เลาะรั้วเกษตร : กัญชา..อีกสักครั้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/415382

281225166

เลาะรั้วเกษตร : กัญชา..อีกสักครั้ง

วันศุกร์ ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2562, 06.00 น.

คุยเรื่องเกี่ยวกับกัญชามาหลายครั้ง คิดว่าจะเลิกคุยแล้ว แต่มีเรื่องให้ต้องพูดถึงกัญชาอีก ด้วยความเป็นห่วง

วันก่อนได้มีโอกาสไปฟังสัมมนาวิชาการเรื่อง “น้ำมันมะพร้าว….อาหารสมอง” ซึ่งจัดโดยชมรมอนุรักษ์น้ำมันมะพร้าวแห่งประเทศไทย ที่ไปฟังเพราะสนใจหัวข้อบรรยายเรื่อง “บูรณาการกัญชากับน้ำมันมะพร้าว” ผู้บรรยายคือ อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ของ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์

ตอนหนึ่ง อาจารย์ปานเทพบอกว่า ในตำรับยาไทยไม่เคยใช้น้ำมันกัญชาเพียงอย่างเดียว จะต้องมีส่วนผสมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ ด้วย เพื่อแก้ไขปัญหาผลข้างเคียงของกัญชา เช่น อาจจะผสมกับขิงแห้ง ดีปลี และพริกไทย เพื่อแก้ไขเรื่อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ ถ้าใช้กัญชาเพียวๆ พร้อมกับยกกรณีตัวอย่างของการทดลองใช้สารสกัดจากกัญชากับผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว ในปริมาณที่แตกต่างกัน ในแต่ละช่วงเวลา เป็นระยะเวลานานประมาณ 80 วัน ปรากฏว่าผู้ป่วยหายจากการเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว แต่ไม่รอดชีวิต เพราะไปมีอาการอื่นแทน เช่น เบื่ออาหาร อาเจียน และสุดท้ายติดเชื้อในกระแสโลหิต

อาจารย์ปานเทพยังบอกอีกว่า น้ำมันกัญชาที่ผลิตกันอยู่ในประเทศไทยนั้น มีวิธีการสกัดน้ำมันที่แตกต่างกัน ซึ่งสรรพคุณของน้ำมันที่ได้ก็แตกต่างกัน และการนำไปใช้ก็จะไม่ใช้น้ำมันกัญชาเพียวๆ แต่จะผสมกับน้ำมันอย่างอื่น ที่นิยมผสมกันคือน้ำมันมะพร้าว

น้ำมันมะพร้าว เป็นไขมันชนิดอิ่มตัวที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ทันที ไม่สะสมเป็นไขมันในร่างกาย มีสรรพคุณในการต่อต้านเชื้อโรคช่วยให้เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจทำงานได้ดี มีสารคีโตนซึ่งเป็นพลังงานที่สำคัญสำหรับสมองของคน เชื่อกันว่าจะสามารถป้องกันโรคสมองเสื่อมได้

อาจารย์ปานเทพจึงทิ้งท้ายไว้ว่า น่าทำการศึกษาต่อว่าน้ำมันกัญชาที่หลายคนนำไปรักษาโรคที่เป็นอยู่ แล้วบอกว่าทำให้อาการดีขึ้นหรือหายไปเลยนั้น แท้ที่จริงแล้วมาจากสรรพคุณของกัญชา หรือน้ำมันมะพร้าวกันแน่

เมื่อฟังแล้ว ก็ทำให้กลับมาคิดว่า สิ่งที่หลายคน หลายฝ่าย กำลังเรียกร้องให้ปลูกกัญชา และผลิตสารสกัดจากกัญชาเพื่อนำมารักษาโรคได้อย่างถูกกฎหมายนี้ เรามีข้อมูลทางวิชาการที่เพียงพอ เรามีผลการทดลองที่เชื่อถือได้จริงๆ แล้วหรือยัง หรือเป็นเพียงกระแส เป็นเพียงความบังเอิญที่ได้ผลดีกับผู้ป่วยเพียงไม่กี่ราย แต่ไม่อาจจะใช้กับผู้ป่วยทุกรายได้ เหมือนอย่างที่ครั้งหนึ่งเราตื่นเต้นกับ ต้นหนานเฉาเหว่ย หรือ ป่าช้าเหงา ว่าสามารถรักษามะเร็งได้ แต่ปรากฏว่ามีผลข้างเคียงอย่างอื่นตามมาอันมีสาเหตุมาจากการบริโภคหนานเฉาเหว่ยติดต่อกันเป็นเวลานาน

มีการเรียกร้องให้ถอดกัญชาและกัญชงออกจาก พ.ร.บ.ยาเสพติด และอนุญาตให้ชาวบ้านปลูกกัญชาได้อย่างเสรีทุกบ้าน บ้านละ 5-6 ต้น หรือบางคนก็เรียกร้องให้ปลูกกัญชาเป็นแปลงใหญ่ โดยอ้างประเทศเพื่อนบ้านว่าเขาปลูกได้เป็นพันๆ ไร่ อันที่จริงทราบจากคนรู้จักที่อยู่สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส. ว่า จับกุมและยึดกัญชาได้แทบทุกวัน รวมแล้วเดือนละหลายสิบตัน อันแสดงให้เห็นว่าในความเป็นจริงก็มีการลักลอบปลูกกัญชากันอยู่ไม่น้อยแล้วในบ้านเรา

ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวว่ากัญชาล้นตลาด ไม่ว่าจะที่แคนาดา หรือ สหรัฐอเมริกา ประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่รอบๆ บ้านเรา ที่บอกว่าส่งกัญชาไปขายที่สหรัฐอเมริกา ตอนนี้อเมริกาก็ปฏิเสธไม่รับซื้อแล้ว โดยอ้างว่ากัญชาเหล่านั้นมีสารปนเปื้อน ซึ่งเป็นคำปฏิเสธที่ใช้อ้างได้ในทุกกรณี

พรรคการเมืองที่ชูนโยบายกัญชาเป็นนโยบายหลักของพรรค ถึงกับประกาศว่าถ้าใครไม่สนับสนุนนโยบายกัญชา จะไม่ยอมร่วมรัฐบาลด้วยนั้นคงต้องเหลียวหลังแลหน้าอย่าออกตัวแรง ค่อยเป็นค่อยไป เหมือนที่เล่นตัวชิลล์ๆ กับการร่วมจัดตั้งรัฐบาลอย่างที่ทำอยู่นี้จะดีกว่า…

สหรัฐอเมริกา และแคนาดาเอง ที่มีการใช้กัญชาในทางการแพทย์อย่างแพร่หลาย แต่ก็มิใช่ทำได้อย่างเสรีทุกรัฐ ยังมีบางรัฐที่ยังไม่ยอมทำให้กัญชาถูกกฎหมาย เพราะภายใต้กฎหมายภาษีถือว่ากัญชาเป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภทที่ 1 ที่ผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกัญชาไม่สามารถหักภาษีนิติบุคคลได้ ธุรกิจกัญชาที่มีรายได้สูงจึงเสียภาษีมาก แต่ถ้ากัญชาเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายรัฐจะสูญเสียรายได้จากภาษีไปสูงมาก

บ้านเราก็เถอะ…ผู้เชียร์ให้กัญชาถูกกฎหมายหวังว่าจะนำมาใช้รักษาโรคได้สารพัด…นั่นก็ส่วนหนึ่งเพราะไม่อยากหลบๆ ซ่อนๆ และซื้อหามาใช้ในราคาแพง อีกกลุ่มหนึ่งก็หวังว่าถ้ากัญชาถูกกฎหมายจะสามารถปลูกกัญชาเป็นพืชทองค้าขายได้ร่ำรวย..นี่ก็อีกส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะส่วนหลังนี้ต้องทำใจไว้ด้วยว่า ปลูกกัญชากันมากๆ อาจจะผิดหวัง…ไม่ร่ำรวยอย่างที่คิด…..ผลผลิตอะไรที่มากเกินไปราคาย่อมตกต่ำเป็นธรรมดา

โรคผิดหวังนี่ กัญชาก็คงช่วยไม่ได้….

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : แบ่งเค้ก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/414082

281225166

เลาะรั้วเกษตร : แบ่งเค้ก

วันศุกร์ ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2562, 06.00 น.

