นายกฯประยุทธ์พบสื่อมวลชนไทยในนิวยอร์กก่อนกลับ หลังเสร็จประชุมยูเอ็น

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 24 ก.ย. 2559 09:10

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/732615

 

‘บิ๊กตู่’ เปิดโอกาสให้คณะสื่อมวลชนไทยในนิวยอร์ก เข้าพบสอบถามและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หลังเสร็จสิ้นการประชุมยูเอ็น ก่อนเดินทางกลับไทย โดยมีเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน และเลขาฯ นายกรัฐมนตรีร่วมพบปะพูดคุยด้วย

เมื่อ 24 ก.ย.59 นายไพโรจน์ ปักษาษิณ ผู้สื่อข่าวไทยรัฐประจำนครนิวยอร์ก รายงานว่าภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจการกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมระดับรัฐมนตรี กลุ่ม 77 (จี 77) ที่สหประชาชาติ ในนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐฯ แล้ว นายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เปิดโอกาสให้คณะสื่อมวลชนไทยในนิวยอร์กเข้าพบเพื่อสัมภาษณ์ และสอบถามแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่ห้องรับรองของโรงแรม
Plaza Athenee (พลาซ่า แอทธินี) เมื่อวันศุกร์ที่ 23 ก.ย. เวลา 15.30 น. ตามเวลาท้องถิ่นนิวยอร์ก โดยมี นายพิศาล มาณวพัฒน์ เอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐฯ และ พลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมพบปะพูดคุยในครั้งนี้ด้วย


ขณะเดียวกัน ต่อคำถามถึงการใช้สิทธิเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรของคนไทยที่อยู่ต่างประเทศที่ถูกระงับไปนั้น ได้มีการเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ ทบทวนหาทางใหม่ให้คนไทยในต่างประเทศมีการใช้สิทธิเลือกตั้งเหมือนเดิมจะด้วยวิธีใดก็ตาม สำหรับการพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างนายกรัฐมนตรีประยุทธ์กับคณะสื่อมวลชนในไทยนครนิวยอร์กในครั้งนี้ ใช้เวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น เนื่องจากนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ต้องเตรียมตัวออกเดินทางในเวลา 18.00 น. ของวันที่ 23 ก.ย.ตามเวลาท้องถิ่น เดินทางไปยังสนามบิน JFK ออกจากนครนิวยอร์ก โดยเที่ยวบิน LH 405 และจะเดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิในเวลา 06.25 น. ของวันอาทิตย์ที่ 25 ก.ย.


ชุมชนไทยในซิดนีย์ ร่วมสมทบทุนโครงการอุปสมบท ณ พุทธคยา อินเดียครั้งที่2

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 20 ก.ย. 2559 22:50

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/728955

 

นายจิระชัย ปั้นกระษิณ เอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุง แคนเบอร์ร่า ,นางอรวรรณ โกศะรถ ประธานคณะกรรมการดำเนินงานและคณะกรรมการโครงการบรรพชาอุปสมบท ณ พุทธคยา ประเทศอินเดียภาพข่าว

เมื่อวันที่ 18 กันยายน นายณัฐพันธ์ ตรีเมฆ ผู้สื่อข่าวไทยัฐ ประจำประเทศออสเตรเลีย รายงานมาว่า ชุมชนไทยในซิดนีย์ ได้ร่วมกันจัดงาน “ร่วมใจร่วมบุญร่วมสมทบทุนเป็นเจ้าภาพโครงการบรรพชาอุปสมบท ณ พุทธคยา ประเทศอินเดีย ครั้งที่ 2” ซึ่งจัดให้มีขึ้นที่แพดดิงตัน อาร์เอสแอล คลับ ซิดนีย์ โดยมีนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศนิวซีแลนด์ , นายจิระชัย ปั้นกระษิณ เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศออสเตรเลีย , นายณัฐพล ขันธหิรัญ กงสุลใหญ่ประจำนครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ร่วมกันเป็นที่ปรึกษากิติมศักดิ์ของโครงการ มาร่วมงานด้วย โดยวัตถุประสงค์ในการจัดงานในครั้งนี้ก็เพื่อหารายได้มาสำทบทุน เป็นค่าใช้จ่ายในการสานต่อโครงการ ซึ่งในปีนี้จะมีพระ และเณรร่วมบรรพชาอุปสมบท จำนวน 9 รูป ณ พุทธคยา ประเทศอินเดียถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมายุ 89 พรรษาระหว่างวันที่ 26 ธันวาคม 2559 ถึง 7 มกราคม 2560 โดยมีพระเทพสีลาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดป่าพุทธรังษี ลูเมียห์ ประธานโครงการ และพระราชสีลาภรณ์ วัดธัมธโร แคนเบอร์ร่า,พระครูวิเทศธรรมานุศาสน์ วัดพุทธรังษี แอนนาเดล ,พระวิเทศธรรมญาณ วัดพุทธรังษี แสตนมอร์ ที่ปรึกษากิติมศักดิ์ฝ่ายพระสงฆ์


นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ เอกอัครราชทูตไทย ประจำประเทศนิวซีแลนด์,นายณัฐพล ขันธหิรัญ กงสุลใหญ่ประจำนครซิดนีย์,นาวาเอก อภิชัย สมพลกรัง ผชท.ทร.ไทย ณ กรุงแคนเบอร์รา,นางณิชาภา ธรรมสิรภพ เลขานุการประสานงาน,นางสุนิสา ตรีทศเดช ที่ปรึกษาโครงการ ร่วมถ่ายรูป

สำหรับความเป็นมาของโครงการบรรพชาอุปสมบทอินเดียนั้น นางณิชาภา ธรรมสิรภพ (เลขานุการและประสานงานของโครงการ) ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า “ครั้งแรกนั้น เริ่มขึ้นเมื่อเดือนมกราคม 2557 โดยมีผู้ร่วมบรรพชาสามเณร 9 รูป และอุปสมบทพระภิกษุ 2 รูป พร้อมคณะผู้ร่วมแสวงบุญอีก 13 คน โดยในครั้งนั้นท่านเจ้าคุณพระเทพโพธิวิเทศ เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย และหัวหน้าพระธรรมทูตสายอินเดีย เนปาล ได้รับมอบเงินจากคณะในโครงการถวายผ้าป่าสำหรับวัดไทยพุทธคยา ซึ่งท่านเจ้าคุณพระเทพโพธิวิเทศ ท่านมีเมตตาจิตโดยนำเงินทั้งหมดนั้นกลับมาให้เพื่อเป็นทุนสำหรับทำโครงการนี้ในปีต่อไป จึงเป็นการสร้างสัมพันธ์และปูพื้นฐานทางพุทธศาสนาระหว่างประเทศออสเตรเลียและประเทศอินเดียให้เป็นปึกแผ่นมากยิ่งขึ้น จึงเป็นที่มาให้ทางคณะกรรมการได้จัดทำโครงการบรรพชาอุปสมบทอินเดียขึ้นอีกเป็นครั้งที่ 2 ตามประสงค์จากท่านเจ้าคุณฯ และได้จัดให้โครงการนี้เป็นโครงการของชุมชนไทยอย่างแท้จริง โดยเปิดกว้างให้ชุมชนไทยได้มีส่วนร่วมทั้งผู้ร่วมบวชในโครงการ และผู้ร่วมเดินทางแสวงบุญกับโครงการ รวมทั้งการร่วมบุญของชุมชนไทยอีกด้วย โดยพร้อมกันนี้ร่วมถวายให้เป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนม 89 พรรษา และทรงครองราชย์ครบ 70 ปีอีกด้วย


มอบรางวัลผู้ชนะการประกวดแต่งกายชุดอินเดีย

ซึ่งทางโครงการได้รับความเมตตาจากท่านเจ้าคุณพระเทพสีลาภรณ์ เป็นประธานโครงการ นอกจากนี้ยังได้รับความสนับสนุนจากเจ้าอาวาสวัดพุทธรังษี แอนนาเดล, วัดธัมมธโร กรุงแคนเบอร์ร่า มาร่วมเป็นที่ปรึกษากิติมศักดิ์ ฝ่ายสงฆ์ ร่วมถึงวัดพระยอดแก้ว แคบบรามาต้า ท่านเจ้าอาวาสก็เมตตาให้ทำผ้าป่าช่วยเหลือโครงการ ส่วนที่ปรึกษากิติมศักดิ์ฝ่ายฆราวาส จะมีท่านทูตจิระชัย ปั้นกระษิณ, ท่านทูตมาริษ เสงี่ยมพงษ์, ท่านกงสุลใหญ่ณัฐพล ขันธหิรัญ, คุณวิโรจน์ ศิริโหราชัย , หน่วยราชการไทยทั้งซิดนีย์ และทางประเทศไทย โครงการนี้ได้จัดตั้งกรรมการดำเนินงานขึ้น โดยได้รับความร่วมมือจากหลายๆท่าน โดยมีคุณอรวรรณ โกศะรถ เป็นประธานคณะกรรมการดำเนินงาน มีดิฉันทำหน้าที่ (เลขาโครงการและประสานงาน) ฝ่ายการเงินได้แก่ คุณอรวรรณ โกศะรถ, คุณกิติภูมิ ธรรมสิรภพ และคุณแองเจริก้า คาซาโด้ นอกจากนี้ยังมีคณะกรรมการฝ่ายหาทุน, ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากสื่อต่างๆช่วยประชาสัมพันธ์มาโดยตลอด ขอขอบคุณมา ณ ที่นี่ด้วย


