตรฯ โยกรองปลัดกระทรวง มีศักดิ์ ภักดีคง ไปดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมประมง แทน อดิศร พร้อมเทพ ซึ่งจะเกษียณอายุราชการ เป็นเหตุให้รองปลัดกระทรวงว่างลง 4 ตำแหน่ง ในลอตแรกนี้จึงมีการแต่งตั้งรองปลัดกระทรวง ใหม่ทั้งหมด 4 ตำแหน่ง ประกอบด้วย วราวุธ ชูธรรมธัช อุมาพร พิมลบุตร พิศาล พงศาพิชณ์ ทั้ง 3 ท่าน มาจากตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง อีก 1 ท่าน คือ สำราญ สาราบรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร

นับเป็นการเปลี่ยนผู้บริหารระดับสูง ระดับรองจากปลัดกระทรวง พร้อมกันทั้งชุด น่าหนักใจแทนปลัดกระทรวง อนันต์ สุวรรณรัตน์ เพราะอาจต้องรอให้รองปลัดฯ ที่มาจากผู้ตรวจราชการ ปรับตัว และศึกษางานที่ได้รับมอบหมายในด้านต่างๆ สักพักจึงจะเข้าขาเดินหน้าไปได้พร้อมๆ กัน ส่วนท่านที่มาจากอธิบดี คงจะลุยงานได้เร็วหน่อย เพราะเป็นฝ่ายบู๊ลุยงานในพื้นที่มาอย่างโชกโชนอยู่แล้ว

น่าหนักใจอีกประการ คือ กรมการข้าว ที่แต่งตั้งผู้ตรวจราชการกระทรวง สุดสาคร ภัทรกุลนิษฐ์ ไปนั่งในตำแหน่งอธิบดี แทน ประสงค์ ประไพตระกูล ที่จะเกษียณอายุราชการ งานของกรมการข้าว กำลังพัฒนาไปหลายด้าน ทั้งงานวิชาการในการปรับปรุงพันธุ์ข้าว เทคโนโลยีการผลิต การแปรรูปข้าวและอาจรวมถึงด้านการตลาดด้วยจำเป็นต้องมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล สู้ได้ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ว่าที่อธิบดีสุดสาคร แม้จะเคยเป็นนักวิชาการที่ทำงานเกี่ยวกับข้าวมาก่อน แต่ก็ห่างเหินมานานมากจะปรับตัวได้ทันหรือไม่…ยังห่วงอยู่

การแต่งตั้งโยกย้าย 7 ตำแหน่งนี้ เป็นเพียงลอตแรก และผลจากลอตแรกนี้ ทำให้ตำแหน่งผู้ตรวจราชการว่างลง 5 ตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการ ที่เกษียณอีก 2 ตำแหน่ง และ ยังมีระดับอธิบดีที่ยังไม่มีใครมาแทนอีก 2 ตำแหน่ง คืออธิบดีกรมหม่อนไหม และ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ยังแถมด้วยอัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายการเกษตรประจำกรุงบรัสเซลส์ ชุมเจธว์ กาญจนเกษร อีก 1 ตำแหน่ง ที่จะเกษียณอายุราชการ รวมทั้งสิ้น 10 ตำแหน่ง

คนที่อยู่ในตำแหน่ง ณ ปัจจุบันคงหนาวๆ ร้อนๆ ไปตามกัน ในขณะที่คนที่จะขึ้นตำแหน่งก็มีความหวัง….แต่ถ้าการเมืองทำให้ put the wrong man on the wrong job ก็สวัสดี…กระทรวงเกษตรฯ

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : ท่าจะไม่รอด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/435206

281225166

เลาะรั้วเกษตร : ท่าจะไม่รอด

วันศุกร์ ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2562, 06.00 น.

ช่วงนี้พรรคร่วมรัฐบาลต่างเร่งผลักดันงานต่างๆ ซึ่งเป็นนโยบายที่สัญญากับประชาชนไว้ตอนหาเสียง ที่ชัดเจนคือนโยบายกัญชาทางการแพทย์ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ผลักดันให้มีการสกัดน้ำมันกัญชาสูตรแพทย์แผนไทย ที่มี อย. รับรอง นำมาใช้รักษาโรคได้ พร้อมทั้งจะมีการตั้งคลินิกกัญชา ขึ้นในโรงพยาบาลนำร่อง 19 แห่ง ซึ่งผู้ป่วยสามารถขอน้ำมันกัญชาไปรักษาโรคได้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน ที่จะถึงนี้เป็นต้นไป…..สนุกละคราวนี้….

