เลาะรั้วเกษตร : ยังไม่ติดกระดุมเสื้อ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/430249

281225166

เลาะรั้วเกษตร : ยังไม่ติดกระดุมเสื้อ

วันศุกร์ ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2562, 06.00 น.

ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา ส่วนจะผ่านด้วยบรรยากาศแบบไหนท่านที่ติดตามการอภิปรายคงทราบดี อาจจะสะใจ อาจจะเบื่อหน่าย อาจจะชื่นชม ขึ้นอยู่กับว่าท่านเชียร์ฝ่ายไหน พรรคไหน สส. สว. หรือ รัฐมนตรีท่านใด

แม้ สส. ฝ่ายค้าน หลายท่านจะออกมาวิจารณ์ว่า เป็นนโยบายที่เลื่อนลอย ไม่เป็นรูปธรรม จับต้องไม่ได้ แต่ดูๆ แล้วก็ไม่ได้ต่างจากรัฐบาลที่ผ่านมา คือเป็นนโยบายในภาพรวมส่วนรายละเอียดวิธีการดำเนินงาน หรือการขับเคลื่อนในแต่ละนโยบายให้เป็นไปตามที่แถลงไว้ ก็ต้องให้แต่ละกระทรวงไปว่ากันเอง

การแถลงนโยบายคงไม่ต้องกำหนดรายละเอียดไปจนถึงเม็ดเงินที่จะใช้ในแต่ละนโยบาย เหมือนอย่างที่รัฐบาลในอดีตเมื่อปี 2554 เคยแถลงไว้ เช่น ระบุว่า “นำระบบรับจำนำสินค้าเกษตรมาใช้ในการสร้างความมั่นคงด้านรายได้ให้แก่เกษตรกร เริ่มต้นจากการรับจำนำข้าวเปลือกเจ้า และข้าวเปลือกหอมมะลิ ความชื้นไม่เกินร้อยละ 15 ที่ราคาเกวียนละ 15,000 บาท และ 20,000 บาท ตามลำดับ….” แล้วรัฐบาลก็ถือเป็นคำภีร์ว่าจะต้องดำเนินการตามนี้ แม้จะมีการทักท้วงจากหลายฝ่าย รัฐบาลก็ยืนยันว่าต้องทำแบบนี้ เพราะเป็นนโยบายที่ได้แถลงไว้แล้วต่อรัฐสภาจนเกิดความเสียหายมากมายมหาศาลต่อประเทศชาติ

ย้อนกลับไปปี 2551 หรือกว่า 10 ปีมาแล้ว รัฐบาลในอดีตได้แถลงนโยบายไว้ว่า จะรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรผ่านกลไกและเครื่องมือของรัฐ สร้างระบบประกันความเสี่ยงราคาพืชผลผ่านกลไกตลาดซื้อขายล่วงหน้า และประกันภัยพืชผลจากภัยธรรมชาติ พัฒนาตลาดและระบบกระจายสินค้า จัดตั้งสภาเกษตรกรแห่งชาติ เพื่อให้เกษตรกรมีส่วนร่วมในการเสนอนโยบายและวางแผนพัฒนาการเกษตร พัฒนาระบบโลจิสติกส์ทางการเกษตร จัดหาปัจจัยการผลิตและโครงสร้างพื้นฐานการผลิตที่มีคุณภาพ จัดการพื้นที่ผลิตพืชอาหารและพืชพลังงานให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ และ จัดหาแหล่งน้ำให้ทั่วถึงและเพียงพอ รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรน้ำเพื่อการผลิตทางการเกษตร

มีการประเมินผลการดำเนินงานตามนโยบายดังกล่าวหรือไม่ไม่ยืนยัน แต่ผ่านมากว่า 10 ปี ราคาสินค้าเกษตรยังตกต่ำ ประกันภัยพืชผลยังไม่ได้รับความสนใจเท่าไรนัก ตลาดและการกระจายสินค้ายังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลง สภาเกษตรกรแห่งชาติไม่ได้เป็นปากเป็นเสียงแทนเกษตรกรอย่างที่คาดหวัง ระบบโลจิสติกส์อาจจะดีขึ้นแต่ไม่ได้มาจากนโยบายเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ส่วนโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะถนนหนทาง ระบบไฟฟ้า น้ำประปา หรือชลประทานในพื้นที่ห่างไกลยังขาดแคลนอยู่มาก

มาถึง พ.ศ.นี้ นโยบายของรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ประกอบด้วยนโยบายหลัก 12 ด้าน นโยบายเร่งด่วนอีก 12 ด้านสำหรับการพัฒนาภาคการเกษตร อยู่ในนโยบายหลักด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของไทย ประกอบด้วยการรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรและรายได้ให้กับเกษตรกรในสินค้าเกษตรที่สำคัญ เช่น ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน อ้อย และข้าวโพด โดยจะใช้ระบบประกันภัยสินค้าเกษตร พัฒนาระบบตลาด รวมทั้งพัฒนาระบบโลจิสติกส์สำหรับการเกษตร

เหมือนรถติดหล่ม แผ่นเสียงตกร่อง สาระสำคัญเหมือนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว อาจจะใช้ถ้อยคำ ข้อความตกแต่งให้ดูต่างเล็กๆ น้อยๆ

นอกจากนี้มีเรื่องของการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยจะปรับโครงสร้างต้นทุนการผลิตด้านเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย เครื่องจักรกลเกษตร แหล่งน้ำ และระบบไฟฟ้า จะนำระบบข้อมูลสารสนเทศและแผนที่เกษตร (Agri Map)มาจัดพื้นที่เพาะปลูก หรือ โซนนิ่ง พัฒนาองค์กรเกษตรกรรุ่นใหม่ ส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร ดูแลเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยให้เข้าถึงและใช้ประโยชน์ในที่ดินทำกิน แหล่งเงินทุน โครงสร้างพื้นฐานและปัจจัยการผลิตต่างๆ ส่งเสริมการทำปศุสัตว์ ฟื้นฟูและสนับสนุนอาชีพประมงให้ยั่งยืนบนพื้นฐานของการรักษาทรัพยากรทางการประมงและทรัพยากรทางทะเลให้มีความสมบูรณ์อย่างต่อเนื่อง

ข้างต้นนี้ คือ นโยบายหลักที่ 4 รัฐมนตรีของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะต้องมานั่งวางแนวทางการดำเนินงานให้ไปถึงเป้าหมายตามนโยบายให้สำเร็จภายใน 4 ปี (ถ้าอยู่ครบวาระ) อย่ามัวไปลงพื้นที่จับตั๊กแตนมาทอด หรือไปดูพื้นที่ระบาดศัตรูพืชที่มีอยู่เล็กๆ น้อยๆ เลย นั่นเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ที่เขาต้องทำอยู่แล้ว รัฐมนตรีควรทำเรื่องใหญ่ๆ ที่เป็นนโยบายหลัก ควบคู่ไปกับนโยบายเร่งด่วนในเรื่องของการรับมือภัยแล้ง และการจัดการสารเคมีให้เป็นระบบตามมาตรฐานสากล

มาถึงวันนี้ รัฐมนตรีทุกท่านควรจะตั้งหลักทำงานด้านนโยบายได้แล้ว…….เห็นด้วยกับ สส. ดาวดวงใหม่ของสภาฯ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ว่าต้องจัดลำดับความสำคัญของการแก้ปัญหาภาคการเกษตรให้เหมือนการติดกระดุมเสื้อ ถ้าติดกระดุมเม็ดแรกถูก กระดุมเม็ดต่อๆ ไปก็ติดได้เรียบร้อยไม่ผิด

แต่วันนี้กระทรวงเกษตรฯ ยังไม่เริ่มติดกระดุมเสื้อเลย…….

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : เอาไงดี…น้าแอ๊ด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/428807

281225166

เลาะรั้วเกษตร : เอาไงดี…น้าแอ๊ด

วันศุกร์ ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2562, 06.00 น.

เรื่องราวของกัญชายังคงยึดพื้นที่สื่อได้เป็นรายวัน มากบ้าง น้อยบ้าง แต่ก็มีประจำ… ตั้งแต่ข่าวหน้า 1 ไปจนถึงหน้าในอีกหลายๆ หน้า ทั้งเชียร์กันสุดกู่ ทั้งดึงๆ กันไว้ให้หันมาดูอีกด้านหนึ่งที่อันตราย แต่ฝ่ายที่เชียร์ออกจะเสียงดังกว่า ประกอบกับถูกใจผู้บริโภคที่เข้าใจว่าบรรดาโรคร้ายที่เป็นอยู่หายไปสิ้นเพราะฤทธิ์ของกัญชา

ก่อนหน้านี้ ศิลปินเพลง อย่างแอ๊ด คาราบาว ไปนั่งฟัง เดชา ศิริพัฒน์ ผู้โด่งดังจากการแอบผลิตน้ำมันกัญชา โดยอ้างว่าเพื่อแจกจ่ายให้ผู้ป่วยไปใช้ในการบำบัดโรคมะเร็ง จนซาบซึ้ง และพาลตำหนิตัวเองว่าเข้าใจผิดไปที่แต่งเพลง “กัญชา” มีเนื้อหาว่าด้วยโทษของกัญชาเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะประโยคจบของเพลงที่บอกว่า “เส้นทางสุดท้าย…นอนตายใต้ต้นกัญชา”

ต้องบอกน้าแอ๊ดว่า เพลง “กัญชา” ในบริบทเมื่อปี พ.ศ. 2525 หรือประมาณ 37 ปีก่อน คือ พืชเสพติด ตามที่ระบุไว้ใน พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ก็ถูกต้องตามนั้น เพราะการเสพกัญชา หรือที่ภาษาวัยรุ่นว่า พี้กัญชา เป็นประจำนั้นเป็นการทำลายตัวเอง เพราะกัญชามีฤทธิ์ทำลายการทำงานของอวัยวะได้หลายส่วน ทำให้ร่างกายอ่อนแอ เกิดโรคต่างๆ ได้ง่าย ทำลายสมรรถภาพร่างกาย ไม่สามารถทำงานได้ โดยเฉพาะงานที่ใช้แรงกาย ความคิด และการตัดสินใจ

กัญชายังทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ติดเชื้อโรคต่างๆ ได้ง่าย ยิ่งร้ายไปกว่านั้น ผู้เสพกัญชาในปริมาณมากๆ มักจะเป็นโรคจิตในภายหลัง มีอาการหวาดระแวง เลื่อนลอย สับสน ฟั่นเฟือน ประสาทหลอน และสภาพจิตเสื่อมอาการเหล่านี้เหมือนในเพลง “กัญชา” ที่น้าแอ๊ดว่าไว้

ส่วนการนอนตายใต้ต้นกัญชา ก็มีโอกาสเป็นไปได้ เพราะกัญชามีหลายพันธุ์ บางพันธุ์สูงได้ถึง 2 เมตร ถ้าปลูกกัญชาหลายๆ ต้น ก็เป็นร่มเงาให้นอนพี้อยู่ใต้ต้นจนตายได้เหมือนกัน

มา พ.ศ. นี้ น้าแอ๊ดได้ข้อมูลใหม่เกี่ยวกับกัญชา เป็นข้อมูลที่แตกต่างออกไปจากเดิมที่ระบุว่ากัญชาเป็นยาเสพติด มา พ.ศ. นี้ มีการนำกัญชามาใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ เชื่อว่ารักษาโรคมะเร็งได้ น้าแอ๊ดจึงแต่งเพลงเรียกร้องให้ปฏิวัติกัญชา “เพราะพืชนี้คือโอกาส ช่วยชนในชาติกู้ชีวิตแต่ไม่แพงแถมยังได้ผลชะงัก มะเร็งที่หนักขั้นคีโมฉายแสง ผู้ป่วยอ่อนล้าโรยแรง หันมาพึ่งกัญชายืดชีวาถึงหายขาด…”

กัญชาของน้าแอ๊ดจึงเป็นยาวิเศษ..เป็น มหัศจรรย์กัญชา….มีแต่ประโยชน์ ไม่มีโทษเสียแล้ว….

ไม่เพียงแต่กัญชาเท่านั้น ล่าสุดน้าแอ๊ดยังแต่งเพลงใหม่ถามพี่ตู่ด้วยว่า “เอาไงดีครับพี่ตู่”

“คนไทยกำลังตายผ่อนส่ง เพราะภาครัฐยังปักธงให้ใช้สารพิษอันตราย พาราควอต คลอร์ไพริฟอส ไกลโฟเซต ต่างประเทศเขาเลิกใช้ แต่เมืองไทยกลับยิ่งใช้ เพิ่งจะรู้ว่ากินผักผลไม้ ยิ่งกินยิ่งตาย เอาไงดีครับพี่ตู่….”

ไม่รู้ว่าใครให้ข้อมูลน้าแอ๊ดเอาไปแต่งเพลง เนื้อเพลงไม่กี่บรรทัดของน้าแอ๊ด สรุปสั้นๆ ได้ใจความ แต่ไม่ถูกต้อง…

เรื่องราวของสารเคมี 3 ชนิดนี้ เปรียบเหมือนเรื่องราวของกัญชา แต่เป็นในทางกลับกัน วันก่อนกัญชาคือยาเสพติด วันนี้กัญชาคือยาวิเศษ ส่วนสารเคมี 3 ชนิดนี้ เมื่อก่อนคือสารเคมีที่แสนวิเศษ โดยเฉพาะ พาราควอต และไกลโฟเซต เป็นสารเคมีกำจัดวัชพืช หรือที่น้าแอ๊ดเรียกว่ายาฆ่าหญ้า ที่กำจัดวัชพืชอย่างได้ผล ช่วยเกษตรกรประหยัดต้นทุนค่าจ้างแรงงาน เกษตรกรที่ใช้สารเคมีทั้ง 2 ชนิดนี้ ไม่มีใครได้รับผลกระทบจากการใช้ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพ หรือสิ่งแวดล้อม

มาวันนี้มีคนออกมาบอกว่า สารเคมี 2 ชนิดนั้น คือ สารเคมีที่มีพิษร้ายแรง เป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้คนและสิ่งแวดล้อม โดยอ้างอิงผลวิจัยที่ไม่สามารถอธิบายให้ความกระจ่างชัดเจนถึงที่มาที่ไป วิธีการศึกษาวิจัย วิธีการเก็บข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูลที่อยู่บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ได้ แถมยังพยายามทำลายภาพลักษณ์ของผลผลิตทางการเกษตรของไทยด้วยการใช้คำว่า “แผ่นดินอาบสารพิษ” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการยกเลิกการใช้ โดยอ้างว่าประเทศอื่นยกเลิกการใช้กันหมดแล้ว แต่ไม่เคยพูดถึงบางประเทศที่ยกเลิกการใช้ไปแล้ว ต้องกลับมาใช้ใหม่ เพราะเกษตรกรเดือดร้อน ไม่มีสารกำจัดวัชพืชใช้ เกิดความเสียหายต่อการผลิตพืชผลของประเทศ ไม่สามารถผลิตได้ในปริมาณที่ประเทศคู่ค้าต้องการได้

ตามธรรมดา เหรียญย่อมมี 2 ด้านเสมอ ทั้งกัญชา และสารเคมีที่กล่าวถึง ต่างก็มีทั้งประโยชน์และโทษ น้าแอ๊ด ซึ่งมีอัจฉริยะทางด้านดนตรี และเป็นศิลปินแห่งชาติ มีอิทธิพลต่อประชาชนที่นิยมชมชอบเนื้อเพลงที่น้าสร้างสรรค์ คือขนมหวาน และยาพิษ สำหรับคนเสพด้วยเช่นกัน น้าคงต้องเลือกว่าจะยื่นอะไรให้คนเสพ ถ้าเป็นประเด็นที่ยังมีข้อขัดแย้งในสังคม น้าไม่ควรชี้นำด้านใดด้านหนึ่ง หรือน้าว่าไง…

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : เริ่มต้น ก็เห็นอนาคต

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/427208

281225166

เลาะรั้วเกษตร : เริ่มต้น ก็เห็นอนาคต

วันศุกร์ ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2562, 06.00 น.

ในที่สุดคณะรัฐมนตรีที่ประชาชนรอคอยก็ปรากฏโฉม ส่วนใหญ่เป็นไปตามโผที่สื่อมวลชนนำเสนอมาโดยตลอด จะมีผิดหวังและกังวลอยู่บ้างก็กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นี่แหละ

กังวลเพราะรัฐมนตรีว่าการ และช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รวม 4 ท่าน มาจาก 4 พรรคการเมือง รัฐมนตรีว่าการฯ เฉลิมชัย ศรีอ่อน มาจากพรรคประชาธิปัตย์ เคยเป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานสมัยรัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อปี 2553 รัฐมนตรีช่วยว่าการฯประภัตร โพธสุธน จากพรรคชาติไทยพัฒนา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อปี 2543

รัฐมนตรีช่วยว่าการ อีก 2 ท่านที่ออกจะผิดหวัง คือ มนัญญา ไทยเศรษฐ มาจากพรรคภูมิใจไทย อดีตนายกเทศมนตรีเมืองอุทัยธานี ที่ยังมีปัญหาเรื่องโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียราคาหลายร้อยล้านบาท และร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า จากพรรคพลังประชารัฐที่มีประวัติและวีรกรรมที่เลื่องลือซึ่งเชื่อกันว่าเป็นมือประสานสิบทิศของพรรคที่สามารถสยบปัญหาที่ว่ายากแสนยากได้ชั่วข้ามคืน

แต่ละพรรคการเมืองล้วนชูนโยบายด้านการเกษตรตอนหาเสียงเลือกตั้งแตกต่างกัน และ 3 ใน 4 ท่าน ไม่เคยมีประสบการณ์ หรือเกี่ยวข้องกับการเกษตรมาก่อน ส่วนคนที่มีประสบการณ์เคยเป็นถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ในระยะเวลาสั้น ๆ เพียง 8 เดือน อย่าง ประภัตร โพธสุธน ก็ยังไม่สามารถสร้างผลงานที่โดดเด่นฝากไว้ในอดีตให้จดจำแต่อย่างใด

ย้อนกลับไปดูนโยบายด้านการเกษตรของ4 พรรค ที่หาเสียงไว้ก่อนวันที่ 24 มีนาคม 2562…

พรรคประชาธิปัตย์ ชูเรื่อง ประกันรายได้เกษตรกรให้ครอบคลุมทุกพืช เพื่อสร้างความมั่นคงด้านรายได้ให้กับเกษตรกร ข้าว ไม่ต่ำกว่าเกวียนละ 10,000 บาท ยางพาราไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 60 บาท และปาล์มน้ำมันไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 10 บาท นอกจากนี้ยังมี การจัดตั้งกองทุนน้ำชุมชน ให้เกษตรกรมีน้ำใช้ตลอดปี และโครงการโฉนดสีฟ้า โดยการออก พ.ร.บ. โฉนดชุมชน เพื่อให้สิทธิในการจัดการชุมชน และยกระดับ ส.ป.ก. ให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุนของรัฐ โดยการกู้ผ่านธนาคาร และให้ที่ดิน ส.ป.ก. ตกทอดถึงลูกหลานได้

