เลาะรั้วเกษตร : ลาทีปีเก่า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/386658

281225166

เลาะรั้วเกษตร : ลาทีปีเก่า

วันศุกร์ ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2562, 06.00 น.

ย้อนกลับไปปี 2561 ที่เพิ่งผ่านมาสดๆ ร้อนๆ ต้องบอกว่า เป็นปีที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต้องเผชิญกับปัญหามากกว่าเรื่องที่น่ายินดี แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ชื่อ
กฤษฎา บุญราช ก็อาศัยความเก๋าของการเป็นอดีตข้าราชการกระทรวงมหาดไทย ที่คลุกคลีใกล้ชิดประชาชน และรู้จักระบบราชการเป็นอย่างดี เป็นแม่ทัพนำพาเกษตรนาวาผ่านพ้นวิกฤติในปี 2561 มาได้ แบบละเหี่ยใจ….ถึงขั้นออกมาขู่คาดโทษข้าราชการที่เกียร์ว่าง

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร กฤษฎา บุญราช เข้ามารับตำแหน่งแทน พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ ที่ถูกปรับเปลี่ยนไปดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ใน ครม.ประยุทธ์ 5 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2560 ด้วยเหตุผลที่ใครๆ เขาว่ากันว่า บิ๊กฉัตรไม่สามารถแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำได้

บิ๊กกฤษฎาเข้ามารับตำแหน่งระยะแรกๆ ก็คงงงๆ กับภารกิจของกระทรวงเกษตรฯ อยู่บ้าง เพราะมีงานหลากหลายเหลือเกิน แม้จะเคยเป็นผู้บังคับบัญชา เกษตรจังหวัด ประมงจังหวัด ปศุสัตว์จังหวัด สหกรณ์จังหวัดมาก่อน แต่นั่นก็เป็นภารกิจเฉพาะในจังหวัด แต่เมื่อมารับผิดชอบดูแลภารกิจในภาพรวมของประเทศประสบการณ์ที่เคยเป็นผู้บังคับบัญชาหน่วยงานในระดับจังหวัดคงช่วยอะไรไม่ได้มาก

ดูจากเริ่มแรกที่ท่านเข้ามาจัดระเบียบการบริหารราชการ โดยยึดเอากรมส่งเสริมการเกษตรเป็นหน่วยงานหลัก ที่เรียกเสียหรูว่า กลไกการขับเคลื่อนในพื้นที่ ประกอบด้วย 2 ฝ่าย ฝ่ายอำนวยการ ซึ่งทำหน้าที่เป็นเสนาธิการ หรือฝ่ายบุ๋น นั่งวางแผนและกำหนดยุทธวิธี โดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน มีเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเป็นเลขานุการ

อีกฝ่ายหนึ่ง คือ ฝ่ายปฏิบัติการ หรือฝ่ายบู๊ แบ่งออกเป็น 2 ระดับ ระดับจังหวัด เรียก CO (Chief of Operation) มีเกษตรจังหวัด เป็นประธาน คณะกรรมการประกอบด้วย หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ทุกหน่วยงานในจังหวัด และ เกษตรอำเภอทุกอำเภอ อีกระดับคือ ระดับอำเภอ เรียก OT (Operation Team) มีเกษตรอำเภอ เป็นหัวหน้าทีม ลุยงานภาคสนาม

ระยะแรกท่านฝากความหวังให้เกษตรจังหวัดและเกษตรอำเภอ เป็นผู้ขับเคลื่อนนโยบายจนหลายคนเครียดว่าจะทำตามที่ท่านมอบหมายได้หรือไม่ บางคนถึงกับออกปากว่า “ตายแน่….”

ไม่ยืนยันว่า ทุกจังหวัดปฏิบัติตามการจัดระเบียบของท่านอย่างเคร่งครัดหรือไม่ แต่สถานการณ์ต่างๆ ก็ผ่านพ้นมาได้จนถึงทุกวันนี้ โดยภารกิจแรกที่ทุกจังหวัดต้องดำเนินการคือ โครงการไทยนิยมยั่งยืน ที่กระทรวงเกษตรฯ ได้รับงบประมาณเกือบ 2.5 หมื่นล้านบาท มีทั้งการปรับโครงสร้างการผลิตของเกษตรกร การอบรมเพิ่มทักษะด้านการผลิตและการตลาดให้กับเกษตรกรผู้สนใจ รวมถึงการต่อยอดโครงการ 9101 รายที่ประสบความสำเร็จด้วย

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ กฤษฎา บุญราช เพิ่งแถลงผลการดำเนินโครงการไทยนิยมยั่งยืน ไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมาว่าสามารถสร้างประโยชน์ให้กับเกษตรกร โดยเกษตรกรกว่า 1.6 ล้านคน ได้รับความรู้และทักษะทางด้านการผลิตและการตลาดเพิ่มมากขึ้น มีรายได้จากการเข้าร่วมโครงการอบรมและการสนับสนุนกิจกรรมการผลิตที่แต่ละชุมชนเสนอเป็นเงินกว่า 2.6 พันล้านบาท เป็นธรรมดาของการแถลงผลงาน…ก็ต้องมีแต่เรื่องดีๆ

มาช่วงไตรมาสหลังของปี 2561 บิ๊กกฤษฎา เริ่มลุยแก้ปัญหาราคาผลผลิตสินค้าเกษตรตกต่ำอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเรื่องราคายาง หลังจากที่ปล่อยให้ กยท. หาทางแก้ปัญหาแล้วไม่ได้ผล มาตรการต่างๆ เช่น ถนนยางพารา 1 หมู่บ้าน 1 กิโลเมตร หรือการให้บริษัทผลิตล้อยางรับซื้อยางจากเกษตรกร ก็ช่วยกระตุ้นราคายางให้ขยับขึ้นมาบ้าง แม้จะไม่สูงนัก แต่ก็ยังดีกว่าตกต่ำลงเรื่อยๆ ส่วนราคาปาล์มน้ำมัน ก็ไม่ปล่อยให้ตกต่ำจนเนิ่นนาน ไหวตัวรีบแก้ไขเสียก่อนที่ชาวสวนปาล์มจะก่อม็อบ

ส่วนโครงการประชารัฐ ที่เป็นนโยบายหลักนโยบายหนึ่งของรัฐบาล บิ๊กกฤษฎา ก็ทุ่มสุดตัว โดยเฉพาะโครงการปลูกข้าวโพดหลังนา ที่แม้ว่าจะได้พื้นที่ต่ำกว่าเป้าหมาย เพราะเกษตรกรที่ทำนาไม่กล้าเสี่ยงไปปลูกพืชที่ตัวเองไม่คุ้นเคย บังเอิญโชคเข้าข้าง ปีนี้ข้าวโพดราคาดี จึงไม่มีเสียงอื้ออึงให้รำคาญใจ ว่าแต่ต้องสกัดศัตรูข้าวโพดให้อยู่ มิเช่นนั้นเกษตรกรจะเดือดร้อน

ยังมีเรื่องราวสำคัญของกระทรวงเกษตรฯ ที่ยังไม่รู้ หมู่ หรือจ่า และคงยืดเยื้อไปถึงรัฐบาลใหม่ นั่นคือ เรื่อง สารเคมี 3 ชนิด เรื่องกฎหมายอีกหลายฉบับ เช่น พ.ร.บ. ส่งเสริมระบบเกษตรกรรมยั่งยืน พ.ร.บ. ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ ที่ดิน ส.ป.ก. ทั้งนี้ยังไม่รวมเรื่องที่เกี่ยวกับองค์กรระหว่างประเทศอย่าง IUU แต่อย่างใด

ไม่เข้าใจอยู่เรื่องเดียว…..ทำไมเรื่องการผลักดันให้ปลากัดไทยเป็นสัตว์น้ำประจำชาติ จึงต้องเร่งด่วนจนรัฐมนตรีต้องลงมากำกับเอง…….