มอบรางวัลผู้ชนะการประกวดแต่งกายชุดอินเดีย

โดยทางโครงการจะเป็นผู้หาทุนให้ ซึ่งจะมีค่าโดยสารเครื่องบินจากซิดนีย์ กรุงเทพ อินเดีย ค่าทัวร์ที่พัก ค่าอาหาร จะต้องจ่ายจำนวน $3000 ค่าเครื่องอัฐบริขาร $398 รวมแล้วเป็นเงิน $3398 ต่อคน ซึ่งผู้บวชจะร่วมบุญเพียง $500 ส่วนที่เหลือทางโครงการจ่ายให้ทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีค่าที่พักที่กรุงเทพฯเมื่อไปถึงและขากลับ การถวายผ้าป่าในแต่ละวัดที่คณะเดินทางไปพักทั้งสี่สังเวชนียสถาน และอื่นๆ ซึ่งทางโครงการจะต้องหาทุนสำหรับค่าใช้จ่าย ทางคณะกรรมการแต่ละท่านที่ร่วมเดินทางไปกับโครงการจะต้องจ่ายค่าใช้จ่ายเอง โดยทางโครงการได้จัดงานขึ้นในวันอาทิตยที่ 18 กันยายนนี้ เพื่อร่วมใจร่วมบุญร่วมสมทบทุนเป็นเจ้าภาพผู้บวชในโครงการจำนวน 9 รูป ในงานนี้ได้รับความร่วมมือจากท่านเจ้าของกิจการ ร้านอาหาร ร่วมเป็นสปอนเซอร์ ร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพผู้บวช การจัดงานนี้ไม่มีดารานักร้อง เป็นการขายบัตรทานอาหารราคา $30 โดยมีผู้ร่วมบุญทำอาหารมาให้ เจ้าของร้านอาหารและบางท่าน ทำขนม มาให้ ได้รับเกียรติจากนักร้องกิติมศักดิ์จากแคนเบอร์ร่า, การแสดงและความบันเทิงจากชุมชนไทยท้องถิ่น เช่น ตั้ม สัญญา ฟ้าอุทัย วงดนตรีรากไทยร่วมกับคณะวีร็อค ร่วมให้ความบันเทิง แดนเซอร์จากสยามคลาสิคอลแดนซ์ การแสดงจากนักเรียนจาก กลุ่ม ATYAP การประกวดการแต่งกายอินเดียชุดชาย และหญิง ซึ่งได้รับการร่วมมืออย่างดีมีผู้ร่วมประกวดสร้างสีสรรค์ให้กับงานอย่างมาก การช่วยเหลือจากชุมชนไทยในการร่วมบุญนี้ เป็นการทำงานร่วมกัน ทั้งภาครัฐและชุมชนไทย ท่านกงสุลใหญ่ณัฐพล ขันธหิรัญ ให้ความช่วยเหลือโครงการเป็นอย่างมากติดต่อประสานงาน เข้าร่วมประชุมทุกครั้งที่คณะกรรมการจัดประชุม และยื่นมือช่วยเหลือเพื่อให้โครงการได้ดำเนินการอย่างราบรื่น ทางคณะกรรมการขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมสนับสนุนโครงการเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา และเพื่อครั้งหนึ่งในชีวิตที่จะได้กราบสักการะสถานที่สำคัญในพุทธประวัติ ขออนุโมทนาบุญทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยคะ”


มอบรางวัลผู้ชนะการประกวดแต่งกายชุดอินเดีย

ส่วนทางด้านหน่วยราชการไทยในซิดนีย์ นายณัฐพล ขันธหิรัญ กงสุลใหญ่ประจำนครซิดนีย์ ก็ได้ให้สัมภาษณ์ว่า “สำหรับโครงการบรรพชาอุปสมบท ณ พุทธคยา ประเทศอินเดียทางสถานกงสุลใหญ่ก็ได้เป็นที่ปรึกษามาโดยตลอด จนมาถึงปีนี้ ซึ่งเป็นปีที่ 2 แล้วก็ยังเป็นที่ปรึกษาเช่นเดิม ซึ่งก็ได้เล็งเห็นว่า เป็นโครงการที่ดีมากอีกโครงการหนึ่งของทางชุมชนไทยในซิดนีย์ ที่ทางสถานกงสุลใหญ่จะให้การสนุบสนุนเพราะ เกี่ยวเนื่องอยู่ 2 ประเด็นหลักคือ 1.เป็นการอุปสมบทเยาวชนไทยที่เกิดในประเทศออสเตรเลียให้ได้รู้จัก และซึมซับกับพุทธศาสนาให้ได้มีโอกาสได้เรียนรู้ในวิถีแห่งพุทธศาสนิกชน ซึ่งเป็นรากเง่าของคนไทยได้อย่างแท้จริง และสามารถทำให้คงความเป็นไทยไว้ และในอนาคต พวกเขาก็จะกลับมาช่วยพัฒนาประเทศของเราต่อไป 2.ทำเพื่อสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงครองราชย์ครบ 70 ปีในปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงปีที่เราควรจะเฉลิมฉลองเพื่อถวายพระเกียรติอีกด้วยครับ”


แดนเซอร์จากสยามคลาสิคอลแดนซ์ทำการแสดง

นอกจากนี้นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งเดินทางมาร่วมงานในฐานะที่ปรึกษากิติมศักดิ์ก็ได้ให้สัมภาษณ์ว่า”ซึ่งตอนนั้นในปีแรกผมเป็นทูตประจำอยู่ที่กรุงแคนเบอร์รา ก็ได้เข้ามาเป็นที่ปรึกษาของโครงการนี้ใน และได้มีโอกาสเป็นผู้บรรยายเรื่องสถานที่ ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ทั้งที่ซิดนีย์ และประเทศไทย ซึ่งเป็นการริเริ่มของชุมชนไทยเอง และเราเป็นหน่วยราชการ จึงเข้ามาเป็นที่ปรึกษาและให้ความช่วยเหลือ ซึ่งก็ขอชื่นชมในความตั้งใจด้วย และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ทำให้เยาวชนไทยที่เกิดในประเทศออสเตรเลีย ได้มีโอกาส ได้ไปเรียนรู้ศาสนาเป็นการทำให้ได้ใกล้ชิดพุทธศาสนา ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะมีโอกาสแบบนี้ในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งต้องมีทั้งบุญมีทั้งการสนับสนุนของครอบครัวบุคคลต่างๆ อย่างยิ่งใหญ่หลังจากนั้นทำให้มีคณะพระอุปชา,พระธรรมทูตที่อยู่ในประเทศอินเดีย และประเทศเนปาลได้เดินทางมาเยี่ยมเพื่อมาดูว่าชุมชนไทยที่นี่อยู่กันอย่างไร และเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ทางพุทธศาสนาเนื่องจากว่าโครงการของพระธรรมทูตอินเดียและประเทศเนปาลประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากโดยมีผู้แสวงบุญชาวไทยเดินทางไปประเทศอินเดียและเนปาล ปีละเป็นจำนวนมากเพื่อไปแสวงบุญกันครับ


แดนเซอร์จากสยามคลาสิคอลแดนซ์ทำการแสดง

ส่วนทางด้านข้าราชการทหารเรือ นาวาเอก อภิชัย สมพลกรัง ผชท.ทร.ไทย ณ กรุงแคนเบอร์รา ซึ่งประจำการอยู่ที่แคนเบอร์ราปีที่ 3 แล้วและจะเดินทางกลับ ภายในวันที่ 10 ตุลาคมนี้ ทางผู้สื่อข่าวไทยรัฐจึงถือโอกาสสอบถามถึงโครงการดีๆที่ได้ทำการสานต่อจนประสบผลสำเร็จว่ามีอะไรบ้าง”สำหรับโครงการที่สานต่อหลังจากการเข้ารับตำแหน่งคือโครงการ “สานใจไทยสู่ใจใต้”ที่กองทัพเรือทำในส่วนบำรุงขวัญข้าราชการกองทัพเรือที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีการปะทะได้รับบาดเจ็บ ทางชาวไทยที่อาศัยอยู่ในซิดนีย์ โดยพลเรือโท จุมพล ลุมพิกานนท์ตอนที่ท่านเป็นผบ.หมู่เรือฝึกท่านมา และท่านได้ประสานกับชุมชนไทยในซิดนีย์ช่วยในการจัดทำหารายได้และก็ได้รับการช่วยสำทับทบทุนเป็นเงินช่วยเหลือจากการจัดคอนเสิร์ต เป็นจำนวนสี่หมื่นกว่าเหรียญ ส่วนโครงการใหม่ๆที่ได้จัดทำขึ้นก็เป็นความร่วมมือกับกองทัพเรือประเทศออสเตรเลียซึ่งจะมีการฝึกร่วมกันระหว่างทหารเรือไทยกับทหารเรือออสเตรเลียซึ่งในเดือนกันยายนนี้ก็จะเป็นการฝึกในประเทศออสเตรเลียส่วนในปีหน้าก็จะเป็นการฝึกออสไทยซึ่งกองทัพเรือออสเตรเลียก็จะส่งเรือเข้าร่วมในส่วนของการฝึกออสไทยและก็ร่วมในส่วนของการสวนสนามครบรอบ 50 ปีของการก่อตั้งอาเซียนที่เมืองพัทยาประมาณเดือนพฤศจิกายน ปี2560 นี้ครับ


นายพลกฤษณ์ จิตตานันท์ กรรมการดำเนินงาน และผู้เข้าประกวดแต่งกายชุดอินเดีย

มอบรางวัลผู้ชนะการประกวดแต่งกายชุดอินเดีย

ทีมผู้จัดรายการ Tv Online ช่อง Tv Hub

นายจิระชัย ปั้นกระษิณ เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศออสเตรเลีย ร่วมถ่ายภาพกับชุมชนไทยในซิดนีย์

พิธีบรรพชาสามเณรจำนวน 11 รูป ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ พุทธคยา และกิจกรรมต่างๆของโครงการการบรรพชาอุปสมบท ณ พุทธคยา ประเทศอินเดีย ครั้งที่ 1 เมื่อเดือนมกราคม 2557
 

ล่า ‘ไอ้มืด’ ฆ่าหนุ่มไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 14 ก.ย. 2559 07:58

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/722068

 

เจ้าของร้านอาหาร‘ไหมไทย’-แม่วอนส่งศพกลับ

แม่เจ้าของร้านอาหาร “ไหมไทย” ในเมืองทัคเกอร์ รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา รุดร้อง “ไทยรัฐ” เป็นสื่อกลาง หลังลูกชายตกเป็นเหยื่อโจรปล้นรถถูกยิงเสียชีวิต ร่ำไห้วอนอยากได้ร่างลูกชายกลับมาบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิด เผยเพิ่งส่งรูปใส่สูทใหม่มาให้ดูทางไลน์ บอกจะใส่กลับมาไหว้แม่ ตอนนี้ถึงกับหัวใจสลาย หวัง ตร.สหรัฐฯตามจับคนร้ายได้โดยเร็ว

