แหวกฟ้าหาฝัน : Les Nabis ใน Cantonal Museum of Fine Arts Lausanne

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/778084

แหวกฟ้าหาฝัน : Les Nabis ใน Cantonal Museum of Fine Arts Lausanne

แหวกฟ้าหาฝัน : Les Nabis ใน Cantonal Museum of Fine Arts Lausanne

วันอาทิตย์ ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566, 06.00 น.

The Artist’s Parents 1886

หลังยุค Francois Bocion ยังมี Felix Edouard Vallotton ศิลปินชาว Lausanneอีกผู้หนึ่งที่อยู่ในกลุ่ม Les Nabis ที่มีผลงานจำนวนมากใน Cantonal Museum of Fine Arts Lausanne เขาเกิดวันที่ 28 ธันวาคม 1865ในครอบครัวที่มีบิดาเป็นเภสัชกร เขาเป็นลูกคนที่สามในจำนวนพี่น้องสี่คนโดยมีแม่เป็นลูกสาวของช่างเฟอร์นิเจอร์ เขาเริ่มเข้าเรียนหนังสือครั้งแรกที่ College Cantonal และจบทางด้านคลาสิกในปี 1882 ก่อนเข้าเรียนทางด้านศิลปะกับ Jean Samson Guignard การที่เขามีแววทางด้านศิลปะทำให้ครูของเขาแนะนำให้เขาเรียนศิลปะอย่างจริงจัง เดือนมกราคมปี 1882 เขาจึงย้ายไปอยู่ Rue Jacob ใกล้ Saint Germain des Pres ปารีสและเข้าเรียนที่ Academie Julian ซึ่งเขาได้รู้จักกับศิลปินดังๆ อีกหลายคนซึ่งกลายเป็นผู้มีอิทธิพล ต่อแนวทางศิลปะของเขาในเวลาต่อมา เขาชื่นชอบงานของ Leonardo da Vinci, Hobein, Durer, Goya และ Manet มากโดยเฉพาะ 2 คนแรก จึงใช้เวลาส่วนใหญ่ใน Louvre เพื่อฝึกคัดลอกงานของศิลปินเหล่านี้ ในการฝึกฝนวาดภาพเหมือน เขายังให้พ่อและแม่นั่งเป็นแบบให้เป็นประจำ

แม้เขาจะสามารถสอบเข้า Ecole des Beaux-Arts ได้ แต่เขากลับเรียนที่เดิมและใช้เวลาส่วนใหญ่ตามคาเฟ่ใน Montmartre นับจากปี 1885 เขาเริ่มจดบันทึกงานที่ตัวเองสร้างสรรค์ และเริ่มส่งงานเข้าจัดแสดงที่ ParisSalon ซึ่งได้รับคำชมมากมายจากนักวิพากษ์ศิลป์ ปี 1887 เขาเริ่มส่งงานแนว Realism ไปจัดแสดงมากขึ้น แต่นักวิพากษ์ศิลป์กลับวิจารณ์ว่า ผลงานแปลกแยกกับแนวทางศิลปะดั้งเดิมมากเกินไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งคำวิจารณ์จาก Jules Lefebvre อาจารย์ของเขาเองที่ Academie Julien ทำให้เขาเริ่มทำงานนอก Academie Julien และเริ่มมีปัญหาทางด้านการเงิน ในขณะเดียวกันโรงงานของพ่อเขาก็เริ่มมีปัญหาทางการเงินเช่นกันจึงไม่สามารถสนับสนุนทางการเงินให้เขาได้ ซ้ำร้ายเขาติดเชื้อไทฟอยด์อีกทำให้สุขภาพย่ำแย่จนถึงกับเป็นโรคซึมเศร้า

Juliette Lacour 1886

เขาเลยเดินทางไป Zermatt สวิส เพื่อพักฟื้นและได้สร้างสรรค์งานเกี่ยวกับทิวทัศน์ของเทือกเขา Alpine ไว้จำนวนหนึ่ง ปี 1889 เขานำผลงานไปจัดแสดงที่ Paris Universal Exposition และได้เห็นงานพิมพ์แนวญี่ปุ่นของHokusai ศิลปินชาวญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงด้าน Woodblock ซึ่งต่อมามีอิทธิพลต่อการสร้างงานของเขามาก ปี 1890 เขาเริ่มรับงานซ่อมภาพ และเป็นนักวิพากษ์ศิลป์เพื่อหาเลี้ยงชีพโดยทำงานให้กับหนังสือพิมพ์ La Gazettede Lausanne หลังจากนั้นเขาเริ่มเดินทางหาความรู้ทั่วยุโรป และเริ่มส่งผลงานไปยังSalon des Independants จนได้รับการว่าจ้างให้สร้างสรรค์งานส่วนตัวของคหบดี เขาจึงเริ่มทดลองการสร้างพิมพ์ใหม่ๆและเริ่มสร้างงานบนไม้ งานของเขาเป็นที่เตะตา OctaveUzanne นักหนังสือพิมพ์เลยเขียนบทความชื่นชมงานเขา โดยตั้งชื่อว่า The Renaissance of the Woodcut

ปี 1892 เขากลายเป็นสมาชิกคนสำคัญของกลุ่ม Les Nabis กลุ่มศิลปินรุ่นเยาว์ที่มาจาก Academie Julian ที่สร้างสรรค์งานในช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่าง Impressionism,Abstract Art และ Symbolism พวกเขาต่างอาศัยผลงานของ Paul Gauguin และ Paul Cezanneเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งาน แม้จะอยู่ในกลุ่ม Les Nabis แต่เขากลับไม่ได้สร้างสรรค์งานไปในแนวทางเดียวกันกับศิลปินอื่นในกลุ่มจนได้ชื่อว่า Foreign Nabis เขากลับเน้นการสร้างงานที่เกี่ยวเนื่องกับภาพในชีวิตประจำวัน ภาพเหมือนและภาพนู้ดบนไม้โดยมีรายละเอียดเพียงเล็กน้อยตามอย่าง Hokusai

เมื่องานแกะสลักไม้ของเขาเริ่มประสบความสำเร็จส่งผลให้เศรษฐานะของเขาเริ่มดีขึ้นจนได้รับการว่าจ้างมากมายในระหว่างปี 1893-7 อีกทั้งยังมีโอกาสสร้างสรรค์งานไม้บนปกโปรแกรมละครด้วย งานของเขาได้แทรกซึมไปยังหนังสือทั่วทั้งยุโรปและสหรัฐฯจนได้ชื่อว่ามีอิทธิพลต่องานของ Edvard Munch, Aubrey Beardsley และ Ernst LudwigKirchner ในเวลาต่อมา นักท่องเที่ยวจะเห็นว่า ผลงานของเขาเปลี่ยนแปลงจากงานละเอียดอ่อนที่ใช้มืดทึบในช่วงต้น สู่การใช้สีที่สดใสมากขึ้นแต่ลดรายละเอียดลงตามแนวทางศิลปะของ Hokusai นั่นเอง

The Pharo, Marseille 1901

The Pharo, Marseille 1901

The Pharo, Marseille 1901

The Pharo, Marseille 1901

Agaves 1921

Agaves 1921

The Port of Rouen 1901

The Port of Rouen 1901

The Port of Rouen 1901

The Port of Rouen 1901

Still Life with Gladioli 1924

Still Life with Gladioli 1924

Rust Stream and White Pebbles 1921

Rust Stream and White Pebbles 1921

Equestrain view of La Cagne 1921

Equestrain view of La Cagne 1921

Chateau Gaillard 1924

Chateau Gaillard 1924

คุยกัน 7 วันหน : เตรียมรับมือมาตรการสกัดสินค้าทำลายโลก

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/778093

คุยกัน 7 วันหน : เตรียมรับมือมาตรการสกัดสินค้าทำลายโลก

คุยกัน 7 วันหน : เตรียมรับมือมาตรการสกัดสินค้าทำลายโลก

วันอาทิตย์ ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566, 06.00 น.

