ครบ 5 ปีดับบิน ลาดิน อัล เคดาซุ่มฟื้นคืนชีพ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/616670

โดย บวร โทศรีแก้ว 8 พ.ค. 2559 05:01

 

จุดปลิดชีพ–แฟ้มภาพบ้านที่หลบซ่อนตัวของนายโอซามาบิน ลาดิน อดีตผู้นำเครือข่ายอัล เคดา ในเมืองแอบบอตตาบัด ปากีสถาน ก่อนที่เขาจะถูกหน่วยคอมมานโดสหรัฐฯบุกจู่โจมสังหาร เมื่อ 2 พ.ค. 2554 (เอเอฟพี)

2 พ.ค.ที่ผ่านมา เป็นวันครบรอบ 5 ปี ที่ “โอซามา บิน ลาดิน” อดีตผู้นำผู้ก่อตั้งเครือข่ายก่อการร้าย “อัล เคดา” ถูกหน่วยคอมมานโดสหรัฐฯบุกจู่โจมสังหารคารังที่กบดานในเมืองแอบบอตตาบัดในปากีสถาน

อัล เคดา ซึ่งภาษาอารบิกมีความหมายว่า “ฐานทัพ” (base) ก่อตั้งขึ้นในปี 2531 อยู่เบื้องหลังการก่อการร้ายมากมาย รวมทั้งวินาศกรรมสะท้านโลก “9/11” ในสหรัฐฯ มีผู้เสียชีวิตกว่า 3,000 คน เมื่อ 11 ก.ย. 2544

หลังสิ้นบิน ลาดิน อัล เคดา ยิ่งอ่อนกำลังลงเยอะ เพราะผู้นำคนใหม่ คือไอมาน อัล-ซาวาฮิรี บารมียังห่างชั้นบิน ลาดิน ทำให้เกิดการแตกแยกภายใน จนสาขาหนึ่งของอัล เคดา คือกลุ่ม “อัล เคดาในอิรัก” แยกตัวออกมาตั้งกลุ่ม “รัฐอิสลามแห่งอิรักและลีแวนต์” (ไอซิล)

หลังยึดดินแดนในอิรักและซีเรียได้กว้างขวาง ในปี 2557 “ไอซิล” ก็ประกาศตั้ง “รัฐอิสลาม” หรือ “คอลีฟะห์” ในดินแดนที่ตนยึดครอง และเรียกตัวเองว่า “กองกำลังรัฐอิสลาม” (ไอเอส) ซึ่งเติบโตแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนบดบังรัศมี อัล เคดา ลูกพี่เก่า ดึงดูดให้นักรบ “ญีฮาด” จากทั่วโลกหลั่งไหลไปเข้าร่วมหลายพันคน

ไอเอสก่อเหตุโจมตีทั้งในกรุงปารีส บรัสเซลส์ ตูนิเซีย ตุรกี เลบานอน เยเมน ซาอุดีอาระเบีย ทั้งยังระเบิดเครื่องบินโดยสารรัสเซียที่อียิปต์ ส่วนกลุ่มหัวรุนแรงหลายกลุ่มในตะวันออกกลางและภูมิภาคอื่นๆ ประกาศสวามิภักดิ์ต่อไอเอส กลุ่มไอเอสยังใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้เก่งกาจ รวมทั้งอินเตอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย ทำให้สามารถโฆษณาชวนเชื่อและเกณฑ์สมาชิกใหม่ได้เหนือกว่าอัล เคดา ชนิดเทียบกันไม่ติด

ถึงแม้สูญเสียบิน ลาดิน และถูกไอเอสแซงหน้า แต่ปัจจุบัน อัล เคดา กำลังฟื้นตัวอย่างช้าๆ แต่หนักแน่น และยังมีพิษสงอันตราย เห็นได้จากกลุ่ม “อัล เคดา ในคาบสมุทรอาระเบีย” (เอคิวเอพี) ยังสามารถโจมตีสำนักงานนิตยสารแนวเสียดสี “ชาร์ลี เอบโด” ในกรุงปารีส เมื่อ 7 ม.ค.2558 มีผู้เสียชีวิต 12 คน

นอกจากนี้ กลุ่ม “อัล เคดาในอิสลามิกมัคห์ริบ” (เอคิวไอเอ็ม) ยังโจมตีโรงแรมและร้านอาหารในมาลี, บูร์กินาฟาโซ, ไอวอรีโคสต์ หลายระลอก ตั้งแต่เดือน พ.ย.2558 มีผู้เสียชีวิตหลายสิบคน รวมทั้งชาวต่างชาติ

กลุ่มเอคิวเอพีก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือน ม.ค.2552 จากการรวมตัวกันของอัล เคดา สาขาเยเมนและซาอุดีอาระเบีย เป็นสาขาอัล เคดาที่เข้มแข็งที่สุด มีฐานใหญ่อยู่เยเมน โดยฉวยโอกาสที่รัฐบาลเยเมนสู้รบติดพันกับกบฏ “ฮูธี” รุกยึดพื้นที่ภาคใต้ มีผู้นำชื่อคัสเซม อัล-ริมี ซึ่งขึ้นมาแทนนัสเซอร์ อัล-วูเฮชิ ที่สิ้นชีพจาก “โดรน” ของสหรัฐฯ

สาวก?–ชายนิรนามโชว์รอยสักรูปโอซามา บิน ลาดิน และเครื่องบินก่อนพุ่งชนตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ในสหรัฐฯ ระหว่างการชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลอาร์เจนตินา ที่กรุงบัวโนสไอเรส เมื่อ 29 เม.ย. (เอเอฟพี)

นอกจากโจมตีชาร์ลี เอบโด เอคิวเอพียังพยายามวางระเบิดเครื่องบินโดยสารของสหรัฐฯ ที่บินไปยังเมืองดีทรอยต์ในวันคริสต์มาสปี 2552 แต่ล้มเหลว และก่อนรวมตัวตั้งเอคิวเอพี กลุ่มอัล เคดาในเยเมน ยังโจมตีเรือพิฆาต “ยูเอสเอส โคล” ของสหรัฐฯ ที่เมืองท่าเอเดน ทำให้ทหารอเมริกันตาย 17 นาย

ส่วนเอคิวไอเอ็มก่อตั้งในปี 2550 เมื่อกลุ่มอิสลามซาลาฟิสต์ในแอลจีเรียประกาศสวามิภักดิ์ต่อบิน ลาดิน นักรบส่วนใหญ่มาจากภูมิภาคซาฮารา มีฐานที่มั่นอยู่ภาคเหนือมาลี มีเครือข่ายค้ายาเสพติดและลักพาตัวชาวตะวันตกไปเรียกค่าไถ่ ต่อมาถอยไปอยู่ที่ภาคใต้ลิเบีย หลังกองกำลังฝรั่งเศส-แอฟริกา เข้าไปแทรกแซงศึกมาลี แต่ยังอาละวาดในภูมิภาคซาเฮลและมัคห์ริบ รวมทั้งโจมตีในมาลี แอลจีเรีย บูร์กินาฟาโซ และไอวอรีโคสต์

อีกสาขาหนึ่งของอัล เคดา ที่เป็นข่าวบ่อยช่วงนี้ คือ “แนวร่วมอัล นุสรา” ในซีเรีย ซึ่งเริ่มปรากฏตัวในเดือน ม.ค.2555 หรือ 10 เดือนหลังประชาชนลุกฮือขับไล่ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด จนบานปลายเป็นสงครามกลางเมืองซีเรีย อัล นุสรา มีนายอาบู โมฮัมหมัด อัล-โจลานี เป็นผู้นำ มีนักรบราว 7,000-8,000 คน