จากกรณีเกิดเหตุสะเทือนขวัญ นายสมโภชน์ อารมณ์สุข วัย 34 ปี เจ้าของร้านอาหารไทย “ไหมไทย” ในเมืองทัคเกอร์ รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตแล้วขโมยรถฮอนด้าซีวิค สีดำ โดยเหตุเกิดเมื่อเวลา 21.30 น. วันที่ 10 ก.ย.ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น ณ บริเวณจอดรถ ของ “ทัคเกอร์ สเตชั่น ช็อปปิ้ง เซ็นเตอร์” คดีนี้ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนท้องถิ่น และสร้างความตกใจให้กับลูกค้าประจำของร้านอย่างมาก เนื่องจากผู้ตายเป็นคนมีน้ำใจ และไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับใคร

ต่อมาเมื่อช่วงเย็นวันที่ 13 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางตุ๋ย อารมณ์สุข อายุ 59 ปี มารดาของนายสมโภชน์ พร้อมญาติ เดินทางเข้าร้องทุกข์กับ นสพ.ไทยรัฐ ขอให้เป็นสื่อกลางประสานสถานทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย และกรมการกงสุล ประเทศไทย เพื่อให้เร่งจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดี พร้อมช่วยนำศพของนายสมโภชน์ กลับมายังประเทศไทย เพื่อญาติจะได้ประกอบพิธีทางศาสนา

นางตุ๋ยกล่าวด้วยน้ำตาว่า มีลูกชาย 2 คน คนแรกอายุ 36 ปี แต่เป็นออทิสติก และคนที่ 2 คือ นายสมโภชน์ เป็นคนชอบเรียนหนังสือมาก หลังจบปริญญาตรีในเมืองไทยเมื่อปี 2552 ได้ไปเรียนต่อปริญญาโท มหาวิทยาลัยวิทยาเขตเมืองจอร์เจีย ระหว่างเรียนทำงานเป็นผู้ช่วยกุ๊กร้านอาหารแห่งหนึ่ง ส่งตัวเองเรียนจนจบปริญญาโท หันมาเปิดร้านอาหารไทยเองในทัคเกอร์ สเตชั่น ช็อปปิ้ง เซ็นเตอร์ และลูกค้าชอบมากินอาหารร้านลูกชายมาก เพราะเป็นคนอัธยาศัยดี และช่วยเหลือคนรอบข้าง โดยเฉพาะเด็กๆอยู่อาศัยบริเวณนั้น จะทำอาหารให้กินฟรีบ่อยครั้ง ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 ก.ย.ที่ผ่านมา ได้ถ่ายรูปใส่ชุดสูทที่ซื้อมาใหม่ส่งมาทางไลน์และบอกว่าจะใส่ชุดนี้กลับมาเมืองไทยไหว้แม่

นางตุ๋ยกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครืออีกว่า เมื่อวันที่ 11 ก.ย.ที่ผ่านมา ตนพยายามโทรศัพท์ติดต่อนายสมโภชน์ประมาณ 40 ครั้ง แต่ไม่มีคนรับสาย จนเกิดสังหรณ์ใจ และวันที่ 12 ก.ย.ที่ผ่านมา ได้รับโทรศัพท์แจ้งว่าลูกชายถูกคน ร้ายผิวดำฆ่าชิงทรัพย์ ตนถึงกับเป็นลมนอนร้องไห้ทั้งคืน รับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะนายสมโภชน์เป็นเสาหลักของบ้าน ในอนาคตจะหวังพึ่งพาในยามแก่ชรา และฝากฝังให้เป็นคนดูแลพี่ชายที่ป่วยเป็นออทิสติก เพราะเคยบอกว่าขอเก็บเงินเปิดร้านอาหารในเมืองจอร์เจีย 3 ปี จะกลับมาเลี้ยงแม่และพี่ชาย แต่ต้องมาจบชีวิตลง ทำให้ตนเสียใจมาก สิ่งสำคัญเมื่อติดต่อกับทางเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐอเมริกาให้นำศพลูกชายกลับมาเมืองไทย กลับแจ้งว่าต้องรอกระบวนการชันสูตรศพและต้องมีค่าใช้จ่าย 2-5 แสนบาท ตนไม่เข้าใจว่าลูกชาย ได้กรีนการ์ดของสหรัฐอเมริกา และจ่ายภาษีให้กับสหรัฐอเมริกาตลอด แต่ชีวิตลูกชายกลับไม่มีความปลอดภัย และจะนำศพกลับบ้านเกิด เพื่อจะได้กอดลูกชาย และทำพิธีงานศพเป็นครั้งสุดท้ายกลับไม่ได้ แต่ต้องให้เผาศพที่เมืองจอร์เจีย และนำอัฐิกลับมาแทน ดังนั้น อยากขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยนำศพลูกชายกลับมาเมืองไทย และเร่งจับคนร้ายมาดำเนินคดี

ขณะที่นายธาตรี เชาวชตา ผู้อำนวยการกองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ผ่านไทยรัฐทีวีในช่วงเย็นวันเดียวกัน ถึงความคืบหน้าในการดำเนินการว่า ทางสถานทูตทราบเรื่องแล้ว ขั้นตอนในการดำเนินการช่วยเหลือนั้น ขั้นตอนแรกรอเอกสารทางการท้องถิ่นสหรัฐฯ แจ้งกับสถานทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน เพื่อรายงานการเสียชีวิตแล้ว เพื่อที่สถานทูตจะได้ออกใบมรณบัตรไทย ต่อมาเรื่องการจัดการส่งศพ ทางสถานทูตจะสำรองจ่ายไปก่อน หากทางครอบครัวไม่สามารถชำระได้ในขณะนี้ ให้ไปเขียนยื่นคำร้องต่อสถานทูตไทย เพื่อผ่อนผันการชำระค่าดำเนินการ ขณะนี้สถานทูตได้ติดต่อกับทางการสหรัฐฯ ในเรื่องความคืบหน้าของคดี และติดต่อทางบริษัทเอกชนที่ส่งศพกลับประเทศไทย อีกทั้งดำเนินการออกใบมรณบัตรขึ้นอยู่กับว่าความคืบหน้าของคดีเป็นไปอย่างไร หากจับผู้ต้องหาได้เร็ว ขั้นตอนต่อจากนี้ไปก็จะสามารถดำเนินการส่งศพกลับไทยได้รวดเร็ว

นอกจากนี้มีรายงานว่า พระเทพกิติวิมล หัวหน้าคณะสงฆ์ไทยในสหรัฐฯ และสมาคมไทยแห่งรัฐจอร์เจีย กำหนดวันพิธีสวดอภิธรรมศพนายสมโภชน์ในวันพุธที่ 14 ก.ย. เวลา 19.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ณ วัดพุทธบูชา เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย

จากนั้นในช่วงค่ำ นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงเหตุการณ์ที่นายสมโภชน์ อารมณ์สุข เจ้าของร้านอาหารไทย ชื่อ “ไหมไทย” ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ว่า เมื่อวันที่ 12 ก.ย.ที่ผ่านมา เวลา 03.10 น. สถานเอกอัครราชทูตไทยฯ ได้รับแจ้งจากคนไทยในสหรัฐอเมริกาว่ามีคนไทยเสียชีวิตที่รัฐจอร์เจีย ซึ่งจากการตรวจสอบกับคนไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่ามีคนไทยถูกยิงเสียชีวิตที่เมืองทัคเกอร์ รัฐจอร์เจีย โดยกรณีนี้เป็นอาชญากรรมท้องถิ่น และอยู่ในระหว่างการสืบสวนคดีโดยตำรวจสหรัฐฯ ทั้งนี้ ร่างของผู้เสียชีวิตอยู่ระหว่างการชันสูตรของทางการสหรัฐฯ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ขณะที่มารดาของผู้เสียชีวิตได้ติดต่อกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศแล้ว เพื่อมอบอำนาจให้สถานเอกอัครราชทูตไทยดำเนินการเกี่ยวกับการส่งศพบุตรชายกลับประเทศไทย ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้ประสานกับสถานเอกอัครราชทูตไทยฯ และจะให้ความช่วยเหลือในกรณีนี้อย่างเต็มที่

 

แม่หวังตร.มะกันจับมือปืนได้ไว! ฆ่าหนุ่มเจ้าของร้านอาหารไทย ลูกค้าช็อก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 13 ก.ย. 2559 12:31

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/721023

 

(ขอบคุณภาพจากทวิตเตอร์: Portia Bruner)

ตำรวจสหรัฐฯเร่งติดตามจับกุมมือปืนชายก่อเหตุสะเทือนขวัญ ฆ่าชิงทรัพย์ ‘สมโภชน์’หนุ่มไทยเจ้าของร้านอาหารไหมไทย ในเมืองทัคเกอร์ รัฐจอร์เจีย ขณะที่แม่หวังตร.ตามจับคนร้ายได้เร็วๆ ลูกค้าประจำสุดช็อก ไม่คาดฝันจะเกิดเหตุร้าย ประณามคนร้ายสุดเลือดเย็น