ในรอบปี 2566 ภาวะโลกร้อนกำลังส่งผลกระทบไปทั่วโลกโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ทั้งภาคเกษตร อุตสาหกรรมและภาคเศรษฐกิจอื่นๆ ตลอดจนส่งผลกระทบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งในกรณีของไทยส่งผลให้สภาพอากาศมีความแปรปรวนมากขึ้นในช่วงที่มีฝนตก ฝนก็จะตกหนักมากจนเกิดภาวะน้ำท่วม หรือในช่วงที่ฝนแล้งก็จะแล้งหนักมาก

ปัญหาเหล่านี้จะสร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือน โครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงพืชผลทางการเกษตรและส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม อีกทั้งภาวะโลกร้อนทำให้ความต้องการใช้น้ำเพิ่มสูงขึ้น อาจทำให้ปัญหาการแย่งชิงทรัพยากรน้ำระหว่างผู้ใช้น้ำกลุ่มต่างๆ ในไทยหรือระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านมีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้หรือในช่วงที่เกิดวิกฤตภัยแล้ง

ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจึงเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อไทยทั้งในปัจจุบันและอนาคต ที่ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคมจะต้องหันมาให้ความสำคัญและร่วมมือกันอย่างจริงจังในระยะถัดไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำทั้งในด้านความต้องการ และการจัดหา เช่น การเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำต่างๆ อาทิ บ่อกักเก็บน้ำ หรือออกแบบมาตรการรวมทั้งแนวทางที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำในกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ เป็นต้น

หากไปดูประสบการณ์จากหลายประเทศเป็นเครื่องยืนยันว่าเทคโนโลยีและนวัตกรรม คือตัวช่วยสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการน้ำได้ ตัวอย่างเช่น โรงงานผลิตนมผงของเนสท์เล่ ประเทศเม็กซิโกที่ใช้เทคโนโลยีดึงน้ำออกมาจากนมที่แปรรูป ซึ่งทำให้โรงงานมีน้ำเพียงพอต่อความต้องการใช้โดยที่ไม่ต้องพึ่งน้ำจากแหล่งภายนอก หรือสิงคโปร์ที่มีการติดตั้งเซ็นเซอร์เก็บข้อมูลน้ำตามจุดต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งช่วยทำให้เกิดการบริหารจัดการน้ำแบบเรียลไทม์อย่างมีประสิทธิภาพหรือแม้แต่อิสราเอลก็มีการพัฒนานวัตกรรมชลประทานน้ำหยด ซึ่งช่วยลดการใช้น้ำในภาคเกษตรได้อย่างมหาศาลและมีการพัฒนาโครงข่ายน้ำด้วยระบบท่อใต้ดินที่ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ทำให้สามารถผันน้ำจากพื้นที่ที่มีน้ำส่วนเกินไปสู่พื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำได้ เช่นเดียวกับโครงการเดลตาเวิร์กส์ (Delta Works) ของเนเธอร์แลนด์ ที่มีการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำต่างๆ ที่หลากหลาย เช่น คันกั้นน้ำ จนทำให้เนเธอร์แลนด์ประสบความสำเร็จอย่างมากในการบริหารจัดการน้ำและป้องกันปัญหาน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ส่วนการตระหนักถึงปัญหาสภาวะโลกร้อน มีจุดเริ่มต้นมาจากการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ COP เกิดขึ้นในการประชุม ครั้งที่ 21 ในปี 2015 ณ กรุงปารีส จึงได้เกิด “ความตกลงปารีส” ขึ้น โดยมีเป้าหมายหลักคือควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียสจากระดับก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม พร้อมกำหนดเป้าหมายที่ทะเยอทะยานขึ้นโดยตั้งเป้าหมายไม่ให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มเกิน 1.5 องศาเซลเซียส และควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้อยู่ในระดับที่โลกดูดซับได้เอง (Net Zero emissions) ภายในปี 2050 พร้อมกับกำหนดให้ประเทศพัฒนาแล้วต้องให้การช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศยากจนเพื่อต่อสู้โลกร้อน

นับจากนั้น การประชุม COP ครั้งต่อๆ มาก็เป็นการพูดคุยเกี่ยวกับแผนปฏิบัติการเพื่อบรรลุเป้าหมายความตกลงปารีส ซึ่งการปฏิบัติจริงนั้นไม่ง่าย เฉพาะเรื่องการช่วยเหลือทางการเงินของประเทศร่ำรวยแก่ประเทศยากจนก็ยังต้องผลักดันกันอย่างต่อเนื่อง

กระทั่งล่าสุดในการประชุม COP28 ที่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในเดือนธันวาคมนี้ มีการนำเสนอข้อมูลว่าประเทศกำลังพัฒนาต้องการเงินหลายแสนล้านดอลลาร์ต่อปีเพื่อปรับตัวรับมือกับปัญหาโลกร้อนและจำเป็นต้องใช้เงินอีกหลายล้านล้านดอลลาร์เพื่อการเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาด

สำหรับสาระสำคัญที่สรุปได้จากการประชุม COP28 มีการเน้นย้ำถึงเป้าหมายการรักษาระดับไม่ให้อุณหภูมิพื้นผิวโลกเพิ่มเกิน 1.5 องศาเซลเซียส และตระหนักถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง ร้อยละ 43 ภายในปี 2573 และร้อยละ 60 ภายในปี 2578ตามเดิม ซึ่งยังสวนทางกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปัจจุบันที่ยังคงเพิ่มขึ้น พร้อมเรียกร้องให้เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนทั่วโลกเป็น 3 เท่า และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานเป็น 2 เท่าภายในปี 2573 นอกจากนั้นยังมีการประกาศข้อตกลงจัดตั้งกองทุนชดเชยค่าความเสียหายและความสูญเสีย ซึ่งเป็นกองทุนแรกของโลกที่จ่ายเงินชดเชยค่าผลกระทบที่ไม่อาจย้อนคืนจากหายนะทางสภาพอากาศให้แก่ประเทศยากจนและเปราะบาง

อย่างไรก็ดี แม้จะมีข้อตกลงเรียกร้องให้ลดการใช้พลังงานฟอสซิล แต่ในขณะเดียวกันโลกยังคงต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลถึง 80% เช่น น้ำมัน ก๊าซและถ่านหิน ทำให้การประชุมกลายเป็นเสียงแตกฝ่ายหนึ่ง เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป แคนาดา และประเทศหมู่เกาะขนาดเล็ก รวมกว่า 100 ประเทศมองว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นตัวการหลักในการก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกและภาวะโลกร้อน การจะบรรลุเป้าหมายจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกคือ ต้อง “เลิก” ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และให้ระบุข้อตกลงในการประชุมนี้

ขณะที่ ประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ออกมาคัดค้าน เช่น ซาอุดีอาระเบีย ประเทศสมาชิกกลุ่มโอเปกพลัส อิหร่าน อิรักและรัสเซีย ที่ต้องพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเป็นหลัก ระบุว่าการเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล อาจเป็นข้อตกลงที่สุดโต่งเกินไป ทำให้การลงนามในร่างสุดท้าย จึงไม่มีการระบุถึงแผนลดการใช้พลังงานฟอสซิล