ขอแสดงความยินดีกับสมาชิกวุฒิสภาใหม่จำนวน 250 คน ที่ว่ากันว่า คสช. เป็นผู้คัดเลือกทั้งหมด แรกทีเดียวก็ออกจะไม่เห็นด้วย แต่ก็ทำใจให้ยอมรับได้ เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไป

แต่การที่รัฐมนตรีหลายคนลาออก เพื่อไปเป็นสมาชิกวุฒิสภานี่ รู้สึกรับไม่ได้ คนดี คนเก่ง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่างๆ ในบ้านนี้เมืองนี้ ที่จะคัดเลือกมาเป็นสมาชิกวุฒิสภา แค่เพียง 250 คน ไม่มีคนอื่นอีกแล้วหรือ….หรือนี่คือการสืบทอดอำนาจที่เขาว่ากันจริงๆ…

เข้าใจได้..ถึงเหตุผลในการหาคะแนนเสียงสนับสนุนการเลือกนายกรัฐมนตรี หรือ สนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาล แต่จะทำอะไรให้เนียนกว่านี้ไม่ได้หรืออย่างไร….ไม่น่าเชื่อว่ากลยุทธ์ที่แบไต๋กันโต้งๆ แบบนี้จะมีให้เห็นกันในยุคและสถานการณ์แบบนี้

ไม่น่าเชื่ออีกว่า ลักษณ์ วัจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ จะอยู่ในกลุ่มลาออกไปเป็น สว. ด้วยเช่นกัน รัฐมนตรีฯ ลักษณ์ มีภาพพจน์ที่ดี เป็นคนเก่ง ใจซื่อ มือสะอาด..ก็หวังว่าเมื่อเป็น สว. จะเป็นปากเป็นเสียงแทนพี่น้องเกษตรกร และมีผลงานช่วยเหลือภาคการเกษตรให้เห็นเป็นรูปธรรม

จากสว. มาถึงเรื่องการเจรจาต่อรองระหว่างพรรคการเมืองต่างๆ เพื่อจัดตั้งรัฐบาล ในฐานะประชาชนคนธรรมดา จนถึงขณะนี้ไม่อาจล่วงรู้ว่าพรรคไหนจะเป็นรัฐบาล ได้แต่ติดตามข่าวจากสื่อ แล้วเดาไปต่างๆ นานา ไม่กล้าฟันธง จนกว่าจะมีการเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งนั่นหมายความว่าได้มีการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ที่น่าสนใจระหว่างนี้ คือการเจรจาต่อรองขอเก้าอี้รัฐมนตรี ใครจะขอเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงไหนก็ว่าไป สนใจแต่กระทรวงเกษตรฯ นี่แหละว่าใครอยากได้ เดิมทีเข้าใจว่าพรรคภูมิใจไทยอยากได้ เพราะลูกพี่ใหญ่เคยดูแลกระทรวงนี้มาก่อน และเพื่อมาผลักดันเรื่องการปลูกกัญชาให้ถูกกฎหมาย แต่มาถึงนาทีนี้ ภูมิใจไทยไม่ไยดี กระทรวงเกษตรฯ เสียแล้ว หันไปจอง กระทรวงคมนาคม และ มหาดไทย แต่มีคนจะยก สาธารณสุข ให้เพราะผลักดันกัญชาได้เหมือนกัน

ในขณะที่ ประชาธิปัตย์ อยากดูแลกระทรวงเกษตรฯ หลังจากทิ้งกระทรวงนี้ไปนานนับแต่ นิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการเมื่อปี 2535-2537 ที่ ปชป. อยากดูแลกระทรวงนี้เพราะอยากช่วยเกษตรกรภาคใต้แก้ปัญหาราคายางพารา และปาล์มน้ำมัน ที่แสนจะตกต่ำอยู่ในขณะนี้ และเพื่อดึงคะแนนเสียงของสมาชิกพรรคในภาคใต้กลับคืนมา….

พรรคพลังประชารัฐเอง ก็ยังสนุกอยู่กับกระทรวงเกษตรฯ เพราะเชื่อว่าผลงานของรัฐบาลปัจจุบัน ประสบความสำเร็จ และยังมีอีกหลายโครงการที่ยังดำเนินการอยู่ จึงต้องการเข้ามาดูแลกระทรวงเกษตรฯ จะได้สานงานต่อไปเพราะตอนหาเสียงได้พูดถึงโครงการต่างๆ ไว้เยอะ…

จะว่าไปกระทรวงเกษตรฯ ภายใต้รัฐบาลชุดนี้ที่มีพรรคพลังประชารัฐออกหน้าอยู่นี้ เป็นกระทรวงที่มีการแก้ปัญหาของเกษตรกรโดยใช้เงินงบประมาณน่าจะมากที่สุดกว่าทุกรัฐบาลเลือกตั้งที่ผ่านมา ลองย้อนไปดูการช่วยเหลือเกษตรกรปี 2558-2559 ที่สำคัญๆ ได้แก่ ช่วยเหลือชาวนาผู้มีรายได้น้อยไร่ละ 1,000 บาท ใช้งบประมาณไป 39,506 ล้านบาท ชดเชยรายได้แก่เกษตรกรชาวสวนยางไร่ละ 1,000 บาท ใช้เงินไป 8,315 ล้านบาท สร้างความเข้มแข็งให้ชาวสวนยางครัวเรือนละไม่เกิน 15 ไร่ ใช้เงินไปอีก 10,450 ล้านบาท

ในปี 2560 มีโครงการที่สำคัญ คือ โครงการ 9101 ฯ หรือที่ภายหลังเปลี่ยนชื่อโครงการเป็นโครงการเกษตรยั่งยืน 1 ที่ให้ชุมชนจำนวน 9,101 ชุมชนเสนอโครงการพัฒนาโดยผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน และบริหารจัดการโครงการโดยชุมชนเองภายใต้การสนับสนุนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีงบประมาณสนับสนุนให้ชุมชนละ 2.5 ล้านบาท รวมเป็นเงินประมาณ 22,752 ล้านบาท ซึ่งโครงการนี้มีการประเมินว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก สามารถกระตุ้นการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจฐานรากก่อให้เกิดกระแสเงินทุนหมุนเวียนในภาพรวมเพิ่มขึ้นถึง 54,040 ล้านบาท

ปี 2561 มีโครงการสำคัญ คือ โครงการไทยนิยมยั่งยืน ที่รัฐบาลต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก (อีกแล้ว) ในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ ใช้งบในโครงการนี้ไปประมาณ 24,000 ล้านบาท

รวมงบประมาณช่วยเหลือเกษตรกรในโครงการและมาตรการที่สำคัญๆ ตั้งแต่ปี 2558-2561 เป็นเงินกว่า 1 แสนล้านบาท แต่ปัจจุบัน เกษตรกรส่วนใหญ่ยังมีรายได้น้อย และยังต้องเผชิญกับราคาผลผลิตตกต่ำแบบที่รัฐบาลเองก็แก้ปัญหาแบบไร้ทิศทาง และไม่ได้มีข้อมูลเชิงลึกที่จะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ แต่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุเสียเป็นส่วนใหญ่

พรรคไหนจะมาแบ่งเค้กส่วนที่เป็นกระทรวงเกษตรฯ กรุณาขุดคุ้ยข้อมูลเชิงลึกของปัญหาต่างๆ ในภาคเกษตรมาวิเคราะห์ดูอย่างจริงจัง แล้วหาคนที่จริงใจแก้ปัญหามาทำงาน คนที่เคยอยู่กระทรวงเกษตรฯมาแล้ว แต่ไม่ได้ทำให้กระทรวงเกษตรฯดีขึ้น ขอร้องว่าอย่ากลับมาเลย….

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : หยุดเผา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/412664

281225166

เลาะรั้วเกษตร : หยุดเผา

วันศุกร์ ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2562, 06.00 น.

เมื่อเดือนมีนาคม-เมษายนที่ผ่านมา นอกจากเป็นเดือนที่อุณหภูมิของบางจังหวัดในประเทศไทยจะขึ้นไปสูงถึง 42-43 องศาเซลเซียสแล้ว ปริมาณหมอกควันและฝุ่นในบางจังหวัดภาคเหนือ ยังอยู่ในเกณฑ์เป็นอันตรายต่อสุขภาพติดต่อกันยาวนาน นับว่าเป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างหนักหนาสาหัสกว่าทุกปีที่ผ่านมา

กระทรวงพลังงานของไทย บอกว่าสภาพหมอกควันที่เกิดขึ้นในประเทศไทยนั้นเกิดจากสาเหตุที่สำคัญ ได้แก่ การเผาในที่โล่งมีมากกว่า50% นอกนั้นเกิดจากอุตสาหกรรม การคมนาคมขนส่ง การผลิตกระแสไฟฟ้า และบ้านเรือนที่อยู่อาศัย

การเผาในที่โล่ง มีทั้งการเผาป่าที่มีคนตั้งใจเผาเพื่อนำพื้นที่มาใช้ประโยชน์ทางการเกษตร หรือไฟไหม้ป่าที่เกิดขึ้นเองจากความร้อนและแห้งแล้ง นอกจากนี้ยังมีการเผาทางการเกษตร เช่น การเผาไร่อ้อย การเผาตอซังข้าว ตอซังข้าวโพด หรือเศษซากพืชอื่นๆ ที่เก็บเกี่ยวผลผลิตไปแล้ว หรือเศษวัชพืช ส่วนการเผาที่ว่านี้เกิดขึ้นในประเทศไทย หรือประเทศเพื่อนบ้านก็ไม่มีใครฟันธง นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงฟันธงเสียเองให้เรื่องมาลงที่ประทรวงเกษตรและสหกรณ์ ของท่าน กฤษฎา บุญราช ที่ขยันทำงาน และขยันสั่งการ แม้ว่าจะมีเวลาอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯอีกไม่กี่วัน

รัฐมนตรีกฤษฎา สั่งการให้ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อนันต์ สุวรรณรัตน์ ไปมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหาหมอกควัน งานเข้าที่ กรมส่งเสริมการเกษตร ของอธิบดีสำราญ สาราบรรณ์ โดยให้สำนักงานเกษตรจังหวัด เป็นผู้เสนอแผนป้องกันแก้ไขปัญหาการเผาเศษซากพืช และวัสดุการเกษตร โดยร่วมกับป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด

ให้สำนักงานเกษตรอำเภอร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ จัดชุดปฏิบัติการออกตรวจ ป้องปราม ระงับ ยับยั้ง และแจ้งเหตุเผาในพื้นที่เกษตร ให้ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร หรือ ศพก. ทุกหน่วยในอำเภอ เป็นหน่วยเฝ้าระวัง และให้ความรู้ปลุกจิตสำนึกของชุมชนไม่ให้เผาเศษซากพืชและวัสดุทางการเกษตร โดยให้นายอำเภอเป็นผู้กำกับดูแล

งานยังเข้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีก 5 หน่วยงาน คือ กรมพัฒนาที่ดิน ให้ส่งเสริมการไถกลบ และผลิตปุ๋ยอินทรีย์ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ให้ทำโครงการส่งเสริมระบบวนเกษตรในเขตปฏิรูปที่ดินภาคเหนือ กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ให้จัดทำแผนบรรเทาปัญหาหมอกควันและไฟป่า โดยใช้ปฏิบัติการฝนหลวงและดัดแปลงสภาพอากาศเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้พื้นที่ป่า

ให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรฯ ทุกเขตลงพื้นที่ติดตามการปฏิบัติงานแก้ไขปัญหา โดยให้ประเมินจุดความร้อน หรือ ฮอตสปอต และฝุ่นที่ขนาดเล็กกว่า PM10 ในพื้นที่เกษตร พร้อมกับมอบสำนักแผนงานและโครงการพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวง เป็นผู้ติดตามสถานการณ์ และรายงานผลการดำเนินงาน

อย่างที่บอกว่าพื้นที่ปลูกพืชที่มักจะพบการเผาอยู่มากมีอยู่ไม่กี่พืช คือ ข้าว อ้อย และข้าวโพด…..