เดิมทีอัล นุสรา เคยเป็นสาขาหนึ่งของกลุ่ม “รัฐอิสลามในอิรัก” (ไอเอสไอ) ซึ่งตอนนั้นเป็นสาขาของอัล เคดา แต่เดือน เม.ย. 2556 อัล นุสรา ตัดสัมพันธ์กับไอเอส ประกาศสวามิภักดิ์ต่อไอมาน อัล-ซาวาฮิรี ผู้นำสูงสุดของอัล เคดา แทน ส่งผลให้ถูกไอเอสโจมตีขับไล่ออกจากฐานที่มั่นในจังหวัดเดอีร์ เอซซอร์

สาขาของอัล เคดา ยังมีกลุ่ม “อัล เคดาในอนุทวีปอินเดีย” (เอคิวไอเอส) ตั้งขึ้นในปี 2557 ครอบคลุมภูมิภาคเอเชียใต้ ทั้งปากีสถาน อัฟกานิสถาน อินเดีย บังกลาเทศ และเมียนมา มีนักรบแค่ 500-600 คน แต่เชื่อมโยงกับกลุ่มใหญ่ๆ อย่าง “ตอลีบัน” ในปากีสถานและอัฟกานิสถาน โดยตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปีนี้เอคิวไอเอสอ้างว่าเป็นผู้สังหารผู้หมิ่นอิสลามในบังกลาเทศจำนวนมาก รวมทั้งนักศึกษา บล็อก–เกอร์ นักวิชาการ และสื่อสิ่งพิมพ์

อีกสาขาคือกลุ่ม “อัล เชบับ” ในโซมาเลีย ซึ่งสู้รบกับรัฐบาลตั้งแต่ปี 2534 ก่อนประกาศสวามิภักดิ์ต่ออัล เคดา ในปี 2553 ต่อมาถูกขับไล่ออกจากกรุงโมกาดิชู ในปี 2554 แต่ยังอาละวาดอยู่ในทั้งโซมาเลียและเคนยา

เป็นไปได้ว่าในระยะยาว อัล เคดา ซึ่งปรับกลยุทธ์ใหม่ กระจายตัวอยู่ในหลายภูมิภาค อาจกลับมาแข็งแกร่งกว่ากลุ่มไอเอส เพราะไอเอสชิงตั้ง “รัฐอิสลาม” มีเขตแดนชัดเจน ทำให้กลายเป็น “สายล่อฟ้า” ตกเป็นเป้าโจมตีจากทัพพันธมิตร รวมทั้งสหรัฐฯและรัสเซีย จนอ่อนเปลี้ยลงเรื่อยๆ

การสิ้นบิน ลาดิน ไม่ใช่ว่าอัล เคดาจะแตกดับสูญสิ้น เพราะเมล็ดพันธุ์ “ญีฮาด” ที่เขาเพาะหว่านไว้ยังคงอยู่ รอโอกาสแตกหน่อเติบโตอีกครั้ง!

บวร โทศรีแก้ว

เผือกร้อนมะกัน-ซาอุฯ ปมเอกสารลับคดี9/11

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/613425

โดย วีรพจน์ อินทรพันธ์ 1 พ.ค. 2559 05:01

 

ถกเครียด?-นายบารัค โอบามา ทำสีหน้าเคร่งเครียดระหว่างการสนทนากับนายอาเดล อัล-จูแบร์ รมว.ต่างประเทศซาอุดีอาระเบีย ก่อนขึ้นแอร์ฟอร์ซวัน เดินทางออกจากกรุงริยาด ซาอุฯ เมื่อวันที่ 21 เม.ย. หลังเสร็จสิ้นภารกิจกระชับสัมพันธ์เป็นเวลา 6 วัน.

ผ่านมาเกือบ 15 ปีเต็ม สำหรับวินาศกรรมก่อการร้าย จี้เครื่องบินโดยสารพุ่งชนตึกแฝด “เวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์” แลนมาร์กกลางนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา วันที่ 11 กันยายน หรือ 9/11

โดยเหตุการณ์ในปี 2544 ครั้งนั้น ได้แปรสภาพโลกให้เข้าสู่ห้วงเวลาแห่งสงครามต่อต้านก่อการร้าย ชักธงโดยสหรัฐฯปฏิบัติการพลิกล่าผ่าแผ่นดินหาตัวผู้รับผิดชอบมาชดใช้ให้จงได้

นำไปสู่การกวาดจับกุมผู้ต้องสงสัยทั่วโลก การถล่มอัฟกานิสถาน อิรัก และท้ายสุดสังหารตัวบงการมาสเตอร์ไมน์ นายโอซามา บิน ลาดิน หัวโจกเครือข่ายก่อการร้ายสากลอัล-เคดา อีก 10 ปีให้หลัง ที่ปากีสถาน

อย่างไรก็ตาม แม้เวลาจะล่วงเลยจนป่านนี้ มีการจับกุมผู้ต้องหาทั้งทางตรงและทางลับเข้าคุกลับกวนตานาโมอย่างมากมาย แต่ปรากฏว่าการสืบสวนก็ยังไม่กระจ่างชัดร้อยเปอร์เซ็นต์เสียที

โดยเฉพาะประเด็นการสนับสนุนจากต่างชาติ ที่กลับมาเป็นเรื่องเผือกร้อนในสหรัฐฯอีกครั้ง หลังมีความเคลื่อนไหวจากกลุ่ม ส.ส.และ ส.ว.พรรคฝ่ายค้านรีพับลิกัน ที่ออกมากดดันให้รัฐบาลพูดความจริง

แจงว่าคณะกรรมาธิการสอบสวนคดี 9/11 มีเอกสารการสืบสวนจำนวน 28 หน้า ที่โยงใยให้เห็นว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุ 19 คน ได้รับการสนับสนุนจากที่ใดบ้าง แต่กลับถูกสั่งปิดเงียบเป็นความลับทางราชการโดยอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช

นำโดยสองหัวหอก ส.ส.วอลเตอร์ โจนส์ รัฐนอร์ทแคโรไลนา ที่เตรียมเสนอร่างกฎหมาย ให้ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ยอมเปิดเผยรายละเอียดของเอกสาร และอดีต ส.ว.บ็อบ เกรแฮม รัฐฟลอริดา ชงกฎหมายต้านสปอนเซอร์ก่อการร้าย เปิดช่องให้ญาติผู้เสียชีวิตฟ้องร้องค่าเสียหายจากรัฐบาลต่างชาติได้

ขณะที่สื่อในประเทศต่างพากันรับลูก อย่างหนังสือพิมพ์นิวยอร์กโพสต์ ที่กล้าอ้างจากแหล่งข่าวว่า สำนักข่าวกรองกลางซีไอเอ และสำนัก งานสืบสวนสอบสวนกลางเอฟบีไอ พบหลักฐาน มีเจ้าหน้าที่ “ซาอุดีอาระเบีย” ให้ความช่วยเหลือทางอ้อมแก่ผู้ก่อเหตุชาวซาอุฯอย่างน้อย 2 คน