พรรคภูมิใจไทย ชูนโยบายทวงคืนกำไรให้ชาวนาโดยเสนอกฎหมายตั้งกองทุนข้าวระบบกำไรแบ่งปัน เพิ่มรายได้ให้ชาวนา ยุติความไม่เป็นธรรม ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว โดยนำตัวอย่างจากอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล มาเป็นต้นแบบตั้ง “กองทุนข้าว” ขึ้นมาทำหน้าที่บริหาร กำหนดโควตาการส่งออก จัดทำประกันภัยความเสี่ยง และบริหารแบ่งปันกำไร กับผู้ที่อยู่ในระบบ คือ ชาวนา โรงสี ผู้ค้าข้าว ทั้งในและต่างประเทศ ดังนั้นชาวนาจะได้รายได้จากระบบ “กำไรแบ่งปัน” เพิ่มขึ้นมา และจะนำระบบนี้ไปใช้กับพืชชนิดอื่นๆ ด้วย ได้แก่ ยางพารา มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน

พรรคชาติไทยพัฒนา ชูนโยบาย ใช้ตลาดนำการผลิต ส่งเสริมปลูกพืชที่ทำรายได้ดีลดต้นทุนการผลิต และจัดหาเทคโนโลยีที่เหมาะสมทันสมัย ส่งเสริมการทำงานของอาสาสมัครเกษตรหมู่บ้านหรือ อกม.โดยจะมีงบประมาณสนับสนุนคนละ 1,000 บาทต่อเดือน จะพัฒนาแหล่งน้ำและสนับสนุนระบบไฟฟ้าเพื่อการเกษตร ฟื้นฟูการประมง รวมทั้งให้ทุนเรียนฟรีระดับปริญญาตรีด้านการเกษตร

พรรคพลังประชารัฐ ชูนโยบาย เกษตรประชารัฐ เหมือนอย่างที่พยายามจะทำในสมัยรัฐบาล คสช. โดยประกาศก้าวสู่เกษตรประชารัฐ 4.0 โดยการปรับโครงสร้างภาคเกษตร ด้วยนโยบาย “3 เพิ่ม 3 ลด” คือ เพิ่มรายได้ เพิ่มนวัตกรรม เพิ่มทางเลือก และ ลดภาระหนี้ ลดความเสี่ยง ลดต้นทุนการผลิต

นโยบายของ 4 พรรค จะนำมาผสมผสานกัน คงไม่ใช่เรื่องยาก อาจจะถกเถียงกันบ้างเรื่องเป้าหมาย โดยเฉพาะการประกันรายได้เกษตรกร และการผลักดันให้ราคาพืชที่มีปัญหาสู่ราคาเป้าหมายที่ตั้งไว้ ยางพาราจะถึงกิโลกรัมละ 60-70 บาทได้ คงหืดขึ้นคอ มันสำปะหลังกิโลกรัมละ 5 บาท และ ปาล์มน้ำมันจะถึงกิโลกรัมละ 10 บาทได้ คงเป็นเพียงความฝัน

ส่วนนโยบายตลาดนำการผลิต ลดต้นทุนการผลิต อาหารปลอดภัย ที่ดินทำกิน แหล่งน้ำเพื่อการเกษตร เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย ไม่ใช่ของใหม่ เป็นงานประจำของกระทรวงเกษตรฯ ที่ต้องทำอยู่แล้ว อยู่ที่นักการเมืองที่มาบริหารกระทรวงฯ จะหยิบยกเรื่องใดมาทำอย่างจริงๆ จัง แบบเน้นๆ ก่อน-หลังและตั้งชื่อโครงการให้แปลกออกไปเท่านั้น

งานที่รอรัฐมนตรีทั้ง 4 ท่านอยู่เบื้องหน้าก็มิใช่เบา แม้ว่าอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ กฤษฎา บุญราช จะพยายามเคลียร์ปัญหาต่าง ๆ แต่ก็ยังไม่สามารถเคลียร์ได้เสร็จสิ้นนั่นคือ ปัญหา สารเคมีกำจัดวัชพืช และศัตรูพืชพาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพรีฟอส ที่กำลังดำเนินมาตรการจำกัดการใช้ แต่ฝ่ายคัดค้านยังไม่พอใจพยายามจะยกเลิกให้ได้ และล่าสุดก็อาศัยศิลปินอย่าง แอ๊ด คาราบาว มาแต่งเพลงให้ร้ายสารเคมี 3 ชนิดนั้นแบบไม่สนใจเสียงของเกษตรกร ปัญหาการระบาดของศัตรูพืชและโรคสัตว์หลายชนิด ปัญหาประมงเชิงพาณิชย์ปัญหาราคาพืชผลตกต่ำก็ยังคงอยู่ ปัญหาภัยธรรมชาติที่เกษตรกรต้องการค่าชดเชยความเสียหาย เหล่านี้…รอทั้ง 4 ท่านมาดูแล

เคลียร์ปัญหาห้องทำงานได้แล้ว แต่งานที่เป็นนโยบายของทั้ง 4 พรรคและปัญหาเร่งด่วนที่รออยู่จะทำให้ผสมกลมกลืนกันอย่างไรนี่สิ..เคลียร์กันหรือยัง….

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : น้ำพริกไม่มีปลาทู

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/425884

เลาะรั้วเกษตร : น้ำพริกไม่มีปลาทู

เลาะรั้วเกษตร : น้ำพริกไม่มีปลาทู

วันศุกร์ ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2562, 06.00 น.

เมื่อต้นเดือนมกราคม 2562 ประเทศไทยได้ของขวัญปีใหม่จากสหภาพยุโรป ด้วยการปลดสถานะใบเหลืองภาคการประมงไทย ที่รัฐบาลสามารถแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม หรือ IUU จนประสบผลสำเร็จ สามารถพัฒนายกระดับอุตสาหกรรมการประมงทั้งระบบให้เทียบเท่าสากลได้ โดยใช้เวลาดำเนินการต่อเนื่องเป็นเวลาประมาณ 4 ปี

ความสำเร็จดังกล่าว น่าจะทำให้สถานการณ์ทรัพยากรประมงของไทยดีขึ้น แต่วันดีคืนร้าย กลับมีข่าวว่า ปลาทูในอ่าวไทยกำลังลดน้อยลง และพยากรณ์กันว่าอีก 5 ปีข้างหน้า ถ้าไม่มีการแก้ปัญหา ปลาทูในอ่าวไทยจะหมดไป

ปัญหาวิกฤติปลาทู มิใช่เพิ่งเกิดขึ้น แต่มีแนวโน้มมาหลายปีแล้วมีผู้คร่ำหวอดในวงการประมงบอกว่า ปริมาณปลาทูในอ่าวไทยเริ่มลดลงตั้งแต่ปี 2539 เพราะมีการทำประมงโดยใช้เครื่องมือจับปลาแบบทำลายล้าง โดยเฉพาะอวนลาก และเรือปั่นไฟซึ่งจับปลาได้ทุกขนาด ทุกวัย

แม้การแก้ปัญหา IUU จะเข้มงวดเกี่ยวกับเครื่องมือประมง แต่ปัจจุบันก็ยังมีชาวประมงบางรายลักลอบใช้เครื่องมือประมงที่ไม่ได้รับอนุญาต คือ อวนจมซึ่งยาวเกินกว่าที่กำหนดหลายสิบเท่าจับปลาในช่วงฤดูปลาวางไข่ ทำให้พ่อแม่พันธุ์ปลาถูกจับโดยที่ยังไม่ได้วางไข่ ขณะเดียวกันไข่ปลาบางส่วนอาจจะหลุดรอดเจริญเติบโต แต่ยังไม่โตเต็มวัย ลูกปลาก็ถูกจับมาด้วย ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้อาจทำให้ปลาสูญพันธุ์ หรือลดน้อยลง

ถึงวันนี้หลายฝ่ายเรียกร้องให้กรมประมง แก้ปัญหาวิกฤติปลาทูด้วยการบังคับใช้กฎหมาย พ.ร.ก.การประมง พ.ศ. 2558 มาตรา 57 ที่ระบุว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดจับสัตว์น้ำ
หรือนำสัตว์น้ำที่มีขนาดเล็กกว่าที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดขึ้นเรือประมง” ซึ่งเรือประมงในที่นี้หมายรวมทั้งเรือประมงพื้นบ้าน และเรือประมงพาณิชย์

กรมประมงพิจารณาเห็นว่ากฎหมายดังกล่าวจะส่งผลกระทบกับชาวประมงที่อาจจะทำให้ชาวประมงที่จับปลาขนาดเล็กได้โดยบังเอิญ กลายเป็นการกระทำผิดโดยไม่ตั้งใจจึงต้องนำมาตราอื่นๆ ของ พ.ร.ก. ที่เกี่ยวกับสัตว์น้ำที่จับได้โดยบังเอิญมาพิจารณาร่วมด้วย

ขณะเดียวกันกรมประมงก็ตั้งคณะกรรมการพิจารณากำหนดขนาดสัตว์น้ำตามมาตร 57 ซึ่งคณะกรรมการ ชุดนี้ได้พิจารณา “ปลาทู” เป็นสัตว์น้ำชนิดแรกที่ต้องกำหนดขนาดในการจับ ซึ่งขนาดที่กำหนดที่ได้พิจารณาแล้วว่าเหมาะสม คือ 14 เซนติเมตร ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของกรมประมงที่ระบุว่า ปลาทูขนาด 14 เซนติเมตร เป็นขนาดแรกสืบพันธุ์ หรือเริ่มวางไข่ครั้งแรก แต่ก็ยังมีข้อกังวลต่อไปอีกว่า เครื่องมือจับปลาทั้งเครื่องมือพื้นบ้าน และ ประมงพาณิชย์ สามารถจะจับปลาขนาดที่ต่ำกว่า 14 เซนติเมตรได้เท่ากัน จึงทำให้ชาวประมงเสี่ยงที่จะกระทำผิดได้โดยง่าย กรมประมงคงต้องดำเนินการอีกหลายขั้นตอนจนกว่าจะหาข้อยุติอันเป็นที่พอใจของทุกฝ่าย

จะว่าไปแล้ว การหายไปของปลาทู มิได้เกิดจากการใช้เครื่องมือจับปลาแบบทำลายล้างเพียงอย่างเดียว ยังมีเรื่องของสภาพแวดล้อมในอ่าวไทยที่มีส่วนทำให้สัตว์น้ำรวมถึงปลาทู ได้รับผลกระทบไปด้วย….