การเผาตอซังข้าว มีการรณรงค์มานานหลายปีไม่ให้ชาวนาเผาตอซังข้าว ประกอบกับเดี๋ยวนี้การทำนาส่วนใหญ่ใช้เครื่องจักรกลในการเตรียมดินจึงใช้วิธีไถกลบแทนการเผาไปมากแล้ว

ส่วนอ้อยไม่ต้องพูดถึง ใช้วิธีการเผาเสียเป็นส่วนใหญ่ เพื่อสะดวกในการใช้แรงงานคนตัดอ้อยเข้าโรงงานให้ทันเวลา แม้จะพยายามส่งเสริมให้ใช้เครื่องจักรกลตัดอ้อยแทนแรงงาน แต่ก็ยังไม่มีการใช้อย่างแพร่หลาย เพราะธรรมชาติของอ้อยไม่เหมือนกับพืชอื่น ต้นอ้อยสูงท่วมหัว ใบอ้อยยาว ระคาย และคม โดนลมพัดใบพันกันอีกต่างหาก ถึงแม้จะมีรถตัดอ้อยก็ทำงานไม่ได้ ต้องเผาอยู่ดี

สำหรับข้าวโพด หลายปีที่ผ่านมาอาจจะมีการปลูกข้าวโพดบนเขา และมีการเผาตอซังหลังเก็บเกี่ยวเพื่อปลูกใหม่ แต่ระยะหลังการปลูกข้าวโพดมีเงื่อนไขในการรับซื้อว่า ต้องปลูกในพื้นที่ที่ถูกกฎหมาย และต้องไม่เผาตอซัง เพราะข้าวโพดส่วนใหญ่เข้าโรงงานอาหารสัตว์ ประเทศที่รับซื้อเนื้อสัตว์ใช้มาตรการในการตรวจสอบย้อนกลับว่าการเลี้ยงสัตว์นั้นต้องไม่ทำลายสภาพแวดล้อม จึงลดการเผาลงไปได้มาก

พื้นที่ปลูกพืช 3 ชนิดนี้ อยู่ที่ไหนบ้างในอำเภอ เกษตรอำเภอ เกษตรตำบล รวมทั้งศพก. คงต้องเข้าไปชี้แจงทำความเข้าใจและขอความร่วมมือกับเกษตรกรเสียตั้งแต่ก่อนเก็บเกี่ยว ให้คำแนะนำในการจัดการกับเศษซากพืชเหล่านั้นด้วยวิธีอื่นแทนการเผา ก่อนที่จะจัดหน่วยปฏิบัติการเข้าไปตรวจสอบ เพื่อเกษตรกรจะได้เตรียมการจัดการกับเศษซากพืชเหล่านั้นได้อย่างถูกต้องภายหลังเก็บเกี่ยวผลผลิต

แต่ยังมีอีกพืชหนึ่งที่ต้องระวัง นั่นคือ วัชพืชหรือหญ้าต้นใหญ่ๆ ที่อยู่ในพื้นที่สาธารณะ ที่ไม่สามารถใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชได้ตามประกาศกระทรวงเกษตรฯ เรื่องการจำกัดการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช ถ้าเกิดไฟไหม้ขึ้นมาเพราะความแห้งแล้ง เข้าข่ายการเผาในที่โล่ง แต่จับมือใครดมไม่ได้ ก็ตัวใครตัวมันนะขอรับ…

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : แรกนาขวัญ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/411352

281225166

เลาะรั้วเกษตร : แรกนาขวัญ

วันศุกร์ ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2562, 06.00 น.

พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญในปีพ.ศ. 2562 นี้ ตรงกับวันที่ 9 พฤษภาคม นับเป็นพระราชพิธีแรกภายหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก จึงนับเป็นสิริมงคลสูงยิ่งสำหรับพี่น้องเกษตรกรไทย และเป็นสิริมงคลสูงยิ่งสำหรับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมทั้งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับพระราชพิธีในครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ที่ต้องจารึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อีกครั้งหนึ่งว่า พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญประจำปี พ.ศ. 2562 เป็นพระราชพิธีแรกที่ในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงเป็นองค์ประธานในการประกอบพระราชพิธีภายหลังที่ได้เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดินของราชอาณาจักรไทยอย่างสมบูรณ์

ที่น่าปลาบปลื้มมากเป็นพิเศษน่าจะเป็น ผู้ที่ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ทำหน้าที่พระยาแรกนาขวัญ รวมทั้ง เทพีคู่หาบเงิน และเทพีคู่หาบทอง เพราะได้เข้าเฝ้าใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทรับพระราชทานน้ำสังข์ และใบมะตูม เพื่อความเป็นสิริมงคลในพระราชพิธีพืชมงคล ซึ่งประกอบพิธีในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ก่อนวันจรดพระนังคัลแรกนาขวัญที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง 1 วัน

ผู้ทำหน้าที่พระยาแรกนาขวัญประจำปี พ.ศ. 2562 ได้แก่ นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งปลัดกระทรวงเกษตรฯ นี้จะได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ทำหน้าที่พระยาแรกนาขวัญโดยตำแหน่ง

ดูจากประวัติของพระยาแรกนาขวัญ ก็ต้องบอกว่า เป็นบุญ วาสนา ชะตาลิขิต จริงๆ เพราะอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรฯ ท่านนี้หน้าที่การงานเติบโตมาจากสายยางพารา โดยเริ่มรับราชการครั้งแรกเมื่อปี 2524 ตำแหน่งนักวิชาการเกษตร ที่ศูนย์วิจัยยางสงขลา กรมวิชาการเกษตร ย้ายมาเป็นนักวิชาการเกษตรที่สถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร เติบโตเป็นผู้อำนวยการส่วนการผลิตยาง สถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร เมื่อปี 2543

หลังจากปี 2546 ได้เติบโตเป็นผู้บริหารเรื่อยมา เริ่มจากตำแหน่งเลขานุการกรม กรมวิชาการเกษตร ผู้อำนวยการสำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 5 จังหวัดชัยนาท และ รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ตามลำดับ จากนั้นปี 2553 ไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรฯ ปี 2556 ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมกม่อนไหมเพียง 1 ปี ย้ายไปดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมวิชาการเกษตรอีก 1 ปี ก่อนไปดำรงตำแน่งอธิบดีกรมการข้าวในปี 2558 จนมาดำรงตำแหน่งสูงสุดของข้าราชการประจำ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อปี 2561

ปลัดฯ อนันต์ สุวรรณรัตน์ เกิดเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2502 จึงได้อายุราชการแถมอีก 1 ปี ในบรรดาเพื่อนรุ่นเดียวกัน ปลัดฯ อนันต์ อายุน้อยสุด และยังได้แถมอายุราชการอีก 1 ปี ดังนั้นบรรดาอธิบดีทั้งหลายที่เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันจึงเกษียณอายุราชการไปหมดแล้ว ปลัดฯ อนันต์ จะเกษียณอายุราชการในปี 2563 ถ้าไม่มีปัญหาอะไรกับผู้บริหารฝ่ายการเมืองที่กำลังรวมเสียงเลือกข้างกันอยู่ในขณะนี้…ปลัดฯ อนันต์ จะได้ทำหน้าที่พระยาแรกนาขวัญอีก 1 ปี ในปี 2563

ทางด้านเทพีคู่หาบทอง เป็นผู้ที่ทำหน้าที่คู่หาบเงินเมื่อปีที่ผ่านมา ปีนี้จึงทำหน้าที่คู่หาบทอง ได้แก่ กันยารัตน์ นาคกูล นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ ดวงพร งามประดิษฐ์ นักจัดการงานทั่วไปปฏิบัติการ กรมวิชาการเกษตร ส่วนเทพีคู่หาบเงิน ปีนี้คัดเลือกใหม่ได้แก่ ณัฐชยา ศรีสุขสวัสดิ์ นักวิชาการปฏิรูปที่ดินชำนาญการ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และ อาทิตยา ทองแกมแก้ว นักวิชาการเกษตรชำนาญการ กรมส่งเสริมการเกษตร เทพีทั้งสี่มีคำนำหน้าว่า นางสาว

สำหรับพระโค ซึ่งตามความเชื่อของพราหมณ์ เชื่อว่า พระโค คือเทวดาผู้ทำหน้าที่เป็นพาหนะของพระอิศวร พระโคแรกนา เป็นโคพื้นเมืองของจังหวัดลำพูน มีลักษณะเด่น คือ สีขาวปลอดทั้งตัว จึงเรียกว่าโคขาวลำพูน ลักษณะเด่นอื่นๆ คือ รูปร่างสูงโปร่ง ตัวใหญ่ พู่หางสีขาว จมูกและผิวหนังสีชมพูอมส้ม พระโคที่ทำหน้าที่แรกนาขวัญในปีนี้ คือ พระโคเพิ่ม และพระโคพูล ทั้งคู่อายุ 9 ปี พระโคสำรอง คือ พระโคพอ และพระโคเพียง ทั้งคู่อายุ 7 ปี

สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ คือ คันไถ สำหรับคันไถที่ใช้ในพิธีในปีนี้ เป็นคันไถที่กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงวัวนมหนองโพ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี สร้างขึ้นจากไม้สมอ เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายในหลวงรัชกาลที่ 9 เมื่อปี 2539 สำหรับใช้ในพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ

พันธุ์ข้าวที่ใช้หว่านในพระราชพิธี เป็นพันธุ์ข้าวพระราชทานจากนาทดลองโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา 4 พันธุ์ คือ ขาวดอกมะลิ 105 ปทุมธานี 1 กข 43 และ กข 6 จำนวนรวม 1,026 กิโลกรัม

การพยากรณ์จากการเสี่ยงทายหยิบผ้านุ่งของพระยาแรกนาขวัญ และพระโคกินเลี้ยง จะเป็นอย่างไร โปรดติดตามกันเอง……

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/410105

281225166

เลาะรั้วเกษตร : ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่

วันศุกร์ ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2562, 06.00 น.