ไม่เพียงแต่หัวหน้าพรรคผลักดันเรื่องกัญชา ลูกพรรคอย่างรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ หญิงหนึ่งเดียว มนัญญา ไทยเศรษฐ์ ยังผลักดันเรื่องสารเคมี 3 ชนิด คือ พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส ยืนยันว่ายังไงก็ต้องยกเลิกการใช้ให้ได้ภายในปี 2562 ถ้าทำได้อยากจะทำให้เสร็จภายในเดือนสิงหาคมนี้ด้วยซ้ำ….มกราคม 2563 สารเคมีต้องหายไปจากประเทศไทย…วัยรุ่นใจร้อนจริงๆ……

รัฐมนตรีช่วยฯ มนัญญา บอกว่า “เรื่องนี้ได้หารือกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขแล้ว จะไม่อนุญาตสิ่งผิดๆ จึงต้องทำให้เด็ดขาด ความปลอดภัยชีวิตคนไม่มีอะไรทดแทนได้”

ท่านพูดราวกับว่ารัฐมนตรีคนก่อนๆ ที่บริหารกระทรวงเกษตรฯมาหลายสิบท่าน แถมยังข้าราชการประจำอีกไม่รู้เท่าไร ทำสิ่งที่ผิดๆ มาโดยตลอด และไม่เด็ดขาด จึงทำให้ผู้คนต้องเสียชีวิตเพราะสารเคมีเหล่านั้น..ท่านใช้ตรรกะแบบแปลกๆ…ที่สำคัญคือแทนที่จะปรึกษาหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ท่านทำงานอยู่ หรือหารือกับกระทรวงอุตสาหกรรมที่มีปลัดกระทรวง เป็นประธานคณะกรรมการวัตถุอันตราย ท่านกลับหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่จะยกเลิกการใช้สารเคมีทางการเกษตร

รัฐมนตรีช่วยฯ มนัญญา ไม่ใช่จะยกเลิกสารเคมี 3 ชนิดนี้เท่านั้น ท่านบอกว่า ปุ๋ย ยา สารเคมีชนิดอื่น ๆ ก็จะยกเลิกให้เร็วที่สุดด้วย….มาถึงตรงนี้…ท่านคงไม่เหมาะสำหรับที่จะมาดูแลกระทรวงเกษตรฯ เสียแล้ว…โลกของท่านสวยงามเกินไป..ถ้าท่านมองว่าสารเคมี ปุ๋ยเคมี คือปัญหาที่ต้องทำให้หมดไปจาประเทศไทย…….การเกษตรในอดีต และในปัจจุบัน คงไม่สามารถหล่อเลี้ยงชีวิตประชากรไทย รวมทั้งตัวท่าน ครอบครัวของท่าน และประชากรโลกบางส่วนมาได้จนถึงทุกวันนี้…

ถ้าพรรคภูมิใจไทย ผลักดันการยกเลิกการใช้สารเคมี หรือทำให้สารเคมีหายไปจากประเทศไทยได้จริง…ประวัติศาสตร์การเกษตรคงเปิดหน้าจารึกผลงานนี้ไว้ให้เกษตรกรรุ่นหลังได้ศึกษา…..

ว่าด้วยเรื่องการผลักดันนโยบายของพรรค….พรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่น้อยหน้า พยายามผลักดันนโยบายประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง และข้าว จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เกี่ยวก้อย เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ จากพรรคประชาธิปัตย์ และ อลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้ประกอบการ และเกษตรกร เคาะราคาไปแล้ว 3 พืช คือ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และ ข้าว

ยางพารา ชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนไว้กับการยางแห่งประเทศไทย จะได้รับการชดเชยส่วนต่างราคาที่เกษตรกรขายได้ กับราคาประกันที่กำหนดในเบื้องต้น ยางแผ่นดิบรมควันชั้น 3กิโลกรัมละ 60 บาท ยางแผ่นดิบคุณภาพดี กิโลกรัมละ 58 บาท และน้ำยางสด กิโลกรัมละ 56.50 บาท โดยจะชดเชยให้เกษตรกรรายละไม่เกิน 25 ไร่ ทั้งนี้การยางแห่งประเทศไทยต้องไปทำการบ้านหาสูตรการคำนวณใหม่ มิเช่นนั้นอาจจะต้องใช้งบประมาณเฉพาะการนี้ถึง 3 หมื่นล้านบาท มากกว่า 3 พืชรวมกัน