เมื่อ 13 ก.ย. 59 สื่อท้องถิ่นในสหรัฐฯ ทั้งเว็บไซต์ และสถานีโทรทัศน์ช่อง ‘fox5 atlanta’ (ฟ็อกซ์ 5 แอตแลนตา) รวมถึงชาวอเมริกัน ในเมืองจอร์เจีย รัฐแอตแลนตา เกาะติดเหตุการณ์สะเทือนใจ นายสมโภชน์ อารมณ์สุข หนุ่มชาวไทย วัย 34 ปี เจ้าของร้านอาหาร ‘ไหมไทย’ ที่เมืองทัคเกอร์ รัฐจอร์เจีย ถูกฆ่าชิงทรัพย์ ที่บริเวณลานจอดรถของ ‘ทัคเกอร์ สเตชั่น ช็อปปิ้ง เซ็นเตอร์’ เมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. ของคืนวันเสาร์ที่ 10 ก.ย. ตามเวลาท้องถิ่น หลังจากคนร้ายได้มาดักรอหลังปิดร้านเพื่อปล้นชิงทรัพย์ และได้ลั่นกระสุนยิงใส่นายสมโภชน์จนเสียชีวิต อีกทั้งยังขโมยรถฮอนด้า ซีวิค สีดำของนายสมโภชน์ไปด้วยว่า ตำรวจสหรัฐฯ ประจำเขตเดคอลบ์ เคาตี้ ยังคงเร่งติดตามหามือปืนที่ก่อเหตุยิงนายสมโภชน์  ส่วนเจ้าหน้าที่สืบสวนได้กลับมายัง ‘ทัคเกอร์ สเตชั่น ช็อปปิ้ง เซ็นเตอร์’ เพื่อตรวจสอบและเก็บหลักฐานที่เกิดเหตุอีกครั้ง


จากทวิตเตอร์ Portia Bruner

ขณะเดียวกัน ข่าวการเสียชีวิตของ นายสมโภชน์ ได้สร้างความตกตะลึงอย่างมากให้แก่บรรดาลูกค้าประจำที่ไม่ทราบข่าวร้าย และเพิ่งมารู้ข่าว หลังจากพวกเขามาถึงร้านเพื่อมากินอาหารมื้อกลางวัน เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดย ทาห์ลิก แจ็คสัน หนึ่งในลูกค้าประจำของร้านไหมไทย ได้กล่าวด้วยความเสียใจและพูดถึงนายสมโภชน์ ว่าเป็นคนที่ไม่เคยสร้างความรำคาญให้กับใครๆ เลย ใจของเขาคือการดูแลและทำธุรกิจร้านอาหารให้ดี แต่ละวันคือการทำงานและกลับบ้าน ด้วยเหตุนี้ใครก็ตามที่ยิงเขาจนเสียชีวิต ถือเป็นคนใจร้ายและเลือดเย็นมาก

‘มันเป็นเรื่องเศร้ามากสำหรับผู้ที่มาอยู่ในประเทศนี้ เพื่อเสาะหาชีวิตที่ดีกว่า และการถูกฆ่าแบบนี้เป็นเรื่องน่าเศร้า’ รูบี้ บรูเวอร์ ซึ่งเป็นลูกค้าประจำของร้านไหมไทยคนหนึ่งกล่าวด้วยความเสียใจ


ภาพจากเฟซบุ๊ก : Somphot Aromsuk

ขณะเดียวกัน ข่าวแจ้งว่า จากการเปิดเผยของเพื่อนคนหนึ่งของ นายสมโภชน์ เล่าถึงความมีน้ำใจของเขาว่า มักจะนำอาหารที่เหลือจากร้านมาให้เพื่อนๆ ได้กินเสมอหลังจากเขาปิดร้าน โดยในที่เกิดเหตุ ยังมีกล่องอาหารกล่องหนึ่งตกอยู่ในลานจอดรถ ไม่ห่างจากกองเลือดจุดที่นายสมโภชน์โดนยิงเท่าไรนัก

ด้านเว็บไซต์ ฟ็อกซ์ 5 แอตแลนตา รายงานด้วยว่า หญิงที่เป็นแม่ของนายสมโภชน์ กล่าวกับนักข่าวฟอกซ์ 5 แอตแลนตา ว่าเธอหวังว่าตำรวจเดคอลบ์ เคาตี้ จะสามารถติดตามจับกุมคนร้ายที่ฆ่าลูกชายของเธอได้ในเวลารวดเร็ว พร้อมทั้งเล่าว่าลูกชายของเธอมารัฐจอร์เจีย เมื่อ 5 ปีก่อน และได้ซื้อกิจการร้านอาหารไหมไทย เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ด้วยความตั้งใจที่จะทำงานเก็บเงินให้ได้มากพอสำหรับมาช่วยเหลือครอบครัวในประเทศไทย

ที่มา : fox5atlanta

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : แม่่หวังตร.มะกันจับมือปืนได้ไว! ฆ่าหนุ่มเจ้าของร้านอาหารไทย ลูกค้าช็อก

 

หนุ่มเจ้าของร้านอาหารไทยถูกฆ่าชิงทรัพย์ที่รัฐจอร์เจีย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 13 ก.ย. 2559 09:09

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/720800

 

เกิดเหตุ นายสมโภชน์ อารมณ์สุข เจ้าของร้านอาหารไทย ที่เมือง tucker รัฐจอร์เจีย ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต โดยคาดว่าเป็นเหตุฆ่าชิงทรัพย์ ด้านสมาคมไทยฯ ช่วยจัดงานสวดอภิธรรมศพในวันที่ 14 ก.ย. เวลา 19.00 น. ณ วัดพุทธบูชา เมืองแอตแลนตา

ผู้สื่อข่าวไทยรัฐประจำรัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2559 เวลา 21.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น เกิดเหตุ นายสมโภชน์ อารมณ์สุข ชาวไทยวัย 34 ปี เจ้าของร้านอาหารไทย ‘ไหมไทย’ ที่เมือง Tucker รัฐจอร์เจีย ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต โดยรายงานข่าวของสถานีโทรทัศน์ Fox 5 รายงานว่า คนร้ายดักรอ นายสมโภชน์ หลังปิดร้านที่บริเวณที่จอดรถ ก่อนจะก่อเหตุปล้นและยิงนายสมโภชน์เสียชีวิต และขโมยรถของฮอนด้าซีวิค สีดำ ของนายสมโภชน์ไป ขณะนี้ ศพยังอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่มีญาติที่สหรัฐฯ มาติดต่อรับ

นายสมโภชน์ เป็นชาวกรุงเทพ มาเรียนต่อระดับปริญญาโทที่สหรัฐฯ มาได้ 6 ปี ได้มาซื้อกิจการร้านอาหารไทย และทำธุรกิจมาได้ราวๆ 2  ปี


ร้านอาหารไทยของนายสมโภชน์ ที่เกิดเหตุฆาตกรรม

จากการสัมภาษณ์ของสำนักข่าว FOX 5 ได้คุยกับมารดานายสมโภชน์ที่ประเทศไทย กำลังจะไปขอวีซ่าพรุ่งนี้ เพื่อจะเอาศพกลับประเทศไทย และหวังว่าทาง จนท.ตำรวจ DeKalb County จะสามารถจับคนร้ายมาดำเนินคดีได้ ขณะที่ ทางสมาคมไทยแห่งรัฐจอร์เจีย โดยนางสุนิสา สุวรรณทัต นายกฯ สมาคมพร้อมจะเข้าช่วยเหลือ และเป็นผู้แจ้งข่าวต่อญาติที่ประเทศไทย

ล่าสุด พระเทพกิติวิมล หัวหน้าคณะสงฆ์ไทยในสหรัฐฯ และสมาคมไทยแห่งรัฐจอร์เจีย ได้กำหนดวันพิธีสวดอภิธรรมศพขึ้นในวันพุธที่ 14 เวลา 19.00 น. ณ วัดพุทธบูชา เมืองแอตแลนตา มลรัฐจอร์เจีย.

ที่มา  : fox5atlanta

 

‘แอร์เอเชีย’ สานฝัน ‘นักเรียนไทยรัฐวิทยา’ เป็น ‘ยุวทูตวัฒนธรรม’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 30 ส.ค. 2559 03:26

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/705975

 

มูลนิธิไทยรัฐ ร่วมกับ สายการบิน “ไทยแอร์เอเชีย” เดินหน้าโครงการ “สานฝันเด็กไทยไปเอเชีย” นำนักเรียนโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 12 (บ้านเอก) อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ แชมป์นาฏศิลป์ถ้วยพระราชทาน 8 ปีซ้อน เป็นยุวทูตวัฒนธรรมไปแสดงเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และฉลอง “40 ปีสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-เวียดนาม” ที่นครโฮจิมินห์ ขณะนักเรียนหล่ังน้ำตาตื้นตัน ได้ขึ้นเครื่องบินไปต่างประเทศครั้งแรกในชีวิต


นางอุรีรัชต์ รัตนพฤษ์ กงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์ ถ่ายภาพกับ คณะนางสาวไทย และนักเรียน ร.ร.ไทยรัฐวิทยา 12 ในงานเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่สถานกงสุลฯ

เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2559 นายธาดา เชาวนะปัญจะ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสื่อสารองค์กร สายการบินไทยแอร์เอเชีย กล่าวถึงความร่วมมือ โครงการ “สายฝันเด็กไทยไปเอเชีย” ระหว่างสายการบินไทยแอร์เอเชีย และมูลนิธิไทยรัฐว่า สายการบินไทยแอร์เอเชีย มีนโยบายสำคัญในการสนับสนุนส่งเสริมด้านกีฬาเเละศิลปวัฒนธรรม ให้กับเด็กเเละเยาวชนมาอย่างต่อเนื่อง โดยจะใช้ศักยภาพ เเละจุดเเข็งของการมีเครือข่ายเส้นทางบินที่ครอบคลุมทั้งในประเทศเเละระหว่างประเทศ ทั้งอาเซียน จีน อินเดีย ญี่ปุ่นเเละเกาหลี

จุดประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนสั่งสมประสบการณ์ เเละเเสดงผลงาน เผยเเพร่วัฒนธรรมในระดับนานาชาติ นับเป็นโอกาสดีอย่างยิ่ง ที่ได้ร่วมมือกับมูลนิธิไทยรัฐ เเละเครือข่ายโรงเรียนไทยรัฐวิทยา ที่มีนักเรียนเเละเยาวชนมีความสามารถในหลากหลายเเขนงศิลปะ โดยที่ผ่าน มีโอกาสเป็นสื่อกลางนำน้องๆ เดินทางไปเเสดงผลงานที่ประเทศสิงคโปร์, สปป.ลาว และล่าสุดที่นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ซึ่งได้รับคำชื่นชมอย่างดี พร้อมกันนี้ ไทยแอร์เอเชียยังยืนยัน จะร่วมสนับสนุนเเละหาเวทีใหม่ๆให้น้องๆต่อไปในอนาคต