ตามข้อมูลของ IMF พบว่าในปี 2022 ประเทศต่างๆ ใช้เงินอุดหนุนเชื้อเพลิงฟอสซิลรวมกันทั้งโลกเป็นมูลค่า7 ล้านล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 7.1% ของจีดีพีโลก ซึ่งเพิ่มขึ้นอีกมากกว่าสองเท่าตัวจากจำนวน 2 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2020 ปัจจัยสำคัญคือราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นมากหลังจากรัสเซียบุกยูเครน ทำให้ประเทศต่างๆ ต้องอุดหนุนราคาพลังงานเพื่อลดความเดือดร้อนของภาคธุรกิจและครัวเรือนทำให้ IMF อยากเห็นการขึ้นราคาคาร์บอน เพราะมันจะเป็นแรงจูงใจที่ใหญ่ที่สุดในการลดการปล่อยคาร์บอน

ขณะที่รายงาน Net-Zero Industry Tracker 2023 Edition จัดทำโดยสภาเศรษฐกิจโลก ได้วิเคราะห์ให้เห็นถึงการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขณะนี้ถือว่ายังไม่ใกล้เคียงต่อเป้าหมายคาร์บอนศูนย์ หรือ Net Zero ในปี 2050โดยองค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA)และภาคอุตสาหกรรมต่างๆ มองว่าช่วง 3 ปีที่ผ่านมา การปล่อยคาร์บอนมีอัตราเร่งเฉลี่ยที่ 3% เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของกิจกรรมต่างๆ ความต้องการบริโภคและภาคส่วนอื่นๆ ซึ่งกว่า 90% ใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ และอุตสาหกรรมเหล็ก ที่ต่างเผชิญกับความซับซ้อนอย่างมากในการลดคาร์บอนดังนั้นการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมเหล่านี้ไปสู่เป้าหมาย Net Zero ต้องใช้เงินมากถึง 13.5 ล้านล้านดอลลาร์

การปรับเปลี่ยนนี้ต้องใช้การลงทุนด้านเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน อย่างไรก็ตาม การลงทุนด้วยเงินอย่างเดียวยังไม่เพียงพอภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ต้องการทั้งทิศทางนโยบายและการให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ เข้ามาช่วยด้วยเพื่อพยุงให้หน้าที่ของอุตสาหกรรมสามารถประคองตัวเองให้เข้าถึงทรัพยากรและทำให้เศรษฐกิจเติบโตด้วย

แน่นอนว่าเป้าหมาย Net Zeroเป็นแรงกดดันที่ทำให้แต่ละประเทศให้ความสำคัญกับการ “เพิ่มมาตรการทางการค้า” ทั้งมาตรการภาษีและมาตรการที่มิใช่ภาษี เพื่อสกัดสินค้าที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตโดยพบว่าตั้งแต่ปี 2565 เริ่มมีการออกมาตรการราคาคาร์บอน (carbon pricing instruments) ไม่ว่าจะเป็นมาตรการ carbon tax หรือมาตรการทางภาษี และมาตรการนำระบบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading System หรือ ETS) ใน 47 ประเทศทั่วโลก โดยในปี 2567 เชื่อว่ามาตรการต่างๆ ของแต่ละประเทศจะมีความเข้มข้นมากขึ้น

แน่นอนว่า ที่ผ่านมา ประเทศไทยควรให้ความสำคัญกับการเดินหน้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ต้องมีแนวทางที่ชัดเจน ทั้งการออกกฎหมาย การเร่งกำหนดอัตราภาษีคาร์บอนขณะที่ภาคเอกชนก็ต้องเร่งปรับตัวให้ทันกับกระแสโลก

โดย ดาโน โทนาลี

หนังสือเด่น : หลักการดำเนินชีวิตและพฤติกรรม ที่ทำให้ทุกคนร่ำรวยเป็นเศรษฐีได้

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/778089

หนังสือเด่น : หลักการดำเนินชีวิตและพฤติกรรม  ที่ทำให้ทุกคนร่ำรวยเป็นเศรษฐีได้

หนังสือเด่น : หลักการดำเนินชีวิตและพฤติกรรม ที่ทำให้ทุกคนร่ำรวยเป็นเศรษฐีได้

วันอาทิตย์ ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566, 06.00 น.

คนร่ำรวยในทุกวันนี้มาจากกลุ่มคนที่หลากหลาย มีตั้งแต่ผู้ดีเก่าจนถึงเศรษฐีใหม่ ปัญญาชน คนโง่เง่า บางคนอาจถูกมองว่าไม่ควรหรือไม่น่ารวยได้เลยก็ตาม แต่สิ่งที่คนรวยทุกคนมีเหมือนกัน คือ ความอยากรวยและพร้อมที่จะรวย ส่วนคนที่ยากจน ก็จะอ้างกันอยู่นั่นเองว่าเพราะโชคไม่อำนวย ชาติกำเนิด การอบรม เลี้ยงดูหรือสารพัดข้ออ้าง หนังสือ “สูตรเด็ดเคล็ดลับมหาเศรษฐี : The Rules of Wealth ความร่ำรวยคือผลลัพธ์แห่งการกระทำ มิใช่รางวัลแห่งความสำเร็จ” ผู้เขียน Richard Templar (ริชาร์ด เทมพลาร์)ผู้แปล สมิทธิ์ เอกโชติ จะมาบอกว่าข้ออ้างนั้นไม่เข้าท่า จริงๆ แล้วใครๆ ก็มีสิทธิ์รวย ขอแค่กล้าที่จะรวย

หนังสือเล่มนี้ ได้เล่าถึงกฎแห่งความร่ำรวยที่เขาได้พิสูจน์มาด้วยตัวผู้เขียนเอง เป็นหลักการดำเนินชีวิตและพฤติกรรมของคนรวย ที่บางข้อหลายคนก็อาจรู้อยู่แล้วแต่ไม่ได้ทำ และก็เป็นหลักการที่ไม่ต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก หรือต้องมีสติปัญญาฉลาดล้ำเลิศอะไรมากมาย ซึ่งแค่ทำความเข้าใจและลงมือปฏิบัติตามเท่านั้น โดยกฎ
ในหนังสือเล่มนี้ถูกแบ่งออกเป็น 5 ส่วน

ส่วนแรกคือการคิดแบบคนรวย คือการปรับมุมมองและเป้าหมายชีวิตให้เป็นแบบคนที่มั่งคั่งร่ำรวยเขาคิดเขาทำกันกฎส่วนที่ 2 การก้าวสู่ความมั่งคั่ง คือการบริหารชีวิตตนเองเพื่อนำไปสู่ความมั่งคั่ง ได้แก่ การวางแผนการหารายได้ การออม การลงทุน การบริหารหนี้สิน การฝึกฝนทักษะการหารายได้ สิ่งควรทำไม่ควรทำเป็นต้น ส่วนที่ 3 รวยแล้วรวยได้อีก คือรักษาความมั่งคั่งร่ำรวยของตัวเองไว้ เช่น การให้เงินช่วยทำงาน สร้างรายได้จากสินทรัพย์ที่มี อย่าพยายามรวยลัด และอื่นๆ ส่วนที่ 4 ความมั่งคั่งแบบยั่งยืน เช่น การเตรียมเงินไว้เกษียณ ไว้ใช้ยามฉุกเฉินห้ามยืมเงินเพื่อนหรือครอบครัว ส่วนที่ 5 ได้แก่ กฎการแบ่งปันความร่ำรวยให้ผู้อื่น เช่นให้โดยคนรับไม่รู้สึกว่าเป็นหนี้ เปลี่ยนเงินยืมเป็นเงินลงทุน เมื่อรวยแล้วอย่าอวดรวย ฯลฯ