ปาล์มน้ำมัน ที่เปอร์เซ็นต์น้ำมัน 18% ประกันที่ราคากิโลกรัมละ 4 บาท โดยกำหนดให้เกษตรกรรายละไม่เกิน 25 ไร่ ส่วนต่างของราคาประกันกับราคาที่เกษตรกรขายได้ ธ.ก.ส.จะโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกร ณ วันที่เกษตรกรนำมาขาย

ข้าวประกันรายได้ให้เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร สำหรับข้าวเปลือกเจ้า ความชื้น 15% ตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน ข้าวเหนียว ตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน ข้าวหอมมะลิ ตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน ข้าวหอมนอกพื้นที่ตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน ข้าวหอมปทุม ตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน ราคาประกันดังกล่าวจะต้องผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (นบข.) ก่อน

ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องเสนอเข้า ครม. ให้ ครม. เห็นชอบก่อนเพราะการประกันรายได้ตามที่ว่ามานี้สำหรับ 3 พืช กระทรวงเกษตรฯ ตั้งวงเงินงบประมาณที่จะต้องใช้ไว้เกือบ 2 หมื่นล้านบาท…

การผลักดันนโยบายที่ชัดๆ ก็เห็นจะมีแต่ 2 พรรคนี้ ส่วนพรรคที่เป็นแกนนำตั้งรัฐบาลจริงๆ คงมัวแต่เจรจาต่อรองกับพรรคเล็กพรรคน้อย หรือมัวแต่ตอบคำถามสื่อเรื่องถวายสัตย์ปฏิญญาณอยู่…เลยยังไม่มีผลงานอะไรโดดเด่น…นอกจากไปกร่างผิดที่….ดูๆ แล้ว ท่าทางจะรอดไหมนี่…

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : อย่าเพิ่งฟันธง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/433521

281225166

เลาะรั้วเกษตร : อย่าเพิ่งฟันธง

วันศุกร์ ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2562, 06.00 น.

เมื่อเร็วๆ นี้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ออกมาแถลงว่า ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา มีผู้ป่วยในระบบของกองทุนบัตรทอง ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ มีผู้ป่วยที่ได้รับสารเคมีทางการเกษตรกว่า 3,000 ราย ในจำนวนนี้เสียชีวิตกว่า 400 ราย เบิกจ่ายค่ารักษากว่า 14 ล้านบาท

สปสช.ได้แบ่งกลุ่มผู้ป่วยตามประเภทของสารเคมีออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มสารเคมีกำจัดแมลง มีจำนวนผู้ป่วย 705 ราย เสียชีวิต 58 ราย กลุ่มสารเคมีกำจัดวัชพืช และเชื้อรา มีจำนวนผู้ป่วย 1,337 ราย เสียชีวิต 336 ราย และกลุ่มสารเคมีทางการเกษตรประเภทอื่นๆ มีผู้ป่วยจำนวน 1,205 ราย เสียชีวิต 13 ราย

นอกจากนี้ สปสช. ยังได้โชว์ตัวเลขย้อนหลังไป 3 ปี แต่ละปีมีผู้ป่วยที่ได้รับสารเคมีทางการเกษตรปีละเกือบ 5,000 ราย ส่วนผู้เสียชีวิตรวมทั้ง 10 เดือนที่ผ่านมาด้วยเป็นจำนวนกว่า 2,000 ราย เสียค่ารักษาพยาบาลปีละกว่า 20 ล้านบาท ซึ่ง สปสช. ใช้คำว่าเป็นข้อมูล “เชิงประจักษ์”

ข้อมูลดังกล่าวถ้าฟังแบบไม่คิดหาเหตุผลที่มาที่ไป ก็ออกจะดูน่ากลัว สปสช. ไม่ได้บอกว่าในจำนวนผู้ป่วยทั้งหมดนี้ เป็นเกษตรกรผู้ใช้สารเคมีฉีดพ่นในแปลงผลิตพืชจำนวนเท่าไร เป็นผู้ที่มีอาชีพอื่นที่ไม่อยากได้รับสารเคมีจำนวนเท่าไร หรือเป็นผู้ตั้งใจจะใช้สารเคมี หรือเรียกง่ายๆ ว่า ยาฆ่าแมลงเพื่อจบชีวิตตัวเองจำนวนเท่าไร ในระหว่างที่เขียนอยู่นี้ก็ดูข่าวโทรทัศน์ มีชายผู้หนึ่งใช้สารกำจัดวัชพืชดื่มฆ่าตัวตาย กล้องจับภาพขวดสารเคมีดังกล่าวให้เห็นชัดเจน และเชื่อว่านี่เป็นประเภทหนึ่งในจำนวนผู้ป่วยของ สปสช.