ก่อนหยุดสงกรานต์ มีข่าวที่ฮอตไม่แพ้เรื่องการเมือง นั่นคือ ข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้าตรวจค้นมูลนิธิข้าวขวัญ ที่จังหวัดสุพรรณบุรี แจ้งข้อหาเจ้าหน้าที่มูลนิธิมีกัญชาไว้ในครอบครอง ยึดสารสกัดจากกัญชาที่มูลนิธิยืนยันว่าทำการผลิตแจกจ่ายผู้ป่วย รวมทั้งออกหมายเรียก เดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญมาให้ปากคำด้วย

งานนี้ที่ฮอต เพราะ อนุทิน ชาญวีรกูลหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ชูนโยบายพรรคว่าจะทำให้กัญชาเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย ออกตัวแรงประกาศจะเสียเงินค่าประกันตัว เดชา ศิริภัทร

ที่ฮอตเพราะ วิวัฒน์ ศัลยกำธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประกาศลั่นว่า จะลาออกจากตำแหน่งถ้า เดชา ศิริภัทร ถูกดำเนินคดี พร้อมกับให้ข่าวว่านายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา รวมทั้งรองนายกฯ พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง สั่งในการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมา ให้กระทรวงสาธารณสุข และมหาวิทยาลัย สนับสนุนมูลนิธิข้าวขวัญ ทำการพัฒนาการผลิตสารสกัดจากกัญชาต่อไป
เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็ง

พอเข้าใจได้ถึงความห่วงใยของรัฐบาลที่มีต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องการยามารักษา และบำบัด แต่ไม่เข้าใจถึงแนวคิด และการตัดสินใจของรัฐบาลต่อกรณีนี้ ทำให้ต้องย้อนกลับไปดูกฎหมายเกี่ยวกับกัญชา

ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 กำหนดให้ กัญชา เป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 กลุ่มเดียวกับ กระท่อม และ ฝิ่น เหตุผลเพราะกัญชามีสารออกฤทธิ์ เตตราไฮโดรแคนนาบินอล หรือ THC ซึ่งมีผลต่อสมองควบคุมความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมของผู้เสพ ทำให้ผู้เสพมีอาการคล้ายเมาเหล้า ความคิดอ่านช้า สับสน และประสาทหลอน ผู้ผลิต ผู้จำหน่าย ผู้ครอบครอง ผู้เสพกัญชา มีความผิดตามกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งมีโทษทั้งจำคุก และปรับเป็นเงินตามอัตราที่กำหนด ซึ่งมากน้อยต่างกันไปตามความผิด

นั่นเป็นกฎหมาย เมื่อ 40 ปีที่แล้ว ซึ่งยังไม่มีการนำสารสกัดจากกัญชามาใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์อย่างแพร่หลาย คนทั่วไปเสพกัญชาแบบสูบุหรี่ หรือสูบจากลำไม้ไผ่ที่เรียกกันว่า “บ้องกัญชา” หรือบางคนอาจใช้ใบกัญชาผสมลงไปในอาหารที่ปรุงรับประทาน ไม่ได้หวังผลในการรักษาโรค หวังเพียงเพื่อความเคลิบเคลิ้ม ผ่อนคลาย มีความสุข

ต้องยอมรับว่าในระยะหลังมนุษย์พยายามกลับสู่ธรรมชาติ แม้ยารักษาโรคก็แสวงหาจากธรรมชาติ คือสมุนไพรต่างๆ กัญชา คือหนึ่งในสมุนไพรเหล่านั้น มีหลายประเทศใช้สารสกัดจากกัญชามารักษาโรค กระแสการใช้กัญชารักษาโรคเข้ามาสู่ประเทศไทยเมื่อไม่นานมานี้ และมีผู้แอบใช้เทคโนโลยีผลิตสารสกัดจากกัญชาในรูปของน้ำมันกัญชา (แบบน้ำ และแคปซูล) นำมาใช้ในทางการแพทย์ โดยเฉพาะช่วยให้คนที่เครียด นอนไม่หลับ รู้สึกผ่อนคลาย และหลับสบาย จนเป็นที่นิยมกันแพร่หลายแบบบอกเล่ากันปากต่อปาก

คนที่แอบผลิตน้ำมันกัญชามิได้มีเพียงมูลนิธิข้าวขวัญ ของเดชา ศิริภัทร เท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายราย สนนราคาของน้ำมันกัญชาที่ผลิตออกมาจำหน่ายแตกต่างกันไป และไม่ใช่ถูกๆ แต่คนที่อยากรักษาอาการนอนไม่หลับไม่รู้สึกว่าแพง ยิ่งมาในระยะหลังบอกว่าสามารถรักษาโรคมะเร็งได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงราคา แต่เรื่องรักษามะเร็งยังมีหลักฐานอ้างอิงน้อยกว่ารักษาโรคนอนไม่หลับ

เมื่อกระแสกัญชารักษาโรคมาแรง ในปี 2559 กระทรวงสาธารณสุขจึงออกกฎกระทรวง อนุญาตให้สามารถผลิต จำหน่าย และครอบครองกัญชาได้ เฉพาะกรณีที่ต้องการศึกษาวิจัยเท่านั้น โดยต้องขออนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุขเป็นกรณีไป

จนกระทั่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ได้มีการออก พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 ระบุว่าสามารถนำกัญชาและกระท่อมไปใช้ในทางการแพทย์ และวิจัยได้ พร้อมกับออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขเพื่อนิรโทษกรรมผู้ครอบครองกัญชาก่อนที่ พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษฉบับใหม่จะมีผลบังคับใช้

ที่กล่าวมาเป็นลำดับนี้ ก็ดูว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังจะปลดล็อคกฎหมายเกี่ยวกับกัญชาอย่างเป็นขั้นตอนดีอยู่แล้ว…ทำไมนายก และรองนายกรัฐมนตรี จึงต้องรีบสั่งการแบบข้ามขั้นตอน

ยิ่งไม่เข้าใจ…กรณีของมูลนิธิข้าวขวัญนี้มีการอ้างว่าไปยื่นเรื่องขอนิรโทษกรรมแล้ว เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่รับผิดชอบไม่รับเรื่อง แต่กลับโดนบุก ตรวจค้นและแจ้งข้อหาดำเนินคดี ขณะที่ยังไม่พ้นกำหนดระยะเวลาขอนิรโทษกรรม น่าสงสัยจริง เรื่องนี้ใครสร้างสถานการณ์ ใครต้องการผลงาน ใครต้องการโยนหินถามทาง แต่ที่แน่ๆ มีคนได้คะแนนไปเต็มๆ คือ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย อนุทิน ชาญวีรกูล (อาจจะรวมไปถึง คนที่จัดงาน “พันธุ์บุรีรัมย์” ที่เพิ่งจบไปด้วย) และ วิวัฒน์ ศัลยกำธร ที่กล้าเอาตำแหน่ง รมช.เกษตรฯ ที่กำลังจะหมดวาระไปพร้อมกับรัฐบาล เป็นเดิมพัน

เตร๊ง ..เตรง เตร่ง เตร๊ง…ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ แต่เหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา….

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : จำกัดการใช้ (3)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/408626

281225166

เลาะรั้วเกษตร : จำกัดการใช้ (3)

วันศุกร์ ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2562, 06.00 น.