จากกฎทั้งหมดในหนังสือ เป็นกฎที่ผู้เขียนทำมาหมดทุกข้อ และยังการันตีว่าเศรษฐีเขาทำแบบนี้กันจริงๆ ถึงได้รวย ริชาร์ด ไม่ได้บอกกฎแห่งความเป็นเศรษฐีที่ไม่เพียงแต่วิธีหาเงินเท่านั้น แต่ยังบอกถึงวิธีการรักษาเงินให้เป็น และการต่อยอดให้ออกดอกออกผลด้วยวิธีการเก็บออมและการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และสุดท้ายคือนำไปแบ่งปันให้ผู้ยากไร้ หรือคนที่สมควรได้รับความช่วยเหลือ ซึ่งทั้งหมดเป็นการบ่งบอกถึงสถานภาพของคนรวยอย่างแท้จริง คือรวยและจะมีความสุขอย่างแท้จริงได้ก็ต่อเมื่อได้เอื้อเฟื้อแบ่งปัน

หนังสือ The Rules of Wealth เล่มนี้เป็นอีกเล่มหนึ่งในชุด “สูตรเด็ดเคล็ดลับมหาเศรษฐี” ที่ “ริชาร์ด เทมพลาร์” ซึ่งก็เหมือนกับเล่มอื่นๆ คือ กลายเป็นหนังสือที่สร้างปรากฏการณ์ระดับโลกด้วยการติดอันดับขายดีในร้านหนังสือต่างๆ ทั่วโลกเพราะพิสูจน์แล้วว่า เป็นหนังสือที่มีคำแนะนำอันทรงคุณค่า สามารถทำได้จริง และเกิดผลสัมฤทธิ์

ใครที่อยากรวย ต้องกล้าที่จะรวย ส่วนใหญ่ที่ไม่รวยเพราะกลัวที่จะรวย เลยไม่ทำอะไรสักอย่างที่จะปูทางไปสู่ความร่ำรวยดังนั้นลองมาทำตามกฎคนรวยของหนังสือนี้อย่างจริงจังและตั้งใจดู แต่เมื่อทำทั้งหมดแล้วยังไม่รวย คิดว่าอย่างน้อยๆ ก็น่าจะมีกินมีใช้ไปตลอดชีวิตได้แน่นอน

หนังสือราคา 235 บาท จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายโดย บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน)

ทำธุรกิจที่ดีไม่จำเป็นต้องยุ่งยาก

ทุกอย่างเริ่มต้นจากเรื่องที่เล็กที่สุด

“Business Made Simple” ทำธุรกิจให้เรียบง่าย แต่ได้กำไรงาม ผลงานของนักเขียนหนังสือขายดีอันดับหนึ่งของวอลสตรีทเจอร์นัล Building a StoryBrand  Donald Miller (โดนัลด์ มิลเลอร์) ผู้แปล ศศิธร สิงห์เถื่อน การทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้น ต้องเริ่มต้นจากการเข้าใจกลไกของธุรกิจนั้นๆ  เมื่อเข้าถึงและเข้าใจการทำธุรกิจในทุกแง่มุม การพัฒนาธุรกิจด้านต่างๆให้เจริญก้าวหน้าต่อไป จึงกลายเป็นเรื่องที่ทำได้โดยง่ายทันที หนังสือเล่มนี้พัฒนาขึ้นมาจากประสบการณ์การทำธุรกิจของผู้เขียนในบริษัท  Business Made Simple ที่เขาเป็นคนจัดตั้งขึ้น  เป็นบริษัทที่ปรึกษาให้บริการบรรดาธุรกิจน้อยใหญ่ จึงทำให้เขาค้นพบว่า การทำธุรกิจให้ดีไม่จำเป็นต้องยุ่งยาก ทุกอย่างเริ่มต้นจากเรื่องที่เล็กที่สุด เรียบง่ายที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการสร้างอุปนิสัยของทุกคนที่ขับเคลื่อนองค์กร ไปจนถึงการพัฒนาการสื่อสาร ความเข้าใจการตลาด และการสร้างกลยุทธ์ทางธุรกิจ โดยเขาได้เปรียบเทียบการทำธุรกิจกับส่วนประกอบของเครื่องบิน หนังสือเล่มนี้ได้ย่อยทุกอย่างที่ผู้สนใจควรรู้เกี่ยวกับธุรกิจไว้ครบถ้วน สามารถศึกษาจบครบได้ภายใน 60 วัน หนังสือราคา 313 บาท

เทคนิคสรุปความที่เรียบเรียงได้ดี

มีระบบและตรรกะบนกระดาษ1ใบ

“วิธีสรุปให้เข้าใจง่ายด้วยกระดาษใบเดียว: One Page Summary” ผู้เขียน วิฑูรย์ สูงกิจบูลย์ (เซนเซแป๊ะ),ศุภวิทย์ ภาษิตนิรันดร์ (เซนเซเล็ก) การสรุปความ เป็นทักษะที่คนทำงานทุกคนมีความจำเป็นต้องใช้ เพราะต้องสรุปงานให้เจ้านายหรือเพื่อนร่วมทีมอยู่เสมอๆ การสรุปความเป็นเรื่องยากตั้งมีทักษะ ต้องมีหลักการถึงจะสรุปได้  ดังนั้นมักจะกดดันและเครียดเวลาต้องสรุปผลงาน หรือกล่าวสรุปการทำงานต่างๆ หรือ นักเรียน นักศึกษา ก็ต้องใช้การสรุปความในชีวิตการเรียนอยู่เสมอๆ การเรียนจะมีอุปสรรค คะแนนอาจจะได้น้อย หากสรุปสิ่งที่เรียนมาไม่ตรงประเด็นหรือสรุปไม่เป็น หนังสือ “วิธีสรุปให้เข้าใจง่ายด้วยกระดาษใบเดียว : One Page Summary” จะนำเสนอเทคนิคสรุปความคิดลงบนกระดาษเพียง 1 ใบ  ถือเป็นเคล็ดลับที่สมารถสรุปเรื่องยาก ข้อมูลเยอะ ให้เข้าใจง่าย ด้วยวิธีการที่ไม่ซับซ้อน ช่วยให้ทุกคนมีทักษะในการสรุปความและสื่อสารได้ดีขึ้น สามารถเรียบเรียงความคิดและถ่ายทอดออกมาอย่างเป็นระบบระเบียบ และมีตรรกะ อยู่ในขอบเขตที่ควรจะเป็นมากขึ้น หนังสือราคา 299 บาท

บททดสอบ Passion ของตนเอง

เพื่อวางแผนชีวิตให้สอดคล้องที่สุด

 “The Passion Test: อย่าเป็นคนสำเร็จที่ไม่รู้ว่าความสุขอยู่ที่ไหน” ผู้เขียน Janet Bray Attwood (เจเน็ต เบรย์ แอตวูด),Chris Attwood (คริส แอตวูด)  ผู้แปล ธัญธร เชาว์บัณฑิตย์  หนังสือเล่มนี้ได้ผสมผสานทักษะการเล่าเรื่องอันทรงพลังของผู้เขียนที่เข้ากับภูมิปัญญล้ำลึกจากผู้คนที่เป็นต้นแบบในการใช้ชีวิตที่น่าหลงใหล เช่น แจ็ก แคนฟีลด์ (Jack Canfield)  ริชาร์ต พอล อีเเวนส์ (Richard Paul Evans) และสตีเฟน เอ็ม อาร์. โควีย์ (Stephen M. R. Covey) รวมถึงประสบการณ์ตรงของเจเนตและคริสด้วย ผู้เขียนทั้งคู่แสดงให้เราเห็นว่าการใช้ชีวิตที่เปี่ยมด้วยแพสชัน ไม่เพียงแค่เป็นไปได้เท่านั้น แต่เป็นโชคชะตาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้  ผู้เขียนได้สร้างแรงบันดาลใจให้คนนับพันมีชีวิตแบบในฝันได้ ด้วยการสำรวจแพสชันและความเป็นอยู่ว่าสิ่งใดสำคัญที่สุดผ่านหนังสือ The Passion Test หนังสือขายดีของหนังสือพิมพ์ New York Times เล่มนี้  ผู้อ่านจะสามารถระบุแพสชัน 5 อันดับแรกได้หลังจากทำแบบทดสอบ จากนั้นก็จะได้เรียนรู้วิธีจัดวางชีวิตให้สอดคล้องกับสิ่งที่สำคัญที่สุด โดยปฏิบัติติตามขั้นตอนแสนเรียบง่ายของแอตต์วูดทีละขั้นตอนได้ หนังสือราคาเล่มละ  340 บาท