ถ้าผู้ป่วยจำนวนมากเป็นเกษตรกรที่ใช้สารเคมีทางการเกษตรจริงๆ แสดงว่า เกษตรกรใช้สารเคมีอย่างไม่ถูกต้อง ไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำ ทั้งการป้องกันตนเอง ป้องกันสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัว ปริมาณการใช้ และ ระยะเวลาที่ปลอดภัยในการเก็บเกี่ยว เราควรแก้ไขที่ต้นเหตุ คือ ความรู้ ความเข้าใจ ความรับผิดชอบของเกษตรกร

ถ้าเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์จริงๆ ตามที่สปสช.ยืนยัน สปสช. น่าจะมีรายละเอียดแยกแยะได้ว่า การรับสารเคมีทางการเกษตรของผู้ป่วย รับมาอย่างไร ด้วยวิธีไหน เพื่อช่วยกันแก้ไขสาเหตุของปัญหาอย่างแท้จริง ไม่ใช่ฟันธงว่าข้อมูลนี้คือผลกระทบของการใช้สารเคมีทางการเกษตร ถ้าฟันธงง่ายๆ แบบนี้ฝ่ายที่ใช้สารเคมีก็ฟันธงได้ว่าถ้าไม่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชสิ รับรองได้ว่าผลผลิตพืชต่างๆ จะขาดแคลน ราคาผลผลิตต่างๆ จะสูง จะอดอยากกันไปทั่ว….ถ้าประเทศเป็นอย่างนี้ พี่ไหวหรือ…..

สารเคมีทางการเกษตรมีทั้งประโยชน์ และโทษ เขาจึงมีกฎ กติกา การผลิต การจำหน่ายการมีไว้ในครอบครอง ภายใต้ พ.ร.บ.วัตถุอันตราย และมีคำแนะนำการใช้ที่ถูกต้องกำกับไว้อย่างชัดเจนที่ภาชนะบรรจุ…..

สปสช. ฟันธง ยังไม่เท่าไร กระทรวงเกษตรฯ ฟันธงเองนี่น่าห่วง…..

ที่ว่าน่าห่วงเพราะ เป็นการประกาศของ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ มนัญญา ไทยเศรษฐ์ ว่าจะแบนสารเคมี 3 ชนิดที่เป็นปัญหายืดเยื้อมานานให้ทันก่อนสิ้นปี ผู้ที่สะดุ้งแปดตลบน่าจะเป็น กรมวิชาการเกษตร หน่วยงานที่กำกับดูแล พ.ร.บ.วัตถุอันตราย และเป็นผู้ที่ชงประกาศกระทรวงเกษตรฯ ว่าด้วยการจำกัดการใช้สารเคมี 3 ชนิด ผู้ที่สะดุ้งรองลงมาสักหกตลบน่าจะเป็นกรมส่งเสริมการเกษตร ที่อุตส่าห์ระดมสรรพกำลังบริหารจัดการ การอบรมและการสอบเกษตรกรทั่วประเทศ เพื่อให้เกษตรกรมีสิทธิ์ซื้อสารเคมีไปใช้ตามประกาศกระทรวงเกษตรฯว่าด้วยการจำกัดการใช้สารเคมี 3 ชนิด แต่อาจจะแอบดีใจถ้าแบนได้จริงๆ เพราะงานนี้เป็นงานที่แสนหนักหนาสาหัสสำหรับผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่

ถ้าจะแบนจริงๆ รัฐมนตรีควรจะประกาศชะลอการอบรมเกษตรกรออกไปก่อนเพื่อไม่ให้เสียเวลาเปล่าทั้งเจ้าหน้าที่ และเกษตรกร

สารเคมี 3 ชนิดที่ว่านี้ คือ สารกำจัดวัชพืช 2 ชนิด คือ พาราควอต และ ไกลโฟเซต สารกำจัดแมลงศัตรูพืช 1 ชนิด คือ คลอร์ไพริฟอสถ้าสารเคมี 3 ชนิดนี้ แบนได้ง่ายๆ คณะกรรมการวัตถุอันตรายคงแบนไปตั้งแต่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ไม่ต้องรอให้ถึงมือรัฐมนตรี มนัญญา