วันนี้จะมาว่ากันต่อถึงมาตรการจำกัดการใช้สารเคมี 3 ชนิด คือ พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส อีก 4 มาตรการ คือ

มาตรการด้านวิจัย ซึ่งระบุไว้ว่ามี 2 โครงการ ที่เกี่ยวข้องกับสารเคมี หรือวิธีการที่นำมาใช้ทดแทน คือ โครงการจัดการวัชพืชแบบผสมผสานเพื่อลดปริมาณการใช้สารไกลโฟเซต และพาราควอต ในพืชเศรษฐกิจ และโครงการจัดการแมลงศัตรูพืชแบบผสมผสานเพื่อลดปริมาณการใช้สารกำจัดแมลงคลอร์ไพริฟอสในพืชเศรษฐกิจ

ถ้าจะว่าไป หน่วยงานที่มีหน้าที่ในการศึกษาวิจัยด้านการเกษตร หรือนักวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะด้านอารักขาพืช ไม่น่าจะต้องรอคอยให้ออกมาเป็นมาตรการเลย เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับสารเคมีทั้ง 3 ชนิดนี้ ตั้งแต่แรกๆ ก็น่าจะหยิบยกเรื่องนี้มาเป็นหัวข้อวิจัยได้เลย เวลาตั้งแต่เริ่มมีปัญหาผ่านมาเนิ่นนานจนถึงวันนี้ ผลงานวิจัยอาจจะมีอะไรออกมาชัดเจน นำมาแก้ปัญหาได้แล้ว…

เคยเห็นผ่านๆ ว่ามีงานวิจัยใช้เครื่องจักรกลการเกษตรมาใช้ในการกำจัดวัชพืช แทนการใช้สารเคมี ถ้าผลงานวิจัยนั้นได้ผลจริงก็น่าจะเร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้คนได้รับรู้รับทราบกัน

มาตรการศึกษาผลกระทบ มีระบุไว้ 2 โครงการเช่นกัน คือ โครงการเฝ้าระวังการปนเปื้อนของสารพิษตกค้างพาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต ในพืช และโครงการสำรวจสารพิษตกค้างพาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส ในพื้นที่ปลูกพืชและสิ่งแวดล้อมจากการใช้ในแหล่งเกษตรกรรม โดยเกษตรกรมีส่วนร่วม

มาตรการนี้อีกเช่นกัน ถ้าเริ่มศึกษาเสียตั้งแต่มีข่าวว่าพบสารพิษตกค้างในแหล่งน้ำ หรือพื้นที่เพาะปลูก ในบางจังหวัดจนทำให้ผู้ใช้คือเกษตรกรต้องได้รับอันตรายทำให้เนื้อเน่า ต้องตัดขา หรือเป็นสารก่อมะเร็ง อย่างที่มีการนำมากล่าวอ้างในหลายเวที ป่านนี้คงมีข้อมูลมายืนยันกันแล้วว่าความจริงคืออะไร เป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่

มาตรการสร้างการรับรู้ให้กับเกษตรกรและประชาชนทั่วไป คือการดำเนินการประชาสัมพันธ์ โดยการใช้ช่องทางการสื่อสาร และสื่อต่างๆ เพื่อให้เกษตรกรและประชาชนทั่วไปมีความรู้เกี่ยวกับสารเคมีทั้ง 3 ชนิด และใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิด อย่างถูกต้อง ปลอดภัย ทราบถึงมาตรการและข้อห้ามต่างๆ ตามมาตรการจำกัดการใช้ที่กำหนดขึ้นภายใต้ พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535

เรื่องของการสร้างการรับรู้นี้ น่าจะเป็นงานที่หนักหนาเอาการ เพราะเท่าที่ผ่านมา ฝ่ายคัดค้านการใช้สารเคมี 3 ชนิดนี้ ได้ให้ข้อมูลเชิงลบเกี่ยวกับสารเคมีทั้ง 3 ชนิดนี้ ไปอย่างแพร่หลาย และตอกย้ำความเลวร้ายมาเป็นระยะๆ ไม่เฉพาะตัวสารเคมีเท่านั้น ยังรวมไปถึงบุคคล และองค์กร ตลอดจนรัฐบาลที่ดูแลเรื่องนี้ก็ยังไม่วายถูกกล่าวหาว่ายื้อเวลาพิจารณาการยกเลิกการใช้ จะทำอย่างไรให้ผู้คนได้รู้ในสิ่งที่ถูกต้อง

มาตรการสร้างระบบฐานข้อมูล เพื่อเชื่อมโยงข้อมูล และตรวจสอบความถูกต้อง กับระบบ National Single Window หรือ NSW ของกรมศุลกากร และทะเบียนเกษตรกร ของกรมส่งเสริมการเกษตร โดยจะสร้างระบบจัดการฐานข้อมูล เพื่อรวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานควบคุมวัตถุอันตรายทางการเกษตร และสร้างแอพลิเคชั่นที่ทำงานร่วมกับฐานข้อมูล ในการบันทึกข้อมูลรายงานการนำเข้า ผลิต และจำหน่าย เพื่อทราบเส้นทาง และความเคลื่อนไหวของวัตถุอันตรายทั้งระบบ รวมทั้งสารเคมีทั้ง 3 ชนิดนี้ด้วย

อันที่จริง การเชื่อมโยงข้อมูลที่ว่านี้ โดยเฉพาะ NSW น่าจะทำมาตั้งนานแล้ว เพราะกรมวิชาการเกษตรก็ทำงานใกล้ชิดกับกรมศุลกากรมาโดยตลอดในเรื่องของการนำเข้าส่งออกสินค้าเกษตร และนำเข้าปัจจัยการผลิตทางการเกษตร ทั้งปุ๋ยเคมี และวัตถุอันตรายทางการเกษตร

ส่วนทะเบียนเกษตรกร ของกรมส่งเสริมการเกษตรนั้น จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนข้อมูลให้ทันสมัยอยู่เสมอ เพราะกิจกรรมของเกษตรกรในพื้นที่มีการปรับเปลี่ยน เช่นจากที่เคยปลูกข้าว เปลี่ยนไปปลุกข้าวโพด หรือ ที่เคยปลูกยางพารา เปลี่ยนไปปลูกกล้วยหอม ข้อมูลเหล่านี้ต้องอัพเดท เพราะจะมีผลต่อการให้ความช่วยเหลือเมื่อเกิดปัญหาภัยธรรมชาติ หรือมาตรการต่างๆ ของรัฐบาล

เป็นธรรมชาติของเกษตรกรที่ไม่ค่อยชอบความยุ่งยาก บางครั้งก็ไม่ไปแจ้ง หรือเข้าไปแก้ไขข้อมูลทะเบียนเกษตรกรของตนเอง แม้จะมีการอำนวยความสะดวกให้เกษตรกรเข้าไปแก้ไขข้อมูลเองได้ก็ตาม ทำให้ข้อมูลที่มีอยู่ไม่เป็นปัจจุบัน ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อการเชื่อมโยงข้อมูลที่ว่านี้ เพราะเกษตรกรอาจต้องใช้ข้อมูลในทะเบียนเกษตรกรไปยืนยันพื้นที่ และชนิดพืชเพื่อซื้อสารเคมี 3 ชนิดนี้ มาใช้ ซึ่งมี 2 ประเด็นปัญหาคือ ซื้อมาให้คนอื่นใช้ เพราะปัจจุบันไม่ได้ปลูกพืชนั้นแล้ว หรือต้องการซื้อมาใช้กับพืชที่ปลูกในปัจจุบัน แต่ซื้อไม่ได้เพราะในทะเบียนเกษตรกรระบุเป็นพืชอื่นที่เคยปลูกในอดีต เหล่านี้เป็นต้น

เอาเถอะถึงวันนี้ มาตรการที่ว่ามานี้ก็ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการ….คงรอให้รัฐบาลใหม่มาฟันธง

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : จำกัดการใช้ (2)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/407497

281225166

เลาะรั้วเกษตร : จำกัดการใช้ (2)

วันศุกร์ ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2562, 06.00 น.

สัปดาห์ที่แล้ว ได้นำเสนอมาตรการด้านกฎหมาย ของการจำกัดการใช้สารเคมี 3 ชนิด คือ พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส กันไปแล้ว รอแต่ว่าจะมีประกาศของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ออกมาเมื่อใด นับไปอีก 180 วัน จะมีผลบังคับใช้ทันที

ยังเหลือมาตรการด้านอื่นๆ อีก 5 มาตรการ ที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายเห็นชอบแล้ว วันนี้มาว่ากันอีก 1 มาตรการ คือ มาตรการฝึกอบรม

มาตรการฝึกอบรม เป็นมาตรการที่ดูธรรมดาแต่ในทางปฏิบัติคงโกลาหลน่าดู เพราะกลุ่มเป้าหมายที่จะต้องผ่านการอบรมมีหลากหลาย และต้องดำเนินการอบรมให้เสร็จทุกกลุ่มเป้าหมายภายในเดือนมิถุนายน 2562 (ยกเว้น เกษตรกรซึ่งมีจำนวนมากจะอบรมระหว่าง มิถุนายน-กันยายน 2562) นี่ก็เข้าเดือนเมษายนแล้ว ยังมีวันหยุดยาวเนื่องในเทศกาลสงกรานต์อีก กว่าจะชี้แจงทำ
ความเข้าใจในมาตรการต่างๆ แก่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่อีก อะไรอีก อย่างเร็วที่สุดถ้าเริ่มได้ในเดือนพฤษภาคม ระยะเวลา 2 เดือน หรืออาจจะไม่ถึงดี อบรมได้หมดก็เยี่ยมยุทธ์เลยทีเดียว

การอบรม จะเริ่มต้นจากการจัดทำหลักสูตร หลักสูตรที่จะอบรมกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่มก็แตกต่างกันไป เช่น หลักสูตรสำหรับอบรมเกษตรกรและผู้รับจ้างพ่นสาร ก็ต้องเน้นให้มีความรู้เกี่ยวกับอันตรายจากการใช้สารเคมีที่ไม่ถูกต้องจะก่อให้เกิดผลเสียต่อสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อมอย่างไร ความรู้เกี่ยวกับมาตรการจำกัดการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิด และความรู้เกี่ยวกับการใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตรอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

สำหรับเกษตรกรนอกจากจะเข้ารับการอบรมแล้ว จะต้องผ่านการทดสอบเพื่อให้ได้หลักฐานรับรองว่าผ่านการฝึกอบรม หรือเป็นผู้มีความรู้เกี่ยวกับการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิดนั้นแล้ว จะได้นำไปเป็นหลักฐานในการขอซื้อสารเคมีทั้ง 3 ชนิด มาใช้ได้ต่อไป