การจัดบ้านที่ไม่กลับมารกอีก

โดยนักจัดระเบียบบ้านชื่อดังของไทย

“How to จัดระเบียบบ้าน ทิ้งจริง ตัดใจจริง เห็นผลจริง ” โดย อิมยาดา เรือนภู่” (แมวบิน นักจัดระเบียบบ้าน) ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดระเบียบบ้าน ที่เคยจัดบ้านมาแล้วหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นจัดบ้านที่รกจนไม่มีทางเดิน จัดบ้านผู้ป่วยโรคสะสมของ หรือผู้ป่วยติดเตียง จัดบ้านผู้สูงอายุ จัดบ้านก่อนวันลาจาก และจัดบ้านผู้วายชนม์ ทั้งยังเคยได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรที่โรงพยาบาล สถานศึกษา และองค์กรต่าง ๆ มากมาย หนังสือเล่มนี้ จะช่วยให้จบทุกปัญหาของการจัดบ้าน โดยที่บ้านไม่กลับมารกอีก เหมาะกับทั้งคนที่อยากเริ่มต้นจัดบ้าน หรือต้องการเทคนิคเพิ่มเติม เริ่มตั้งแต่ปรับความเข้าใจเกี่ยวกับบ้าน เตรียมความพร้อมด้านจิตใจและอุปกรณ์หลักที่หาซื้อได้ง่าย ๆ ก่อนลงมือจัดบ้านทีละขั้นตอนตามสไตล์คนไทย จนปิดภารกิจจัดบ้านแบบยั่งยืน พร้อมบทพิเศษที่แชร์ประสบการณ์การจัดบ้านของผู้เขียนให้ทุกคนตกผลึกข้อคิด จากการจัดระเบียบบ้านยาก ๆ ไปด้วยกัน เช่น การจัดบ้านหลังใหญ่ การจัดห้องเด็กเล็กที่มักรกเสมอ การจัดบ้านที่มีผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยโรคสะสมของ หนังสือราคา 325 บาท

คุณแหน : 31 ธันวาคม 2566

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/778096

วันอาทิตย์ ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566, 06.00 น.

●● พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีเสด็จพระราชดำเนินไปถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช  เนื่องใน“วันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช”ณ พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช วงเวียนใหญ่ คลองสานกทม. เมื่อ ๒๘ ธ.ค. ๒๕๖๖ เวลา ๑๘.๒๘ น….

●● สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพรปีใหม่ ๒๕๖๗ แก่คนไทยทุกคน “จิตที่ฝึกแล้ว นำความสุขมาให้” ขอให้ทุกท่านจงหมั่นฝึกจิตให้มั่นคงดี เพื่อความสุขความเจริญ ตลอดไป…

●● “ปีใหม่นี้รมว.แรงงาน พิพัฒน์ รัชกิจประการจะมอบของขวัญในวลี เพิ่ม ฟรี กลับขึ้นสะดวก ช่วยปลดหนี้ อุ่นใจผู้ให้ ขอให้จริงๆ คงจะไม่ถลุงงบประมาณของรัฐ??…

●● “ผมจะเอาหลักการกลับมาแทนหลักกูให้ได้” คำกล่าวของหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เฉลิมชัย ศรีอ่อน เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์เพราะอยู่กันไม่ใกล้ไม่ไกล…

●● ทักษิณ ไม่ใช่บุคคลที่อยู่ในข่ายที่น่ากลัวของสังคม เป็นโทษในลักษณะไม่ได้เป็นภัยต่อสังคม เป็นประโยคของรองนายกฯ สมศักดิ์ เทพสุทิน…

●● แต่ สว.สมชาย แสวงการ โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า“ถ้าคดีทุจริตโกงชาติไม่ใช่คดีร้ายแรงไม่เป็นภัยสังคม ประเทศคง ship..หายแน่นอน”…

●● อัลบั้มเพลงชุดเดี่ยว แลนด์ ออฟ สไมล์ เขียนโดย หงา สุรชัย จันทิมาธร ซึ่งมี ประสารมฤคพิทักษ์ เป็นโปรดิวเซอร์ เพลงนี้คนร้องคือคนเขียน คนแรก ต่อมาก็มีหลายท่านนำไปร้องได้เป็นที่รู้จักกันมากเพลงหนึ่ง…

●● ส่วนเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช “ฉายารัฐบาลที่สื่อตั้งให้ว่าแกงส้มผลักรวม ถือเป็นการรวมเพื่อประเทศ รวมเพื่อประชาชน ต้องขอบคุณที่สื่อชมเราและเราก็ไม่ได้ไปแกงใคร” ดีไปอีกแบบหนึ่ง…

●●สุขสวัสดีวันขึ้นปีใหม่ ๒๕๖๗ให้ผู้อ่านทุกท่านปราศจาก โรคภัยไข้เจ็บ ประสบแต่สิ่งที่ดีๆ ดังใจคิดตลอดปี…

●● และวันที่ ๑, ๒ มกราคม ๒๕๖๗ นสพ.แนวหน้าขออนุญาตหยุด ไม่มีจำหน่ายพบกัน วันที่ ๓ มกราคม ปีหน้า นะคะ…●●

น้องนิ่ง….นิ่ง…

รายการ LIFE VARIETY : วัชรพงศ์ ระดมสิทธิพัฒน์

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/778142

รายการ LIFE VARIETY :  วัชรพงศ์  ระดมสิทธิพัฒน์

รายการ LIFE VARIETY : วัชรพงศ์ ระดมสิทธิพัฒน์

วันเสาร์ ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2566, 13.06 น.

รายการ LIFE VARIETY :  วัชรพงศ์  ระดมสิทธิพัฒน์  นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านใหม่ มหาราช อ.มหาราช จ.พระนครศรีอยุธยา

ออกอากาศวันเสาร์ที่ 23 ธันวาคม 2566 ทาง NBT 2HD ช่องหมายเลข 2 เวลา 14.05 – 14.30 น.

รายการ LIFE VARIETY : ศิวชัย เดชะ

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/778141

รายการ LIFE VARIETY : ศิวชัย เดชะ

รายการ LIFE VARIETY : ศิวชัย เดชะ

วันเสาร์ ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2566, 13.04 น.

รายการ LIFE VARIETY : ศิวชัย เดชะ ศิลปินอิสระผู้สร้างสรรค์ งานปั้นพระบรมรูปปั้นในหลวงรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 5

ออกอากาศวันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม 2566 ทาง NBT 2HD ช่องหมายเลข 2 เวลา 14.05 – 14.30 น.

เจาะเวลาหาอดีตกับ ‘CHOP CHOP COOKSHOP’ ร้านอาหารแนวกุ๊กชอพ ของเชฟเดวิด ทอมป์สัน

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/778120

เจาะเวลาหาอดีตกับ ‘CHOP CHOP COOKSHOP’ ร้านอาหารแนวกุ๊กชอพ ของเชฟเดวิด ทอมป์สัน

เจาะเวลาหาอดีตกับ ‘CHOP CHOP COOKSHOP’ ร้านอาหารแนวกุ๊กชอพ ของเชฟเดวิด ทอมป์สัน

วันเสาร์ ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2566, 12.03 น.