นักเรียน ร.ร.ไทยรัฐวิทยา 12 เป็นยุวทูตวัฒนธรรม แสดงชุด ‘สายสัมพันธ์ 40 ปีไทย-เวียดนาม’ ประทับใจ

สำหรับนักเรียนาฏศิลป์จากโรงเรียนไทยรัฐวิทยา ที่ได้รับเลือกไปแสดงนาฏศิลป์ไทยในต่างประเทศชุดล่าสุดเป็น นักเรียนนาฏศิลป์โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 12 (บ้านเอก) อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ซึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศนาฏศิลป์ไทย ถ้วย พระราชทาน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ติดต่อกันเป็นปีที่ 8 ทางมูลนิธิไทยรัฐจึงให้สิทธิคัดเลือกนักเรียนนาฏศิลป์ จำนวน 5 คน เป็นยุวทูตวัฒนธรรม ไปแสดงนาฏศิลป์ ในงานสำคัญ 2 งาน ได้แก่ งานเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา 12 สิงหาคม 2559 ที่สถานกงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์ และงาน ฉลอง 40 ปี สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-เวียดนาม ที่ศูนย์เยาวชนนครโฮจิมินห์ นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ตามคำเชิญของสถานกงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์ นอกจากนี้ ยังได้ไปแสดงให้ผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจกตาชาวเวียดนามได้ชมที่โรงพยาบาลด้วย

ด.ญ.นภาพร รับรู้ อายุ 14 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เปิดเผยความรู้สึกว่า การไปร่วมงานที่โฮจิมินห์ครั้งนี้ รู้สึกภาคภูมิใจและปลาบปลื้มใจมาก ที่ได้รับโอกาสให้เป็นตัวแทนยุวทูตไปเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยทางด้านนาฏศิลป์ นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งในชีวิต ที่ได้เข้าร่วมแสดงออกถึงความจงรักภักดี ในงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ณ สถานกงสุลใหญ่ และการได้รับเกียรติให้เป็นตัวแทนยุวทูตเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยที่สวยงามและสร้างความประทับใจแก่ผู้ชม ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ในงานฉลองการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและเวียดนาม

“หนูขอกราบขอบพระคุณ ท่านผู้ใหญ่ใจดีในมูลนิธิไทยรัฐ และสายการบินไทยแอร์เอเชีย ที่เปิดโอกาสและสนับสนุนให้หนูได้ไปต่างประเทศในครั้งนี้ ตลอดจนกราบขอบพระคุณคุณครูทั้งสอง ที่ได้ให้โอกาสและส่งเสริมศักยภาพของหนูมาโดยตลอด” ด.ญ.นภาพร กล่าว


รำภาคเหนือ อ่อนช้อยงดงาม ได้รับความชื่นชม

ด.ญ.นันทิกานต์ แอโอ่ อายุ 14 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กล่าวว่า รู้สึกดีใจและภูมิใจมากๆ การเดินทางไปที่นครโฮจิมินห์ นับป็นการไปต่างประเทศครั้งแรกในชีวิต และเป็นการเดินทางโดยเครื่องบิน เป็นครั้งแรกในชีวิตเช่นกัน

“ดีใจมากค่ะที่ได้รับโอกาสที่ดีในชีวิตขนาดนี้ ตื่นเต้นตื้นตันใจที่ได้้ขึ้นเครื่องบินครั้งแรกในชีวิต และไปต่างประเทศครั้งแรก โดยไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้มีโอกาสสำคัญในชีวิต หนูกับเพื่อนๆ ร้องไห้ตื้นตันใจเมื่อขึ้นไปน่ังบนเครื่องบิน ไม่เคยคิดว่า จะได้น่ังเครื่องบินจริงๆ มีความสุขมากๆเลยค่ะ ที่ได้เรียนรู้ประสบการณ์มากมาย สิ่งสำคัญทำให้หนูรู้สึกภาคภูมิใจในความเป็นไทย และรักประเทศไทยมากค่ะ เพราะแม้แต่ชาวต่างชาติ หรือคนไทยในต่างแดน ต่างก็มีความรักและชื่นชอบในศิลปวัฒนธรรรมไทยเป็นอย่างมาก จึงทำให้หนูเห็นคุณค่ามากยิ่งขึ้น และมีความตั้งใจที่จะสืบสานศิลปวัฒนธรรมไทยทางด้านนาฏศิลป์นี้ ให้คงอยู่สืบไปค่ะ หนูขอขอบพระคุณผู้ที่มีส่วนสนับสนุน และให้โอกาสแก่หนูทุกท่านมา ณ โอกาสนี้ค่ะ” ด.ญ.นันทิกานต์ กล่าว


นักเรียน ร.ร.ไทยรัฐวิทยา ถ่ายภาพกับเยาวชนเวียดนามบนเวทีการแสดง

ด้าน ด.ญ.ณัฐธิดา ไชยประเสริฐ อายุ 12 ปี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กล่าวว่า ดีใจและตื่นเต้นมากที่ได้มีโอกาสเดินทางไปเผยแพร่วัฒนธรรมไทยในต่างแดน ที่นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ถือว่าเป็นการไปต่างประเทศเป็นครั้งแรกในชีวิต ถึงแม้ว่าะอยู่ไกลบ้าน แต่ก็รู้สึกอบอุ่นใจมากที่ได้รับความรักความเมตตาจากผู้ใหญ่ทุกคนในคณะ ความเมตตาจากท่านกงสุลใหญ่ ตลอดจนคนไทยที่อาศัยอยู่ในเวียดนาม ที่ให้การต้อนรับและดูแลพวกเราเป็นอย่างดี

“หนูรู้สึกซาบซึ้งใจ มีความสุขและความประทับใจมากๆเลยค่ะ หนูต้องขอขอบพระคุณสายการบินไทยแอร์เอเชีย ที่ทำให้ฝันของหนูเป็นจริง ได้มีีโอกาสนั่งเครื่องบินเป็นครั้งแรก ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนดูแลพวกเราเป็นอย่างดีค่ะ ขอขอบพระคุณค่ะ” ด.ญ.ณัฐธิดา กล่าว

ขณะที่ ด.ญ.นัยนา สามปู่วงค์ อายุ 12 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เผยความรู้สึกว่า ดีใจและตื้นตันใจมากที่ได้รับโอกาสที่ดีในชีวิตอย่างนี้ รู้สึกตื่นเต้นและดีใจมาก ที่ได้เดินทางโดยเครื่องบินและไปต่างประเทศเป็นครั้งแรกในชีวิต ได้รับประสบการณ์ที่มีค่ามากมาย ที่หาได้ยากในชีวิต ที่สำคัญทุกคนรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนอนุรักษ์และเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยทางด้านนาฏศิลป์ในครั้งนี้ ขอกราบขอบพระคุณผู้ใหญ่ใจดีทั้งในมูลนิธิไทยรัฐและสายการบินไทยแอร์เอเชีย ที่มอบโอกาสครั้งนี้ให้กับพวกเรา

ด.ญ.สุชานันท์ ปัญญางาม อายุ 12 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เผยว่า การไปเวียดนามครั้งนี้ นับเป็นการไปเยือนต่างประเทศครั้งแรกในชีวิต หลังจากที่ได้รับการคัดเลือกจากคุณครู ให้เป็นตัวแทนไปเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทย รู้สึกดีใจ และภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้รับรับเกียรติให้เป็นยุวทูตวัฒนธรรม ที่ช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ

“หนูรู้สึกตื่นเต้นที่ได้นั่งเครื่องบินเป็นครั้งแรกในชีวิต เมื่อเดินทางไปถึงโฮจิมินห์ หนูรู้สึกประทับใจมากที่ได้มีโอกาสเรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆที่ดี และแปลกใหม่ ซึ่งไม่เคยคิดเลยว่าจะได้รับในชีวิตของหนู ทั้งยังได้มีโอกาสพัฒนาตนเองในหลายๆด้าน หนูขอกราบขอบพระคุณผู้ใหญ่ใจดี ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านที่เมตตาให้โอกาสกับหนูในครั้งนี้ หนูจะเก็บความประทับใจนี้ไปตราบนานแสนนานค่ะ” ด.ญ.สุชานันท์  กล่าว


นายธาดา เชาวนะปัญจะ จนท.ฝ่ายสื่อสารองค์กร สายการบินไทยแอร์เอเชีย นำนักเรียน ร.ร.ไทยรัฐวิทยา 12 และสื่อมวลชน ไปทัศนศึกษาพิพิธภัณฑ์สงคราม ของนครโฮจิมินห์

ด้าน นางจารุณี สุทธิสวรรค์ ครูเชี่ยวชาญ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 12 (บ้านเอก) อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ผู้ทุ่มเทการสอนนาฏศิลป์ให้กับนักเรียนมาอย่างต่อเนื่อง กล่าวถึงความรู้สึกว่า นาฏศิลป์ถือเป็นมรดกและสมบัติอันล้ำค่าของชาติที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษจากรุ่นสู่รุ่น ในฐานะที่เป็นครูผู้ถ่ายทอดศิลปวัฒนธรรมแขนงนี้ให้แก่นักเรียน ทักษะการร่ายรำแล้ว ยังมีสิ่งหนึ่งที่พยายามจะปลูกฝังให้เกิดขึ้นในตัวเด็กนักเรียน คือการได้เห็นคุณค่าในสิ่งที่ได้เรียนรู้

” ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจในฐานะที่เราเป็นคนไทย เป็นเยาวชนรุ่นใหม่ ที่ได้รักษาและสืบทอดสมบัติอันล้ำค่าของชาติไว้ เพราะการรักษาวัฒนธรรม ก็คือการรักษาชาติ เมื่อเด็กๆมีโอกาสได้ไปเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยในต่างประเทศ จึงทำให้เด็กๆเข้าใจ และเห็นถึงคุณค่าในสิ่งที่ได้เรียนรู้มากยิ่งขึ้น เด็กๆได้สัมผัสถึงคุณค่านี้จากประสบการณ์ตรงที่เขาได้รับ ทั้งคำชื่นชมจากผู้หลักผู้ใหญ่ และคำชื่นชมจากผู้ที่ได้พบเห็น ทำให้เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ” นางจารุณี  กล่าว