และทุกการสืบสวนที่โยงไปถึงทางการซาอุฯนั้น กลับถูกสั่งเบรกจากเบื้องบน โดยทั้งนายจอห์น กวนโดโล อดีตเจ้าหน้าที่สืบสวนเอฟบีไอ รวมถึงเจ้าหน้าที่จากทีมต้านก่อการร้ายเจทีทีเอฟ ผู้ไม่ขอเอ่ยนาม และ ร.ต.ท.โรเจอร์ เคลลี เจ้าหน้าที่สืบสวนศูนย์ข่าวกรองภูมิภาค ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พอมีชื่อซาอุฯโผล่ขึ้นมาทีไร ก็จะถูกสั่งห้ามสืบสวนต่อ ไม่ว่าจากทำเนียบขาวหรือในองค์กรเอฟบีไอเอง

“เอฟบีไอเริ่มพบหลักฐานที่ชี้เป้าไปยังซาอุฯหลายอย่าง แต่หลังจากเจ้าชายบันดาร์ บิน สุลต่าน เอกอัครราชทูตซาอุฯ ประจำสหรัฐฯ เข้าพบส่วนตัวกับจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ในทำเนียบขาว คำสั่งก็เปลี่ยนไป เจ้าหน้าที่เอฟบีไอกลับต้องไปช่วยอพยพเจ้าหน้าที่ซาอุฯในเมืองต่างๆ และหนึ่งในนั้นก็คือสมาชิกครอบครัวโอซามา บิน ลาดิน แถมตอนนั้นทางการก็รู้แล้วด้วยว่า ผู้ก่อเหตุ 15 คน จาก 19 คน เป็นชาวซาอุฯ ความจริงเจ้าชายบันดาร์ควรจะเป็นบุคคลที่ต้องถูกสืบสวนเสียด้วยซ้ำ”

พ่วงด้วยรายงานจากร่างแก้ไขของคณะกรรมาธิการสอบสวนคดี 9/11 บางส่วนที่ถูกนำมาเปิดเผยสมทบว่า ก่อนเกิดเหตุการณ์ 11 กันยายน สถานทูตซาอุฯได้โทรศัพท์สนทนากับบุคคลที่ปรากฏในภายหลังว่าเป็นฝ่ายสนับสนุนสมาชิกก่อเหตุ ในเมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ขณะที่ครอบครัวของเจ้าชายบันดาร์ยังได้โอนเงิน 130,000 ดอลลาร์สหรัฐฯให้แก่ทีมสนับสนุนสมาชิกก่อเหตุในเมืองซานดิเอโกเช่นกัน

เท่ากับว่าเป็นการแสดงให้เห็นได้หรือไม่ ว่ารัฐบาลสหรัฐฯรู้หมดว่ามีอะไรในกอไผ่ แต่กลับฉ้อฉลกันภายในเสียเอง อย่างงี้ก็เท่ากับว่าไม่ให้คุณค่าเหยื่อผู้บริสุทธิ์ ที่เสียชีวิตไปกว่า 3,000 ศพเลยหรืออย่างไร

ดังนั้นกรณีดังกล่าวจึงเป็นเรื่องน่าติดตามกันต่อว่า สรุปแล้วร่างกฎหมายให้เปิดเผยเอกสารลับดังกล่าว รวมถึงร่างกฎหมายการฟ้องค่าเสียหายจากรัฐบาลต่างชาติ จะผ่านสภาคองเกรสไปได้หรือไม่ คาดประมาณเดือนมิถุนายนนี้ และหลังจากนั้นจะทำให้รูปคดีไปสู่ทิศทางใด

อย่างไรก็ตาม นายทิม โรเมอร์ อดีต ส.ส.พรรคเดโมแครต และนั่งตำแหน่งคณะกรรมาธิการสอบสวนคดี 9/11 เคยให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอพีว่า เคยอ่านเอกสารลับไปแล้ว 3 รอบ ก็เป็นแค่การรายงานคดีปกติทั่วไป มีทั้งเบาะแส ข้อกล่าวหา ปากคำพยาน และหลักฐานเกี่ยวกับผู้ก่อเหตุเท่านั้น

ส่วนรัฐบาลซาอุฯก็มีจุดยืนที่ชัดเจน โดยอาเดล อัล-จูแบร์ รมว.ต่างประเทศซาอุฯ ได้ขู่นักการเมืองสหรัฐฯไว้ว่าหากร่างกฎหมายผ่าน รัฐบาลจำเป็นที่จะต้องขายหลักประกันและทรัพย์สินในสหรัฐฯทั้งหมดรวมกว่า 750,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกศาลสั่งอายัด

คำตอบสุดท้ายจึงอยู่ที่ประธานาธิบดีโอบามา ว่าจะใช้มาตรการวีโต้คว่ำร่างกฎหมาย กลบเรื่องให้มันเป็นปริศนาคาราคาซังต่อไป ซึ่งจะเป็นเครื่องชี้วัดอย่างดีว่าชีวิตประชาชนกับผลประโยชน์ประเทศอันไหนสำคัญกว่ากัน.
วีรพจน์ อินทรพันธ์

คุกในอุดมคติ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/609837

โดย บวร โทศรีแก้ว 24 เม.ย. 2559 05:01

 

คุกหรู-สภาพห้องขังในเรือนจำ “สคีน” ซึ่งนายเแอนเดอร์ส เบห์ริง เบรยวิค ฆาตกรสังหารหมู่ 77 ศพ ในนอร์เวย์ ถูกคุมขังตั้งแต่ปี 2556 หลังถูกศาลตัดสินจำคุกสูงสุด 21 ปี (เอเอฟพี)

คดีเขย่าโลก นายแอนเดอร์ส เบห์ริง เบรยวิค ชาวนอร์เวย์ขวาจัดหัวรุนแรง ก่อการร้ายสังหารหมู่ 77 ศพ เมื่อ 22 ก.ค. 2554 หรือเกือบ 5 ปีก่อน ยังไม่จบง่ายๆ มีควันหลงให้ฮือฮาเป็นระยะๆ

เบรยวิคจุดระเบิดในรถตู้ใกล้ที่สำนักงานรัฐบาลในกรุงออสโล มีผู้เสียชีวิต 8 ศพ จากนั้นขับรถไปกราดยิงค่ายกิจกรรมฤดูร้อนของยุวชนฝ่ายซ้าย-กลาง ที่เกาะอูโทยา มีผู้เสียชีวิตอีก 69 ศพ ส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียน ต่อมาเขาถูกศาลพิพากษาจำคุก 21 ปี โทษสูงสุดในนอร์เวย์ ซึ่งไม่มีโทษประหารชีวิต

ระหว่างอยู่ในเรือนจำ “สคีน” ที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยสูงสุด เบรยวิคยื่นฟ้องศาลว่าตนถูกรัฐนอร์เวย์ “ละเมิดสิทธิมนุษยชน” ร้ายแรง ทั้งถูกขังเดี่ยว 22-23 ชั่วโมงต่อวัน ถูกห้ามส่งจดหมายถึงพวกขวาจัดด้วยกัน เช่นพวกอารยัน บราเธอร์ฮูดในสหรัฐฯ และพวกนาซีใหม่ในรัสเซีย อีกทั้งห้ามรับจดหมายจากผู้เห็นอกเห็นใจ