ปักหมุดความอร่อย ที่ร้าน “CHOP CHOP COOKSHOP” ร้านอาหารแนวกุ๊กช็อป หนึ่งในร้านอาหารที่ถือกำเนิดโดยชุมชนชาวจีนไหหลำ เสิร์ฟอาหารแบบผสมผสานหลายสัญชาติ ทั้งตะวันตก อาหารจีน และอาหารไทย ตั้งอยู่ใจกลางย่าน Chinatown อยู่ตรงหัวมุมจุดที่ถนนเยาวราชตัดกับถนนมังกร นำเสนอความอร่อยสไตล์จีน-โมเดิร์นในแบบฉบับของ เชฟเดวิด ทอมป์สัน (David Thompson) เชฟระดับรางวัลดาวมิชลินชาวออสเตรเลีย และเป็นร้านแรกที่ให้บริการร้านอาหารแนวนี้แบบเต็มรูปแบบ 

แต่เดิมตึกนี้เป็นอาคารพาณิชย์ 5 ชั้น ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นทั้งที่อยู่อาศัยและร้านทองมาก่อน เมื่อเชฟ เดวิด ทอมป์สัน เชฟ และทีมงานเข้ามาสานต่ออาคารแห่งนี้ ทุกคนมีความเห็นพ้องต้องกันและตั้งชื่อใหม่ให้อาคารนี้ว่า Goldsmith และด้วยบริบทที่เป็นเอกลักษณ์นี้ทางร้านจึงนำมังกรสีแดง มาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบโลโก้ด้วย

ภายในร้านถูกปรับโฉมใหม่ จากตึกเก่าให้กลายเป็นสไตล์ Art Deco  เป็นผลงานการออกแบบของ  อภิรักษ์ ลีฬหรัตนรักษ์ จาก Bensley Design Studio ด้าน เชฟ เดวิด ทอมป์สัน เคยบอกไว้ว่า “การทำร้านในทำเลนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เพราะตัวอาคารที่มีคาแรคเตอร์และบรรยากาศรอบข้างที่ทำให้ผมปล่อยผ่านไม่ได้จริงๆ อีกทั้ง ยังมีการแข่งขันกับร้านอื่นๆ สูงมาก ดังนั้น เพื่อให้ลูกค้าไม่เปลี่ยนใจไปเข้าร้านอื่น ผมจึงต้องทำคอนเซ็ปต์ให้น่าสนใจ แตกต่าง ไม่ธรรมดา แต่สุดท้ายผมก็เลือกทำในสิ่งที่ผมถนัด นั่นคือการเจาะเวลาหาอดีต”

“Chop Chop Cookshop” จึงได้แรงบันดาลใจมาจากร้านกุ๊กช็อป หนึ่งในชนิดของร้านอาหารที่เก่าแก่ที่สุดอย่างหนึ่งของกรุงเทพ ถือกำเนิดขึ้น ณ ชุมชนชาวจีนในสมัยก่อน โดยคนจีนไหหลำจะรับหน้าที่เป็นพ่อครัวแม่ครัว เสิร์ฟอาหารให้ผู้คนในบริเวณนั้น ทั้งอาหารตะวันตก อาหารจีน อาหารไทย อีกทั้ง อาหารในร้านกุ๊กช็อปยังมีความหลากหลายมาก ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารตะวันตกที่ทำในสไตล์จีน บางทีก็ทำสไตล์ไทยด้วยตามความต้องการของลูกค้า อาหารแนวกุ๊กช็อปจึงอาจเรียกอีกอย่างได้ว่าเป็นอาหารต่างชาติที่ทำในแนวไทยหรือเอเชีย คอนเซ็ปต์อาหารของร้านจึงมีความเป็น Modern Chinese Cuisine

เมนูต่างๆ ของทางร้าน ส่วนผสมหรือวัตถุดิบหลักจะเป็นสไตล์โฮมเมด ไม่ว่าจะเป็น ซอส น้ำจิ้ม ของทอด และอื่นๆ อีกมากมาย  รวมถึงการเลือกใช้วัตถุดิบท้องถิ่น (Local Ingredients) เพื่อให้ได้รสชาติ กลิ่นอายของอาหารจีนตามแบบต้นตำรับ อีกทั้ง ยังจัดสรรวัตถุดิบภายใต้หลักการของ Zero Waste นั่นเอง ที่เลือกใช้วัตถุดิบอย่างคุ้มค่า พร้อมกับเป็นการสนับสนุนชุมชนละแวกย่านเยาวราชไปในคราวเดียวกัน

เมนูชวนลิ้มลองของที่นี่   เริ่มจากเมนูเรียกน้ำย่อย อย่างเมนูปอเปี๊ยะทอดสูตรมังสวิรัติ  (Spring Rolls)  สอดไส้ด้วยวุ้นเส้น ผักปวยเล้ง ให้เนื้อสัมผัสแบบกรอบนอกนุ่มใน เสิร์ฟมาพร้อมกับซอสจิ๊กโฉ่วสูตรโฮมเมดที่ได้รสชาติเข้ากันเป็นอย่างดี หรือ  กุ้งกระเบื้อง (Crispy Prawn Wafer) ไส้ด้านในเป็นกุ้งสด หมู เนื้อปลาอินทรีย์ เป็นเมนูที่สั่งปุ๊บค่อยทำแล้วทอดเสิร์ฟร้อนๆ ทานคู่กับซอสบ๊วยที่เชฟทำเอง  กระบวนการผลิตทุกอย่างค่อนข้างพิถีพิถันต่อด้วยเมนูซุป แนะนำให้ลองสั่ง ซุปเกี๊ยวกุ้ง (Prawn Wonton Soup)  ซุปเกี๊ยวที่ทางร้านเลือกใช้เกี๊ยวสดจากร้านวัตถุดิบท้องถิ่น ตัวเกี๊ยวมีส่วนผสมของเนื้อหมูสับและกุ้งสับที่มาช่วยเพิ่มเนื้อสัมผัสให้มีความนุ่มเด้งมากขึ้น ราดด้วยน้ำซุปที่ผ่านการเคี่ยวเปลือกกุ้งมาอย่างพิถีพิถันทุกขั้นตอน พร้อมโรยกุยช่ายขาวลงไปในน้ำซุปด้วยเพื่อเพิ่มกลิ่นหอมชวนทาน

เป็ดย่างของทางร้าน ถือเป็นเมนูที่ต้องลอง ไม่ว่าจะเป็นเมนูเป็ดย่าง หรือ บะหมี่เป็ด (Roast Duck Soup) ใช้น้ำซุปโครงเป็ดเคี่ยวข้ามคืน มีกรรมวิธีการทำเป็ดย่างอย่างพิถีพิถันตามสูตรเฉพาะของทางร้าน คือ ทำให้เป็ดสุกด้วยการสะดุ้งน้ำมัน จากนั้นนำไปตากให้แห้งแล้วนำไปเกรวี่ให้ขึ้นสีอีก 2 รอบ แล้วนำไปอบจนหนังกรอบ ซึ่งรวมๆ แล้วใช้เวลาทำเป็ดย่าง 2 วันด้วยกัน

ใครที่ชอบเมนูข้าวผัด แม้จะเป็นเมนูง่ายๆ ไม่ซับซ้อน แต่ที่นี่เชฟมีสูตรเฉพาะที่ต้องลอง ไม่ว่าจะเป็น ข้าวผัดสับปะรด  ที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบนานาชนิด ทั้งกุนเชียง กุ้งแห้ง เห็ด กุ้งสด สับปะรด  มีกลิ่นอายของผงกะหรี่  และยังนำเปลือกกุ้ง ไปอบ ปรุงรสแล้วนำมาบดเป็นผงสำหรับโรยตกแต่งบนจานอาหาร เพิ่มสีสันชวนรับประทาน  รวมทั้งข้าวผัดเป็ดย่าง เลือกใช้เนื้อเป็ดย่างสูตรเฉพาะของร้านเป็นส่วนผสมหลัก และข้าวผัดหนำเลี๊ยบ รสชาติเต็มรสกลอมกล่อม