สายการบิน ไทยแอร์เอเชีย สนับสนุนนำ คณะนางสาวไทย ปี 2558 และนักเรียนไทยรัฐวิทยา 12 ไปร่วมงานฉลอง ’40 ปี สถาปนาความสัมพันธ๋ไทย-เวียดนาม’ ที่นครโฮจิมินห์ ด้วยบริการอบอุ่น

นางจารุณี กล่าวต่อว่า สิ่งที่สำคัญและเป็นมงคลสูงสุดในชีวิตทั้งครูและนักเรียน ในการไปแสดงที่นครโฮจิมนห์ครั้งนี้คือ การที่ได้มีโอกาสถวายความจงรักภักดี ต่อสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในวโรกาสที่พระองค์ มีพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ 84 พรรษา ด้วยการรำถวายพระพร เฉลิมพระเกียรติพระองค์ท่าน ที่สถานกงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์ ร่วมกับคนไทยในเวียดนาม ถือว่าเป็นเกียรติประวัติสูงสุดในชีวิต ที่เกิดมาคนไทยได้ทำหน้าที่ยุวฑูตทางด้านวัฒนธรรมไทยโดยสมบูรณ์ เกิดความสำนึกรักแผ่นดินเกิด และได้ตอบแทนคุณแผ่นดิน ทำให้เราทุกคนรู้สึกว่าเกิดมาในชีวิตนี้

” เราได้มีโอกาสทำสิ่งที่มีคุณค่าต่อประเทศชาติ เพราะจากการเรียนรู้นาฏศิลป์และมีวิชานี้ติดตัว คนเป็นครูที่ได้ถ่ายทอดศิลปะแขนงนี้ จึงถือว่าเป็นความภาคภูมิใจสูงสุด ขอขอบพระคุณในความเมตตาของผู้ใหญ่ใจดีทุกฝ่าย ทุกองค์กร โดยเฉพาะมูลนิธิไทยรัฐ สายการบินไทยแอร์เอเชีย และสถานกงสุลใหญ่ไทย ในนครโฮจิมินห์ ที่ได้มองเห็นคุณค่า และมอบโอกาสที่ดีให้กับเด็กๆ ที่อยู่ในท้องถิ่นที่ห่างไกล และมีฐานะยากจน ได้รับโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิต ถ้าไม่มีท่าน เด็กๆก็คงจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสประการณ์อันล้ำค่านี้ ส่งผลให้ครูและเด็กๆ มีพลังและกำลังใจที่จะพัฒนาตนเองและสร้างลูกศิษย์ในรุ่นต่อไปอีก” นางจารุณี กล่าวทิ้งท้าย

ด้าน น.ส.วิลาสินี จันทร์วุฒิวงศ์ นางสาวไทย ปี 2558 ที่ได้ร่วมคณะไปทหน้าที่ทูตวัฒนธรรมครั้งนี้ด้วย กล่าวชื่นชมนักเรียนนาฏศิลป์โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 12 ว่า เคยไปร่วมงานที่สถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์ พร้อมน้องๆจากโรงเรียนนี้มาแล้ว รำได้เด่นสง่า แต่ชุดที่ไปโฮจิมินห์ครั้งนี้ เป็นนักเรียนคนละชุดกัน รำได้สวยงามทุกคน การเคลื่อนไหวสร้างความตรึงตราใจผู้ชม ปรบมือกันยาวตลอดด้วยความประทับใจ เห็นแล้วตื้นตันใจจริงๆ ที่โรงเรียนนี้สอนนักเรียนได้เก่งทุกคน ดีใจที่เห็นเด็กรุ่นใหม่ยังสนใจเรียนรู้และสืบสานศิลปวัฒนธรรมประจำชาติเอาไว้.

 

สื่อนอกเกาะติดคดีบึมศาลพระพรหม ตีข่าวศาลทหาร เริ่มพิจารณาคดีวันแรก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 23 ส.ค. 2559 15:18

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/698893

 

(ภาพประกอบ ขณะสองจำเลยถูกนำตัวขึ้นศาลทหารเมื่อก.พ.59)

เอพี สำนักข่าวต่างชาติ ติดตามข่าวคดีระเบิดศาลพระพรหม รายงานศาลทหารของไทย เริ่มเปิดการพิจารณคดีวันแรกแล้ว ขณะที่ทนายความของสองจำเลยชาวอุยกูร์ คาดว่ากว่ากระบวนการพิจารณาคดีจะแล้วเสร็จ คงเป็นปลายปี 2560

เมื่อวันที่ 23 ส.ค.59 สำนักข่าวเอพี ตามติดคดีระเบิดศาลพระพรหม สี่แยกราชประสงค์ ในกรุงเทพฯ เมื่อ 17 ส.ค.2558 เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 20 ศพ บาดเจ็บกว่า 120 ราย ว่า เมื่อวันอังคารที่ 23 ส.ค. ศาลทหารกรุงเทพได้เริ่มเปิดพิจารณาคดี นายบิลาล โมฮัมเหม็ด (หรืออาเดม คาราดัก) และนายไมไรลี ยูซุฟู ชาวจีนเชื้อสายอุยกูร์ 2 คน ตกเป็นจำเลยร่วมกันในคดีเหตุระเบิดที่ศาลพระพรหมเป็นวันแรกแล้ว โดยนายชูชาติ กันภัย ทนายความของสองจำเลย เปิดเผยกับนักข่าวเอพีว่า วันนี้ เป็นวันแรกที่มีการสืบพยาน ซึ่งเขาคิดว่า การพิจารณาคดีนี้จะใช้เวลากว่าจะเสร็จสิ้นจนถึงปีหน้า

เอพี ระบุว่า ในระหว่างที่จำเลยทั้งสองคนถูกนำตัวมาศาลทหารนั้น เจ้าหน้าที่ได้นำตัว นายยูซุฟู และอาเดม คารักดัก เข้าไปในศาลทันที และไม่อนุญาตให้กลุ่มผู้สื่อข่าวเข้าไปใกล้จำเลยทั้งคู่ โดยเอพี รายงานว่า เหตุระเบิดศาลพระพรหม ถือเป็นหนึ่งในเหตุวินาศกรรมร้ายแรงที่สุดในประเทศไทยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา อีกทั้งศาลพระพรหมเอราวัณแห่งนี้ ยังเป็นที่เคารพศรัทธาของนักท่องเที่ยวชาวจีนและชาติอื่นๆ อย่างมากด้วย จึงทำให้ในจำนวนเหยื่อเคราะห์ร้ายจากเหตุระเบิด มีนักท่องเที่ยวถึง 14 ราย

อย่างไรก็ตาม ชายทั้งสองคน คือ นายไมไรลี ยูซุฟู และนายอาเดม คาราดัก ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด โดยระหว่างที่ทั้งสองถูกนำตัวขึ้นศาลทหารกรุงเทพเมื่อเร็วๆ นี้นั้น ทั้งคู่ถึงกับร้องไห้ออกมาและอ้างว่าได้ถูกเจ้าหน้าที่ไทยทำร้ายร่างกาย ขณะที่นายยูซุฟู และอาเดม เป็นเพียงชายสองคนที่ถูกควบคุมตัวในคดีนี้

เอพี ยังรายงานด้วยว่า เจ้าหน้าที่ทางการไทยได้กล่าวมาตลอดว่า เหตุระเบิดที่ศาลพระพรหม เป็นการแก้แค้นของกลุ่มลักลอบค้ามนุษย์ที่ต้องการตอบโต้การปราบปรามขบวนการและแก๊งค้ามนุษย์ในไทย ขณะที่ นักวิเคราะห์บางคนแย้งว่า เหตุระเบิดอาจเป็นฝีมือของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนชาวอุยกูร์ที่โกรธแค้นทางการไทยที่ได้ส่งตัวผู้ต้องหาชาวอุยกูร์ที่ลักลอบเข้ามาในไทย กลับไปให้ทางการจีนเมื่อเดือน ก.ค.58

สำนักข่าวต่างประเทศ เอพี ที่มีสำนักงานใหญ่ในสหรัฐฯ ยังรายงานด้วยว่า นายชูชาติ ทนายความของจำเลยทั้งสอง ได้เคยเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า นายอาเดม ได้ถูกตำรวจซ้อมเพื่อให้ยอมรับสารภาพว่าเขาคือชายที่เห็นในภาพกล้องวงจรปิดนำระเบิดไปวางที่ศาลพระพรหม โดยนายอาเดม ยังบอกว่าเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมตัวเขานั้นได้ราดน้ำเย็นลงบนจมูกของเขา และขู่จะส่งตัวเขากลับไปให้จีน อีกทั้งยังใช้สุนัขมาเห่ากระโชกเขาด้วย ด้านตำรวจไทย ชี้ว่าการจับกุมชายชาวอุยกูร์ทั้งสองคนนี้ได้รับการยืนยันจากกล้องวงจรปิด พยาน และดีเอ็นเอ ที่ตรงกับหลักฐานทางนิติเวช รวมทั้งคำรับสารภาพของผู้ต้องหาทั้งสอง

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 16 ก.พ.59 นายบิลาล โมฮัมเหม็ด หรือ อาเดม คาราดัก และนายไมไรลี ยูซุฟู ซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำมาตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมและต้นเดือนกันยายน 2558 ได้ถูกนำตัวจากเรือนจำชั่วคราว แขวงถนนนครไชยศรี มทบ.11 ถึงศาลทหารที่นัดสอบคำให้การของสองจำเลย ซึ่งจำเลยทั้งสองได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและขอสู้คดี โดยตุลาการฯ ได้อ่านคำฟ้องสรุปความได้ว่า อัยการศาลทหารกรุงเทพ โจทก์ ได้ฟ้องนายบิลาล โมฮัมเหม็ด จำเลยที่ 1 และนายไมไรลี ยูซุฟู จำเลยที่ 2 ร่วมกันทั้งหมด 8 ข้อหา อาทิ ร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ได้โดยฝ่าฝืนกฎหมาย ร่วมกันพยายามทำให้เกิดระเบิด ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และร่วมกันทำให้เกิดระเบิดจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