เขายังฟ้องว่าถูกปลุกทุกครึ่งชั่วโมงยามกลางคืน ถูกใส่กุญแจมือบ่อยเกินไป ถูกเปลื้องผ้าตรวจค้นต่อหน้าพัศดีหญิง ถูกห้ามติดต่อกับนักโทษอื่นๆ จะติดต่อกับเจ้าหน้าที่เรือนจำหรือผู้ไปเยี่ยมก็ต้องมีกระจกหนากั้น ยกเว้นเมื่อมารดาไปเยี่ยมก่อนเสียชีวิตในปี 2556 เขายังเคยอดอาหารประท้วงด้วย

กระทั่งเมื่อ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา โลกต้องตกตะลึง เมื่อผู้พิพากษาหญิง เฮเลน แอนดีเนียส เซคูลิค แห่งศาลนอร์เวย์ตัดสินให้เบรยวิคชนะคดี โดยระบุว่าเขาถูกปฏิบัติบางอย่างในคุกอย่างไร้มนุษยธรรมหรือลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ หรือถูกลงโทษเป็นพิเศษ ซึ่งละเมิดมาตรา 3 ของสนธิสัญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของยุโรป (ECHR)

ชนะคดี-นายแอนเดอร์ส เบห์ริง เบรยวิค ฆาตกรโหด ขณะถูกควบคุมตัวไปขึ้นศาลชั่วคราวในเรือนจำสคีน เมื่อ 15 มี.ค. ก่อนศาลตัดสินเมื่อ 20 เม.ย. ให้เขาชนะคดีละเมิดสิทธิมนุษยชน (เอเอฟพี)

เซคูลิคระบุว่า สิทธิของนักโทษที่จะต้องไม่ถูกปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรม เป็นคุณค่าพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย ไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่กับ “ผู้ก่อการร้ายและฆาตกร” เธอยังสั่งให้รัฐบาลนอร์เวย์จ่ายค่าสู้คดีให้เบรยวิคถึง 330,000 โครเนอร์ (ราว 1,400,000 บาท) ด้วย

ถ้ารัฐบาลนอร์เวย์หรือเบรยวิคไม่อุทธรณ์คำตัดสินนี้ภายใน 4 สัปดาห์ เรือนจำสคีนมีข้อผูกมัดต้องปฏิบัติต่อเบรยวิคดีขึ้นตามที่ผู้พิพากษาระบุ ส่วนญาติพี่น้องของเหยื่อผู้เสียชีวิตมีความเห็นต่างกัน ส่วนหนึ่งตกตะลึง ผิดหวัง รับไม่ได้ แต่มีบางคนชี้ว่าคำตัดสินเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าระบบศาลยุติธรรมของนอร์เวย์ “มีประสิทธิภาพ” ยังเคารพสิทธิมนุษยชนอย่างแน่วแน่แม้อยู่ภายใต้สถานการณ์ร้ายแรงสุดขีด

ก่อนหน้านี้ ชาวต่างชาติ (คงรวมทั้งชาวไทยด้วย) คงงุนงงสงสัย เมื่อรู้ข่าวว่าเบรยวิคซึ่งเป็นฆาตกรฆ่าหมู่โหดเหี้ยมถึง 77 ศพ อยู่ในคุกสคีนอย่างสะดวกสบาย ที่คุมขังของเขามีถึง 3 ห้อง คือห้องนอน ห้องเรียน ห้องออกกำลังกาย และยังสามารถไปออกกำลังกายที่สนามหญ้าข้างนอกได้ทุกวัน

เขายังสามารถเล่นวีดิโอเกม ดูทีวี อ่านหนังสือ พิมพ์ มีคอมพิวเตอร์ส่วนตัว (แต่ไม่มีอินเตอร์เน็ต) ปรุงอาหารเอง ซักรีดเสื้อผ้าเอง โทรศัพท์คุยกับเพื่อนสาว ติดต่อเจ้าหน้าที่เรือนจำ ทนายความ บาทหลวง และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพได้

คดีเบรยวิคยังทำให้เรือนจำนอร์เวย์ตกเป็นเป้าสนใจของชาวโลก โดยเฉพาะเรือนจำบนเกาะบาสตอยทางใต้กรุงออสโล และเรือนจำฮาลเดนที่ภาคใต้ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเรือนจำในอุดมคติที่ดีมีมนุษยธรรมที่สุดในโลก

ที่คุกบาสตอย นักโทษสามารถเดินเล่นในพื้นที่คล้ายหมู่บ้านได้ ช่วยทำฟาร์ม เล่นสกี ปรุงอาหาร เล่นเทนนิส เล่นไพ่ได้ มีชายหาดให้พักผ่อน ในช่วงบ่ายเจ้าหน้าที่เรือนจำส่วนใหญ่จะกลับบ้านเหลือไม่กี่คนไว้คอยเฝ้านักโทษ 115 คน ส่วนที่เรือนจำฮาลเดนก็สะดวกสบายไม่แพ้กัน แถมในห้องครัวมีมีดช้อนส้อมสเตนเลส มีโรงเวิร์กช็อปที่มีทั้งเลื่อย คีม ตะไบ ครบชุด มีสตูดิโอดนตรี พร้อมกีตาร์ คีย์บอร์ด กลองชุด ห้องมิกซ์เสียง

สำนักราชทัณฑ์นอร์เวย์ระบุว่า แรกๆ นักโทษมักถูกส่งไปเข้าเรือนจำที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยสูง จากนั้นค่อยพิจารณาย้ายไปอยู่เรือนจำที่คุมเข้มน้อยลงไปเรื่อยๆ จนถึงไปอยู่สถานพักฟื้นจิตใจเพื่อเตรียมรับอิสรภาพกลับเข้าร่วมสังคมปกติอีกครั้ง

แม้นอร์เวย์มีโทษจำคุกสูงสุด 21 ปี และนักโทษอาจถูกขังต่อได้ใน “เชิงป้องกัน” ถ้าเห็นว่ายังเป็นอันตรายต่อสังคม แต่โดยปกติจะถูก
จำคุกสั้นเฉลี่ยไม่เกิน 8 เดือน และเกือบ 90% ถูกจำคุกไม่ถึง 1 ปี เพื่อให้กลับเข้าสู่สังคมอีกครั้งโดยเร็วที่สุด โดยที่รัฐก็ไม่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมาก ดังนั้น กระบวนการฟื้นฟูที่ดีจึงสำคัญเป็นพิเศษ

มีผู้ชี้ว่าระบบเรือนจำนอร์เวย์อ่อนเกินไป แต่เมื่อดูจากสถิติกลับได้ผลดียิ่ง โดยนักโทษที่ออกจากคุกส่วนใหญ่จะไม่กลับเข้าไปอีก อัตราผู้กระทำความผิดซ้ำมีแค่ 20% ต่ำที่สุดชาติหนึ่งในโลก เทียบกับอังกฤษที่ 45%

ส่วน “สหรัฐอเมริกา” ซึ่งมีโทษหนัก คุมขังกันยาวนาน ทั้งยังมีโทษประหารชีวิต และต้องใช้เงินมหาศาลในการสร้างและบริหารจัดการเรือนจำ แต่นักโทษที่ออกจากคุกกว่า 76% ถูกจับอีกภายใน 5 ปี!

สำนักราชทัณฑ์นอร์เวย์ระบุว่า คุกควรเป็นที่จำกัด “เสรีภาพ” ไม่ใช่อะไรอื่นมากไปกว่านั้นนักโทษควรมีสิทธิ์เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างนอกชีวิตภายในคุกควรคล้ายชีวิตภายนอกให้มากที่สุด

เป็นอะไรที่น่าคิด แต่ยอมรับได้ยากในประเทศอื่นที่มีบริบทแตกต่างกันมากๆ!