ปิดท้ายมื้ออาหารด้วยขนมหวาน อย่างเมนูลอดช่องน้ำกะทิแตงไทย (Lordt Chong)  ทำเองทุกขั้นตอน  ไม่ว่าจะเป็นเส้นลอดช่องที่ทำจากใบเตยล้วน เสิร์ฟมาพร้อมกับเครื่องเคียงที่เป็นขนมนานาชนิด อย่าง ข้าวเหนียวดำ เนื้อขนุน แตงไทยหั่นชิ้น และน้ำกะทิอบควันเทียนรสหวานหอมละมุน  ต่อด้วย สาคูเปียกลำไย (Banana Young Coconut)  เลือกใช้สาคูจากต้นสาคู  เพราะจะได้ความหอมแบบธรรมชาติ ให้กลิ่นหอมหวานคล้ายคาราเมล  รวมถึงได้รสชาติหลายมิติด้วยน้ำเชื่อมที่มีส่วนผสมของหลากหลายวัตถุดิบ อย่างผลกล้วยน้ำว้าสุกงอมที่ให้รสหวานอย่างเป็นธรรมชาติ  เพิ่มเนื้อมะพร้าวอ่อนให้เคี้ยวได้เพลินยิ่งขึ้น รวมถึง เต้าฮวยน้ำขิง (Ginger Milk Curd With Candied Chinese Plums) ทำสดใหม่ทุกวัน ใช้วิธีทำให้เอนไซม์กับน้ำขิงอุ่นๆ มาเจอกันจนเซ็ตตัว จนได้ผิวหน้าเต้าฮวยที่เนียนละเอียดพร้อมเสิร์ฟ

สำหรับใครที่เป็น Vegetarian ทางร้านก็มีเมนูแนวนี้คอยเสิร์ฟโดยเฉพาะ อาทิเมนู Spring Rolls (ปอเปี๊ยะผักทอด), Crunchy Beancurd and Mushroom Soup (ซุปผักเจ) หรือ Fried Rice With Tomatoes (ข้าวผัดหนําเลี๊ยบ) เป็นต้น

Chop Chop Cookshop เปิดทำการทุกวัน (ยกเว้นวันจันทร์-อังคาร) เวลา 12.00- 21.00 น. สำรองที่นั่งโทร. 09-7008-0519 หรือ http://www.goldsmithbkk.com

-(016)

เดือดข้ามปี! คู่กรณี’เบียร์’โพสต์อีกรอบ เห็นอะไรบ้างในคืนปาร์ตี้

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/entertain/778236

เดือดข้ามปี! คู่กรณี'เบียร์'โพสต์อีกรอบ เห็นอะไรบ้างในคืนปาร์ตี้

เดือดข้ามปี! คู่กรณี’เบียร์’โพสต์อีกรอบ เห็นอะไรบ้างในคืนปาร์ตี้

วันอาทิตย์ ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566, 14.50 น.

จากกรณีดราม่าเดือดเมื่อ เบียร์ เดอะวอยซ์ หรือ เบียร์ ภัสรนันท์ ถูกพาดพิงหลังเพจดังแฉอ้างว่า นักร้องสาวแอบแซ่บกับหนุ่มในปาร์ตี้จนแฟนของฝ่ายชายมาเห็น ต่อมา ฝ่ายชาย ก็โพสต์ข้อความระบุว่า เรื่องมันเริ่มจะบานปลายไปแล้วผมน่าจะต้องออกมาทำอะไรซักอย่าง โดยอยากจะพูดตรงนี้เลยนะครับว่า วันนั้นผมกับเบียร์ไม่ได้มีอะไรเกินเลยแน่นอน

ทว่าดราม่านี้จะยังไม่จบลงง่ายๆ เมื่อคู่กรณีนามว่า “แอน” ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่าน X โดยเล่าเป็นฉากๆกับสิ่งที่ตนเจอในคืนวันเกิดเหตุ 

-เรากับแฟนไม่ได้ห่างกัน ยังคงอาศัยอยู่ด้วยกันที่คอนโด ในวันงานปาร์ตี้เรารับรู้ว่าจะมีใครมาบ้าง และยังเล่นกับสัตว์เลี้ยงของน้องอยู่เลย

-เรากับน้องรู้จักกันผ่านเพื่อนๆ กลุ่มเดียวกัน ซึ่งในนั้นมีพี่ผู้จัดการน้องอยู่ด้วย ไม่ได้รู้จักผ่านสังคมคริสเตียนแน่นอน

-ความสัมพันธ์ไม่ได้ชะงัก แต่ในระหว่างทงก็มีปัญหาชีวิตคู่แบบคู่อื่นๆ ปกติทั่วไป กโดยครั้งแรกที่น้องเดินทางมาที่คอนโด เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อนเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อจัดงานวันเกิดของน้อง และเพื่อนๆ ในกลุ่มรวมถึงตัวเราเองที่เกิดใกล้ๆ กัน

-เรื่องนี้ไม่ทราบและไม่มีสัญญาณมาเลยค่ะว่า เขามีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน เพราะเราไว้ใจและไม่ได้คิดอะไร เพราะในการเจอกันแต่ละครั้งจะเป็นการรวมตัวของเพื่นกลุ่มใหญ่ กลุ่มเดิมเสมอ ยกเว้นงานปาร์ตี้ครั้งล่าสุดที่เพิ่งเกิดขึ้น

-อันนี้ไม่ทราบว่า ทั้งคู่คุยกันอย่างไร แต่เรื่องราวระหว่างกับฝั่งผู้ชายไม่มีครั้งไหนเลิกกันสักครั้ง

-วันที่เกิดเหตุเราได้ขอตัวไปนอนก่อน เพราะอีกวันต้องทำงานเช้า แต่ก็นอนหลับไม่สนิทเพราะได้ยินเสียงเพื่อนๆ ที่มางานเริ่มทยอยกลับกัน แต่ยังได้ยินเสียงสัตว์เลี้ยงของน้องอยู่ เวลาที่จำได้คือ ตี 4:58 เลยตัดสินใจเดินออกจากห้องไปดู ภาพที่เห็นคือน้องนั่งอยู่ที่เก้าอี้ฝั่งซ้ายริมระเบียงห้อง และฝ่ายชายยืนในลักณะโน้มตัวลงเข้าหาน้องที่นั่งอยู่ ซึ่งเรามั่นใจว่าลักษณะที่เห้นไม่ใช่คนที่นั่งคุยกันปกติแน่นอน เราเลบเรียกฝ่ายชายเข้าไปคุยในห้องนอนและขอให้น้องกลับไปก่อน เพื่อที่เราจะได้เคลียร์กับคนของเราแค่ 2 คน แต่น้องไม่ยอมกลับ

-เราได้เข้ามาคุยกัน 2 8นในห้องนอน เขาบอกกับเราว่า หมดรักเรานานแล้ว แต่ที่ยังไม่อยากบิกเลิกเพราะไม่อยากให้เคริสมาสต์ปีนี้ เป็นปี่โหดร้ายสำหรับเรา เราจึงบอกเขาว่า ให้ไปนอนก่อน แล้วค่อยมาคุยกันพรุ่งนี้ เพราะเขาดื่มค่อนข้างเยอะ เลยอยากคุยกันตอนมีสติมากกว่า และน้องที่ยังอยู่ได้เรียกเราออกมาพูดคุยเพื่อขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่