เมื่อเดือนธันวาคม 2561 มีการจัดเสวนาวิชาการเรื่อง “วิกฤตอ่าวไทย รวมใจแก้ไข..มุ่งไป SDGs” รศ.ดร. เชษฐพงษ์ เมฆสัมพันธ์ คณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ข้อมูลว่า จากการลงพื้นที่สำรวจสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมปี 2560-2561 บริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา ปากแม่น้ำบางประกง ปากแม่น้ำท่าจีน ปากแม่น้ำแม่กลอง ผลสำรวจคุณภาพน้ำพบว่า น้ำเปลี่ยนสีไปจากเดิม อันเกิดจากการเพิ่มจำนวนของแพลงค์ตอน ก้นอ่าวมีออกซิเจนเบาบาง สัตว์น้ำอาศัยอยู่ไม่ได้ คุณภาพน้ำเสื่อมโทรม

คณบดีคณะประมง ยังกล่าวถึงปลาทูว่า ในอ่าวไทยรูปตัว “ก” หาลูกปลาทูไม่พบ ไม่พบการกระจายตัวของปลาวัยอ่อน…..เป็นการยืนยันถึงสถานการณ์ที่วิกฤติของปลาทู จริงๆ…..

กรมควบคุมมลพิษ ยืนยันว่า อ่าวไทยรูปตัว “ก” ที่มีสภาพผิดไปกว่าเดิมเพราะเกิดมาจากแม่น้ำ 4 สาย คือ แม่กลอง บางปะกง ท่าจีน และเจ้าพระยา แม่น้ำ 2 สายแรกคุณภาพน้ำพอใช้ แต่แม่น้ำ 2 สายหลังมีสภาพเสื่อมโทรม คูคลองในกรุงเทพฯ เสื่อมโทรมทั้งหมด โรงงานปล่อยน้ำเสีย ชุมชนไม่มีระบบจัดการน้ำเสียเบื้องต้น นี่ยังไม่รวมขยะที่กำจัดไม่ได้และไหลลงทะเลฝั่งอ่าวไทยซ้ำเติมเข้าไปอีก

จะทำอย่างไรให้คุณภาพน้ำในอ่าวไทยดีขึ้น เพื่อให้เป็นแหล่งอาศัย และวางไข่ของสัตว์น้ำ จะทำอย่างไรให้ชาวประมง ทำประมงอย่างถูกต้อง ใช้เครื่องมือประมงตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อให้ปลาได้เจริญเติบโต แพร่พันธุ์ได้มากขึ้น อันจะนำไปสู่ความมั่นคงทางอาหารที่ยั่งยืนต่อไป ที่สำคัญคือจะได้เห็นเมนูอหารไทยที่ขึ้นชื่อ คือ น้ำพริกกะปิเสิร์ฟคู่กับปลาทูทอดตัวงามๆ ไปจนชั่วลูกชั่วหลาน

อยากเห็นความร่วมมือของหน่วยงานด้านประมง และสิ่งแวดล้อมทำงานร่วมกับ ชาวประมง ภาคเอกชนและชุมชนในการฟื้นฟูอ่าวไทยและการทำประมงให้บังเกิดผลอย่างแท้จริง…รัฐบาลใหม่ทำได้ป่ะล่ะ….

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : รอคอยคนมาดูแล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/424201

281225166

เลาะรั้วเกษตร : รอคอยคนมาดูแล

วันศุกร์ ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2562, 06.00 น.

เอือมระอากับนักการเมืองที่รุมทึ้งเก้าอี้รัฐมนตรี แบบไม่เกรงใจหน้าอินทร์หน้าพรหม โชคดีที่กระทรวงที่มีข่าวแย่งเก้าอี้กันจนชาวบ้านส่ายหน้านี้ ไม่ใช่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่วนจะเป็นกระทรวงอะไรคงหาข้อมูลได้ไม่ยาก ข้าราชการที่อยู่กระทรวงดังกล่าวคงเตรียมตัวรับการมาของเจ้ากระทรวงกันอย่างหวาดหวั่น..

ข่าวบนหน้าสื่อในช่วงนี้ ไม่ว่าหน้า 1 หรือหน้าใน ไม่ใคร่จะมีข่าวดีสักเท่าไร ไม่ว่าจะเป็นข่าวจับขบวนการขนยาเสพติดที่เกี่ยวพันกับพรรคการเมือง ข่าวการทำร้ายร่างกายของนักเคลื่อนไหวด้านการเมือง รวมทั้งข่าวแย่งเก้าอี้รัฐมนตรีที่ว่ามานั้น ล้วนเป็นการสร้างกระแสกลบข่าวอื่นๆ ได้อย่างเนียนๆ มีข่าวการดูแลอนุรักษ์พะยูน หรือข่าวการจับลูกปลาทูมาขาย โผล่มาบ้างแล้วก็หายไป ทั้งๆ ที่เรื่องนี้เป็นเรื่องของส่วนรวม แต่คนกลับสนใจน้อย..

เช่นเดียวกับข่าวการระบาดของศัตรูพืช 2 ตัวที่สำคัญ ซึ่งมาพร้อมในเวลาเดียวกัน ตัวแรกคือ หนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด หรือมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Fall Armyworm เป็นแมลงศัตรูที่เพิ่งเข้ามาสู่ประเทศไทย เป็นแมลงศัตรูพืชที่ร้ายแรง หากควบคุมการระบาดไม่อยู่ เกิดระบาดรุนแรง หนอนจะเคลื่อนไหวดาหน้าเป็นกองทัพบุกทำลายพืชเลยทีเดียว ชีวประวัติของหนอนชนิดนี้ทำลายผลิตผลเกษตรไปครึ่งโลกแล้ว

มาสู่ประเทศไทยเมื่อปลายปีที่แล้ว มาได้อย่างไรไม่ยืนยัน รู้แต่ว่าผ่านมาทางอินเดีย และพม่าและแมลงชนิดนี้สามารถบินได้ไกลเฉลี่ยคืนละ 100 กิโลเมตร ที่เฉลี่ยเป็นคืน เพราะแมลงชนิดนี้เป็นผีเสื้อกลางคืนแต่ตัวที่ทำลายพืชผลเป็นระยะตัวหนอน ขยายพันธุ์ได้รวดเร็วมีวงจรชีวิตจากไข่ถึงตัวเต็มวัยเพียง 1 เดือนเท่านั้น ที่สำคัญคือพืชอาหารของหนอนชนิดนี้มีมากกว่า 80 ชนิด ซึ่งรวมถึง ข้าวโพด อ้อย ข้าว ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของบ้านเราด้วย

ระยะเวลาที่ผ่านมากว่า 6 เดือน การป้องกันกำจัดหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด ยังฉุดไม่อยู่ ปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาไม่กี่วันนี้ ตัวเลขการระบาดมากกว่า 4 แสนไร่ ใน 41 จังหวัด ซึ่งเป็นแหล่งปลูกข้าวโพดที่สำคัญ นักวิชาการบอกว่าฤดูฝนนี้มีแนวโน้มจะระบาดมากขึ้นถ้าเกษตรกรยังปฏิบัติไม่ถูกต้อง

วิธีการป้องกันกำจัดหนอนชนิดนี้ตามที่กรมวิชาการเกษตรแนะนำ คือ หากพบหนอนขนาดเล็กให้เก็บหนอนทำลายทิ้ง และใช้ชีวภัณฑ์ ได้แก่ เชื้อ BT สายพันธุ์ไอซาไว หรือ สายพันธุ์เคอร์สตากี้ ชนิดผง อัตรา 40-80 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นทุก 4-7 วัน เมื่อพบการระบาด หากพบไข่ให้ทำลายโดยเก็บกลุ่มไข่ทำลายทิ้งและใช้แมลงหางหนีบ ส่วนตัวเต็มวัยให้ทำลายโดยใช้กับดักกาวเหนียวสีเหลืองจำนวน 80 กับดัก/ไร่ สำหรับหนอนขนาดใหญ่ให้ทำลายโดยใช้แมลงตัวห้ำ ได้แก่ แมลงหางหนีบหรือมวนพิฆาต และในกรณีที่ใช้เคมีให้ใช้สารเคมีตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร

แค่สายพันธุ์เชื้อ BT ที่เฉพาะเจาะจงขนาดนั้น เกษตรกรจะหาได้หรือไม่ แมลงหางหนีบ ตัวห้ำ มวนพิฆาต ซึ่งเป็นศัตรูธรรมชาติ จะมีมากมายเท่ากับจำนวนหนอนหรือไม่ก็ไม่ทราบ ต้องเสียเวลาเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์นานเสียกว่าวงจรชีวิตของกหนอนอีกเสียละกระมังท้ายสุดก็ต้องพึ่งพาสารเคมี…

ศัตรูพืชอีกตัวหนึ่ง คือ โรคใบด่างมันสำปะหลัง เมื่อปี 2558 มีรายงานการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลังในพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังในจังหวัดรัตนคีรี ประเทศกัมพูชา ได้มีการนำไปวิเคราะห์พบว่าเกิดโรคเชื้อไวรัสชนิด ศรีลังกา คาสซาวา โมเซอิค ไวรัส (SLCMV) ในปี 2560 มีการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลังชนิดนี้ทางภาคใต้ของประเทศเวียดนาม และในปี 2561/62 การระบาดเพิ่มมากขึ้นจนถึงโฮจิมินห์