บวร โทศรีแก้ว

ส่องอนาคตฟิลิปปินส์ วัดคำตอบวันเลือกผู้นำ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/606406

โดย กิรณา อินทร์​ชญาณ์ 17 เม.ย. 2559 05:01

 

วัดกระแส-แก้วน้ำอัดลมในร้านสะดวกซื้อชื่อดังแห่งหนึ่งที่กรุงมะนิลา ซึ่งพิมพ์ใบหน้าผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เพิ่มสีสันการเลือกตั้งไม่น้อย.

การเลือกตั้งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 9 พ.ค.นี้ รวมถึงการเลือกรองประธานาธิบดี, วุฒิสมาชิก, สมาชิกผู้แทนราษฎร, สมาชิกระบบบัญชีรายชื่อ และผู้บริหารท้องถิ่น ตั้งแต่ระดับจังหวัด ระดับอำเภอไปจนถึงระดับชุมชน รวมๆแล้วกว่า 18,000 คน แม้จะไม่คึกคัก มีดราม่าเหมือนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯปลายปีนี้เท่าไหร่นัก แต่ทั่วโลกก็เฝ้าจับตามองสำหรับผู้ที่จะก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ ต่อจากนายเบนิกโน อาคีโน ผู้นำคนปัจจุบัน (ซึ่งตลอดเทอมตั้งแต่ปี 2553 ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจดีเฉลี่ยกว่า 6% เป็นสถิติที่สุดยอดในรอบ 40 ปี)

เพราะผู้สมัครลงแข่งขันครั้งนี้ เฉพาะตำแหน่งประธานาธิบดี มี 5 คน คือ 1.นายเจโจมาร์ บิไน รองประธานาธิบดีคนปัจจุบัน 2.มิเรียมเด ฟองโซ ซานติอาโก วุฒิสมาชิก 3.เกรซ โป วุฒิสมาชิก ลูกสาวบุญธรรมนายเฟอร์นานโด โป จูเนียร์ หรือเอฟพีเจ อดีตดาราดังที่เคยลงสมัครชิงตำแหน่งนี้แล้วแพ้ 4.โรดริโก ดูเตอร์เต นายกเทศมนตรีเมืองดาเวา และ 5.มานูเอล โรฮัส อดีต รมว.มหาดไทยฟิลิปปินส์

บุคคลที่ดูๆแล้วภูมิหลังน่าสนใจและเป็นที่จับตามองพิเศษ หนีไม่พ้น ส.ว.หญิง โป วัย 47 ปี ที่ผ่านๆมาเจออุปสรรคขวากหนามหลายเรื่อง ตั้งแต่ กกต.ที่อ้างว่าเธอขาดคุณสมบัติ เพราะไม่มีสัญชาติฟิลิปปินส์ สุดท้ายศาลฎีกาก็ตัดสินอนุญาตให้ลงสมัคร

แม้แต่เรื่องประสบการณ์ทางการเมืองยังเบาหวิว ศาสตราจารย์ เทมาริโอ ริเวรา อาจารย์วิชารัฐศาสตร์ ประจำมหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ มองว่า ปัญหาเดียวกับประธานาธิบดี บารัค โอบามา ของสหรัฐฯ ที่เข้ารับตำแหน่งผู้นำสมัยแรก แต่ โป มีทีมงานฝีมือปึ้กแล้วตัวเธอเองก็เป็นคนเรียนรู้ไวด้วย

นอกจากนี้ ความสดใหม่ของ โป ที่ยังไม่เคยแปดเปื้อนมลทินที่เกี่ยวกับคอร์รัปชัน เป็นคนติดดินเข้าถึงง่าย บวกกับชื่อเสียงบารมีในความเป็นดาราของพ่อบุญธรรมที่เป็น “บิดาแห่งหนังฟิลิปปินส์”

ในโอกาสที่ทีมงานของการเข้าฝึกอบรมหลักสูตร “ความรู้เรื่องการเป็นประชาคมอาเซียนสำหรับสื่อมวลชน รุ่นที่ 4” ได้เข้าพบพูดคุยกับ นายธนาธิป อุปัติศฤงค์ เอกอัครราชทูตไทยประจำฟิลิปปินส์ ที่กรุงมะนิลา ประเด็นใหญ่ๆ ก็หนีไม่พ้นเรื่องบรรยากาศของการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยทูตธนาธิปเผยว่า ขณะนี้ยังสรุปได้ยากว่าใครน่าจะมีโอกาสชนะ แต่จากผลสำรวจชี้ว่าเกรซ โป ซึ่งเป็นผู้สมัครอิสระกับโรดริโก ดูเตอร์เต ผู้ว่าการเมืองดาเวา ต่างมีคะแนนนิยมสูสีน่าลุ้น

พบท่านทูต-นายธนาธิป อุปัติศฤงค์ เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงมะนิลา ให้การต้อนรับผู้บริหารและคณะสื่อมวลชนจากสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ระหว่างศึกษาดูงานอบรมหลักสูตร.

นอกจากนี้ ธรรมชาติโดยนิสัยของชาวฟิลิปปินส์จะให้ความสำคัญกับเรื่องอารมณ์ ชื่นชอบตัวบุคคล นิยมคนเด่นดัง เช่น การเลือกอดีตนักแสดงเก่าโจเซป เอสตราดา ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ ส่วนกรณีของ ส.ว.เฟอร์ดินาน มาร์กอส จูเนียร์ หรือ “บองบอง” ลูกชายของอดีตประธานาธิบดีเฟอร์ดินาน มาร์กอส ที่ลงสมัครรองประธานาธิบดีและกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่านทูตก็มองว่า คนรุ่นใหม่ลืมการคอร์รัปชันหรือละเมิดสิทธิมนุษยชนในยุคของมาร์กอสไปแล้ว เนื่องจากผ่านมานานถึง 30 ปี และที่สำคัญคือคนรุ่นใหม่ที่เกิดหลังปี 1986 มีสัดส่วนถึงร้อยละ 50 ของผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้งครั้งนี้

ขณะเดียวกัน คนฟิลิปปินส์เองก็ให้ความสำคัญกับปัญหาภายในประเทศมากกว่าต่างประเทศ ยกเว้นปัญหาทะเลจีนใต้ เพราะกระทบผลประโยชน์โดยตรง ในฟิลิปปินส์เองก็มีปัญหาทั้งคอร์รัปชัน ความยากจน โครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ครอบคลุมเช่น ไฟฟ้าที่ดับเป็นประจำในประเทศ ยกเว้นเขตเมโทรมะนิลา ด้วยการผูกขาดธุรกิจต่างๆของกลุ่มนายทุนโดยเฉพาะเหล่าเศรษฐีตระกูลดังต่างๆ รวมถึงการที่ฟิลิปปินส์เปิดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานได้ถึง 100% แบบที่รัฐไม่เข้าไปแทรกในรูปแบบรัฐวิสาหกิจ ทำให้ค่าไฟต่อยูนิตโดยเฉลี่ยแพงกว่าเมืองไทย 3 เท่า