-เราไม่ได้หัวร้อนและทำให้เป็นข่าว เราได้มีการแชทพูดคุยกับน้อง เราขอบคุณน้องและน้องได้มีการขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นอีกครั้ง โดยที่เราตั้งใจจะปรับปรุงความสัมพันธ์ให้ดีขึ้น และขอร้องน้องให้เว้นระยะห่างออกไปเพื่อเราหน่อย และในการโทรคุยกัน เราได้บอกกับน้องว่า สัญญาจะไม่บอกใคร แต่ถ้ามีใครถามเรื่องเลิกกันเราบอกว่า เราจะพูดความจริง ซึ่งข่าวที่เกิดขึ้นเราไม่ทราบว่า หลุดจากคร ซึ่งตอนแรกที่เห็นก็รู้สึกว่า รุนแรงเกินจริงไปบางส่วนเหมือนกัน

-ต่อมาน้องออกมาปฏิเสธ เราโดนโจมตีกลับ เราจึงต้องเอาแชทออกมาปกป้องตัวเอง เพราะมีคนบอกว่า เรากุเรื่อง โกหก ซึ่งในตอนนี้คือความจริงที่เราพิมพ์อยู่

-ภาพจากกล้องไม่ได้อยู่ที่เรา เราไม่ได้มีสิทธิ์เข้าถึงภาพเหล่านั้น และค่อนข้างมั่นใจว่า ถ้ามีการโพสต์คลิปจากกล้องก็คงไม่ผิดจากที่เราพิมพ์ไว้ข้างบน

เพจดัง โพสต์ขอโทษ ‘เบียร์ เดอะวอยซ์’ หลังแฉปาร์ตี้ฉาว รับใส่ไข่เยอะไปหน่อย

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/entertain/778226

เพจดัง โพสต์ขอโทษ 'เบียร์ เดอะวอยซ์' หลังแฉปาร์ตี้ฉาว รับใส่ไข่เยอะไปหน่อย

เพจดัง โพสต์ขอโทษ ‘เบียร์ เดอะวอยซ์’ หลังแฉปาร์ตี้ฉาว รับใส่ไข่เยอะไปหน่อย

วันอาทิตย์ ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566, 12.41 น.

วันที่ 31 ธันวาคม 2566 จากกรณีดราม่าเดือดเมื่อ เบียร์ เดอะวอยซ์ หรือ เบียร์ ภัสรนันท์ ถูกพาดพิงหลังเพจดังแฉอ้างว่า นักร้องสาวแอบแซ่บกับหนุ่มในปาร์ตี้จนแฟนของฝ่ายชายมาเห็น 

 ทำเอาเจ้าตัวต้องออกมาโต้ไม่ได้เป็นเรื่องจริงตามที่ถูกพาดพิง ระบุ เรื่องนี้มีอยู่ 3 คน ทุกคนรู้ว่า อะไรเกิดขึ้น ทำไมถึงเอามาโพสต์ปิดชื่อคนอื่น แล้วเปิดชื่อตัวเอง ทุกคนด่าแต่เบียร์ไม่แฟร์เลย ก่อนต่อสายโทรหาคู่กรณีที่ชื่อ แอน แต่ปลายสายไม่รับโทรศัพท์

ต่อมา ฝ่ายชาย ก็โพสต์ข้อความระบุว่า เรื่องมันเริ่มจะบานปลายไปแล้วผมน่าจะต้องออกมาทำอะไรซักอย่าง โดยอยากจะพูดตรงนี้เลยนะครับว่า วันนั้นผมกับเบียร์ไม่ได้มีอะไรเกินเลยแน่นอน

ล่าสุด เพจ เจ้าคุณพระโรส เภณีวงค์วชิรภัคดิ์ ได้โพสต์ขอโทษ เบียร์ เดอะวอยซ์ และยอมรับผิดแต่โดยดี ข้อความว่า “ด่ามาเลยค่ะวันนี้หยุด รับมาแบบไหนก็ลงไปแบบนั้น ไม่ใช่ว่าเชื่อแหล่งไม่ได้แล้วโพสต์ เพจขยะแบบอิโรสขอโทษนะคะ

(อันนี้ขอโทษที่ลงโพสต์แรกว่า yes อย่างเดียว นะคะ เรื่องยังไม่จบไม่ได้ออกมาขอโทษเรื่องทั้งหมดนะ) ก็ตามตอนต่อไปค่ะมันยังไม่จบ”

ทั้งนี้ ยังได้แนบภาพเป็นคอมเมนต์ชี้แจงข้อความว่า “เรื่องนี้ *โรสผิดเต็มๆ เพราะโพสต์แรกใส่ไข่เยอะไปหน่อยจนเรื่องเลยเถิด คนด่า*เบียร์โครมๆ ส่วนโพสต์ที่ 2 *โรสดันไปได้ข้อเท็จจริงมาก็แก้ไข ไม่ดันทุรังต่อว่า ทันถึงขั้น yes ก็ลงไปว่านังไม่ถึงขั้นเยสกัน () ไปในโพสต์ใหม่ สรุปเรื่องนี้โทษ*โรสค่ะ จบแล้วยังไงต่อ ยอมรับแล้วขอโทษนะคะ เพราะแหล่งข่าวมาแบบไหนโรสก็โพสต์แบบนั้นค่ะ แล้วคนที่ให้มาก็ใช่ว่าจะเชื่อไม่ได้”

ฝ่ายชายเคลื่อนไหวแล้ว! ดราม่า’เบียร์เดอะวอยซ์’ ยันวันเกิดเหตุไม่มีอะไรเกินเลย

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/entertain/778210

ฝ่ายชายเคลื่อนไหวแล้ว! ดราม่า'เบียร์เดอะวอยซ์' ยันวันเกิดเหตุไม่มีอะไรเกินเลย

ฝ่ายชายเคลื่อนไหวแล้ว! ดราม่า’เบียร์เดอะวอยซ์’ ยันวันเกิดเหตุไม่มีอะไรเกินเลย

วันอาทิตย์ ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566, 09.48 น.

วันที่ 31 ธันวาคม 2566 จากกรณีดราม่าเดือดเมื่อ เบียร์ เดอะวอยซ์ หรือ เบียร์ ภัสรนันท์ ถูกพาดพิงหลังเพจดังแฉอ้างว่า นักร้องสาวแอบแซ่บกับหนุ่มในปาร์ตี้จนแฟนของฝ่ายชายมาเห็น 

ทำเอาเจ้าตัวต้องออกมาโต้ไม่ได้เป็นเรื่องจริงตามที่ถูกพาดพิง ระบุ เรื่องนี้มีอยู่ 3 คน ทุกคนรู้ว่า อะไรเกิดขึ้น ทำไมถึงเอามาโพสต์ปิดชื่อคนอื่น แล้วเปิดชื่อตัวเอง ทุกคนด่าแต่เบียร์ไม่แฟร์เลย ก่อนต่อสายโทรหาคู่กรณีที่ชื่อ แอน แต่ปลายสายไม่รับโทรศัพท์ตามที่เสนอข่าวไปแล้ว แรงให้สุด!! ‘เบียร์ เดอะวอยซ์’โทร.เคลียร์คู่กรณี เจอคอมเมนต์โผล่โต้สนั่นโซเซียล

ล่าสุด ไอจีจากฝ่ายชาย ก็โพสต์ข้อความระบุว่า เรื่องมันเริ่มจะบานปลายไปแล้วผมน่าจะต้องออกมาทำอะไรซักอย่าง โดยอยากจะพูดตรงนี้เลยนะครับว่า วันนั้นผมกับเบียร์ไม่ได้มีอะไรเกินเลยแน่นอน