 

“เรารักเมืองไทย” เยาวชนไทยในเบลเยียมเข้าค่ายเรียนดนตรีไทยครั้งที่ 4

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 22 ส.ค. 2559 01:30

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/697469

 

สถานเอกอัครราชทูตไทยในเบลเยียมเปิดโครงการค่ายเยาวชนวัฒนธรรมและดนตรีไทยในเบลเยียมครั้งที่ 4 ณ วัดไทยธรรมาราม เมืองวอเตอร์ลู เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกด้านวัฒนธรรม ดนตรีไทย และพุทธศาสนา ให้กับเด็กไทยในต่างแดน…

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม 2559 อัครราชทูตปิยภักดิ์ ศรีเจริญ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการค่ายเยาวชนวัฒนธรรมและดนตรีไทยในเบลเยียมครั้งที่ 4 ณ วัดไทยธรรมาราม เมืองวอเตอร์ลู ประเทศเบลเยียม โดยมีเยาวชนไทยในเบลเยียมและลักเซมเบิร์ก อายุ ระหว่าง 8-18 ปี เข้าร่วมโครงการจำนวน 21 คน โครงการค่ายเยาวชนวัฒนธรรมและดนตรีไทยมีวัตถุประสงค์ที่จะปลูกฝังจิตสำนึกด้านวัฒนธรรม ดนตรีไทย และพุทธศาสนา ให้กับเด็กไทยในต่างแดน เป็นการปลูกฝังอัตลักษณ์ไทย เพื่อให้ลูกหลานไทยได้เข้าใจและซึมซับรากเหง้าความเป็นไทยผ่านวัฒนธรรมและดนตรีไทย

การจัดค่ายเยาวชนวัฒนธรรมและดนตรีไทยในเบลเยียมนับเป็นปีที่ 4 เป็นความสำเร็จที่เกิดจากการประสานความร่วมมือระหว่างสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ ผู้สนับสนุนด้านงบประมาณ กระทรวงวัฒนธรรมและสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ วัดไทยธรรมาราม วอเตอร์ลู และสมาคมเพื่อนไทยในเบลเยียม ที่ได้เล็งเห็นความสำคัญของการส่งเสริมวัฒนธรรมและดนตรีไทยในหมู่เยาวชนไทยในต่างแดน


(เครดิตภาพ: บุญธง ก่อมงคลกูล)

โครงการค่ายเยาวชนวัฒนธรรมและดนตรีไทย ได้เริ่มจัดขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ พ.ศ. 2556 โดยจัดขึ้นครั้งละ 7 วัน และได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากเยาวชนไทยทั้งจากประเทศเบลเยียมและลักเซมเบิร์ก มีมาร่วมกิจกรรมปีละ 20 คน เยาวชนส่วนใหญ่เกิดในประเทศเบลเยียมและได้รับการศึกษาพื้นฐานจากโรงเรียนท้องถิ่น หลายคนไม่มีความรู้พื้นฐานด้านดนตรีมาก่อน

สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ ให้การสนับสนุนการส่งเสริมวัฒนธรรมไทยในต่างแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่เยาวชนไทย เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ดีด้านวัฒนธรรมและดนตรีไทย เป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความรัก ความสามัคคีระหว่างกัน ซึ่งเป็นผลจากความตระหนักและเล็งเห็นถึงความสำคัญของหลายฝ่าย รวมทั้งบรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองที่ให้การสนับสนุนและพาบุตรหลานมาเข้าร่วมกิจกรรมโครงการค่ายวัฒนธรรมและดนตรีไทยในเบลเยียม

 

ทูตไทยฯ กรุงวอชิงตัน มอบสัมฤทธิบัตรครูอาสาสอนภาษา-วัฒนธรรมไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 21 ส.ค. 2559 01:55

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/696568

 

เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. มอบสัมฤทธิบัตรคณะครูอาสาสมัครสอนภาษาไทยและวัฒนธรรมไทย ชื่นชม เสียสละและทุ่มเท ช่วยรักษาความเป็นไทยและอนุรักษ์ไว้ซึ่งมรดกทางวัฒนธรรม

พระครูสิริสิทธิวิเทศ (เรืองฤทธิ์ สมิทฺธิญาโณ) รองประธานอำนวยการวัดไทยกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. นำคณะครูอาสาสมัครโครงการสอนภาษาไทยและวัฒนธรรมไทยในต่างประเทศของคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจำปี 2559 จำนวน 6 คน แบ่งเป็นครูอาสาสมัครประจำปี 2 คน คือ ศิริกาญจน์ จันทร์โสภา (ครูเอี้ยม) สรัญรัตน์ บุญอินทร์ (ครูเน็ตตี้) และครูอาสาสมัครภาคฤดูร้อน 4 คน คือ บุศรา ทับทิมศรี (ครูบุศ) สุภาภรณ์ ฉิมปรีดา (ครูต้นอ้อ) ปนัสยา สุมนวรางกูร (ครูชฎา) และณฐธิดา ชมโลก (ครูอาร์โปร) ที่มาพร้อมด้วย คุณพนมรัตน์ มุขกัง (คุณตู่) ประธานผู้ปกครองนักเรียน เพื่อรับมอบสัมฤทธิบัตร จากเอกอัครราชทูตพิศาล มาณวพัฒน์ ในโอกาสที่ใกล้เสร็จสิ้นภารกิจการสอนภาษาและวัฒนธรรมไทยแก่เยาวชนไทย-อเมริกัน 154 คน ในจำนวนนี้เป็นนักเรียนประจำปี (หลักสูตร 28 สัปดาห์) จำนวน 82 คน (เป็นผู้ใหญ่ 9 คน) และเป็นนักเรียนภาคฤดูร้อน 72 คน เมื่อวันที่ 19 ส.ค. ที่ผ่านมา



เอกอัครราชทูตฯ กล่าวชื่นชมบทบาทคณะครูอาสาสมัครแม่พิมพ์ของชาติที่ได้เสียสละและทุ่มเททั้ง 6 คน รวมทั้งครูอาสาสมัครที่กระจายอยู่ตามวัดไทยในมลรัฐต่างๆ ทั้ง 12 วัดทั้ง 62 คน รวมทั้งที่กระจายไปสอนในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เยอรมนี อีก 9 คน ในแต่ละปีได้มีส่วนช่วยรักษาความเป็นไทย และอนุรักษ์ไว้ซึ่งมรดกทางวัฒนธรรมของไทยในต่างประเทศอย่างเหนียวแน่น ซึ่งเห็นได้ว่าโครงการฯ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ที่เริ่มโครงการมาตั้งแต่ปี 2527 ได้เจริญรุดหน้าไปมาก และปัจจุบันมีครูอาสาสมัครมาช่วยสอนอย่างเป็นระบบและครอบคลุมในหลายพื้นที่ทั่วสหรัฐอเมริกา จนหลายแห่งแม้แต่ชาวอเมริกันและชาวต่างชาติก็สนใจมาเรียนภาษาไทยและวัฒนธรรมไทยจำนวนมาก


คณะครูอาสาสมัครวัดไทยกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้สอนวิชาภาษาไทยและดนตรีไทยเป็นหลักในช่วงระหว่างปีแบ่งนักเรียนตามอายุและระดับพื้นฐานความรู้ตั้งแต่ชั้นต้น ชั้นกลาง และชั้นปลาย และเน้นการมีส่วนร่วมในกิจกรรมวัฒนธรรมประเพณีไทยตลอดทั้งปี อาทิ กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ งานทอดกฐิน กิจกรรมวันพ่อ วันขึ้นปีใหม่ กิจกรรมมุทิตาสักการะพระสงฆ์และพระธรรมทูต วันสำคัญทางพุทธศาสนา งานเทศน์มหาชาติ งานประเพณีลอยกระทง และกิจกรรมสงกรานต์ เป็นต้น โดยทั้ง ครูศิริกาญจน์ จันทร์โสภา (ครูเอี้ยม) และครูสรัญรัตน์ บุญอินทร์ (ครูเน็ตตี้) ได้สอนและพำนักอาศัยที่วัดไทยกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ตั้งแต่เดือน ก.ค. 2558 และจะอยู่ปฏิบัติหน้าที่จนถึงเดือน ต.ค. 2559



ส่วนกิจกรรมภาคฤดูร้อนของคณะครูทั้ง 6 คน โดยมี ครูบุศรา ทับทิมศรี เป็นครูใหญ่ จะเน้นสอนภาษาไทยและวัฒนธรรมไทยทั้งในระดับอนุบาล ประถมและมัธยม และเปิดการเรียนการสอนทุกวันจันทร์ถึงพฤหัสบดีระหว่างวันที่ 13 มิ.ย. – 25 ส.ค. 2559  (11 สัปดาห์) มีกิจกรรมที่เด็กๆ ได้รับความสนุกสนานและความบันเทิงพร้อมความรู้ มีวันกีฬาครอบครัวสัมพันธ์สร้างความรักความผูกพันและความสามัคคีระหว่างชุมชนไทยในพื้นที่ และมีการสอดแทรกงานศิลปะ นาฏศิลป์และดนตรีไทย ซึ่งเมื่อวัดไทยฯ มีการจัดกิจกรรมงานบุญทุกครั้งจะมีการแสดงนาฏศิลป์และดนตรีไทย การตกแต่งประดับประดา รวมถึงการจัดเรียงมาลัยดอกไม้และพานพุ่มเครื่องราชสักการะของเหล่านักเรียน โดยเฉพาะเยาวชนตัวน้อยๆ ให้ ผู้หลักผู้ใหญ่ที่เข้าร่วมงานได้ซาบซึ้ง ภูมิใจ และประทับใจผลงานทุกครั้ง ในส่วนของดนตรีไทย บ่อยครั้งจะมีรุ่นคุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย และพ่อแม่ผู้ปกครองนักเรียน ร่วมเล่นเครื่องดนตรีไทย โดยเฉพาะเครื่องสายที่หารับชมได้ยากในต่างประเทศ น่าจะทำให้มรดกทางวัฒนธรรมอันดีของไทยนี้คงอยู่สืบไป.