จากข้อมูลที่ระบุในภาพชี้แจงมาตรการจำกัดการใช้สารเคมี 3 ชนิด ของกรมวิชาการเกษตร ระบุว่า วิธีการอบรมของเกษตรกรทำได้ 2 วิธี คือเข้ารับการอบรม และทดสอบ หรือ เรียนรู้ผ่าน E Learning และทดสอบความรู้ นั่นหมายถึงว่า เกษตรกรไม่จำเป็นต้องเข้ารับการอบรม แต่สามารถหาความรู้จากระบบ E Learning ได้ และถ้าผ่านการทดสอบ ก็ได้รับการรับรองว่าผ่านการทดสอบแล้วเช่นกัน

สำหรับวิธีการฝึกอบรมผู้รับจ้างพ่น ต้องเข้ารับการอบรม และต้องผ่านการทดสอบทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ จึงจะได้รับการรับรองว่าผ่านการทดสอบ นำไปเป็นหลักฐานในการรับจ้างพ่นสารเคมี 3 ชนิดนี้ต่อไปได้

ส่วนหลักสูตรสำหรับพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งตั้งขึ้นมาใหม่ คือ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งบางคนอาจจะไม่เคยเกี่ยวข้องกับการทำการเกษตรมาก่อนเลย หลักสูตรนี้จะให้ความรู้เกี่ยวกับมาตรการการจำกัดการใช้ และบทบาทหน้าที่และความสำคัญของพนักงานเจ้าหน้าที่

วิธีการฝึกอบรม พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องเข้ารับการอบรม และทดสอบความรู้ นี่แหละน่าเป็นห่วง ในการให้ความร่วมมือมาฝึกอบรม และทดสอบ การเสียสละ และการทำหน้าที่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามบทบาทหน้าที่ และความรับผิดชอบที่กฎหมายกำหนด

ผู้จัดทำหลักสูตร คือ กรมวิชาการเกษตร ซึ่งเป็นผู้เสนอมาตรการ แต่ผู้ที่ทำหน้าที่อบรมจำเป็นต้องอาศัยหน่วยงานอื่น โดยการสร้างวิทยากร

กรมวิชาการเกษตรจะสร้างวิทยากรที่เรียกว่า “วิทยากรครู ก” ซึ่งอาจจะเป็นนักวิชาการเกษตรของหน่วยงานต่างๆ ในสังกัดกรมวิชาการเกษตรเอง โดยการอบรมให้ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีทั้ง 3 ชนิด เพื่อให้วิทยากรครู ก ไปทำการอบรม ผู้รับจ้างพ่นสารเคมี พนักงานเจ้าหน้าที่ และวิทยากรอีกกลุ่มหนึ่ง ที่เรียกว่า “วิทยากรครู ข” โดยจะต้องสร้างวิทยากรครู ข ให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2562 นี้

“วิทยากรครู ข” ได้มาจากไหน “วิทยากรครู ข” ได้มาจาก กรมส่งเสริมการเกษตร การยางแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย และสมาคมที่เกี่ยวข้องกับพืชที่ระบุให้ใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิดนี้ได้ เช่น อ้อย มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน ข้าวโพด ยางพารา และไม้ผล

ส่วนแต่ละหน่วยงานจะส่งใครไปฝึกอบรมเป็น วิทยากรครู ข ก็แล้วแต่ อาจจะเป็นเกษตรตำบล หรือเป็นเกษตรกรอาสา หรือเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการพบปะกับเกษตรกรก็ว่ากันไป เพราะวิทยากรครู ข นี้จะต้องไปอบรมเกษตรกร

ไม่รู้ว่ามาตรการฝึกอบรมนี้ต้องใช้งบประมาณจำนวนเท่าไร มีผู้เกี่ยวข้อง คือ เกษตรกรที่จำเป็นต้องใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิดนั้น และต้องผ่านการฝึกอบรมจำนวนเท่าไร มีผู้ที่มีอาชีพรับจ้างพ่นสารเคมีอีกกี่คน และการฝึกอบรมนี้จะเสร็จทันเวลาสำหรับฤดูการเพาะปลูกปีนี้หรือไม่ ที่สำคัญคือ จะรู้ได้อย่างไรว่าเกษตรกรซื้อสารเคมีชนิดนั้นๆ ไปพอแล้วถ้าเกษตรกรไม่ได้ซื้อในร้านเดียวกัน

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : จำกัดการใช้ (1)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/406148

281225166

เลาะรั้วเกษตร : จำกัดการใช้ (1)

วันศุกร์ ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2562, 06.00 น.

ระหว่างรอดูว่าใครจะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี และใครจะได้เป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาลอย่างแท้ทรูขอขัดจังหวะด้วยการบอกกล่าวกัน เรื่องของสารเคมี 3 ชนิด ที่เป็นประเด็นต่อเนื่องมานานสักเล็กน้อย

สิ่งที่จะบอกกล่าวต่อไปนี้ เป็นข่าวสารที่ ได้มาจากเว็บไซต์ http://www.doa.go.th ของ กรมวิชาการเกษตร ซึ่งเผยแพร่มาระยะหนึ่งแล้วภายใต้หัวข้อ “มาตรการจำกัดการใช้ 3 สาร” ซึ่ง 3 สารที่ว่านี้จะเป็นอื่นใดไปไม่ได้ นอกจาก พาราควอต ไกลโฟเซต และ คลอร์ไพริฟอส

มาตรการดังกล่าวนี้มี 6 มาตรการ ซึ่งคณะกรรมการวัตถุอันตราย เห็นชอบแล้ว…ประกอบด้วย การออกกฎหมาย (ประกาศกระทรวงเกษตรฯ) การอบรม การสร้างการรับรู้ การศึกษาผลกระทบ การวิจัยหาสารเคมีชนิดอื่น หรือวิธีการอื่นทดแทน และการสร้างระบบฐานข้อมูล

วันนี้ว่าด้วยมาตรการแรกกันก่อน คือ การออกกฎหมาย ซึ่งจะมีประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน 5 ฉบับ ออกตามความในพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ภายใน 180 วัน นับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา แต่ถึงขณะนี้ ยังไม่เห็นประกาศดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ถ้าประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทั้ง 5 ฉบับ มีผลบังคับใช้เมื่อไร เมื่อนั้นผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบด้วย เกษตรกรผู้ใช้ ผู้รับจ้างพ่นสารเคมี ผู้ขาย ผู้นำเข้า หรือผู้ผลิต และพนักงานเจ้าหน้าที่ ต้องปฏิบัติตามมาตรการ ดังนี้

เกษตรกรผู้ที่จะใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิดนั้น จะต้องผ่านการอบรม หรือผ่านการทดสอบความรู้ ตามหลักสูตรที่กำหนดขึ้นสำหรับเกษตรกรโดยเฉพาะเสียก่อน เพราะเวลาจะไปซื้อสารเคมีเหล่านั้นไปใช้ เกษตรกรจะต้องแสดงหลักฐานว่าได้ผ่านการอบรม หรือผ่านการทดสอบการใช้สารเคมีที่ถูกต้องก่อน นอกจากนี้ยังจะต้องแจ้งชนิดพืชที่ปลูก และจำนวนพื้นที่ปลูกให้ผู้ขายทราบด้วย เพื่อจะได้คำนวณปริมาณสารเคมีที่จะใช้กับพืชนั้นๆ ได้อย่างเหมาะสมและถูกต้อง

สำหรับผู้รับจ้างพ่นสารเคมี จะต้องผ่านการอบรมหลักสูตรการพ่นสารทั้ง 3 ชนิด ทั้งภาคทฤษฎี และปฏิบัติ ต้องมีใบอนุญาตรับจ้างพ่นสารเคมี และผู้รับจ้างพ่นสารเคมี ไม่สามารถจะซื้อสารเคมีทั้ง 3 ชนิดนี้ ได้หากไม่ได้เป็นเกษตรกรผู้ปลูกพืชที่กำหนดให้ใช้กับสารเคมี 3 ชนิดดังกล่าว

ด้านผู้จำหน่ายสารเคมี จะต้องขออนุญาตมีไว้ในครอบครองวัตถุอันตรายเพื่อขาย โดยต้องระบุชื่อสารเคมี 3 ชนิดนั้น ซึ่งแต่เดิมไม่ต้องระบุชื่อ นอกจากนี้ยังต้องผ่านการอบรมหลักสูตรผู้ควบคุมการขายวัตถุอันตราย ซึ่งจะต้องอบรมทุกๆ 3 ปีด้วย จากเดิมที่ต้องอบรมทุก ๆ 5 ปี

ยิ่งไปกว่านั้นผู้จำหน่ายสารเคมี 3 ชนิดนี้ จะต้องแจ้งปริมาณ สต๊อกสินค้าสารเคมี 3 ชนิดนี้ ทุก 15 วัน ต้องขายสารเคมี 3 ชนิดนี้ ให้เฉพาะเกษตรกรที่แสดงหลักฐานผ่านการอบรม หรือผ่านการทดสอบ พร้อมทั้งแสดงหลักฐานชนิดพืชที่ปลูก และจำนวนพื้นที่ปลูกเท่านั้น รวมทั้งต้องต้องจัดทำป้ายแสดงข้อความว่า “วัตถุอันตรายที่จำกัดการใช้” ไว้อย่างชัดเจน และจัดวางสารเคมี 3 ชนิด แยกจากวัตถุอันตรายชนิดอื่นๆ

สำหรับผู้นำเข้า หรือผู้ผลิต จะต้องแจ้งปริมาณสต๊อกสินค้า สารเคมีทั้ง 3 ชนิดทุก 15 วัน โดยต้องระบุปริมาณที่ได้รับ แหล่งที่มา และแหล่งที่ส่งสารเคมีทั้ง 3 ชนิดออกไป