ในเดือนสิงหาคม 2561 มีการตรวจพบต้นมันสำปะหลังของเกษตรกร ที่ตำบลไพรพัฒนา อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ และที่อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ มีลักษณะอาการคล้ายโรคใบด่างมันสำปะหลังกรมวิชาการเกษตรจึงเข้าไปขอให้เกษตรกรทำลายทิ้งเพราะถ้าโรคนี้แพร่กระจายออกไปจะทำให้ผลผลิตมันสำปะหลังได้รับความเสียหายอย่างมาก

จากนั้นได้มีการเฝ้าระวังการแพร่กระจายของโรคมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็เอาไม่อยู่อีกเช่นกัน เพราะล่าสุด พบโรคใบด่างมันสำปะหลังที่จังหวัดอื่นๆ อีกหลายจังหวัด ในภาคตะวันออก และตะวันออกเฉียงเหนือ สาเหตุเพราะเกษตรกรใช้ท่อนพันธุ์จากแหล่งที่มีโรคมาปลูก นอกจากนี้สภาพอากาศฝน
ทิ้งช่วงยังเอื้ออำนวยให้มีการระบาดของแมลงหวี่ขาวซึ่งเป็นพาหะของโรคใบด่างมันสำปะหลังนี้ด้วย

คำแนะนำสำหรับการป้องกันโรค
ใบด่างที่ดีที่สุด คือใช้ท่อนพันธุ์จากแหล่งที่ไม่เป็นโรคมาปลูก รวมทั้งใช้ศัตรูธรรมชาติและชีวภัณฑ์กำจัดแมลงหวี่ขาวซึ่งเป็นตัวพาหะของโรค

ไม่เพียงศัตรูพืช 2 ตัวนี้ ที่สร้างปัญหาให้กับเกษตรกร และเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการช่วยเหลือเกษตรกร ยังมีเรื่องของสารเคมี เรื่องของอาหารปลอดภัย เรื่องของ IUU เรื่องของโครงการถนนพาราซอยซีเมนต์ที่แว่วๆ ว่าไม่ชอบมาพากล เรื่องของทรัพยากรสัตว์น้ำ เรื่องของราคาผลผลิตตกต่ำสินค้าเกษตรที่ไม่ได้คุณภาพ และปัญหาอื่นๆ
อีกไม่น้อย ที่รอการแก้ไข ใครที่จะมาดูแลกระทรวงเกษตรฯ คงต้องเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ และต้องทำใจมาด้วยว่า เกษตรนี้มิใช่กล้วยๆ และมิใช่ หมูๆ…..

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : จากขยะทะเลถึงผักตบชวา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/422621

เลาะรั้วเกษตร : จากขยะทะเลถึงผักตบชวา

เลาะรั้วเกษตร : จากขยะทะเลถึงผักตบชวา

วันศุกร์ ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2562, 06.00 น.

การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 34 ได้สิ้นสุดลงแล้ว ประเทศไทยในฐานะประธานอาเซียน โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ประธานการประชุมได้อย่างเรียบร้อย ภายใต้แนวคิด “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” พร้อมกับตราสัญลักษณ์ของการประชุมในปีนี้ เป็นรูปพวงมาลัย ผลงานการออกแบบของ เขมพงษ์ รุ่งสว่าง และ ชยุตา หอมหนัก

ความหมายของตราสัญลักษณ์ คือสัญลักษณ์ของการต้อนรับและให้เกียรติผู้มาเยือน ดอกไม้ที่มาร้อยมาลัย สื่อถึงประชาชนของประชาคมอาเซียนที่มีความร่วมมือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อุบะมาลัย เป็นตัวแทนของประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ ที่รวมกันแล้วคล้ายลูกศรที่พุ่งขึ้น หมายถึงความร่วมมือในการขับเคลื่อนอาเซียนให้ก้าวไปข้างหน้า โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง

ที่ยกเรื่องการประชุมสุดยอดอาเซียนขึ้นมา เพราะมีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง ที่ผู้นำอาเซียนจะต้องให้การรับรองในการประชุมครั้งนี้ คือ ปฏิญญากรุงเทพฯ ว่าด้วยการต่อต้านขยะทะเลในภูมิภาคอาเซียน เจตนารมณ์ของปฏิญญาดังกล่าว ต้องการป้องกัน ลด และจัดการกับขยะทะเล โดยให้ประเทศสมาชิกอาเซียนสนับสนุนนวัตกรรม แนวคิด การวิจัย และส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการลดขยะทะเล โดยเฉพาะขยะที่มาจากกิจกรรมของประชากรที่อยู่บนพื้นดิน

นอกจากนี้ ยังต้องมีแนวทางการบริหารจัดการ มาตรการป้องกัน โดยการใช้กฎหมาย และกฏระเบียบต่างๆ ตลอดจนความร่วมมือของภาคเอกชนในการมีส่วนร่วมและลงทุนในการป้องกันและลดขยะทะเลโดยการนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้

เรื่องของขยะทะเล เป็นเรื่องที่สำคัญพอๆ กับขยะบนบก โดยเฉพาะพลาสติกที่ไม่ย่อยสลาย เพราะในแต่ละปีมีสัตว์ทะเลจำนวนไม่น้อย ทั้งปลาโลมา ปลาวาฬ เต่าทะเล และสัตว์ทะเลอีกหลายชนิดที่พากันตาย และผลการชันสูตรซากสัตว์ทะเลเหล่านั้นพบว่ามีเศษพลาสติกเข้าไปอยู่ในระบบการย่อยอาหาร หรือปิดกั้นระบบหายใจเป็นส่วนใหญ่ กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแลดล้อมได้พยายามรณรงค์ไม่ให้นักท่องเที่ยวทิ้งขยะลงทะเล ไม่ให้บริษัทผลิตน้ำดื่มใช้พลาสติกบางๆ ผนึกปิดฝาขวด ขอความร่วมมือไม่ให้ผู้บริโภคใช้หลอดดูดน้ำพลาสติค และอื่นๆ อีกมากมาย

จากปฏิญญากรุงเทพฯ ว่าด้วยการต่อต้านขยะทะเลในภูมิภาคอาเซียน คงจะทำให้กลุ่มนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมีความหวังมากขึ้นว่าสังคมจะช่วยทำให้ทะเลในภูมิภาคอาเซียนปราศจากขยะที่เป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม และสิ่งมีชีวิตในทะเล

ก่อนการประชุมสุดยอดอาเซียนสักประมาณ 1 สัปดาห์ มีข่าวในสื่อโซเชียล และโทรทัศน์อยู่หลายสถานี เรื่องที่ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนอำเภอภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประสบความสำเร็จในการนำใบผักตบชวา มาทำจานใส่อาหารแทนโฟม หรือพลาสติกและยินดีจะสอนให้ฟรีสำหรับผู้สนใจมาเรียนรู้นำกลับไปทำใช้เอง หรือทำเป็นการค้า เป็นการนำเอาวัชพืชที่เป็นอุปสรรคต่อการสัญจรในลำน้ำ หรือเป็นอุปสรรคในการไหลของน้ำ มาแปรรูปให้เกิดประโยชน์ อันจะช่วยลดปริมาณผักตบชวาลงได้

อันที่จริง ผักตบชวานำมาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน กล่าวคือ ใบใช้ทำภาชนะใส่อาหาร ก้านทำเป็นเส้นใยทอผ้า และกระดาษ หรือทำเครื่องจักสาน ส่วนรากนำมาทำปุ๋ยหมักใส่พืช

ผักตบชวา มีทั้งประโยชน์และเป็นวัชพืชที่ไม่พึงประสงค์ แถมยังเป็นวัชพืชที่ขยายพันธุ์เพิ่มประชากรได้อย่างรวดเร็ว ประเภทกำจัดเท่าไรก็ไม่ชนะ ทำให้เป็นภาระของหลายหน่วยงานที่ต้องกำจัด โดยในแต่ละปีไม่น่าเชื่อว่าต้องใช้งบประมาณรวมกันมากกว่า 2,000 ล้านบาท ทั้ง กรมชลประทาน กรมเจ้าท่า กรมโยธาธิการและผังเมือง และกรุงเทพมหานคร จนเมื่อปี 2559 สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ออกมาตั้งข้อสังเกตว่าเป็นงบประมาณที่มากเกินไปหรือไม่

กระทรวงเกษตรฯ เอง โดยกรมชลประทานเคยมีโครงการร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ใช้เชื้อราในการควบคุมผักตบชวา ซึ่งสำนักวิจัยและพัฒนากรมชลประทานบอกว่าได้ผลดีกับพื้นที่ต้นน้ำ หรือผักตบชวาที่หลงเหลือจากการใช้เครื่องจักรกำจัด กรมชลประทานมีวิธีการกำจัดผักตบชวาหลายวิธีนอกเหนือจากการทดสอบใช้เชื้อราแล้ว ยังมีการใช้แรงงานคน ใช้เครื่องจักร และใช้สารย่อยสลายฉีดพ่น ขึ้นอยู่กับพื้นที่ ถ้าพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลเป็นพันๆ ไร่ ก็จะใช้หลายๆ วิธีแบบผสมผสาน แต่ละหน่วยงานที่เอ่ยชื่อมาแล้วข้างต้น ก็คงใช้วิธีการไม่แตกต่างกันนัก

คำถาม คือ มีหลายหน่วยงานที่ช่วยกันกำจัด มีงบประมาณเป็นพันล้านในการกำจัดมีหลายวิธีในการกำจัด มีการใช้ประโยชน์จากผักตบชวาด้วย แต่ทำไมผักตบชวาจึงไม่หมดเสียที….รัฐบาลชุดใหม่ของท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา น่าจะหยิบยกเรื่องการกำจัดผักตบชวามาเป็นเรื่องสำคัญ และหาแนวทางกำจัดให้ได้ผล มิเช่นนั้นจะต้องเสียงบประมาณปีละกว่า 2,000 ล้านบาท ไปเรื่อยๆ ส่วนราชการอาจจะไม่เสียดาย แต่ประชาชนเสียดาย…..