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : ถึงมือผู้ตรวจการฯ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/385591

281225166

เลาะรั้วเกษตร : ถึงมือผู้ตรวจการฯ

วันศุกร์ ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

วันก่อนอ่านบทสัมภาษณ์พิเศษของ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน พลเอกวิทวัส รชตะนันท์ ท่านบอกว่าช่วงที่ผ่านมา ไม่ค่อยมีการร้องเรียนเกี่ยวกับการทำงานของรัฐมนตรี หรือผู้ที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสักเท่าไร การตรวจสอบการทหน้าที่ของสมาชิกสภานิติบัญญัติ ประเภท ขาด ลา มาสายตรวจสอบแล้วก็ไม่ได้มีใครทำผิดอะไร ทำให้การทำงานของผู้ตรวจการแผ่นดิน ดูเงียบเหงาไม่หวือหวา

ทำให้ต้องย้อนกลับไปเปิดรัฐธรรมนูญดูว่า ผู้ตรวจการแผ่นดิน มีอำนาจหน้าที่อย่างไร

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ระบุไว้ในมาตรา 230 ว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจหน้าที่ 1) เสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีการปรับปรุงกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ หรือคำสั่ง หรือขั้นตอนการปฏิบัติงานใดๆ บรรดาที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรม แก่ประชาชน หรือเป็นภาระแก่ประชาชนโดยไม่จำเป็นหรือเกินสมควรแก่เหตุ

2) แสวงหาข้อเท็จจริง เมื่อเห็นว่ามีผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมอันเนื่องมาจากการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือปฏิบัตินอกเหนือหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อเสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องให้ขจัดหรือระงับความเดือดร้อน หรือความไม่เป็นธรรมนั้น

อันที่จริงถ้าดูตามรัฐธรรมนูญ ผู้ตรวจการแผ่นดิน มีหน้าที่สำคัญมาก และภารกิจหนักหนามาก ปัจจุบันมีกฎหมายหลายฉบับ ที่รัฐบาลพยายามผลักดัน ซึ่งกฎหมายเหล่านั้นทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน และเสียประโยชน์ เฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวกับการเกษตร ก็หลายฉบับ ที่เห็นๆ คือ พ.ร.บ. ส่งเสริมระบบเกษตรกรรมยั่งยืน ฉบับหนึ่งละ

ท้ายของการให้สัมภาษณ์ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวถึงปัญหาที่ดินส.ป.ก. นี่ก็เป็นปัญหาใหญ่อีกปัญหาหนึ่งที่สะสมมานาน และเกี่ยวข้องกับเกษตรกรจำนวนมาก ทำงานนี้งานเดียวก็สาหัสแล้ว ถ้าท่านจะศึกษาปัญหาและแก้ไขอย่างเป็นระบบ

ที่แปลกใจ คือผู้ตรวจการแผ่นดิน มานั่งพิจารณาเรื่องการยกเลิกสารเคมี 3 ชนิด (พาราควอท ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส) ที่เป็นประเด็นความขัดแย้งของคน 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่คัดค้านการใช้สารเคมี โดยอ้างถึงความปลอดภัย และสุขภาพของประชาชน และมีผลงานวิจัย ที่ยังคลางแคลงใจถึงการได้มาของข้อมูลที่นำมาอ้าง

อีกกลุ่มหนึ่ง คือกลุ่มที่ยังเห็นความจำเป็นและประโยชน์ของการใช้สารเคมีดังกล่าว โดยยืนยันความปลอดภัยของผู้ที่ใช้ และคลุกคลีอยู่กับสารเคมีเหล่านั้นมานาน รวมทั้งประโยชน์ที่เกษตรกรและภาคการเกษตรโดยรวมจะได้รับ

ผู้ตรวจการแผ่นดินประชุมพิจารณาเรื่องนี้กี่ครั้งไม่มีข้อมูลยืนยัน แต่ในวันที่ 23 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ผู้ตรวจการแผ่นดิน เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุม สุดท้ายมีมติให้ยกเลิกสารเคมี 3 ชนิดนั้น และต้องยุติการจำหน่ายภายใน 1 ปี โดยเชื่อข้อมูลของฝ่ายคัดค้านเพียงฝ่ายเดียว ไม่เห็นถึงความเดือดร้อนของเกษตรกร และประโยชน์ที่ภาคเกษตรจะได้รับ รวมทั้งไม่เห็นแก่คณะกรรมการวัตถุอันตราย ที่มีหน้าที่พิจารณาเรื่องนี้ตามกฎหมาย และ คณะกรรมการที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งมาพิจารณาเรื่องนี้โดยเฉพาะ

น่าสังเกตว่า มีการเสนอเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง เหมือนมีการวางแผนในการนำเสนอข้อมูลมาเป็นอย่างดี…

อันดับแรก คือ หมอธีระวัฒน์ เหมะจุฑา แกนนำกลุ่มสนับสนุนให้ยกเลิกการใช้สารเคมี 3 ชนิดนี้ ออกมายินดีกับมติของผู้ตรวจการแผ่นดิน แถมบอกว่าเป็นวันที่คนไทยมีความสุขที่สุด…

วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ แห่ง ไบโอไทย ก็ออกมารับลูก โดยพุ่งเป้าไปที่ กรมวิชาการเกษตร ของ อธิบดี เสริมสุข สลักเพ็ชร์ ว่าถ้าไม่ดำเนินการตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินมอบหมาย ก็อาจจะถูกฟ้องศาลปกครอง

ต่อมาเมื่อไม่กี่วันมานี้รายการ ห้องข่าวไทย พีบีเอส นำเสนอข่าว บริษัทยักษ์ใหญ่ทางการเกษตรของไทย จะยกเลิกการนำเข้าสารเคมีทั้ง 3 ชนิด แม้ว่าจะได้รับอนุญาตให้นำเข้าได้อีกหลายปีก็ตาม เหมือนกับจะบอกว่าขนาดบริษัทยักษ์ใหญ่ยังยอมแพ้….แล้วบริษัทผู้นำเข้าสารเคมีทางการเกษตรอีกมากมาย ทำไมไม่เอาอย่างบ้าง…..

ยังไม่ได้ดูไทยแพน ว่ามีการตอบสนองต่อเรื่องนี้อย่างไร……… ก็มีอยู่เท่านี้แหละถ้าเกี่ยวข้องกับสารเคมี 3 ชนิดนี้…..ไทยแพน ไบโอไทย หมอธีระวัฒน์. กระทรวงสาธารณสุข คราวนี้มีผู้ตรวจการแผ่นดินเพิ่มมาอีกองค์กรหนึ่งซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินจะออกมาชี้ขาดว่าใครผิดใครถูก โดยใช้เวลาศึกษาข้อมูล และปัญหาที่เป็นข้อขัดแย้งเพียงไม่เท่าไร

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : รอ..ยาวๆ ไป

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/384183

281225166

เลาะรั้วเกษตร : รอ..ยาวๆ ไป

วันศุกร์ ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ปี่กลองการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เริ่มขยับกันแล้ว มีเรื่องให้ได้ฮากันบ้างเล็กๆ น้อยๆ พอเป็นสีสัน เรื่องที่น่าจะฮามากหน่อย เห็นจะเป็นเรื่องการจองเก้าอี้รัฐมนตรี เท็จจริงใครพูดอย่างไรไม่ทราบ ทราบแต่ว่ามีการกล่าวอ้างว่า สมศักดิ์ เทพสุทิน ขอจองเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพราะถนัดกว่ากระทรวงพาณิชย์ แถมยังจองซื้อเฮลิคอปเตอร์ไว้ 2 ลำ เพื่อจะได้บินไปแก้ไขปัญหาให้พี่น้องเกษตรกรได้อย่างรวดเร็ว…ฮาไหมล่ะ….

วันรุ่งขึ้นมีลูกพรรคมาปฏิเสธว่า ไม่ได้จองเก้าอี้รัฐมนตรี และไม่ได้จองเฮลิคอปเตอร์ใดๆทั้งสิ้น แต่พูดถึงความเหมาะสม เพราะสมศักดิ์ เทพสุทิน เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาก่อน สร้างผลงานไว้มากมาย….

พูดถึงผลงานของอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ สมศักดิ์ เทพสุทิน ข้าราชการกระทรวงเกษตรฯ คงซาบซึ้ง และจดจำได้เป็นอย่างดี….แต่ข้าราชการเหล่านั้นก็เกษียณอายุราชการไปเกือบหมดแล้ว..ล่าสุดก็ อดีตปลัดกระทรวงเกษตรฯ ชวลิต ชูขจร ที่เพิ่งจะเกษียณอายุราชการในปี 2561 นี่เอง….