ในส่วนของพนักงานเจ้าหน้าที่ จะมีการแต่งตั้งผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ ตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้สารเคมี 3 ชนิดดังกล่าว ในพื้นที่ที่รับผิดชอบ

นอกจากนี้ ยังได้มีการกำหนดชนิดพืชที่อนุญาตให้ใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิดได้ ดังนี้ ให้ใช้ พาราควอต และ ไกลโฟเซต เฉพาะเพื่อกำจัดวัชพืชในการปลูกอ้อย ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง ข้าวโพด และไม้ผล ให้ใช้คลอร์ไพริฟอส เฉพาะเพื่อกำจัดแมลงในการปลูกไม้ดอก พืชไร่ และเพื่อกำจัดหนอนเจาะลำต้นในไม้ผลพื้นที่ห้ามใช้สารทั้ง 3 ชนิด ได้แก่ พื้นที่ปลูกผัก สมุนไพร พื้นที่ต้นน้ำ และพื้นที่สาธารณะ….ต่อนี้ไปถนน หนทาง ที่สาธารณะคงเห็นแต่ป่าหญ้ารกชัฎ

ต้องมีการกำหนดข้อความในฉลากที่จะติดบนภาชนะ หรือบรรจุภัณฑ์สารเคมีทั้ง 3 ชนิดนั้น ด้วยข้อความ 3 ข้อความคือ “วัตถุอันตรายจำกัดการใช้” “ห้ามใช้วัตถุอันตรายในพื้นที่ปลูกพืชผัก หรือพืชสมุนไพร พื้นที่ต้นน้ำ และพื้นที่สาธารณะ” และ “ผู้ใช้วัตถุอันตรายต้องป้องกันไม่ให้วัตถุอันตรายแพร่กระจายไปยังพื้นที่อื่น”

แค่มาตรการด้านกฎหมายอย่างเดียวตามที่กล่าวมานี้ ทั้งเกษตรกรผู้ใช้ ผู้รับจ้างพ่น ผู้ขาย ผู้นำเข้าหรือผู้ผลิต และพนักงานเจ้าหน้าที่ที่จะแต่งตั้งมาใหม่ก็คงมึนตึ้บไปแล้ว ..ไม่แบนก็เหมือนแบนละครับ…..

ว่าแต่….ยังไม่เห็นบทลงโทษใดๆ ต่อกรณีที่ปฏิบัติผิดไปจากที่ว่ามานี้เลย

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : ความหวัง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/404609

281225166

เลาะรั้วเกษตร : ความหวัง

วันศุกร์ ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2562, 06.00 น.

แม้ กกต. จะยังไม่ประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ แต่ก็พอจะประเมินได้ว่าผลคงไม่ต่างไปจากนี้มากนัก พรรคที่มี สส. มากที่สุด คือ เพื่อไทย จะเป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาล หรือพรรคที่มีคะแนนป๊อปปูลาร์โหวตมากที่สุด คือ พลังประชารัฐจะอ้างความชอบธรรมว่าเป็นเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนที่เลือกตนเอง เป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาลก็ตาม ก็พอจะดูแนวทาง หรือนโยบายด้านการเกษตรพอได้ว่าจะออกมาอย่างไร

ถ้าพลังประชารัฐ เป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาล ข้าราชการกระทรวงเกษตรฯส่วนหนึ่ง คงพอจะสบายใจได้ว่า นโยบายด้านการเกษตรเดิมจะถูกสานต่อ โดยเฉพาะ นโยบายการผลิตระบบแปลงใหญ่ หรือ นโยบายใช้ศูนย์เรียนรู้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (ศพก.) เป็นศูนย์กลางการขยายผลเทคโนโลยีด้านการเกษตร ที่สำคัญคือ กลุ่ม ศพก. นี้คือฐานคะแนนของพลังประชารัฐเลยทีเดียว

แต่คงมีข้าราชการอีกส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะข้าราชการในส่วนภูมิภาค คงกุมขมับ เพราะไม่รู้ว่านโยบายเร่งด่วนเช่นในอดีต อย่าง โครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อฯ และโครงการเสริมสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรรายย่อยภายใต้โครงการสร้างทักษะและส่งเสริมอาชีพด้านการเกษตร ที่เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในไม่กี่เดือน จะกลับมาสร้างความเครียด และหนักใจให้กับพวกเขาอีกหรือไม่

นโยบายเกษตรอินทรีย์ ที่รัฐบาลนี้ชักชวนคนที่สุดโต่ง หรือคนที่ต่อต้านการใช้สารเคมีมาเป็นรัฐมนตรี ก็มีแนวคิดที่คับแคบ
แบบไม่ดูภาพรวมการเกษตรของประเทศว่าการจะเป็นครัวของโลก หรือเป็นประเทศที่ส่งออกสินค้าเกษตรที่สำคัญของโลกเขาจะต้องทำอย่างไร สร้างความขัดแย้งไปทั่ว นี่ก็เป็นอีกหนึ่งนโยบายที่คงต้องทบทวนถ้าจะกลับมาเป็นรัฐบาล เช่นเดียวกับการเชื้อเชิญอดีตผู้บริหารของกระทรวงพาณิชย์มาดูแลเรื่องข้าว เพื่อที่จะขายข้าวให้ได้ราคาดี และส่งออกข้าวให้มาก ที่ผ่านมาก็ไม่ประสบความสำเร็จเช่นกัน เพราะมองแต่เรื่องการค้าอย่างเดียว ไม่ได้มองเรื่องการผลิตที่มีตัวแปรมากมาย

นโยบายประชารัฐที่ร่วมกับบรรดาภาคเอกชนรายใหญ่ๆ เพื่อทำการผลิตพืชบางชนิด ด้วยการเพิ่มพื้นที่การผลิตบ้าง เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตด้วยการใช้ปัจจัยการผลิตบ้าง เป็นการเอื้อประโยชน์ให้ภาคเอกชน แต่เกษตรกรได้รับผลกระทบจากราคาผลผลิตตกต่ำ จนรัฐบาลต้องเข้ามาจ่ายเงินชดเชยสารพัดพืช ก็ต้องทบทวนเช่นกัน ว่าประชารัฐที่ผ่านมาเป็นความร่วมมือที่ทำให้วงการเกษตรพัฒนาขึ้นหรือไม่ แม้ว่าภาคเอกชนเหล่านั้นจะหนุนให้รัฐบาลนี้กลับมาในนาม “พลังประชารัฐ” ก็ตาม

ถ้าพรรคเพื่อไทย ได้จัดตั้งรัฐบาล ก็ต้องรอดูว่าจะแก้ไขปัญหาราคาผลผลิตทางการเกษตรให้มีราคาเพิ่มสูงขึ้น 30% และมีเสถียรภาพได้อย่างไรภายใน 6 เดือน (ตามที่ประธานยุทธศาสตร์ของพรรคประกาศยืนยันว่า 6 เดือนแน่นอน “นาฬิกาตรง ไม่ได้ยืมใครมา”)โดยเฉพาะข้าว และยางพารา แต่คงไม่มีโครงการจำนำข้าว หรือจำนำผลผลิตพืชอื่นๆมาเตือนความทรงจำของผู้คนให้หวาดผวา

นโยบายสำคัญที่พรรคเพื่อไทย ประกาศหาเสียงในหลายพื้นที่ คือ กองทุนปรับเปลี่ยนหน้าดิน เพื่อมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางของเกษตรอินทรีย์ ไม่ใช้สารเคมี และพร้อมที่จะแบนสารเคมี 3 ชนิด ที่เป็นประเด็นอยู่ในรัฐบาลชุดนี้เสียด้วย นโยบายนี้คงต้องทบทวนเช่นเดียวกับนโยบายเกษตรอินทรีย์ของรัฐบาลชุดนี้อีกเช่นกัน มิเช่นนั้นปัญหาความขัดแย้งระหว่างเกษตรเคมี และเกษตรอินทรีย์ ก็จะไม่ได้รับการแก้ไข การเกษตรของประเทศก็คงไม่เดินหน้าพัฒนาไปไหน แต่ถ้าบอกว่ามุ่งสู่การเป็น “เกษตรปลอดภัย” ก็เห็นด้วย เพราะเคมีก็ใช้ให้ปลอดภัยได้ และวิถีเกษตรปลอดภัยนี้คือ สากล

นโยบายพักชำระหนี้เกษตรกร 3 ปี เพื่อให้เกษตรกรตั้งตัวได้นั้น คงต้องถาม ธ.ก.ส. เจ้าหนี้รายใหญ่ของเกษตรกรว่า ที่ผ่านมารัฐบาลปัจจุบันใช้เงินของ ธ.ก.ส.ในโครงการต่างๆ ไปกี่หมื่นล้าน และมีเงื่อนไขผูกพันกันอย่างไรระหว่าง ธ.ก.ส. กับ เกษตรกรตามโครงการที่คิดว่าออกแบบไว้อย่างดีแล้ว

อย่างไรก็ตาม ทั้ง พลังประชารัฐ และเพื่อไทย ก็คงไม่ได้เป็นพรรคเดี่ยวๆ ที่จัดตั้งรัฐบาล ต้องร่วมกับพรรคอื่นๆ ด้วย เพื่อให้คะแนนเสียงในสภาฯ มีเสถียรภาพ ดังนั้นการต่อรองเรื่องเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ของแต่ละพรรคที่ร่วมรัฐบาลก็ต้องมา และมาพร้อมกับนโยบายของพรรคที่สัญญาไว้กับประชาชนตอนหาเสียง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปลูกกัญชาเสรี การออกกฎหมายพืชเศรษฐกิจเพื่อให้มีส่วนแบ่งเหมือนอ้อยและน้ำตาล โครงการโฉนดสีฟ้าโครงการเกษตรกรรุ่นใหม่เรียนฟรี โครงการกองทุนสวัสดิการเพื่อเกษตรกร และ กองทุน Smart SME Farm เป็นต้น