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : เอาอยู่ไหม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/421216

281225166

เลาะรั้วเกษตร : เอาอยู่ไหม

วันศุกร์ ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2562, 06.00 น.

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยปลัดกระทรวง อนันต์ สุวรรณรัตน์ ควงคู่ 2 อธิบดี เสริมสุข สลักเพ็ชร์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร และ สำราญ สาราบรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร แถลงข่าวมาตรการจำกัดการใช้สารเคมี 3 ชนิด คือสารกำจัดวัชพืช พาราควอต และไกลโฟเซต และสารกำจัดแมลง คลอร์ไพรีฟอส

โดยสรุปคือ ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่เกี่ยวข้องกับการจำกัดการใช้สารทั้ง 3 ชนิดนั้น จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป สิ่งที่ประกาศฯ บังคับคือ เกษตรกรที่จะซื้อสารทั้ง 3 ชนิดไปใช้ได้ จะต้องเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตร และต้องผ่านการทดสอบความรู้เกี่ยวกับการใช้สารเคมีที่ถูกต้อง ตามที่กรมวิชาการเกษตรรับรองแล้วเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ ซื้อสารเคมี

ถ้าจะซื้อสารเคมีกำจัดวัชพืช พาราควอท และไกลโฟเซต ผู้ซื้อต้องเป็นเกษตรกรที่ปลูกข้าวโพด ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง อ้อย และไม้ผลเท่านั้น ถ้าจะซื้อคลอร์ไพรีฟอส ผู้ซื้อต้องปลูกพืชไร่ ไม้ดอก และซื้อไปกำจัดหนอนเจาะลำต้นในไม้ผลเท่านั้น ถ้าปลูกข้าว พืชผัก สมุนไพร ห้ามใช้สารเคมี 3 ชนิดนี้เด็ดขาด

ที่สำคัญคือ พื้นที่ปลูกพืชต่างๆ เหล่านั้น ต้องไม่ใช่พื้นที่ต้นน้ำ และพื้นที่สาธารณะ และเกษตรกรที่จะมีสิทธิ์ซื้อจะต้องเป็นผู้ที่มีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ นอกจากนี้ เกษตรกรที่จะฉีดพ่นสารเคมีด้วยตนเอง หรือผู้รับจ้างฉีดพ่นสารเคมีทั้ง 3 ชนิดนี้ ก็จะต้องผ่านการทดสอบความรู้ เกี่ยวกับการใช้สารเคมี และวิธีฉีดพ่นที่ถูกต้องกับกรมวิชาการเกษตรด้วย จึงจะได้รับใบอนุญาตให้ฉีดพ่น หรือรับจ้างฉีดพ่นได้

ถ้าเกษตรกรยังไม่มั่นใจว่าตนเองมีความรู้เกี่ยวกับการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิดนี้ ดีพอที่จะผ่านการทดสอบได้ สามารถสมัครเข้ารับการอบรมก่อนได้ แต่ถ้าคิดว่ามีความรู้เป็นอย่างดีแล้ว สามารถสมัครเข้ารับการทดสอบได้เลย ติดต่อสอบถามที่สำนักงานเกษตรอำเภอที่แปลงปลูกพืชชนิดนั้นๆ ตั้งอยู่ หรือถ้าสะดวกจะสมัครโดยใช้ระบบออนไลน์ ก็สามารถเข้าไปที่ http://chem..doae.go.th “ระบบจำกัดการใช้สารเคมี 3 ชนิด” หรือใช้ แอปพลิเคชั่น “FARMBOOK” สมัครได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

กรมส่งเสริมการเกษตร จะดำเนินการจัดอบรม และทดสอบให้กับเกษตรกรที่ปลูก ข้าวโพด มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน และไม้ผล การยางแห่งประเทศไทย จะจัดอบรมและทดสอบให้กับเกษตรกรผู้ปลูกยาง และ สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย จะจัดอบรมและทดสอบให้กับเกษตรกรผู้ปลูกอ้อย

มาตรการจำกัดการใช้สารเคมี 3 ชนิด ด้วยวิธีการดังกล่าว จะสามารถลดปริมาณสารเคมีกำจัดวัชพืช พาราควอท และไกลโฟเซต รวมทั้งสารเคมีกำจัดแมลง คลอร์ไพริฟอส ในประเทศไทยลงได้หรือไม่ คงต้องติดตามดูต่อไป แต่ที่แน่ๆ มาตรการจำกัดการใช้สารเคมีทางการเกษตร ที่สร้างความยุ่งยากให้กับเกษตรกร และผู้จำหน่ายสารเคมีเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อน ถ้าจะแบน หรือยกเลิกการใช้ก็ประกาศยกเลิกกันไปเลย เช่น ในปี 2546 ได้ประกาศยกเลิกการใช้ เมทามิโดฟอส หรือ เมื่อปี 2556 ยกเลิกการใช้สารเคมีอีก 4 ชนิด คือ คาร์โบฟูแรน เมโทมิล ไดโครโตฟอส และอีพีเอ็น

ถ้าจะว่าไป บริบทของสารเคมีที่ประกาศยกเลิกไปแล้วนั้น ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่ามีความเป็นพิษร้ายแรง และมีสารเคมีชนิดอื่นมาใช้ทดแทนได้ แต่พาราควอต ไกลโฟเซต และ คลอร์ไพรีฟอส ยังมีความเห็นขัดแย้งกันอยู่ โดยเฉพาะ เกษตรกรผู้ใช้จำนวนมากยังเห็นว่า สารดังกล่าวไม่ได้มีพิษร้ายแรงอย่างที่ผู้ต้องการให้ยกเลิกยกขึ้นมากล่าวอ้าง ที่สำคัญคือยังไม่มีสารเคมีชนิดอื่นมาทดแทนได้ หรือมีก็ราคาแพงกว่าสารเคมีชนิดเดิมมาก คณะกรรมการวัตถุอันตรายซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับวัตถุอันตราย จึงยังไม่ให้ยกเลิกการใช้สารเคมี 3 ชนิดนั้นทันที อันเป็นที่มาของมาตรการจำกัดการใช้ดังกล่าว

ความขัดแย้งในเรื่องการยกเลิก หรือไม่ยกเลิกการใช้สารเคมี 3 ชนิดยังไม่ยุติดี พลันก็มีการยกร่างกฎหมายขึ้นมาฉบับหนึ่ง เรียกว่า พ.ร.บ. สารเคมี พ.ศ…….. โดยมีหลักการประกอบร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ว่า “เพื่อให้ประเทศไทยมีกฎหมายการจัดการสารเคมีที่สามารถปกป้องสุขภาพประชาชน คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และเป็นไปในแนวทางสากล”

เหตุผลที่อ้างไว้ประการหนึ่งคือ ที่ผ่านมาการจัดการสารเคมีอยู่ภายใต้การดูแลของกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ และมีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกฎหมายที่ว่าด้วยวัตถุอันตรายใช้มานานกว่า 30 ปีแล้ว แต่การจัดการสารเคมียังเป็นไปอย่างไม่ครบวงจร มีความซ้ำซ้อน และมีช่องว่างในการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อให้การกำกับดูแลสารเคมีเป็นไปอย่างครบวงจรจึงจำเป็นต้องตรา พ.ร.บ.ฉบับนี้ขึ้นมา

ตามร่าง พ.ร.บ. สารเคมี พ.ศ…..ขับเคลื่อนด้วยคณะกรรมการสารเคมีแห่งชาติ ที่มีนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายเป็นประธาน

ก็ว่ากันไป..คอยดูกันไปว่า พ.ร.บ. ฉบับนี้จะผ่านสภาฯ ไหม..และจะเอาสารเคมีเกษตรอยู่หรือไม่…

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : ใครจะมาใครจะไป

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/419694

281225166

เลาะรั้วเกษตร : ใครจะมาใครจะไป

วันศุกร์ ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2562, 06.00 น.

ยังไม่อยากรู้ว่าใครจะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้นายกรัฐมนตรีคนหน้าเดิม พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กับพรรคร่วมรัฐบาล ไปโม่มาให้เสร็จก่อนค่อยประกาศให้สังคมรู้อย่างเป็นทางการ ไม่อยากฟังข่าวลือ ข่าวโคมลอย ข่าวที่เขาว่ากันว่าอย่างนั้นอย่างนี้…มันเสียเวลา…

ระหว่างรอรัฐบาลใหม่ รัฐมนตรีใหม่ ก็ฟังข่าวของรัฐมนตรีคนเก่าไปเรื่อยๆ ข่าวของรัฐมนตรีเก่าที่พยายามจะแย่งเนื้อที่ข่าวแทรกขึ้นมาอยู่บ้างคือข่าวราคายางที่ขยับขึ้นมาแตะ 60 บาท หรือทะลุ 60 บาท (ราคาส่งออก FOB) ที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ กฤษฎา บุญราช ออกมายืนยันว่าเป็นผลมาจากมาตรการส่งเสริมการใช้ยางภายในประเทศ โดยเฉพาะโครงการ 1 หมู่บ้าน 1 กิโลเมตร คือการใช้น้ำยางสดไปเป็นส่วนผสมทำถนนที่เรียกว่า พาราซอยซีเมนต์ ทุกหมู่บ้านทั่วประเทศ หมู่บ้านละ 1 กิโลเมตร ซึ่งความยาวดังกล่าวจะต้องใช้ยางพารา 1.3 ตัน คาดว่าตามมาตรการนี้จะใช้ยางพาราไม่ต่ำกว่าปีละ 1 ล้านตัน ซึ่งทำให้ปริมาณการใช้ยางพาราในประเทศเพิ่มสูงขึ้น

อาจจะนับว่าเป็นผลงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ที่มาจากอดีตเบอร์ 1 ของกระทรวงมหาดไทยฝ่ายข้าราชการประจำ ที่ยังมีบารมีมากพอที่จะขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่เป็นกลไกของฝ่ายปกครองมาช่วยขับเคลื่อนมาตรการของกระทรวงเกษตรฯ ได้บ้าง

ถ้าราคายางขยับขึ้นมาเสียตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งก็จะดี เพราะจะได้ไม่มีใครเอาไปอ้างเพื่อต่อรองขอเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ เพื่อจะเข้ามาแก้ปัญหาราคายางตกต่ำ….