กว่าจะถึงวันเลือกตั้ง คงมีเรื่องฮาๆ อีกมาก…ขณะเดียวกันข้าราชการทั้งหลาย ก็ดูเหมือนจะร้อนๆ หนาวๆ เกรงว่าบรรยากาศการทำงานแบบเดิมๆ สไตล์ของนักการเมือง และพรรคการเมืองเก่าๆ จะกลับมาอีก…

มาเรื่องราวของปัจจุบันดีกว่า…รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ กฤษฎา บุญราช เสือยิ้มยาก ท่าทางจะยิ้มออก เมื่อราคายางที่ตกต่ำมานาน และราคาปาล์มน้ำมันที่เพิ่งจะตกต่ำในปีนี้ ขยับขึ้นมาเล็กน้อย

ท่านรัฐมนตรีบอกว่าที่ราคายางขยับขึ้น เป็นเพราะโครงการเร่งด่วนของรัฐบาล 1 หมู่บ้าน1 กิโลเมตร คือการทำถนนด้วยน้ำยางสดผสมดินซีเมนต์ตามสูตรของกระทรวงคมนาคมที่เพิ่งส่งให้กระทรวงเกษตรฯ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ที่ผ่านมานี้เอง ซึ่งรัฐบาลขอให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวน 7,851 แห่ง ทั่วประเทศ ให้การสนับสนุนการทำถนนดังกล่าวอย่างน้อยหมู่บ้านละ 1 กิโลเมตร

ทั้งนี้กรมบัญชีกลางได้กำหนดราคากลางถนนยางพาราผสมดินซีเมนต์ไว้ที่ กิโลเมตรละ1.2 ล้านบาท สำหรับกรณีจ้างเหมา หรือกิโลเมตรละ9 แสน-1 ล้านบาท ในกรณีดำเนินการเอง โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถซื้อน้ำยางสดจากสหกรณ์ และวิสาหกิจชุมชนชาวสวนยางที่การยางแห่งประเทศไทยรับรองได้โดยตรง งานนี้คาดว่าจะใช้น้ำยางสดไม่ต่ำกว่า 1.4 ล้านตัน

อีกโครงการหนึ่งคือ โครงการช็อปช่วยชาติแต่ช็อปรายการนี้ค่อนข้างใหญ่หน่อย..ชาวบ้านทั่วไปคงช็อปไม่ได้…..กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงการคลัง จึงเชิญชวนให้บริษัทผลิตล้อยางที่มีฐานการผลิตในประเทศไทย เป็นผู้ร่วมโครงการช็อปช่วยชาติเป็นเวลา 1 เดือน ระหว่าง 15 ธันวาคม 2561-15 มกราคม 2562 ด้วยการซื้อยางพาราจากเกษตรกรโดยตรง ซึ่งขณะนี้มีบริษัทผลิตล้อยางจำนวน 5 บริษัท ที่เข้าร่วมโครงการ ปริมาณยางที่จะรับซื้อจากเกษตรกรรวมประมาณ 1,706 ตัน คาดว่าจะมีบริษัทเข้าร่วมโครงการเพิ่มเติมอีก

โครงการช็อปช่วยชาติ เป็นโครงการชั่วคราว อาจจะดึงผลผลิตยางออกจากเกษตรกรได้ไม่มากนัก รัฐบาลน่าจะหาทางกำหนดเงื่อนไขแบบถาวร เป็นโควตาสำหรับบริษัทผู้ผลิตล้อยาง
ที่มีฐานการผลิตในประเทศไทย ว่าจะต้องอุดหนุนผลผลิตยางภายในประเทศเป็นอัตราส่วนเท่าไร หรือบริษัทที่ไม่มีฐานผลิตในประเทศไทยก็ตาม ถ้านำผลิตภัณฑ์ยางมาจำหน่าย บริษัทแม่ต้องอุดหนุนผลผลิตยางของไทยในอัตราส่วนตามที่นำเข้าผลิตภัณฑ์มาจำหน่ายในประเทศ….ทำอย่างว่าได้หรือไม่ กยท. ช่วยหาทางหน่อย….

เหนือสิ่งอื่นใดที่อยากเห็น บริษัทที่ประกอบธุรกิจเกษตรยักษ์ใหญ่ของไทย ได้ประโยชน์จากการขายกล้ายางก็ไม่น้อย ลงทุนธุรกิจเครือข่ายโทรศัพท์ก็แล้ว ลงทุนประมูลสัมปทานรถไฟไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่านับแสนล้านก็ทำแล้ว ทำไมไม่ลงทุนสร้างโรงงานผลิตล้อยาง หรือผลิตภัณฑ์ยางอื่นๆ ขึ้นภายในประเทศบ้าง..ทำให้ครบวงจรเลย เริ่มตั้งแต่ผลิตกล้ายาง ปลูกยาง ผลิตน้ำยาง ยางแท่ง ยางแผ่นและแปรรูปยาง จะสร้างงานให้คนในประเทศได้อีกเยอะเลย….

สำหรับปาล์มน้ำมันที่ราคาขยับตัวสูงขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 3 บาทนั้น โฆษกรัฐบาล บอกว่าเป็นผลมาจากรัฐบาลให้โรงงานไฟฟ้าบางปะกงใช้น้ำมันปาล์มดิบเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า 1.6 แสนตัน เป็นเวลา 6 เดือน ส่งผลให้โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มในพื้นที่ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี มั่นใจในแนวทางของรัฐบาล รับซื้อผลปาล์มสดจากเกษตรกรในราคาที่สูงขึ้น

แต่ตอนนี้ฝนตกน้ำท่วมภาคใต้เสียแล้ว สุราษฎร์ธานีก็เดือดร้อนไม่น้อย ไม่รู้ว่าจะกระเทือนถึงปาล์มและยางอีกหรือไม่ มีข่าวดีให้สุขใจได้ไม่นาน ข่าวร้ายก็มักจะมาเยือนทุกที…..ต้องรอกันยาวไปเสียละกระมัง…กว่าเกษตรกรจะสุขใจได้ยาวนานข้ามปี

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : ข้าวไทยข้าวเทศ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/382724

281225166

เลาะรั้วเกษตร : ข้าวไทยข้าวเทศ

วันศุกร์ ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ในขณะที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กำลังดำเนินการแก้ไขปัญหายางพาราราคาตกต่ำทุกวิถีทางที่คิดว่าจะได้ผล รวมทั้งการส่งเสริมปลูกพืชอื่นแทนยาง…ก็ว่ากันไป…แต่อย่าลืมดูอนาคตของพืชที่ส่งเสริมให้ปลูกแทนด้วยว่า จะหนีเสือปะจระเข้หรือเปล่า…..

วันนี้ขอคุยเรื่องเบาๆ เป็นเรื่องที่ เกี่ยวกับการประกวด ไม่ใช่ประกวดนางงาม แต่เป็นการประกวดข้าวของ The Rice Trader ซึ่งเป็นกลุ่มของผู้ค้าข้าวนานาชาติ อะไรก็ตามที่เป็นเรื่องของการค้าขาย หรือเป็นผู้ค้าขาย ย่อมมีเรื่องของผลประโยชน์อยู่ด้วยเป็นธรรมดา…การประกวดข้าวก็เช่นกัน เชื่อว่าจะต้องมีเรื่องของผลประโยชน์แฝงอยู่ด้วย

ผลประโยชน์ที่ว่านี้ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย น่าจะเป็นเรื่องที่ดีที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพข้าวซึ่งจะส่งผลไปถึงราคาข้าวที่ประเทศผู้ผลิตข้าวค้ากันในตลาดโลก แบบว่าประเทศไหนได้รางวัลข้าวดีที่สุดของโลกไป ก็สามารถจะอัพราคาข้าวนั้นขึ้นมาได้

The Rice Trader จัดประกวดข้าวดีที่สุดของโลก (World’s Best Rice) เป็นประจำทุกปี ในงานประชุมผู้ค้าข้าวโลก ซึ่งจะจัดขึ้นประมาณเดือนตุลาคม โดยเริ่มมาตั้งแต่ปี 2552 หมุนเวียนไปตามประเทศซึ่งปลูกข้าวเป็นหลัก

คณะกรรมการตัดสินเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร สมาคม บริษัทที่ปรึกษา เกี่ยวกับการทำอาหาร และพ่อครัวที่มีชื่อเสียงจากประเทศต่างๆ ร่วมเป็นกรรมการ ใช้เกณฑ์การตัดสิน 4 ด้านหลัก ได้แก่ กลิ่น รสชาติ ความเหนียวนุ่ม และ รูปร่างลักษณะ โดยใช้การทดสอบแบบไม่ให้กรรมการทราบว่าเป็นข้าวของประเทศใด แล้วลงคะแนนตัดสิน โดยคะแนน 40% มาจากข้าวที่ยังไม่ได้หุง ส่วนอีก 60% เป็นข้าวที่หุงสุกแล้ว