นโยบายเหล่านี้บางนโยบายน่าสนใจ และน่าสนับสนุนถ้าทำได้จริง แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่มีพรรคไหนชูนโยบายการสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการเกษตรเลย ทั้งถนนหนทางในการขนส่งผลผลิตทางการเกษตร และที่สำคัญคือ ระบบชลประทานที่จำเป็นอย่างมากสำหรับการเพาะปลูก

ว่าแต่….ดูหน้าตาของ สส.แต่ละพรรค ทั้งสส.เขต และ สส.บัญชีรายชื่อ มีหลายท่านที่เคยเป็น รัฐมนตรีว่าการ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ มาแล้ว ซึ่งวงการเกษตรคงรำลึกอดีตได้ว่าผลงานใคร “ดี” ผลงานใคร “ยี้” จึงขอส่งสารไปยังว่าที่นายกรัฐมนตรี..ถ้าจะให้การเกษตรพัฒนาก้าวหน้า ขอรัฐมนตรีเกษตรที่สมาร์ทๆ และเป็นสากลหน่อยเถอะขอรับ

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : ก่อนจะเข้าคูหากากบาทให้ใคร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/403088

281225166

เลาะรั้วเกษตร : ก่อนจะเข้าคูหากากบาทให้ใคร

วันศุกร์ ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2562, 06.00 น.

เหลืออีกเพียง 2 วัน ประชาชนคนไทยก็จะได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกันแล้ว หลังจากห่างหายบรรยากาศแบบนี้มา 7 ปีนับตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา ดูท่าว่าจะมีผู้ตื่นตัวมาใช้สิทธิ์กันมาก เพราะมีสัญญาณบอกมาตั้งแต่การลงคะแนนล่วงหน้าเมื่อวันที่ 18 มีนาคม ที่ผ่านมาแล้ว คึกคักกันน่าดู

โค้งสุดท้ายของการหาเสียง สำหรับพื้นที่ กทม. พรรคการเมืองเริ่มระดมป้ายหาเสียงมาติด 2 ฟากถนน จนไม่มีทางเดิน ต้นไม้ทุกต้น เสาไฟฟ้าทุกเสา ถูกใช้เป็นขาตั้งป้ายหาเสียง ไม่ว่าทางแยก หรือปากซอยต่างๆ จนบดบังสายตาผู้ใช้ยานพาหนะ ชาวประชาก็ต้องอดทนเอาอีกนิด..

ในป้ายหาเสียงจะเห็นภาพถ่ายผู้สมัคร ชื่อผู้สมัคร หมายเลขผู้สมัคร ชื่อพรรค ภาพถ่ายหัวหน้าพรรค หรือผู้ที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรค บ้างยืนแอบหลัง บ้างยืนข้างหน้าใหญ่กว่าผู้สมัคร ก็ว่ากันไปแล้วแต่เทคนิควิธีที่คิดว่าจะให้ประชาชนจำได้นอกจากนี้ยังมีนโยบายสำคัญของพรรค เป็นต้นว่า ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 350 บาท ค่ารถเมล์ 10 บาทตลอดสาย 40 บาทตลอดวัน ปลูกกัญชาเสรี ขับ grab ถูกกฎหมาย หยุดคอร์รัปชั่น รักษาพยาบาลฟรี เบี้ยผู้สูงอายุ 3,000 บาท ฯลฯ ต่างก็สรรหามาขึ้นป้ายเรียกคะแนนนิยม

ส่วนนโยบายของพรรคที่มากกว่านั้น ก็ต้องอาศัยการไปฟังที่เวทีปราศรัยบ้าง ประชันวิสัยทัศน์กันทางสื่อบ้าง เข้าไปค้นหาในโซเชียลมีเดียบ้าง

พยายามหาดูนโยบายด้านการเกษตรของพรรคการเมืองแต่ละพรรค ก็ไม่ค่อยมีใครพูดถึงมากนัก นอกเหนือจากการเกทับกันระหว่างพรรค ถึงการทำให้ราคาพืชผลเกษตรมีราคาสูงขึ้น โดยเฉพาะราคายางพารา ปาล์มน้ำมัน และข้าว ซึ่งเป็นการแต่งตัวเลขสวยๆ เป็นต้นว่า ยางกิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า 60 บาทบ้าง 80 บาทบ้าง แถมหัวหน้าพรรคบางพรรคยังอ้างอีกว่า สมัยที่ตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี ราคายางสูงกว่ากิโลกรัมละ 100 บาท

ราคาข้าวก็เช่นกัน ข้าวขาวเกวียนละ 10,000 บาท ข้าวหอมมะลิต้องราคาไม่ต่ำกว่าเกวียนละ 15,000 บาท บางพรรคบอกว่าต้อง 17,000 บาท โดยไม่เอ่ยถึงโครงการรับจำนำข้าวที่เป็นวิธีการแก้ปัญหาราคาข้าวของผู้บริหารพรรคในอดีตที่เคยเป็นรัฐบาล….

บางพรรคบอกว่า ให้นำสินค้าเกษตรหลักทุกชนิดขึ้นเป็นวาระแห่งชาติ แก้ปัญหาให้ราคาอยู่ในเกณฑ์มีกำไร….ดูดี….แต่ไม่ทราบวิธีการ คงไประดมสมองคิดกันตอนได้เป็นรัฐบาลแล้ว (ถ้าได้เป็น)

บางพรรคชูนโยบายเกษตร 3 เพิ่ม 3 ลด เพิ่มรายได้ เพิ่มนวัตกรรม เพิ่มทางเลือก ลดหนี้ ลดต้นทุนการผลิต และลดความเสี่ยง นี่ก็ดูดี แต่ในอดีตที่ผ่านมาและกำลังจะเป็นอดีตในอีกไม่กี่วันข้างหน้านั้น นโยบายที่ว่านี้ใช้งบประมาณสูงเหลือเกินถ้าเงินที่ใช้ไปทำให้โครงการทั้งหลายมีความยั่งยืนก็คุ้มค่า แต่ที่ผ่านมาตอบได้ไหมว่ามีอะไรบ้างที่ยั่งยืน….

มีบางพรรคที่พูดถึงที่ดินทำกิน จะเร่งแก้ปัญหาโดยการออกเอกสารสิทธิ์ให้ถูกต้องบ้าง จะพัฒนาเป็นมีโฉนดสีฟ้า ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนของรัฐบ้าง เรื่องที่ดินนี้แค่แก้ปัญหาให้เกษตรกรที่มีสิทธิในที่ดินทำกินนั้นๆ ทำการเกษตรในที่ดินของตนเพื่อสร้างรายได้ให้กับตนเองจริงๆ ไม่เอาไปขายให้คนอื่นเรื่องนี้เรื่องเดียว ตลอดอายุรัฐบาล 4 ปี ก็คงแก้ได้ไม่หมด เพราะปัญหา ที่ดินส.ป.ก. หรือที่ดินในเขตป่าสงวน สะสมมาเนิ่นนาน แม้ให้พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทยเป็นรัฐบาล ทำเรื่องนี้เรื่องเดียวก็เถอะน่า….แก้ไขได้หมดหรือไม่…

มีนโยบายของบางพรรค ที่หัวหน้าพรรคถูกลูกพรรคในพื้นที่บางจังหวัดจัดฉากให้ไปดูการทำการเกษตรแบบไม่ใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชที่กำลังเป็นประเด็นขัดแย้งในสังคมของชาวเกษตรอยู่ในขณะนี้แถมยังหาคนเป็นมะเร็ง คนถูกตัดขา และคนเจ็บป่วยที่อ้างว่าเกิดจากการได้รับพิษของสารเคมีดังกล่าวมาต้อนรับ ถึงกับกลายมาเป็นนโยบายของพรรค ที่เรียกว่า กองทุนปรับเปลี่ยนหน้าดิน

กองทุนนี้จะให้เกษตรกรกู้เงินไปปรับเปลี่ยนการปลูกพืชที่ปลอดสารพิษ เพื่อขายให้ได้ราคาสูงกว่า ปลูกน้อย แต่ราคาสูง ให้กู้เงินไปซื้อเครื่องจักรกลมากำจัดวัชพืชแทนการใช้สารเคมี….คงต้องให้หัวหน้าพรรคท่านรำลึกถึงอดีตที่เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ว่าแค่ให้เกษตรกรผลิตแบบ GAP ซึ่งปลอดภัยเหมือนกับไร้สารพิษเหมือนกัน สมัยท่านในครั้งกระนั้นก็ยังยากเลย…..

เลือกตั้งคราวนี้ มีพรรคการเมืองมากหน้าหลายตา นักการเมืองที่ลงสมัครก็มากหน้าหลายตา บางคนเป็นขาประจำ บางคนหน้าใหม่แกะกล่อง บางคนเคยได้ยินชื่อเสียงสมัยรับราชการ บางคนก็ยังมีบทบาทอยู่ในรัฐบาลปัจจุบัน ชื่อพรรคการเมืองเจ้าประจำก็มี เลียนแบบเจ้าประจำก็มี ตั้งขึ้นใหม่เป็นสาขาของพรรคเก่าก็มีเป็นแบ๊กอัพของพรรคใหม่ก็มี

ชั่งใจให้ดีก่อนเข้าคูหากากบาทให้ใคร….อนาคตประเทศไทย…เลือกกันให้ดีนะพี่น้อง….

แว่นขยาย