และจากที่ทีมงานของเราเยี่ยม “ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง” (PCIJ) องค์กรสื่อไม่แสวงผลกำไร Malou Mangahas ยังเล่าให้พวกเราฟังถึงทายาททางการเมืองท้องถิ่นในฟิลิปปินส์ที่ฝังรากแก้วกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ หลายๆตระกูลใช้วิธีแผ่ขยายอิทธิพล ผูกสายโลหิตไล่ลำดับนับญาติเพื่อความมั่นคงของฐานการเมืองตัวเองและควบคุมงบประมาณกับระบบยุติธรรม

ไม่ว่าจะอย่างไร พวกเราก็ยังได้สัมผัสบรรยากาศกลิ่นอายการเลือกตั้งอยู่บ้าง แม้ทางกกต.ฟิลิปปินส์ ประกาศห้ามหาเสียงเลือกตั้งระหว่างเทศกาล Holy Week ซึ่งเป็นช่วงที่พวกเราเดินทางไปพอดี เพราะที่ร้าน 7-11 ที่โน่น จัดกิจกรรมอิงกระแสเลือกตั้งประธานาธิบดีด้วย โดยมีการวางขายแก้วใส่น้ำอัดลมลายผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ทั้ง 5 คน และแก้วที่เขียนว่า “ยังไม่ตัดสินใจ” ตั้งแต่วันที่ 23 มี.ค.-2 พ.ค. นี้ ในราคา 25 เปโซ หรือราวๆ 19 บาท

จะเรียกว่าเป็นการวัดคะแนนนิยมของผู้สมัครแต่ละคนอย่างไม่เป็นทางการตามจำนวนยอดขายก็ไม่น่าจะถูกซะทีเดียวนัก เพราะไม่มีข้อจำกัดเรื่องอายุผู้ซื้อ จำนวนแก้วที่ซื้อต่อครั้งต่อคนต่อวัน แถมซื้อแบบไม่ต้องใส่น้ำก็ได้ ซึ่งยอดขายของแก้วแต่ละแบบสามารถเช็กผลรายสัปดาห์ได้ที่ www.7-election.com.ph

ส่วนใครจะแพ้ ใครจะชนะของจริงอีกไม่กี่สัปดาห์ก็รู้…

กิรณา อินทร์ชญาณ์

อนาคตของไต้หวันภายใต้ ประธานาธิบดีหญิงคนแรก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/603485

โดย ยูเรนัส 10 เม.ย. 2559 05:01

 

ยินดีด้วย ประธานาธิบดีหม่า อิง จิว แห่งไต้หวัน (ขวา) ต้อนรับไช่ อิง เหวิน หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าหรือดีพีพี (ซ้าย) เพื่อแสดงความยินดีที่ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีหญิงคนใหม่ (เอพี)

ไต้หวัน ตั้งอยู่ห่างจากจีนแผ่นดินใหญ่ราว 160 กิโลเมตร (ตรง ข้ามมณฑลฝูเจี้ยนของจีน) และเป็นที่ทราบกันว่า ไช่ อิง เหวิน หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า หรือดีพีพี เพิ่งได้รับเลือกให้เป็น ประธานาธิบดีหญิงคนแรก ของสาธารณรัฐจีนชื่อทางการของไต้หวัน

ปัจจุบันอายุ 59 ปี ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคดีพีพีตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นฝ่ายค้านและไม่เคยออกตัวว่าสนับสนุนการรวมชาติระหว่างจีนกับไต้หวัน จึงถูกจับตามองว่า ประธานาธิบดีหญิงคนใหม่จะเดินเกมการเมืองอย่างไร เพื่อไม่ให้กระทบไปถึงความสัมพันธ์กับรัฐบาลปักกิ่ง

จากภูมิหลัง เธอเป็นอดีตอาจารย์ด้านกฎหมายและเป็นนักเจรจาที่มีประสบการณ์ช่ำชอง โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับแผ่นดินใหญ่และกิจการระหว่างประเทศ ดังนั้นผู้นำหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ไต้หวันน่าจะดำเนินนโยบายช่วยบรรเทาความขัดแย้งกับจีนและรักษาความเป็นพันธมิตรกับชาติตะวันตกมากกว่าจะทำให้เกิดความขัดแย้งข้ามช่องแคบไต้หวัน

ด้วยเหตุที่ “ไต้หวันกำลังมีผู้นำที่เป็นความหวังใหม่และความท้าทายในอนาคต” ด้าน สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย จึงได้เชิญหนังสือพิมพ์สารพัดสีขายดีที่สุดอย่างไทยรัฐ ไปเยือนไต้หวันเมื่อไม่นานมานี้

พูดถึงไต้หวันก็เหมือนประเทศอื่นๆในโลก ที่เผชิญปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว แม้ชาวไต้หวันส่วนใหญ่ใช้ชีวิตตามวิถีแห่งความพอเพียง แต่อยากให้รัฐบาลชุดใหม่มีนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อความก้าวหน้าที่ยั่งยืน กระนั้นการท่องเที่ยวดูจะนำ พาเม็ดเงินเข้าประเทศได้ไม่น้อย เช่นเดียวกับบ้านเรายังสนับสนุนให้ไทยเที่ยวไทยเช่นกัน ส่วนที่ไต้หวันมีนักท่องเที่ยวจากจีนเข้าไปเที่ยวกันเยอะ เพราะนโยบายสมัยประธานาธิบดีหม่า อิง จิว แห่งพรรคชาตินิยมหรือก๊กมินตั๋งที่มีนโยบายใกล้ชิดจีน ทั้งไต้หวันและจีนลงนามในข้อตกลงการค้า, การลงทุนและการขนส่งหลายฉบับด้วยกัน

พูดถึง พรรคชาตินิยมหรือก๊กมินตั๋ง หลังจากนายอีริค ชู ตัวแทนของพรรคฯ แพ้การเลือกตั้งให้ไช่ อิง เหวิน แห่งพรรคดีพีพี เขา ก็แสดงสปิริตลาออกจากตำแหน่ง ทำให้พรรคชาตินิยมต้องสรรหาประธานพรรคคนใหม่ จนได้ หง ซิ่วจู วัย 67 ปี หัวหน้าพรรคก๊กมินตั๋งคนแรกที่เป็นผู้หญิง จึงน่ายินดีว่า ตอนนี้เป็นยุคที่สตรีมีโอกาสได้โชว์ความสามารถด้านการเมืองอย่างเต็มที่ และเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยที่ผู้นำของ 2 พรรคใหญ่ ต่างก็เป็นสตรีทั้งคู่

ทำเก๋ อาคารไทเป 101 นำรูปปั้นสัญลักษณ์ปีวอก หรือปีลิงมาตั้งวางไว้บนชั้นสูงสุดที่ให้นักท่องเที่ยวเข้าชมความสวยงามภายในอาคารและมีนักท่องเที่ยวถ่ายภาพสัญลักษณ์นี้จำนวนมาก.