การประกวดที่ผ่านมา มีประเทศที่ได้รางวัลหมุนเวียนกันอยู่ไม่กี่ประเทศ ไทยบ้าง กัมพูชาบ้าง พม่าบ้าง รวมไปถึงสหรัฐอเมริกา ข้าวหอมมะลิของไทยได้รางวัล World’s Best Rice 5 ปี คือในปี 2553, 2557, 2558, 2559,2560 ข้าวเพิร์ล ป่อ ส่าน ของเมียนมาได้รางวัลชนะเลิศในปี 2554 ข้าวผกามะลิ และ ผกาลำดวน ของกัมพูชา ได้รางวัลชนะเลิศในปี 2555, 2556 และ 2557 โดยในปี 2556 ได้รางวัลร่วมกับข้าว California Rose หรือ Calrose ของสหรัฐอเมริกา และ ปี 2557 ได้รางวัลร่วมกับข้าวหอมมะลิของไทย

มาปีนี้ 2561 การประชุมผู้ค้าข้าวโลก จัดขึ้นที่ประเทศเวียดนาม เมื่อวันที่ 10-12 ตุลาคมที่ผ่านมา มีการประกวด World’s Best Rice เช่นเคย ปีนี้ ข้าวมาลีอังกอร์ ของกัมพูชา ได้รับรางวัลชนะเลิศ ขณะที่ข้าวหอมมะลิของไทยตกไปอยู่อันดับ 2

แหล่งข่าวบอกว่า กัมพูชามีการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพข้าวอย่างจริงจัง โดยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ สถาบันการเงิน และเกษตรกรผู้ปลูก กับสมาคมผู้ส่งออกข้าว ซึ่งประกอบด้วยผู้ประกอบการส่งออกข้าวรายใหญ่และเล็กเกือบ 100 รายจากทั่วประเทศ

อาจจะมีการพูดวิพากษ์วิจารณ์กันไป โดยเฉพาะในพื้นที่สื่อ เรื่องรางวัลข้าวดีที่สุดของโลก ที่ข้าวหอมมะลิของไทย ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นข้าวคุณภาพที่ดีที่สุดของไทย และเป็นที่นิยมไปทั่วโลกถูกข้าวหอมของกัมพูชาแซงหน้าได้รางวัลไป การประกวดก็เป็นการแข่งขันอย่างหนึ่ง ต้องเตรียมตัว ฟิตร่างกาย เตรียมความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้ามีคนที่ฟิตและเฟิร์มกว่า เขาก็ชนะไป เราแชมป์เก่าก็แค่เสียหน้าเล็กน้อย
ไม่เสียหน้ามากเพราะยังติด 1 ใน 3 อันดับแรก

เรื่องข้าวหอมของกัมพูชา ก็ไม่น่าเป็นกังวล ดูตัวเลขส่งออกข้าวหอมของไทย เปรียบเทียบกับกัมพูชา ก็ยังห่างไกลกัน โดยตัวเลขในปี 2559 ไทยส่งออกข้าวหอม 2.3 ล้านตัน ในขณะที่กัมพูชาส่งออกข้าวหอมได้ไม่ถึง 4 แสนตัน

ว่าด้วยเรื่องข้าวแล้ว ใครจะสู้ประเทศไทย เรามีพันธุ์ข้าวที่เคยนิยมในอดีต และปัจจุบันยังมีการปลูกอยู่ รวมทั้งไม่มีใครปลูกแล้ว แต่ยังเก็บรักษาพันธุ์ไว้ในธนาคารเชื้อพันธุ์พืช นับร้อยพันธุ์ มีทั้งข้าวหอม ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ข้าวญี่ปุ่น ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ มีการปรับปรุงพันธุ์ข้าวมาอย่างต่อเนื่องจากอดีตจนถึงปัจจุบันกว่า 80 ปี ปัจจุบันมีพันธุ์ข้าวเพื่อสุขภาพให้ผู้คนได้เลือกบริโภคมากมาย เช่น ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวสินเหล็ก ข้าวหอมนิล ข้าว กข 43 และ ข้าวสังข์หยด เป็นต้น

อย่างไรเสีย ประเทศไทยก็มีข้าวนี่แหละ ที่เป็นพืชอาหารหลักที่ยั่งยืนเลี้ยงคนในชาติมาได้ จนทุกวันนี้ ไม่ว่าจะราคาสูง ราคาต่ำ น้ำจะน้อย น้ำจะมาก ก็ขอปลูกข้าวไว้ก่อน…..

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : จากยางถึงโกโก้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/381440

เลาะรั้วเกษตร : จากยางถึงโกโก้

เลาะรั้วเกษตร : จากยางถึงโกโก้

วันศุกร์ ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

คิดว่าจะไม่เขียนถึงเรื่องยางพาราอีกแล้ว แต่จะรอดูว่ามาตรการของรัฐบาลที่ประกาศไปเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนจะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงไร และเอาใจช่วยให้ชาวสวนยางข้ามพ้นปัญหาราคายางตกต่ำไปให้ได้ แต่บังเอิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กฤษฎา บุญราช ไอเดียบรรเจิด สั่งการทางไลน์ให้ปลัดกระทรวงเกษตรฯ อนันต์สุวรรณรัตน์ แต่งตั้งคณะทำงานศึกษาแนวทางส่งเสริมการปลูกโกโก้แทนสวนยางที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป หรือสวนยางที่ให้น้ำยางน้อยไม่คุ้มทุน

คณะทำงานที่ว่านี้ ท่านเสนอมาว่าน่าจะประกอบด้วย ผู้แทนจากกรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิชาการเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม การยางแห่งประเทศไทย และ สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง หรือหน่วยงานอื่นๆ ตามความเหมาะสม

ตรงนี้แหละที่เป็นห่วง ห่วงว่าถ้าคณะทำงานประกอบไปด้วยหน่วยงานที่หลากหลายเกินไป เกรงจะหาข้อสรุปไม่ได้เสียที เช่นเดียวกับหลายเรื่องที่เคยเห็นมา

อันที่จริงเรื่องของโกโก้ ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเกษตรกรในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะเกษตรกรในภาคใต้ และภาคตะวันออก เพราะตามประวัติโกโก้ในประเทศไทยระบุว่า มีผู้นำโกโก้มาปลูกครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2446 ต่อมาในปี พ.ศ.2495 กรมกสิกรรมได้ทดลองนำมาปลูกที่สถานีกสิกรรมบางกอกน้อย กรุงเทพฯ สถานีกสิกรรมพลิ้ว จังหวัดจันทบุรี สถานียางคอหงส์ จังหวัดสงขลา และ สวนยางนาบอน จังหวัดนครศรีธรรมราช และปี พ.ศ.2515กรมกสิกรรม นำโกโก้พันธุ์ลูกผสมจากประเทศมาเลเซีย มาปลูกที่สถานีทดลองยางในช่อง จังหวัดกระบี่

ต่อมาในปี พ.ศ.2522 พ.ต.อ.กฤช สังขทรัพย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในสมัยนั้น นำผลโกโก้ และ กิ่งพันธุ์โกโก้ หลายพันธุ์ จากประเทศมาเลเซีย มาปลูกที่สถานีทดลองพืชสวนสวี จังหวัดชุมพร และ พ.ศ.2525 กรมวิชาการเกษตร ได้นำเข้ากิ่งพันธุ์โกโก้ พันธุ์ต่างๆจาก รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา มาปลูกที่สถานีทดลองพืชสวนสวี

ปี พ.ศ.2535 กรมวิชาการเกษตรได้นำเข้ากิ่งพันธุ์โกโก้อีก 10 พันธุ์ จากมหาวิทยาลัยรีดดิ้ง ประเทศอังกฤษ มาปลูกที่ศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพร ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์โกโก้ของไทยในปัจจุบัน โดยมีพันธุ์โกโก้ที่รวบรวมไว้ทั้งสิ้น จำนวน 34 พันธุ์

กรมวิชาการเกษตร โดยศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพร ได้ศึกษาวิจัยโกโก้ ในด้านการปรับปรุงพันธุ์ การตัดแต่งกิ่ง การป้องกันกำจัดศัตรูพืช และวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและการแปรรูปเป็นเมล็ดแห้ง จนได้เทคโนโลยีที่สามารถถ่ายทอดให้กับเกษตรกรได้ในปี พ.ศ. 2537 พร้อมทั้งได้ปรับปรุงพันธุ์โกโก้ และผลิตเมล็ดพันธุ์เพื่อนำไปผลิตเป็นต้นพันธุ์โกโก้ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกได้ปีละหลายแสนเมล็ด