เหตุผลของการแบน ไม่ใช่เพราะใช้มานานแล้ว อย่างที่ท่านรัฐมนตรีว่า สารเคมีที่ใช้มานานแล้ว และเกษตรกรยังใช้อยู่ในปัจจุบัน แสดงว่าต้องมีอะไรดีเกษตรกรจึงยังนิยม และออกมาคัดค้านผู้ที่ต้องการแบน ตามธรรมดาของเกษตรกรมักจะชอบลองของใหม่ ใครแนะนำว่าอะไรดีก็มักจะซื้อหามาทดลอง แต่ถ้าลองแล้วไม่ดีไปกว่าของเดิมก็จะไม่ได้รับความนิยม

สำหรับสารกำจัดวัชพืช 2 ชนิดนี้ ปัจจุบัน มีสารเคมีชนิดอื่นมาแทน แต่สารเคมีที่มาทดแทนมีราคาสูงกว่า 5 เท่า และประสิทธิภาพไม่ได้ดีไปกว่าเดิม เช่นนี้เกษตรกรก็คงรับไม่ไหว หรือจะใช้สารชีวภัณฑ์ที่ว่ากันว่าใช้ได้ผล แต่เมื่อนำสารชีวภัณฑ์นั้นมาตรวจวิเคราะห์ก็พบว่ามีสารเคมีกำจัดวัชพืชพาราควอต และไกลโฟเซต ผสมอยู่ด้วยเช่นนี้จะเป็นชีวภัณฑ์ได้อย่างไร

อยากให้ท่านรัฐมนตรี มนัญญา ค่อยๆ ศึกษาเรื่องสารเคมี 3 ชนิดนี้ให้รอบด้าน ศึกษาข้อมูลจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะเกษตรกร…อย่าเพิ่งรีบฟันธง….

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : แบ่งงานกันทำ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/431969

281225166

เลาะรั้วเกษตร : แบ่งงานกันทำ

วันศุกร์ ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2562, 06.00 น.

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกระทรวงที่มีงานหลากหลายด้าน จึงมีรัฐมนตรีมากที่สุดถึง 4 คน 3 ใน 4 ไม่เคยสัมผัสงานด้านการเกษตรมาก่อน ที่เคยสัมผัสมาก่อนก็ไม่ได้ลงลึกในเรื่องต่างๆ อย่างรอบด้าน จึงเป็นเรื่องที่น่าห่วงใย โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ที่ทิ้งกระทรวงเกษตรฯ ไปนานกว่า 10 ปี จะยังคงปะติดปะต่อเรื่องราวได้หรือไม่

ก่อนหน้านี้ รัฐมนตรี 4 คน ไปไหนไปกัน ลงพื้นที่ด้วยกัน ไปร่วมงานต่างๆ ด้วยกัน หรือไม่ไปด้วยกันก็จะลงไปสั่งการอะไรต่างๆ ให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ปฏิบัติกันอย่างสับสน เพราะยังไม่ทราบว่าใครมีหน้าที่หรือรับผิดชอบกำกับดูแลภารกิจใดของกระทรวง เพราะรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ยังไม่ได้แบ่งงานให้ทำมาวันนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ แบ่งงานให้รัฐมนตรีช่วยว่าการ ทั้ง 3 ท่านดูแลแล้ว ความรับผิดชอบของแต่ละท่านคงชัดเจนขึ้น

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เฉลิมชัย ศรีอ่อน รับผิดชอบดูแลหน่วยงานต่างๆ มากที่สุดถึง 10 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรฯ กรมชลประทาน กรมส่งเสริมการเกษตร กรมหม่อนไหม กรมประมง สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร การยางแห่งประเทศไทย สถาบันวิจัยพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) สำนักพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) สำนักงานพิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (องค์การมหาชน)

จะว่าไปถ้าท่านดูแลกรมชลประทาน ท่านควรดูแลกรมฝนหลวงและการบินเกษตรด้วย ถ้าท่านจะดูเรื่องของน้ำ แต่ถ้าท่านสนใจจะกำกับดูแลเฉพาะงบประมาณที่มากมายของกรมชลประทานก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนการดึงกรมส่งเสริมการเกษตรมาดูแลเองนั้น ถูกต้องแล้ว เพราะกำลังพลสำหรับปฏิบัติงานของท่านอยู่ที่กรมนี้ ส่วนกรมประมงมีเรื่องที่เป็นประเด็นติดตาม คือ เรื่องของ IUU และการประมงเชิงพาณิชย์ที่เชื่อมโยงกับแรงงานผิดกฎหมาย และการใช้เครื่องมือประมงที่ไม่ถูกต้อง ส่งผลถึงปริมาณสัตว์น้ำที่ลดลง ส่วนกรมหม่อนไหม เป็นกรมที่ว่าด้วยความสวยงาม ไม่หวือหวา จะมีเพียงเรื่องของงานวิจัยที่ต้องสนับสนุน และเรื่องที่ควรระวัง คือ เส้นไหมลักลอบนำเข้า กรมนี้น่าจะให้รัฐมนตรีหญิง มนัญญา ไทยเศรษฐ์ ไปดูแล

สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เป็นแหล่งสถิติ ข้อมูลด้านการเกษตร และเป็นเสนาธิการของกระทรวง ในการทำแผนงาน โครงการ งบประมาณ ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ นับว่าถูกต้องแล้ว ส่วนการยางแห่งประเทศไทย ถ้าท่านไม่ได้มาจากพรรคประชาธิปัตย์ ที่ชูนโยบายหาเสียงเรื่องการทำให้ราคายางสูงขึ้น ท่านไม่น่าเอามาดูแลเอง การยางแห่งประเทศไทย น่าจะให้รัฐมนตรีช่วยว่าการ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ไปกำกับดูแล เพราะเชื่อว่าท่านธรรมนัส มีทักษะในการเจรจาต่อรองเป็นเยี่ยม…. ม็อบยาง..ท่านต้องเจอแน่ๆ

ส่วนบรรดาองค์การมหาชนทั้งหลาย ที่ท่านรับมาดูแลนั้น ล้วนแต่เป็นหน่วยงานที่ต้องการการพัฒนาให้ทันสมัยทั้งสิ้น โดยเฉพาะพิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติฯ ถ้าท่านได้ไปดูพิพิธภัณฑ์การเกษตรของต่างประเทศ หรือพิพิธภัณฑ์ของหน่วยงานอื่นในประเทศไทย ท่านคงได้แนวคิดว่าจะพัฒนาพิพิธภัณฑ์การเกษตรฯ อย่างไร

รัฐมนตรีช่วยว่าการ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า กำกับดูแล 4 หน่วยงาน ได้แก่ กรมพัฒนาที่ดิน กรมฝนหลวงและการบินเกษตร สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทในการสนับสนุนการดำเนินงานเป็นส่วนใหญ่ จะมีที่ต้องเผชิญกับมวลชนมากหน่อยเห็นจะเป็น สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่อาจจะต้องเกี่ยวข้องกับหน่วยงานข้ามกระทรวง อย่างกรมอุทยานฯ หรือ กรมป่าไม้ แต่เชื่อว่าไม่ครณามือ รัฐมนตรีช่วย ธรรมนัส แต่อย่างใด

รัฐมนตรีช่วยว่าการ มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีหญิงของกระทรวง กำกับดูแล 4 หน่วยงาน คือ กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ และ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย 3 หน่วยงานหลัง เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจเฉพาะด้าน ไม่ซับซ้อน ไม่ต้องใช้กำลังภายในมากนัก เหมาะสำหรับผู้หญิง แต่งานของกรมวิชาการเกษตร เป็นงานที่หลากหลาย แค่เรื่องสารเคมีเรื่องเดียวคงทำให้ท่านปวดหัวไปหลายวัน อันที่จริง งานของกรมวิชาการเกษตรน่าจะให้ รัฐมนตรีช่วยฯ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า มาดูแลพวกด้านสารเคมีทั้งหลายจะได้รู้ว่าจ่า หรือหมวด

รัฐมนตรีช่วยว่าการ ประภัตร โพธสุธน กำกับดูแล 4 หน่วยงาน คือ กรมปศุสัตว์ กรมการข้าว สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) และ องค์การสะพานปลา ท่านประภัตร คงสมใจที่ได้ดูแลกรมการข้าว เพราะน่าจะเป็นเรื่องที่ท่านถนัด ส่วน มกอช. ท่านที่ดูแลน่าจะเป็นคนเดียวกับท่านที่ดูแล กรมวิชาการเกษตร เพราะ 2 หน่วยงานนี้ทำงานเกี่ยวข้องกันเป็นส่วนใหญ่ในเรื่องของอาหารปลอดภัย

ที่ว่ามานี้ เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ ถูกใจก็ขอบคุณ ไม่ถูกใจใครก็ขออภัย

แว่นขยาย