การเดินทางไปกรุงไทเปคราวนี้ ทำให้ ทราบว่าไต้หวันได้ผลักดันนโยบาย “มุ่งสู่ใต้” มานานแล้ว เนื่องจากประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากเป็นเพื่อนบ้านแล้ว ยังเป็นคู่ค้าที่สำคัญด้วย

ก่อนนี้มีคนงานไทยเดินทางไปทำงานที่ไต้หวันจำนวนมาก จึงทำให้ สถานีวิทยุแห่งชาติของสาธารณรัฐจีน (อาร์ทีไอ) หรือเสียงจากไต้หวัน เป็นสะพานเชื่อมให้คนไทยที่อาศัยในไต้หวันและเมืองไทยได้รับทราบข้อมูลของไต้หวันในด้านต่างๆ ด้วยการเปิดฟังรายการวิทยุ, เปิดดูจากเว็บไซต์หรือรับจุลสารของอาร์ทีไอ จะช่วยทำให้เกิดความเข้าใจในวัฒนธรรม, สังคมและชีวิตความเป็นอยู่ที่ไต้หวันมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การปรับตัวให้เข้ากับสถานที่และทำให้หายคิดถึงบ้านก็เป็นได้

นอกจากนี้ ยังมีนิตยสาร “ไต้หวันพาโนรามา” ฉบับภาษาไทย เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีและการเรียนรู้ระหว่างกัน โดยมีเนื้อหาให้ความรู้ทั่วไปที่เป็นประโยชน์ และสร้างพื้นฐานให้แก่แรงงานข้ามชาติ เพื่อสานฝันให้เป็นจริง มีคอลัมน์คนเด่นคนดังชาวไทยในไต้หวันซึ่งทำกิจกรรมช่วยเหลือสังคมด้วย

มีโอกาสได้คุยกับคุณอโศก ศรีจันทร์ หัวหน้าวิทยุอาร์ทีไอภาคภาษาไทย ถึง ภาวะการจ้างงานในไต้หวัน พบว่า เมื่อก่อนคนไทยมาทำงานก่อสร้างกันมาก เนื่องจากมีงานด้านสาธารณูปโภคและงานก่อสร้างอาคารให้ทำอย่างต่อเนื่อง (ตึกไทเป 101 อาคารที่เป็นหน้าเป็นตาของไต้หวัน คนงานไทยก็มีส่วนช่วยก่อสร้าง) แต่หลังจากงานก่อสร้างใหญ่ๆเหล่านี้เสร็จแล้ว คนงานไทยเริ่มทยอยกลับ ทุกวันนี้กลายเป็นว่า งานบริการผู้สูงอายุกำลังเป็นที่ต้องการ แต่แรงงานไทยไม่ค่อยอยากทำ ตรงข้ามกับชาวฟิลิปปินส์, อินโดนีเซียที่ทำได้

เท่าที่สังเกต ไต้หวันยังเป็นสังคมที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุและคนพิการ หากไปที่ไหนจะเห็นทางลาดที่สร้างไว้เพื่อผู้ที่นั่งรถเข็น แถมมีห้องน้ำสำหรับผู้สูงวัยไว้บริการเสร็จสรรพ

หากใครถึงวัยเกษียณอายุ แต่ยังมีกำลังวังชาและอยากทำตัวให้เป็นประโยชน์ ผู้สูงวัยของที่นั่น ก็มีทางเลือกด้วยการไปเป็น อาสาสมัคร ช่วยทำงานให้กับองค์กรการกุศลหรือองค์กรสาธารณะต่างๆ ได้ใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม, ไม่ต้องมัวคิดมากแถมมีสวัสดิการด้านสาธารณสุขที่ดีซะด้วย!

ยูเรนัส

ถล่มบรัสเซลส์ สะเทือนไกล รับมือก่อการร้าย ต้องใช้สติ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/599937

โดย บวร โทศรีแก้ว 3 เม.ย. 2559 05:01

 

เหตุผู้ก่อการร้ายโจมตีสนามบินและรถไฟใต้ดินในกรุงบรัสเซลส์ เบลเยียม เมื่อ 22 มี.ค. ไล่หลังเหตุโจมตีกรุงปารีส ฝรั่งเศส เมื่อ 13 พ.ย.ปีที่แล้ว ซึ่งกองกำลังรัฐอิสลาม (ไอเอส) ต่างอ้างความรับผิดชอบ นอกจากสร้างความแตกตื่นหวาดผวาทั่วยุโรป ยังส่ง “แรงกระเพื่อม” อีกหลายมิติทั่วโลก

ไล่ตั้งแต่เรื่องวิกฤติผู้อพยพลี้ภัยในยุโรป การเติบโตของพวก “ขวาจัด” ในหลายประเทศ การลงประชามติในสหราชอาณาจักรอังกฤษในเดือน มิ.ย. ปีนี้ว่าจะถอนตัวจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) ซึ่งเรียกกันว่า “Brexit” หรือไม่ ไปจนถึงเรื่องการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาใน 8 พ.ย.นี้

เริ่มที่เรื่อง “วิกฤติผู้อพยพลี้ภัย” ซึ่งแค่ปีที่แล้วทะลักเข้ายุโรปกว่า 1 ล้านคน เกือบครึ่งมาจากซีเรีย ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงในหมู่ชาติอียูว่าจะรับมือยังไง?

ก่อนการโจมตีปารีสและบรัสเซลส์ ชาวยุโรปมีทัศนคติต่อต้านผู้อพยพลี้ภัยที่ทวีขึ้นเรื่อยๆอยู่แล้ว ยิ่งมีข่าวนักรบ “ญีฮาด” อาจใช้เส้นทางเดียวกับผู้อพยพลี้ภัยเล็ดลอดกลับเข้ายุโรปเพื่อก่อการร้าย กระแสต่อต้านยิ่งแรงขึ้น สมาชิกอียูหลายประเทศหันกลับมาควบคุมหรือปิดพรมแดน จำกัดจำนวนผู้ลี้ภัย ส่งผลให้ผู้อพยพลี้ภัยติดค้างอยู่ตามด่านชายแดนจำนวนมากในสภาพทุกข์ยากน่าเวทนา

หลังการโจมตีบรัสเซลส์ ชะตากรรมผู้อพยพลี้ภัยยิ่งย่ำแย่ นางบีตา ซิดโล นายกรัฐมนตรีโปแลนด์ ถึงขั้นประกาศว่า จะไม่รับผู้ลี้ภัย 7,000 คน ตามที่ได้ตกลงกันไว้อีกต่อไป!

โดมินิก มอยซี นักวิเคราะห์แห่งสถาบันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศฝรั่งเศสชี้ว่า “ผู้ลี้ภัย” และ “ผู้ก่อการร้าย” เป็นคนละประเด็นกัน แต่ถูกโยงเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะยิ่งคนเห็นผู้ก่อการร้ายโจมตี ก็ยิ่งต่อต้านผู้ลี้ภัย ซึ่งไม่ยุติธรรมสำหรับผู้ลี้ภัย ส่วนโธมัส ไรท์ นักวิเคราะห์ประจำศูนย์ศึกษาวิจัยเรื่องสหรัฐฯและยุโรปแห่งสถาบันบรู้คกิ้ง ชี้ว่า การต่อต้าน หรือใช้กฎหมายควบคุมผู้อพยพลี้ภัยที่แข็งกร้าวขึ้น จะป้องกันผู้ก่อการร้ายโจมตีได้น้อยมาก เพราะผู้ก่อการร้ายจำนวนมากพำนักอาศัยหรือเป็นพลเมืองยุโรปอยู่แล้ว

ในอีกมิติหนึ่ง…วิกฤติผู้อพยพลี้ภัยและภัยคุกคามจากกลุ่มไอเอสยังผลักดันให้ประชาชนผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งหันไปสนับสนุนพรรคการเมืองขวาจัดมากขึ้นเรื่อยๆ จนพรรคขวาจัดได้เป็นรัฐบาลโปแลนด์ ส่วนในอีกหลายประเทศ ทั้งฝรั่งเศส สโลวะเกีย สวีเดน ออสเตรีย พรรคขวาจัด ก็มีคะแนนนิยมพุ่งขึ้น