เท่าที่ทราบ กรมส่งเสริมการเกษตรเคยส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกโกโก้แซมในสวนมะพร้าวเช่นกัน แต่จะด้วยเหตุเพราะการตลาด หรือ ขั้นตอนการผลิตเมล็ดแห้งเพื่อจำหน่ายยุ่งยากสำหรับเกษตรกรหรืออย่างไรไม่แน่ชัด พื้นที่ปลูกโกโก้ค่อยหายไป

จนเมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมา มีรายงานว่าตั้งแต่ ปี 2549 เป็นต้นมา ศูนย์วิจัยพืชสวนจันทบุรี ได้ส่งเสริมปลูกโกโก้ในจังหวัดจันทบุรี พื้นที่ปลูกโกโก้จึงได้ขยายไปในภาคตะวันออก รวมทั้งยังมีงานวิจัยและพัฒนาการผลิตโกโก้ที่ศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพร และศูนย์วิจัยพืชสวนจันทบุรี ได้แก่ การทดสอบพันธุ์โกโก้สำหรับทำช็อกโกแลต รวบรวมและศึกษาพันธุ์โกโก้สายพันธุ์ต่างๆ และ ศึกษาคุณภาพทางกายภาพ เคมี และการยอมรับทางประสาทสัมผัสของโกโก้สายพันธุ์ต่างๆ

การปลูกโกโก้ต้องอาศัยร่มเงาในอดีตจึงต้องส่งเสริมปลูกโกโก้แซมในสวนมะพร้าว ไม่แน่ใจว่า การปรับปรุงพันธุ์โกโก้ของกรมวิชาการเกษตร จะมีพันธุ์ที่ปลูกเป็นแปลงโกโก้ล้วนๆ ได้หรือไม่ ถ้าไม่มีพันธุ์โกโก้ที่ชอบแดด การปลูกแทนยางก็อาจจะไม่ประสบผลสำเร็จ แต่อาจปลูกเป็นพืชแซมในสวนยางได้

ให้กรมส่งเสริมการเกษตร ของอธิบดี สำราญ สาราบรรณ์ กับกรมวิชาการเกษตร ของอธิบดี เสริมสุข สลักเพ็ชร์คุยกัน 2 กรมก่อนก็น่าจะหาข้อสรุปได้ในเบื้องต้น หรือไม่ก็น่าจะมอบให้คณะกรรมการพืชสวน ของกระทรวงเกษตรฯ ทำการศึกษาและพิจารณาเสนอรัฐมนตรีฯ ไม่ต้องตั้งคณะทำงานให้เสียเวลา

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : เรื่องของ ยาง (อีกครั้ง)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/379958

281225166

เลาะรั้วเกษตร : เรื่องของ ยาง (อีกครั้ง)

วันศุกร์ ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

เมื่อวันศุกร์สัปดาห์ที่แล้ว ได้ฟังนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” ถึงเรื่องของยางพาราที่รัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหา โดยเท้าความย้อนหลังไปถึงปี 2547 ว่า เป็นปีที่รัฐบาลยุคนั้นสนับสนุนให้เกษตรกรปลูกยางเพิ่มขึ้นนับล้านไร่ โดยไม่ได้วางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ส่งผลมาถึงปัจจุบันที่ทำให้เดือดร้อนเพราะราคายาง

ถ้ายังจำกันได้ ภายหลังการส่งเสริมให้ปลูกยางล้านไร่ รัฐมนตรีที่มาดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หลายท่าน พยายามหาเสียงกับชาวสวนยางว่าจะต้องทำราคายางให้ถึงกิโลกรัมละ 100 บาทให้ได้

จะด้วยความเฮง หรือ ความสามารถไม่ยืนยัน ชาวสวนยางเคยเห็นราคายางขึ้นไปถึง 100 บาท หรือ กว่านั้น ชาวสวนยางร่ำรวยไปตาม ๆ กัน ส่งผลให้เกษตรกรในหลายจังหวัด โค่นไม้ผลที่ราคาไม่ค่อยดี หันมาปลูกยางแทน แต่ยางกิโลกรัมละ 100 บาท อยู่กับชาวสวนยางไม่ยาวนาน เพราะมีสาเหตุและสถานการณ์ที่นายกรัฐมนตรี

ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ปริมาณผลผลิตยางของไทยเพิ่มสูงขึ้นเป็นช่วงๆ โดยเฉพาะในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ปริมาณผลผลิตพุ่งขึ้นสูงถึง 4.5 ล้านตัน ในขณะที่ราคายางพาราในตลาดโลกกลับลดลง นอกจากนี้สถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจอย่าง สหรัฐอเมริกา กับจีน และประเทศคู่ค้าอื่นๆ ของสหรัฐอเมริกา ทำให้การส่งออกยางพาราของไทยไปยังตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของไทยมีปัญหา เมื่อส่งออกไม่ได้ ปริมาณยางในประเทศก็มีมาก ส่งผลให้ราคาตกต่ำ

นายกรัฐมนตรี ระบุว่าจากสถานการณ์ดังกล่าว คงพึ่งพาการส่งออกต่อไปไม่ได้ รัฐบาลจึงตัดสินใจจะแก้ปัญหาด้วยการเร่งรัดการใช้ยางพาราในประเทศให้มากขึ้น และพยายามแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน โดยเสนอแนวทางการแก้ปัญหาผ่านคณะกรรมการยางพาราและคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ

รัฐบาลเสนอทั้งที คณะกรรมการทั้ง 2 คณะ มีหรือจะคัดค้าน….

แนวทางแก้ปัญหาของรัฐบาล คือ จะมีโครงการพัฒนาอาชีพของชาวสวนยางเพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้นระหว่างราคายางยังตกต่ำอยู่ ให้มีการเปลี่ยนพื้นที่ปลูกยางที่ต้นยางมีอายุ 25 ปีขึ้นไป หรือต้นยางที่ไม่สมบูรณ์ไปปลูกพืชอื่นแทน รวมทั้งส่งเสริมการปลูกพืชอื่นแซมในสวนยางเพื่อเพิ่มรายได้

ให้เกษตรกรหยุดกรีดยางเป็นเวลา 1-2 เดือน ซึ่งจะสามารถลดปริมาณผลผลิตยางลงได้เดือนละ 5 แสนตัน พร้อมกับให้ กยท.ไปทำโครงการ ฝากน้ำยางไว้กับต้นยางช่วงราคาตกต่ำ โดยเชิญชวนให้ชาวสวนยางเข้าร่วมโครงการแบบสมัครใจให้ได้สัก 80% ของชาวสวนยางทั้งหมด ระหว่างที่หยุดกรีดยาง ก็ต้องหาอาชีพอื่นให้ชาวสวนยางมีรายได้ด้วย

อีกแนวทางหนึ่ง คือ ขอความร่วมมือผู้ประกอบการยางล้อรถยนต์เชิญชวนให้ประชาชนเปลี่ยนยางล้อรถยนต์ในช่วงปีใหม่ในราคาถูก และสามารถนำใบเสร็จไปลดภาษีได้ ส่วนผู้ประกอบการก็จะได้สิทธิพิเศษทางภาษีด้วยเช่นกัน แนวทางสุดท้าย คือ เร่งรัดการใช้ยางในประเทศอย่างเร่งด่วน โดยส่งเสริมการใช้ยางและผลิตภัณฑ์ยาง ทุกรูปแบบ

ในมาตรการที่ประกาศมาทั้งหมดคงใช้งบประมาณมิใช่น้อย และบางมาตรการก็ใช้ไม่ได้ผลอย่างที่คาดหวัง มีเรื่องหนึ่งที่รัฐบาลทุกรัฐบาลที่ผ่านมาไม่เคยกล่าวถึง นั่นคือ การลงทุนในอุตสาหกรรมแปรรูปยางภายในประเทศ ทั้งที่จะเป็นวิธีที่จะดูดซับปริมาณผลผลิตยางในประเทศได้มากทีเดียว หรือ กยท.ว่าอย่างไร….ออกมาส่งเสียงบ้าง…ชาวสวนยางจะได้มีที่พึ่ง

เลาะรั้วเกษตร : ยาง ปาล์ม มะพร้าว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/378617

281225166

เลาะรั้วเกษตร : ยาง ปาล์ม มะพร้าว

วันศุกร์ ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ครม. มีมติใช้เงินงบประมาณช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย หลายมาตรการ รวมๆ กันแล้วเกือบ 4 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย บรรเทาภาระค่าน้ำค่าไฟ ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561 – กันยายน 2562 ครัวเรือนละ 330 บาท รวมเป็นเงิน 27,060 ล้านบาท สนับสนุนค่าใช้จ่ายช่วงปลายปีในเดือนธันวาคม 2561 คนละ 500 บาท รวมเป็นเงิน 7,250 ล้านบาท ค่าเดินทางเพื่อการรักษาพยาบาลผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป คนละ 1,000 บาท รวมเป็นเงิน 3,500 ล้านบาท ช่วยเหลือค่าเช่าบ้านตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561- กันยายน 2562 คนละ 400 บาท รวมเป็นเงิน 920 ล้านบาท รวมทั้ง 4 มาตรการเป็นเงิน 38,730 ล้านบาท โดยระบุว่าเป็นเงินช่วยเหลือจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก

นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกมาประกาศว่ามาตรการเหล่านี้ ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับการเมือง……ประชาชนคนธรรมดาที่ไม่ได้ฝักใฝ่การเมืองอย่างพวกเราก็พอจะมองออกว่าเกี่ยวหรือไม่เกี่ยว….