เมื่อพูดถึงรัฐมนตรี…..อันว่ารัฐมนตรีของกระทรวงเกษตรฯและสหกรณ์ ในอดีตไม่ต้องย้อนไปไกล เอาแค่ช่วงรัฐบาลสมัยที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี..รัฐมนตรีของกระทรวงเกษตรฯจะมี 4 ท่าน รัฐมนตรีว่าการฯ 1 ท่าน และช่วยว่าการอีก 3 ท่าน เพราะงานของกระทรวงเกษตรฯมีหลากหลาย ทั้ง พืช ปศุสัตว์ ประมง ที่ดินทำกิน ชลประทาน สหกรณ์ เมื่อก่อนยังมี ป่าไม้ สะพานปลา ส่งเสริมเลี้ยงโคนม อุตสาหกรรมห้องเย็น อุตสาหกรรมป่าไม้ และกิจการที่เกี่ยวกับยางพารา

งานมากมาย หลากหลายขนาดนี้ เฉลี่ยให้แต่ละคนดูแล รัฐมนตรี 4 คน ก็ดูจะมีงานล้นมือ 4 คนจึงไม่มากเกินไป มาในยุคหลังๆ ที่รัฐมนตรีเกษตรฯ ลดลงเหลือ เพียง 3 ท่าน และ 2 ท่าน คือสมัยรัฐบาล นายกรัฐมนตรี อานันท์ ปันยารชุน (สมัยแรก 2534-2535) ซึ่งมี ดร.อาณัติ อาภาภิรม เป็นรัฐมนตรีว่าการฯ และมี ดร.อาชว์ เตาลานนท์ และ โฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ เป็นรัฐมนตรีช่วยฯ เรียกว่าทั้งรัฐมนตรีว่าการ และช่วยว่าการ คุณภาพคับแก้วทั้ง 3 ท่าน มีรัฐบาลพลเอกสุจินดา คราประยูร มาคั่นอยู่ 2 เดือน นายกรัฐมนตรี อานันท์ ปันยารชุน กลับมาอีกครั้ง รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯเหลือเพียง 2 ท่าน คือ โฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการ และ มีอำพล เสนาณรงค์ เป็นรัฐมนตรีช่วยฯ แต่รัฐบาลชุดนี้มีอายุเพียง 4 เดือน

ยุครัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร สมัยแรก รัฐมนตรีของกระทรวงเกษตรฯ มี 2 ท่าน รัฐมนตรีว่าการฯ ชื่อ ชูชีพ หาญสวัสดิ์ รัฐมนตรีช่วยฯ ชื่อ นที ขลิบทอง เมื่อนทีลาออก ได้แต่งตั้งประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ เข้ามาแทน สมัยที่ 2 มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ชื่อ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รัฐมนตรีช่วยฯ ชื่อ เนวิน ชิดชอบ เมื่อโยกเนวิน ไปเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ก็ได้แต่งตั้ง อดิศร เพียงเกษ มานั่งแทน

ยุคนี้ เป็นยุคที่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างกระทรวงเกษตรฯ ปรับเอาบางหน่วยงานออกไป กรมป่าไม้ และองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ไปขึ้นอยู่กับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยุบองค์การอุตสาหกรรมห้องเย็น และพยายามจะจัดตั้ง การยางแห่งประเทศไทย

สมัยรัฐบาล พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ มีเพียง 2 ท่าน มี ดร.ธีระ สูตะบุตร เป็นรัฐมนตรีว่าการฯ และ รุ่งเรือง อิศรางกูร ณ อยุธยา เป็นรัฐมนตรีช่วยฯ หลังจากนั้นเป็นต้นมา สมัยรัฐบาล สมัคร สุนทรเวช และ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งเป็นรัฐบาลช่วงสั้นๆ มีอายุไม่ถึง 1 ปี รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ มี 3 ท่าน ยังไม่ทันตั้งหลักทำงานก็มีอันต้องไปเสียแล้ว

สมัยรัฐบาลนายกรัฐมนตรีฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รัฐมนตรีของกระทรวงเกษตรฯ มี 2 ท่าน และเป็น 2 ท่านที่มิได้มาจากพรรคที่ท่านเป็นหัวหน้าพรรคอยู่ รัฐมนตรีว่าการฯ ธีระ วงศ์สมุทร มาจากพรรคชาติไทยพัฒนา รัฐมนตรีช่วยฯ ชาติชาย พุคยาภรณ์ หรือ ศุภชัย โพธิ์สุ ก็มาจากพรรคภูมิใจไทย

เมื่อประชาธิปัตย์ ไม่ได้ดูแลกระทรวงเกษตรฯ มานานนับสิบๆ ปี มาถึงวันนี้อยากเข้ามาดูแลกระทรวงเกษตรฯ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรแก้ปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำ โดยขอเก้าอี้กระทรวงพาณิชย์ มาเป็นกลไกการตลาดด้วย ดูๆ ก็น่าจะดี แต่พรรคอื่นๆ เขาทำกันมาไม่รู้กี่ปีแล้ว ไม่เห็นสำเร็จสักที ดูทีรึ…ประชาธิปัตย์ จะทำได้

ข้าราชการ 2 กระทรวง…เตรียมตัว…….สู้ๆ…นะพี่น้อง…….

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : ยอมๆ กันบ้างก็ได้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/418252

281225166

เลาะรั้วเกษตร : ยอมๆ กันบ้างก็ได้

วันศุกร์ ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2562, 06.00 น.

ไม่เคยปรากฏมาก่อน ที่การจัดตั้งรัฐบาลในสมัยใดจะมีปัญหาเรื่องการต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จนเกือบจะตั้งรัฐบาลไม่ได้เท่ากับสมัยนี้ กระทรวงเกษตรฯ มีดีอะไร ที่หลายพรรคอยากจะมาดูแล…

ไม่ต้องพูดถึงฐานคะแนนเสียง ไม่ต้องพูดถึงการทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับชาวบ้านที่จะมาแก้ปัญหาทำให้ราคาพืชผลสูงขึ้น ไม่ต้องพูดถึงงานที่ต้องมาสานต่อ…เพราะนั่นเป็นเพียงแค่ข้ออ้าง….

พรรคใดจะมาดูแลกระทรวงเกษตรฯ ใครจะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ขอให้มีความจริงใจในการแก้ปัญหาภาคการเกษตรอย่างแท้จริง แต่ถ้าหวังจะมาแสวงหาผลประโยชน์จากเกษตรกร….ขอให้มีอันเป็นไป….

ในระหว่างนี้..ที่คนไทยส่วนใหญ่กำลังเสียใจ และเสียดายต่อการจากไปของ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ และมีการนำเสนอผลงานและเกียรติประวัติของท่านผ่านสื่อต่างๆ อย่างมากมาย ที่สำคัญ ๆ ที่กล่าวถึงกันมาก คือ โครงการอีสต์เทิร์นซีบอร์ด ที่ทำให้ประเทศไทยเริ่มต้นการเป็นประเทศอุตสาหกรรม โครงการปิโตรเคมีที่ทำให้ประเทศไทยโชติช่วงชัชวาลย์ ด้วยพลังงานจากก๊าซธรรมชาติ นโยบายการเมืองนำการทหาร เลิกทำสงครามกับคอมมิวนิสต์ ทำให้นักศึกษาที่หลบหนีเข้าป่าไปเมื่อปี 2519 กลับออกมาเรียนต่อ ทำการทำงาน และดำรงชีวิตอยู่ในสังคมปัจจุบันได้อย่างเสรี

อีกผลงานหนึ่งที่อยากย้อนกลับไปดู แม้จะไม่ใช่ด้านการเกษตรโดยตรง แต่เป็นผลงานที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรอยู่หลายส่วนนั่นคือ “โครงการสร้างงานในชนบท” หรือ กสช.

อันที่จริง โครงการสร้างงานในชนบทนั้น เป็นโครงการที่สานต่อโครงการพัฒนาท้องถิ่นและช่วยเหลือประชาชนในชนบทให้มีงานทำในฤดูแล้ง หรือ “โครงการเงินผัน” สมัยรัฐบาลม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งเริ่มดำเนินการในปี 2518 และดำเนินการต่อเนื่องในปีต่อๆ มาในรัฐบาลของ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช และ รัฐบาล พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ในชื่ออื่นๆ ได้แก่ โครงการพัฒนาท้องถิ่นและช่วยประชาชนให้มีงานทำ หรือ พปช. และ โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจชนบทที่ประสบภัยธรรมชาติ หรือ กฟป.