กงสุลใหญ่ นครโฮจิมินห์ มอบเงินผ่านโครงการผ่าตัดต้อกระจกผู้ป่วยยากไร้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 15 ส.ค. 2559 21:45

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/691218

 

กงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์ เวียดนาม นำคณะนางสาวไทย และยุวทูตวัฒนธรรม ร่วมมอบเงินและยาเวชภัณฑ์ ช่วยโครงการผ่าตัดต้อกระจกตาผู้ป่วยยากไร้ชาวเวียดนาม ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ ผู้ป่วยชาวเวียดนามต่างปลาบปลื้มใจ

เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 59 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสถานกงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ได้จัดงานเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในโอกาสมหามงคลทรงเจริญพระชนมพรรษา 7 รอบ 12 สิงหาคม ให้แก่ชุมชนชาวไทยในนครโฮจิมินห์ ที่สถานกงสุลใหญ่ฯ เมื่อวันที่ 13 ส.ค. เวลา 11.00 น. โดยจัดพิธีถวายพระพรชัยมงคลหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินนีนาถ มีข้าราชการ หัวหน้าหน่วยงานทีมประเทศไทย ผู้นำชุมชนไทย ผู้ประกอบการและชาวไทยที่อาศัยอยู่ในนครโฮจิมินห์ พร้อมด้วยคณะนางสาวไทยประจำปี 2558 เข้าร่วมงาน รวมประมาณ 100 คน


นางอุรีรัตน์ รัตนพฤกษ์ กงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์ กล่าวนำขัาราชการ และชุมชนไทยในเวียดนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ

นักเรียนนาฏศิลป์ ร.ร.ไทยรัฐวิทยา 12 อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ รำถวายพระพร

ทั้งนี้ เมื่อพิธีเร่ิมขึ้น นางอุรีรัชต์ รัตนพฤกษ์ กงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์ ประธานในพิธีเปิดกรวยพานพุ่มถวายพระพร และกล่าวนำถวายพระพร พร้อมทั้งร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีและเพลงสดุดีมหาราชา จากนั้นคณะนักเรียนนาฏศิลป์ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 12 (บ้านเอก) อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ในฐานะยุวทูตวัฒน ธรรม ได้รำถวายพระพรชัยมงคล สร้างความประทับใจแก่ผู้เข้าร่วมงาน และในช่วงเที่ยง สถานกงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์ ได้จัดเลี้ยงอาหารกลางวัน เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานได้มีโอกาสพบปะสังสรรค์กัน


นักเรียน ร.ร.ไทยรัฐวิทยา 12 อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ในฐานะยุวทูตวัฒนธรรม แสดงชุด“สายสัมพันธ์ 40 ปีไทย-เวียดนาม”

ต่อมา เวลา 14.00 น. วันเดียวกัน นางอุรีรัตน์ รัตนพฤกษ์ กงสุลใหญ่ ได้นำหัวหน้าหน่วยงานทีมประเทศไทย คณะนางสาวไทยปี 2558 ในฐานะทูตวัฒนธรรม และคณะนักเรียนนาฏศิลป์ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 12 (บ้านเอก) อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ไปร่วมพิธีมอบเงินและส่ิงของบริจาคแก่สมาคมช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ประจำนครโฮจิมินห์ ประจำปี 2016 เพื่อช่วยเหลือการผ่าตัดต้อกระจกตาแก่ผู้ป่วยยากไร้ที่โรงพยาบาลเหวียน จ๋าย นครโฮจิมินห์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 12 สิงหาคม 2559 โดยมี นายเจิ่น ถั่น ลอง ประธานสมาคมช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ประจำนครโฮจิมินห์ และคณะแพทย์ร่วมให้การต้อนรับ พร้อมกันนี้มีคนไข้ที่ผ่านการผ่าตัดต้อกระจกตามาร่วมพิธีด้วยจำนวน 200 คน


ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดต้อกระจก มาร่วมงาน

นายเจิ่น ถั่น ตอง ประธานสมาคมช่วยเหลือผู้พิการยากไร้ประจำนครโฮจิมินห์ รับมอบเงินผ่าตัดต้อกระจก จากกงสุลใหญ่ นางอุรีรัชต์ รัตนพฤกษ์

นายเจิ่น ถั่น ลอง ประธานสมาคมช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ประจำนครโฮจิมินห์ กล่าวว่า ขอบคุณกงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์ และคณะ ที่ให้การช่วยเหลือสมาคมผู้ป่วยยากไร้ชาวเวียดนามมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2553 ถึงปัจจุบันเป็นเงินรวม 1,882,461,936 ด่ง ช่วยผ่าตัดต้อกระจกตาให้ผู้ป่วยกว่า 1 พันรายได้มองเห็นอีกครั้ง ผ่านโครงการนำแสงสว่างสู่ผู้ป่วยยากไร้ และเงินที่ได้บริจาคครั้งนี้จะนำไปช่วยเหลือผู้ป่วยต่อไป พร้อมกันนี้ขอขอบคุณที่สถานกงสุลใหญ่ฯ ได้ประสานกับบริษัทและชุมชนไทย บริจาคยาให้โรงพยาบาลในถิ่นห่างไกลด้วย นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการผ่าตัดหัวใจให้แก่ผู้ป่วยโดยไม่คิดมูลค่าอีก 5 รายในปีนี้ ในนามของผู้ป่วยขอขอบคุณสถานกงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์ และชาวไทยที่ช่วยกิจกรรมสาธารณกุศล เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมทั้งนำคณะนางสาวไทยมาให้กำลังใจผู้ป่วยด้วย


น.ส.วิลาสินี จันทร์วุฒิวงศ์ นางสาวไทย ปี 2558 และรองฯ4 คน ช่วยกันเปิดตาผู้ผ่าตัดต้อกระจก

ผู้แทนหน่วยงานไทยที่ร่วมบริจาคเงิน ถ่ายภาพหมู่บนเวที ….

ด้านนางอุรีชต์ กล่าวว่า สถานกงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์ ได้ตระหนักถึงความยากลำบากของผู้ป่วยยากไร้ในนครโฮจิมินห์ และจังหวัดใกล้เคียง โดยเฉพาะอย่างย่ิงผู้ป่วยโรคต้อกระจกซึ่งมีจำนวนมากขึ้นทุกปี จึงได้ดำเนินโครงการช่วยเหลือต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ในปีนี้สถานกงสุลใหญ่ฯ ได้บริจาคเงินสนับสนุนจากรัฐบาลไทยและเงินบริจาค รวมทั้งส่ิงของและยารักษาโรคจากชุมชนไทยในเวียดนาม มีมูลค่ารวมทั้งส้ิน 432 ล้านด่ง (เงินสด 400,000 บาท และยาเวชภัณฑ์มูลค่า 275,000 บาท) มีภาคเอกชนรายใหญ่ร่วมบริจาคดังนี้ ได้แก่ บริษัท โฟร์ ออเร้นเจส จำกัด และบริษัท ไทยนครพัฒนา จำกัด โดยกิจกรรมสาธารณกุศลในปีนี้ สถานกงสุลใหญ่ พร้อมด้วยชาวไทยในเวียดนามตอนกลางและตอนใต้ ขอถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ในโอกาสมหามงคลเฉิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 12 สิงหาคม 2559 ซึ่งประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าเคารพเทิดทูนดังแม่ของแผ่นดิน


กงสุลใหญ่ นครโฮจิมินห์ อุรีรัตน์ ถ่ายภาพกับ หัวหน้าทีมไทยแลนด์และผู้นำชุมชนไทย

“ขอขอบคุณ คุณเจิ่น ถ่น ลอง ประธาน สมาคมช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ประจำนครโฮจิมินห์ ที่ให้โอกาสสถานกงสุลใหญ่ฯ และชุมชนชาวไทยได้ร่วมกิจกรรม เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยยากไร้ได้รับการรักษาและเปิดตาในวันนี้ หวังว่าทุกคนจะมีสุขภาพแข็งแรง และเป็นกำลังสำคัญของประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นมิตรประเทศและหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ของไทยที่นับวันจะทวีความสำคัญย่ิงขึ้นต่อไป” นางอุรีรัชต์ กล่าว


กลุ่มผู้บริหาร บ.ซีพี เวียดนาม นำคณะใหญ่มาร่วมถวายพระพร

ตัวแทนผู้ป่วยยากไร้ หลั่งน้ำตากล่าวขอบคุณน้ำใจคนไทย

จากนั้น นายเจิ่น ถั่น ตอง ประธานสมาคมช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ประนครโฮจิมินห์ ได้นำนางอุรีรัชต์ พร้อม น.ส.วิลาสินี จันทร์วุฒิวงศ์ นางสาวไทยปี 2558 พร้อมรองฯ อีก 4 คน ร่วมทำพิธีเปิดตาผู้ป่วยที่ผ่านการผ่าตัดต้อกระจก และหยอดน้ำยาให้ก่อนปิดตาอีกครั้ง พร้อมทั้งแจกยารักษาโรคให้ด้วย ท่ามกลางความปลาบปลื้มยินดีของผู้ป่วยชายหญิง โดยผู้ป่วยแต่ละคนตื้นตันใจขอจับมือ นางอุรีรัชต์ กงสุลใหญ่ฯ และคณะนางสาวไทย พร้อมส่งตัวแทนมากล่าวขอบคุณทั้งน้ำตาว่า ขอขอบคุณในน้ำใจของสถานกงสุลใหญ่ของไทย และชาวไทย ที่ช่วยเหลือให้ได้รับการผ่าตัด ทำให้มองเห็นอีกครั้ง ผู้ป่วยทุกคนซาบซึ้งใจและจะไม่มีวันลืม และกิจกรรมครั้งนี้ปิดท้ายด้วยการแสดงของคณะนักเรียนนาฏศิลป์ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 12 (บ้านเอก) อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ในฐานะยุวทูตวัฒนธรรม แสดงชุด “สายสัมพันธ์ 40 ปีไทย-เวียดนาม” ให้ผู้ป่วย และผู้ไปร่วมงานชมกัน ได้รับเสียงปรบมือดังเกรียวกราวด้วยความประทับใจ