มติ ครม.วันเดียวกันนี้ยังใช้เงินนับหมื่นล้านบาท อีกเรื่องหนึ่ง คือ มาตรการช่วยเหลือชาวสวนยางเพื่อสร้างความเข้มแข็ง และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และเพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพเกษตรกรชาวสวนยางและคนกรีดยาง ในวงเงิน 1,800 บาทต่อไร่ (รายละไม่เกิน 15 ไร่ พื้นที่รวม 10 ล้านไร่) เงินจำนวนนี้เป็นของเจ้าของสวนยาง 1,100 เป็นของคนกรีดยาง 700 บาท หรืออัตราส่วน 60:40 แต่มีข้อแม้ว่า ชาวสวนยางที่จะได้สิทธิ์นี้ต้องเป็นชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนไว้กับ กยท. และพื้นที่ปลูกต้องเป็นพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย เท่านั้น งบประมาณที่ต้องใช้กับมาตรการนี้รวมทั้งสิ้น 18,604.95 ล้านบาท

อันที่จริงปัญหายางพาราราคาตกต่ำ เรื้อรังมานานหลายปี กยท. พยายามแก้ปัญหา จนเปลี่ยนผู้ว่าการ กยท. ไปหลายคน แต่ปัญหาก็ยังไม่หมดไป ไม่ว่าจะมีมาตรการอะไรออกมาก็ดูจะไร้ผล ตั้งแต่ขอให้หยุดกรีดยาง ขอให้โค่นยางทิ้งเพื่อไปปลูกพืชอื่น มาตรการเร่งรัดการใช้ยางในประเทศ โดยเฉพาะการใช้ยางเป็นส่วนผสมในการทำถนนก็ติดปัญหาการจัดซื้อจัดจ้าง การกำหนดราคากลาง ทำให้ไม่สามารถขับเคลื่อนมาตรการนี้ได้

จนกระทั่งชาวสวนยางอดรนทนไม่ไหว จะจัดม็อบมาร้องเรียนรัฐบาล และตามธรรมเนียมของการสลายม็อบในยุคนี้ คือ หามาตรการช่วยเหลือ และมาตรการที่ง่ายที่สุดคือใช้เงินงบประมาณจำนวนมหาศาลทุ่มลงไป แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ขณะที่มาตรการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนไม่เคยเกิดขึ้นเลย

ไม่เพียงแต่ ยางพารา ยังมีปาล์มน้ำมัน ที่ประสบปัญหาราคาตกต่ำ และชาวสวนปาล์มเอาผลผลิตปาล์มน้ำมันมาเททิ้งและเผาเล่นไปหลายร้อยตัน เพราะปีนี้ราคาผลปาล์มตกต่ำสุดในรอบ 20 ปี จากที่เกษตรกรเคยขายได้ราคากิโลกรัมละกว่า 4 บาท มาขณะนี้ราคาตกลงเหลือกิโลกรัมละ 2 บาทกว่า ในขณะที่ชาวสวนยืนยันว่าราคาต้นทุนอยู่ที่กิโลกรัมละ 3.70 บาท

ปัญหาปาล์มน้ำมันราคาตกต่ำ สมาคมชาวสวนปาล์มตั้งข้อสังเกตว่า ปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันออกสู่คลาดน้อย การใช้พลังงานประเภทไบโอดีเซลในประเทศก็มิได้ลดลง แต่ทำไมราคาปาล์มน้ำมันจึงตกต่ำ เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากมีการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์ม ทำให้สต๊อกน้ำมันปาล์มล้น เกินความต้องการ

มาถึงมะพร้าว…..นอกเหนือจากชาวสวนต้องเผชิญปัญหาหนอนหัวดำ และศัตรูมะพร้าวตัวอื่นๆ ระบาดทำลายต้นมะพร้าวจนทำให้ผลผลิตลดลง และต้นมะพร้าวตายไปจำนวนไม่น้อย กว่าจะฝ่าฟันผ่านอุปสรรค จนฟื้นฟูสวนมะพร้าวขึ้นมาใหม่ได้ คิดว่าจะสามารถขายผลผลิตมะพร้าว มีรายได้กลับคืนมา กลับกลายเป็นว่ามีการอนุญาตให้นำเข้ามะพร้าวจากต่างประเทศเข้ามาจำนวนมากมาย ส่งผลให้ราคามะพร้าวภายในประเทศตกต่ำ ทำให้เกษตรกรชาวสวนมะพร้าวเดือดร้อนไปตามๆ กัน เกือบจะมีม็อบมะพร้าวเกิดขึ้นแล้ว ดีแต่ว่า กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ผู้อนุญาตให้นำเข้ามะพร้าว ส่งคนไปชะลอทัพ เจรจาสกัดม็อบ และมีมาตรการงดการนำเข้ามะพร้าว ม็อบจึงสลายไปได้

น่าสังเกตว่า ทั้งยางพารา ปาล์มน้ำมัน และมะพร้าว ล้วนเป็นพืชเศรษฐกิจที่หล่อเลี้ยงชีวิตของชาวภาคใต้ ที่ชาวสวนเองต้องออกมาส่งเสียงเรียกร้อง รัฐจึงหันมาช่วยแก้ปัญหา ถ้าเกษตรกรอยู่อย่างเงียบๆ รัฐคงไม่เหลียวแล

มาทายกันไหมว่า การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า พรรคไหนจะครองใจคนใต้…….

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : ข้าวโพดกับสิ่งแวดล้อม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/377076

281225166

เลาะรั้วเกษตร : ข้าวโพดกับสิ่งแวดล้อม

วันศุกร์ ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

หลายๆ ปีที่ผ่านมาในช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน หลายจังหวัดในภาคเหนือ มักจะพบปัญหาหมอกควันปกคลุมในหลายพื้นที่ ทั้งเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน พะเยา เชียงราย แพร่ และน่าน สาเหตุสำคัญเกิดจากไฟป่า และการเผาพื้นที่เกษตร และพื้นที่เกษตรที่ว่านี้ส่วนหนึ่ง คือ พื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่บุกรุกป่า

ข้อมูลจากสำนักนโยบายและแผน กระทรวงมหาดไทย ระบุว่า ในปี 2559/60 พื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของไทยมี 7.03 ล้านไร่ ในจำนวนนี้เป็นพื้นที่ที่เหมาะสม 3.30 ล้านไร่ พื้นที่ไม่เหมาะสม 0.70 ล้านไร่ และเป็นพื้นที่บุกรุกป่า 3.67 ล้านไร่

ในจำนวนพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทั้งหมด เป็นพื้นที่ที่อยู่ในภาคเหนือมากที่สุด 4.51 ล้านไร่ รองลงมาคือ ภาคอีสาน 1.66 ล้านไร่ และภาคกลาง 0.86 ล้านไร่ จังหวัดที่มีพื้นที่เพาะปลูกมากที่สุดคือ เพชรบูรณ์กว่า 8.3 แสนไร่ รองลงมาคือ น่าน 7.3 แสนไร่

จากการจำแนกพื้นที่ปลูกข้าวโพดของกระทรวงมหาดไทย จะเห็นว่ามีพื้นที่ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายมากกว่าครึ่งของพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมด ซึ่งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ปลูกในพื้นที่เหล่านี้สร้างผลกระทบกับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และการส่งออกเนื้อสัตว์ของไทย เพราะประเทศผู้นำเข้าเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์ ใช้เป็นข้ออ้างไม่ซื้อเนื้อสัตว์จากไทย เนื่องจากเป็นการบุกรุกพื้นที่ป่าและเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นมาตรการกีดกันทางการค้าที่ประเทศผู้ส่งออกมักจะต้องเผชิญอยู่เสมอ