จนกระทั่ง พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในเดือนกุมภาพันธ์ 2523 ต้องมีการคัดเลือกผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีผู้ที่เหมาะสมเป็นคู่แข่งกันอยู่ 2 ท่าน คือ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี และ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ในระยะแรก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ได้ประกาศว่าตนเองพร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรี เหมือนอย่างที่ใครบางคนในยุคนี้ประกาศตนในทำนองนี้เช่นเดียวกัน แต่เมื่อท่านได้ใคร่ครวญ และวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรอบด้านท่านก็เปลี่ยนใจ ดังข้อความที่ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ค่ายหนึ่งว่า

“การที่ทหารจะเป็นนายกฯ ผมไม่อยากเห็นด้วยก็ต้องเห็นด้วย เพราะความจำเป็นและสภาพแวดล้อมบังคับ ถ้าได้ทหารที่ดีมาเป็นนายกฯ และคนที่รู้เศรษฐกิจดีอย่างผมไปเป็นลูกน้อง เราก็จะได้ช่วยกันทำประโยชน์ให้บ้านเมืองเสียที ผมว่าอย่างนี้ดีที่สุด มานั่งถือยศถือศักดิ์อยู่ไม่ได้ ต้องทำงานกันแล้ว” (2 มีนาคม 2523)

จากนั้นได้มีการพบปะเจรจากันระหว่าง พลเอกเปรม ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ และ นายบุญชู โรจนสถียร หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรคกิจสังคม ข่าวว่าเป็นการเจรจาถึงแนวทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ โดยพรรคกิจสังคมต่อรองให้พลเอกเปรม นำนโยบายแก้ปัญหาเศรษฐกิจของพรรคกิจสังคมไปดำเนินการโดยเฉพาะโครงการเงินผัน ซึ่งกลายมาเป็น โครงการสร้างงานในชนบท สมัยรัฐบาล พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่มี บุญชู โรจนเสถียร เป็นรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ

โครงการสร้างงานในชนบท ดำเนินการทุกปี (2523-2531) ตลอดระยะเวลาที่ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี 2 สมัย วัตถุประสงค์หลักของโครงการ คือ ให้ราษฎรที่ยากจน ไม่มีงานทำ เพราะประสบภัยแล้งทำการเกษตรไม่ได้ ให้มีงานทำ มีรายได้ ป้องกันการอพยพเข้ามาหางานทำในเมือง การสร้างงานดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นการจ้างแรงงานสร้างแหล่งน้ำและสิ่งสาธารณประโยชน์ในท้องถิ่น ซึ่งส่งผลให้ชาวบ้านมีรายได้ มีแหล่งน้ำทำการเกษตรและอุปโภคบริโภค เป็นการกระจายรายได้ให้กับประชากรในชนบท

ที่ว่ามานี้ เพียงอยากจะยกเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า นักการเมืองในอดีตอย่าง ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช นั้นท่านคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นสำคัญ และ นายกรัฐมนตรีที่มาจากทหารอย่าง พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ท่านก็ยอมรับนโยบายที่ดีของพรรคการเมืองอื่นได้ ถ้านโยบายนั้นสามารถแก้ปัญหาบ้านเมืองให้ลุล่วงไปได้

นักการเมืองวันนี้…ทำได้ป่ะล่ะ

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : งานหนัก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/416840

281225166

เลาะรั้วเกษตร : งานหนัก

วันศุกร์ ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2562, 06.00 น.

เรื่องราวของสารเคมี 3 ชนิด คือ พาราควอท ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส ที่ขับเคี่ยวกันแบบเอาเป็นเอาตายระหว่างผู้สนับสนุน กับ
ผู้คัดค้านการใช้ จนในที่สุดนำมาซึ่งมาตรการ “จำกัดการใช้” ที่กรมวิชาการเกษตรได้เสนอแนวทางการดำเนินงานให้กระทรวงเกษตรฯ เห็นชอบ และกระทรวงเกษตรฯ ก็ได้เห็นชอบตามเสนอ อันเป็นปกติของลำดับชั้นของการเสนอเรื่องราวของทางราชการให้ผู้บังคับบัญชาอนุมัติ

แนวทางการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับหลายฝ่ายและสร้างความโกลาหลให้ใครต่อใคร ก็คือมาตรการตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 5 ฉบับ ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2562 และจะมีผลบังคับใช้ภายใน 180 วัน นับถัดจากวันประกาศ นับแล้วก็จะประมาณ 20 ตุลาคม 2562

ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากประกาศ 5 ฉบับนี้คือ เกษตรกรผู้ที่ต้องการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิด ผู้รับจ้างฉีดพ่นสารเคมีทั้ง 3 ชนิด ผู้ขาย ผู้นำเข้า หรือผู้ผลิตสารทั้ง 3 ชนิดนั้น รวมทั้งผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่

กระทบอย่างไร…. เกษตรกรผู้ต้องการใช้สาร และผู้รับจ้างฉีดพ่น จะต้องผ่านการอบรม หรือผ่านการทดสอบความรู้เกี่ยวกับการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิดนั้นอย่างถูกต้องและปลอดภัย ได้รับการรับรองจากกรมวิชาการเกษตรแล้วเท่านั้นจึงจะสามารถซื้อสารเคมีเหล่านั้นมาใช้ได้ หรือ รับจ้างฉีดพ่นได้

งานหนักสำหรับมาตรการนี้คือ การอบรม และการทดสอบเกษตรกร และผู้รับจ้างฉีดพ่น ซึ่งมีการประมาณการกันว่าจะมีเกษตรกรที่ต้องทำการอบรมประมาณ 1.5 ล้านคน และ ผู้รับจ้างฉีดพ่นประมาณ 5 หมื่นคน ที่หนักหนาก็คือต้องอบรมคนจำนวนเท่านี้ให้เสร็จภายในเดือนกันยายน 2562 ก่อนที่ประกาศกระทรวงเกษตรฯ จะมีผลบังคับใช้

เกษตรกร 1.5 ล้านคน คือเกษตรกรที่ปลูกพืช ซึ่งอนุญาตให้ใช้สารเคมีดังกล่าวได้ ซึ่งมีเพียง 6 ชนิด คือ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ข้าวโพด อ้อย มันสำปะหลัง และไม้ผล

มีการแบ่งผู้รับผิดชอบการฝึกอบรมเป็นกลุ่มๆ ดังนี้ กรมวิชาการเกษตร เป็นผู้กำหนดหลักสูตรและอบรมเจ้าหน้าที่ของกรมวิชาการเกษตรเอง พนักงานเจ้าหน้าที่ และผู้รับจ้างฉีดพ่น เพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่ผ่านการอบรมแล้วไปอบรมเจ้าหน้าที่ของกรมส่งเสริมการเกษตร การยางแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย สมาคมต่างๆ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานเหล่านี้ที่ผ่านการอบรมแล้ว ไปอบรมเกษตรกร

เกษตรกรที่ปลูกอ้อย สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลจะเป็นผู้ดำเนินการจัดฝึกอบรม เกษตรกรผู้ปลูกยาง กยท.จะเป็นผู้จัดการฝึกอบรม นอกจากนี้ยังได้ขอความร่วมมือสมาคมและองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพืชทั้ง 6 ชนิด และเกี่ยวข้องกับสารเคมี ให้ความร่วมมือในการจัดฝึกอบรมด้วย

เวลาคิดก็ดูง่าย แต่เวลาลงมือทำไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด โดยเฉพาะความร่วมมือจากเกษตรกรในการอบรม และทำแบบทดสอบซึ่งทราบว่าใช้ระบบออนไลน์ในการทำแบบทดสอบกับกรมวิชาการเกษตร และได้เห็นแบบทดสอบแล้ว สำหรับเกษตรกรทั่วๆ ไปนั้นไม่ง่ายเลย ถ้าทดสอบไม่ผ่านต้องทำอย่างไรต่อ ให้สอบใหม่ หรือต้องกลับไปอบรมใหม่ ด้วยวัย ด้วยภาระหน้าที่ และปัจจัยต่างๆ เกษตรกรจะให้ความร่วมมือสักเท่าไร

จะมีการอบรมพนักงานเจ้าหน้าที่ที่แต่งตั้งบุคลากรของกระทรวงมหาดไทย คือ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ถ้ากำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ไม่ได้มีอาชีพการเกษตร ความเข้าใจ และการให้ความสำคัญกับเรื่องนี้จะมีมากน้อยเพียงไร และยิ่งจะทำการอบรมให้เขารู้เรื่องสารเคมี 3 ชนิดนี้ รวมทั้งกฎหมาย และมาตรการต่างๆ ผ่านระบบวีดีโอ คอนเฟอเรนซ์ ท่านนึกภาพออกไหมว่าจะมีคนตั้งอกตั้งใจฟังสักกี่คน

เผลอๆ ถ้าเจอผู้ใหญ่บ้าน และ กำนันที่มีอิทธิพลหน่อย ใช้อำนาจหน้าที่ที่หยิบยื่นให้นี้แสวงหาผลประโยชน์ ยิ่งไปกันใหญ่…ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้มี….

นอกจากนี้ยังมีกรณีของพื้นที่สาธารณะ เช่น 2 ข้างทางรถไฟ หรือ ถนนหลวง การรถไฟแห่งประเทศไทย และกรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท..ต้องพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะถ้าจะใช้สารกำจัดวัชพืช 2 ข้างทาง ซึ่งถือเป็นที่สาธารณะ ก็จะต้องไปขออนุญาตซื้อสารกำจัดวัชพืชจากกรมวิชาการเกษตรด้วย

ที่กล่าวมาทั้งหมดดูเป็นอะไรที่ยุ่งยากเดือดร้อนกันไปทั่ว เพราะเป็นมาตรการที่ใช้กฎหมาย และสร้างเงื่อนไขจากทางราชการ สิ่งที่เกษตรกรหรือประชาชนเสนอในการทำประชาพิจารณ์ต่อมาตรการดังกล่าว ไม่ได้ถูกหยิบยกมาพิจารณาแต่อย่างใด

ฝากถึงรัฐบาลใหม่ที่กำลังจัดตั้ง และต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ กันอยู่นี้…ช่วยเหลียวแลด้วย….

แว่นขยาย