นอกจากนี้การปลูกข้าวโพดยังมีเศษวัสดุเหลือใช้ ต้น เปลือก และซังข้าวโพดจำนวนมากที่มีการจัดการไม่ถูกวิธี ส่วนใหญ่หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว เกษตรกรมักจะทิ้งเศษวัสดุเหล่านี้ไว้ในแปลงปลูกเพื่อรอการเผาทิ้งในช่วงเดือนมกราคม – เมษายน ของทุกปีดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น การเผาไหม้ดังกล่าวก่อให้เกิดควันทำลายชั้นบรรยากาศ สร้างปัญหาหมอกควันที่มีผลกระทบต่อเนื่องอีกมากมาย โดยเฉพาะปัญหาสุขภาพของผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียง รวมทั้งปัญหาการคมนาคมทั้งทางบก และทางอากาศ

จากสถานการณ์ดังกล่าวทั้ง 2 กรณี ในปี 2560 ครม. จึงมีมาตรการลดพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่บุกรุกป่าลง โดยการให้เกษตรกรไปหาที่ปลูกใหม่ หรือเปลี่ยนอาชีพไปเพาะปลูกพืชอื่น หรือทำกิจกรรมการเกษตรอย่างอื่น ขณะเดียวกันก็ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่งเสริมปลูกข้าวโพดในพื้นที่อื่น เพื่อให้ได้ผลผลิตเพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ

กระทรวงเกษตรฯ ดำเนินมาตรการเพิ่มพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในฤดูแล้งแทนการทำนาปรังภายใต้โครงการส่งเสริมปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้งหลังนา โดยรัฐบาลให้เงินอุดหนุนแก่เกษตรกรไร่ละ 2,000 บาท

การเปลี่ยนจากข้าวไปปลูกพืชไร่ที่ไม่คุ้นเคย แม้จะมีเงินอุดหนุนจากรัฐ ก็ไม่ใช่งานที่ง่ายนัก โครงการในปีที่แล้วจึงไม่ได้พื้นที่ตามเป้าหมาย แต่เกษตรกรที่ตัดสินใจร่วมโครงการยืนยันว่ามีรายได้จากข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สูงกว่าการทำนาปรังไร่ละประมาณ 3,000 บาท

มาปีนี้โครงการเดิมกลับมาอีกครั้งในพื้นที่เป้าหมายเดิมคือ 2 ล้านไร่ ต่างกันตรงที่รัฐไม่อุดหนุนเป็นเงินสดให้แล้ว แต่จะหาแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำเพียง 0.01% ให้เกษตรกรกู้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในอัตราไร่ละ 3,000 บาท ทั้งนี้ต้องเป็นพื้นที่ปลูกที่ถูกต้องตามกฎหมาย และเกษตรกรต้องขึ้นทะเบียนเป็นเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตร

แม้จะมีข้อมูลจากกรมส่งเสริมการเกษตรว่า โครงการในปีที่ผ่านมาสามารถลดพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ในพื้นที่ป่าบุกรุกได้กว่า 5 แสนไร่ ซึ่งอาจจะลดปัญหาหมอกควันลงได้บ้าง ส่วนการส่งเสริมให้ปลูกข้าวโพดแทนข้าวนาปรังก็อาจจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องน้ำ และราคาข้าวได้บ้าง แต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาพื้นที่บุกรุกป่า และการก่อให้เกิดหมอกควันลงได้มากนัก

มีคำแนะนำในการจัดการกับเศษวัสดุเหลือใช้จากข้าวโพดด้วยการนำไปผลิตเป็นปุ๋ยหมัก ผลิตอาหารหมักให้กับโค กระบือ แปรรูปเป็นเชื้อเพลิงอัดแท่ง หรือใช้เป็นวัสดุเชื้อเพลิงในโรงงานผลิตไฟฟ้าชีวมวล เหล่านี้น่าจะเป็นโครงการที่กระทรวงเกษตรฯ ควรให้ความสนใจในการส่งเสริมพัฒนา หรือทำการวิจัยหานวัตกรรมที่เหมาะสมในการจัดการกับเศษวัสดุเหลือใช้จากข้าวโพดเหล่านี้ อย่ามุ่งแต่การเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวโพดเพียงอย่างเดียว แต่ปัญหาหมอกควันและมลพิษที่เกิดจากการเผาไร่ข้าวโพดยังไม่ได้รับการแก้ไข….

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : กฎหมาย ใช้บังคับ (ต่อ)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/375573

281225166

เลาะรั้วเกษตร : กฎหมาย ใช้บังคับ (ต่อ)

วันศุกร์ ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ศุกร์ที่แล้วได้กล่าวถึง ร่างพ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน พ.ศ…. ที่กระทรวงเกษตรเสนอผ่าน ครม. ไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ขณะนี้ยังอยู่ที่คณะกรรมการกฤษฎีกา ก่อนเสนอ สนช.

ได้บอกด้วยว่า เคยมีร่างพ.ร.บ. คล้ายๆ แบบนี้เมื่อปี 2550 ชื่อว่า ร่างพ.ร.บ. กองทุนส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน ที่หมายจะเก็บภาษีปุ๋ยเคมี และสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช มาตั้งเป็นกองทุน เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเกษตรอินทรีย์ แต่ร่างพ.ร.บ. ฉบับนั้นถูกคัดค้าน เพราะจะสร้างความเดือดร้อนให้เกษตรกรส่วนใหญ่ และยังสร้างความแตกแยกระหว่างเกษตรเคมี กับเกษตรอินทรีย์อีกต่างหาก

10 ปี ผ่านไป ร่างพ.ร.บ. เกษตรกรรมยั่งยืนกลับมาอีกครั้ง มาคราวนี้ไม่มีคำว่า “กองทุน” แต่มีคำว่า “ระบบ” มีชื่อว่าร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน พ.ศ….. ซึ่งเนื้อหาสาระไม่ต่างจากเดิมมากนักร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้จึงถูกตั้งข้อสังเกตอีกครั้ง และผู้ที่ตั้งข้อสังเกตอย่างเป็นการเป็นงาน จนมีการจัดเสวนากันเมื่อเร็วๆ นี้ คือ เครือข่ายเกษตรและอาหารปลอดภัย หรือ GAP Net

เครือข่ายเกษตรและอาหารปลอดภัย หรือ GAP Net เป็นการรวมตัวกันขององค์กรภาคการเกษตรทั้ง สมาคม ชมรม กลุ่ม รวมทั้งเกษตรกร ที่มีวัตถุประสงค์ตรงกัน คือ ต้องการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องต่อผู้บริโภคและสาธารณชน เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการผลิตสินค้าเกษตรไทย

GAP Net มีข้อคิดเห็นต่อ ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ไว้หลายประเด็น

ประเด็นแรก เกี่ยวกับสาระสำคัญที่เห็นว่า สาระของพ.ร.บ. ส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตร สร้างความแตกแยกระหว่างเกษตรกรไทย มีการเสนอตั้งหน่วยงานเป็นรูปนิติบุคคลซึ่งซ้ำซ้อนกับหน่วยงานของรัฐที่มีอยู่แล้ว ซึ่งหน่วยงานที่จะจัดตั้งขึ้นนี้จะคล้ายๆ กับกองทุนที่มีชื่อเสียงกองทุนหนึ่ง ซึ่งมีงบประมาณจำนวนมาก แถมการใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปในรูปคณะกรรมการใช้ดุลยพินิจของคณะกรรมการยากแก่การตรวจสอบ และยากที่จะป้องกันการแต่งตั้งพวกพ้องเข้าไปเป็นกรรมการ

นิยามคำว่า “เกษตรกรรมยั่งยืน” ยังไม่ชัดเจน สร้างความสับสนให้กับเกษตรกรผู้ผลิต นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นแต่การเกษตรบางระบบ โดยเฉพาะเกษตรอินทรีย์ และเกษตรชีวภาพ ทั้งๆ ที่การเกษตรในระบบที่ใช้เคมีก็ทำให้ยั่งยืนได้ถ้าใช้อย่างถูกต้อง

มีการกำหนดให้จัดเก็บภาษีปุ๋ยเคมี และสารเคมี เช่นเดียวกับ ร่าง พ.ร.บ. เมื่อ 10 ปีก่อน

ประเด็นที่สอง เกี่ยวกับกระบวนการจัดทำและเสนอร่าง พ.ร.บ. มีลักษณะเร่งรีบ ขาดการมีส่วนร่วมของเกษตรกรและผู้เกี่ยวข้องในภาคการเกษตรส่วนใหญ่ มีการประชุมรับฟังความคิดเห็นเพียง 2 ครั้ง ในเดือนมิถุนายน 2561 ที่ กทม. และในเดือนกรกฎาคม 2561 ที่ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ ที่จะมีการปรับเนื้อหาก่อนนำเสนอ ครม. ในเดือนกันยายน 2561

ประเด็นที่สาม ผลกระทบของ พ.ร.บ.ที่มีต่อเกษตรกร ในร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ มีเป้าหมายส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรในพื้นที่เพาะปลูกเพียง 5 ล้านไร่ (เกษตรอินทรีย์) ขณะที่พื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกรที่ผลิตเพื่อส่งเป็นสินค้าออกทำรายได้ให้ประเทศ และ เลี้ยงประชากรในประเทศมีถึง 140 ล้านไร่ จึงเท่ากับเป็นการลิดรอนสิทธิ และสร้างความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม และเศรษฐกิจกับเกษตรกรส่วนใหญ่

นอกจากนี้การตรากฎหมายลักษณะเช่นนี้ เป็นการเลือกให้ความสำคัญกับการเกษตรเพียงบางส่วน และเป็นส่วนน้อย จึงไม่น่าจะสร้างความยั่งยืนได้ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย และจะมีผลต่อการกำหนดนโยบาย งบประมาณ การพัฒนาการเกษตรให้ก้าวทันกับการเปลี่ยนแปลงและความสามารถในการแข่งขันต่อไปในอนาคตด้วย

เห็นทีฝ่ายกฎหมายของกระทรวงเกษตรฯ จะต้องเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขวาง และทันสมัยมากกว่านี้ ต้องทำการบ้านให้มากๆ ต้องละเอียดรอบคอบมากกว่าเดิม มิเช่นนั้นกฎหมายนั้นจะถูกคัดค้านจากผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย และผู้คนในสังคม เพราะ กฎหมาย มีไว้เพื่อผดุงความยุติธรรมและเพื่อความสุขสงบของสังคม ไม่ใช่สร้างความขัดแย้ง

แว่นขยาย

เลาะรั้วเกษตร : กฎหมาย..ใช้บังคับ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/374110

281225166

เลาะรั้วเกษตร : กฎหมาย..ใช้บังคับ

วันศุกร์ ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ช่วงใกล้เลือกตั้ง หมายถึงการใกล้จะเปลี่ยนรัฐบาลบริหารประเทศ เราจึงเห็นการเร่งผลักดันโครงการ มาตรการ และอะไรหลายสิ่งหลายอย่างให้เกิดขึ้น รวมทั้งกฎหมายหลายฉบับที่ผ่าน ครม.อย่างรวดเร็ว เพื่อเข้าสู่การพิจารณาของ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. และหลายฉบับก็ส่งไปกองไว้ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อตีความ….

เฉพาะกระทรวงเกษตรฯ เองก็มีกฎหมายหลายฉบับที่ผ่านความเห็นชอบของ ครม. แต่กลายเป็นประเด็นที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์จนต้องกลับมาทบทวน เช่น ร่าง พ.ร.บ. ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดจัดสวัสดิการสัตว์ (ฉบับที่….) พ.ศ……หรือที่เรียกกันสั้นๆ ตามความเข้าใจว่า พ.ร.บ.หมาแมว

พอไปเจอบทที่ต้องเก็บค่าธรรมเนียมการขึ้นทะเบียนสัตว์เลี้ยงที่มีไว้ครอบครอง หรือบทลงโทษที่เป็นค่าปรับสูงๆ ที่ทำให้ประชาชนทั่วไป หรือผู้มีจิตเมตตาเก็บหมาแมวมาเลี้ยงต้องเดือดร้อน ก็ต้องมีเสียงคัดค้านขึ้นเป็นธรรมดา

จำได้ว่าครั้งหนึ่งเมื่อกว่า 10 ปีมาแล้ว กทม.เคยออกบทบัญญัติ ให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะสุนัข ต้องนำสุนัขของตนไปฝังไมโครชิพ หรือบัตรประจำตัวอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อจะได้รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ เรื่องฝังไมโครชิพสุนัขนี้ก็ฮือฮาอยู่พักหนึ่ง ระยะต่อมาก็เงียบหายไปจนสุนัขที่บ้านซึ่งพาไปฝังไมโครชิพนั้นตายจากไปแล้ว มีสุนัขใหม่มาเลี้ยงแทน ก็ไม่เห็นมีการพูดเรื่องไมโครชิพกันอีก

ต่อมา ในปี 2551 ตามบทบัญญัติของ กทม. อีกนั่นแหละที่กำหนดให้ต้องนำสุนัขไปจดทะเบียน ถ้าฝ่าฝืนจะมีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท ซึ่งฮือฮาอยู่พักหนึ่งเช่นเดียวกัน หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดถึง จนกระทั่งมาปีนี้ 2561 ที่มีเรื่องราวของโรคพิษสุนัขบ้าระบาด เรื่องราวของวัคซีนพิษสุนัขบ้าปลอม จนพิษลามไปถึงอธิบดีกรมปศุสัตว์ ถูกพิษเล่นงานจนต้องย้ายไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ

จากนั้นก็มีเรื่อง พ.ร.บ.ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดจัดสวัสดิการสัตว์ หรือ พ.ร.บ. หมาแมว ขึ้นมากำหนดให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงต้องพาสัตว์เลี้ยงของตนไปขึ้นทะเบียน มิเช่นนั้นจะมีความผิดต้องถูกปรับเป็นเงินหมื่นเลยทีเดียว…ชาวบ้านจะไหวหรือ….

ก่อนหน้าร่าง พ.ร.บ. หมาแมวมีร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน พ.ศ…ผ่านความเห็นชอบของ ครม. ไปก่อนแบบเงียบๆ เนียนๆ โดยอ้างว่า มีการประชุมรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องไปแล้ว แต่ไม่ได้ระบุว่าภาคส่วนที่เกี่ยวข้องนั้นมีใครบ้าง อย่างไรก็ตาม ร่างพ.ร.บ. ดังกล่าว ยังอยู่ที่คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาให้ความเห็น

ถ้ายังจำกันได้ เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว มีความพยายามจะผลักดัน ร่าง พ.ร.บ. คล้ายๆ แบบนี้ ครั้งนั้นมีชื่อว่า ร่าง พ.ร.บ. กองทุนส่งเสริม และพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนพ.ศ……โดย พ.ร.บ. ดังกล่าวกำหนดให้มีการเก็บภาษีปุ๋ยเคมี และสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช โดยให้เหตุผลว่า ปุ๋ยเคมี และสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช เป็นตัวทำลายสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชน จำเป็นต้องเก็บภาษี เช่นเดียวกับการเก็บภาษีเหล้าและบุหรี่ หรือที่บางคนเรียกว่าภาษีบาป

เงินที่ได้จากการเก็บภาษีปุ๋ยและสารเคมีดังกล่าว จะนำมาจัดตั้งเป็นกองทุนเพื่อนำไปขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางของเกษตรอินทรีย์ โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นกับเกษตรกรส่วนใหญ่ของประเทศที่ยังต้องพึ่งพาปุ๋ยเคมี และสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช เพราะผู้ค้าปุ๋ยเคมี และสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชคงไม่ยินดีเสียภาษีโดยไม่ผลักภาระไปให้ผู้ใช้ คือ เกษตรกร ด้วยการขึ้นราคาปุ๋ยเคมี และสารเคมี เป็นแน่

ขณะเดียวกันยังเป็นการสร้างความแตกแยกระหว่างเกษตรกรที่ทำการเกษตรแบบพึ่งพาเคมี กับเกษตรกรที่ผลิตในระบบเกษตรอินทรีย์ ทั้งๆ ที่ประเทศไทยต้องอาศัยการผลิตในระบบที่ต้องพี่งพาปุ๋ยเคมีและสารเคมี (ที่ปลอดภัย) ในการส่งออกมากกว่าเกษตรอินทรีย์ด้วยซ้ำไป

พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวในครั้งกระนั้นถูกคัดค้านจนต้องยกเลิกไป

10 ปีผ่านไป เราได้เห็น พ.ร.บ. ฉบับนี้กลับมาอีกครั้ง ในชื่อว่า ร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน พ.ศ……ซึ่งไม่แตกต่างจากของเดิมเท่าไรนัก และมีประเด็นที่ยังไม่ชัดเจน จนอาจนำไปสู่ความขัดแย้งต่อไปได้ ส่วนจะมีประเด็นใดบ้าง จะได้นำมาเสนอต่อไป

แว่นขยาย