การโจมตีบรัสเซลส์ยิ่งทำให้พรรคขวาจัดได้ประโยชน์ ทั้งที่จริงๆแล้ว การปิดพรมแดนและต่อต้านผู้อพยพลี้ภัยจะยิ่งส่งผลร้าย เพราะไป “เข้าทาง” กลุ่มไอเอสที่จ้องเสี้ยมให้สังคมยุโรปแตกแยก ให้ผู้คนชิงชังชาวมุสลิม และรู้สึกว่านี่คือ การปะทะกันระหว่างศาสนาหรืออารยธรรม และอิสลามคือศัตรู ซึ่งความขัดแย้งจะยิ่งรุนแรง

ส่วนเรื่อง “Brexit” ซึ่งจะลงประชามติในเดือน มิ.ย.นี้ การโจมตีบรัสเซลส์ก็ไปเข้าทางพวกที่ต้องการให้อังกฤษทิ้งอียู โดยพรรคยูเค อินดิเพนเดนซ์ (ยูเคดีพี) รีบฉวยโอกาสปลุกปั่นว่าการโจมตีบรัสเซลส์แสดงถึง ความหย่อนยานในการควบคุมพรมแดนร่วม ซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคงของอังกฤษ จึงควรถอนตัวจากอียู และใช้มาตรการป้องกันตัวเองจะดีกว่า

ขณะที่ผลกระทบต่อการเลือกตั้งสหรัฐฯนั้น นายโดนัลด์ ทรัมป์ มหาเศรษฐีผู้อื้อฉาว ตัวเก็งที่จะได้เป็นตัวแทนพรรครีพับลิกัน ก็ได้ประโยชน์จากการโจมตีบรัสเซลส์ด้วย คงจำได้ว่า หลังเหตุโจมตีปารีส เขาเคยเสนอให้สหรัฐฯห้ามชาวมุสลิมเข้าประเทศ ทำให้คะแนนนิยมจากฝ่ายขวาพุ่งขึ้น

ทรัมป์ยังเสนอให้ออกกฎหมายใหม่ อนุญาตให้ทรมานผู้ต้องสงสัย เป็นผู้ก่อการร้ายได้ และหลังการโจมตีบรัสเซลส์ก็ฉวยโอกาสใช้เรื่องนี้หาเสียง แสดงความเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง ประกาศว่าถ้าตนได้เป็นผู้นำใคร ก็ตามที่พยายามโจมตีสหรัฐฯ เหมือนที่ปารีสและบรัสเซลส์ จะต้อง “ทุกข์ทรมานแสนสาหัส”

ทรัมป์อาจใช้เรื่องนี้หาเสียงในหมู่อนุรักษนิยมจนช่วยให้เขาชนะได้เป็นตัวแทนพรรค แต่เมื่อถึงเวลาหาเสียงในระดับชาติแข่งกับนางฮิลลารี คลินตัน ที่คาดว่าจะได้เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต เรื่องนี้อาจ “ขายไม่ได้” เพราะชาวอเมริกันส่วนใหญ่อาจเห็นว่าควรอดทนอดกลั้น แยกแยะ ไม่เหมารวมว่าอิสลามเป็นศัตรู และร่วมมือกับนานาชาติต่อสู้กลุ่มไอเอสและการก่อการร้ายจะดีกว่า

ส่วนชาติยุโรป ก็ไม่ควรสกัดกั้นผู้อพยพลี้ภัยด้วยการปิดพรมแดนหรือชิงถอนตัวจากอียูไปจัดการแก้ปัญหาแบบตัวใครตัวมัน แต่ควรร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการแชร์ข่าวกรอง และรณรงค์สร้างความเข้าอกเข้าใจ ดึงชุมชนมุสลิมเข้ามาเป็นพวก ไม่ใช่ขับไล่ไสส่ง ซึ่งถ้าทำได้จะส่งผลให้กลุ่มไอเอสถูกโดดเดี่ยว

การปรับทัศนคติและดึงมวลชน จึงน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการ ต่อสู้การก่อการร้าย!

บวร โทศรีแก้ว

ลมสงบ…จีนพักบทบาทยั่วยุ?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/596476

โดย วีรพจน์ อินทรพันธ์ 27 มี.ค. 2559 05:01

 

แฟ้มภาพ นายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ที่เมื่อต้นเดือน มี.ค. ออกแถลงการณ์ปฏิเสธว่าจีนไม่ได้คิดจะท้าทายกับสหรัฐฯ.

หายวับไปกับตา สำหรับบรรยากาศพิพาทในทะเลจีนใต้ ที่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้แก่ชาติสมาชิกอาเซียนอยู่เป็นระยะๆ

และงานนี้ก็ถือเป็นเรื่องน่าประหลาดใจส่วนตัวของผู้เขียนเอง เนื่องจากเมื่อช่วงปลายเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ได้รับโอกาสดีไปเข้าร่วมการฟังสรุปสถานการณ์ความมั่นคง ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น จัดโดยกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่น พร้อมกับคณะนักวิชาการและสื่อในอาเซียน

จากการฟังครั้งนั้น เจ้าหน้าที่ความมั่นคงญี่ปุ่นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขามีความกังวลต่อสถานการณ์พิพาทในทะเลจีนใต้เป็นอย่างมาก และจับตาความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าการที่จีนเข้าไปสร้างสนามบิน รวมถึงการติดตั้งขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานในหมู่เกาะพาราเซล

โดยญี่ปุ่นเองก็ถูกคุกคามไม่ใช่น้อยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กรณีหมู่เกาะเซนกากุในทะเลจีนตะวันออก หรือที่ฝ่ายจีนเรียกว่า เกาะเตี้ยวหยู

แค่ในปี 2558 ที่ผ่านมา ก็ถือว่าหนักหน่วงพอสมควร จีนทำการส่งเครื่องบินรบซูคอย-27 และเครื่องบินสอดแนมเข้ามาป่วนในพื้นที่ถึง 373 ครั้ง

ส่งเรือรบและเรือลาดตระเวนขนาดหนัก อย่างฟริเกตชั้นเจียงไค เรือพิฆาตชั้นโซฟเรเมนนี และเรือพิฆาตชั้นลูดา อย่างน้อย 35 ครั้ง ไม่รวมถึงอาวุธลับอย่าง “เรือดำน้ำ” ที่ทางการญี่ปุ่นขอสงวนไม่เปิดเผยจำนวน

พร้อมมีการพูดถึงความเป็นไปได้ที่จีนอาจจะตั้งขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานบนแท่นขุดเจาะน้ำมัน ที่ตั้งรายล้อมพื้นที่หมู่เกาะพิพาทในทะเลจีนตะวันออก แต่กรณีนี้ยังเป็นประเด็นถกเถียงกันอยู่ ตรงที่ว่าโครงสร้างของ แท่นขุดเจาะจะรองรับน้ำหนักของฐานยิงและระบบเรดาร์ไหวหรือไม่

ภาพแผนที่ของทางการญี่ปุ่น แสดงให้เห็นตำแหน่งและจำนวนการส่งกำลังทางทหารของจีน เข้ามายั่วยุพื้นที่หมู่เกาะพิพาทในทะเลจีนตะวันออกตลอดช่วงปีที่ผ่านมา.

แถมแพลมกันหน่อยๆในวงสนทนาอีกด้วยว่า ขั้นต่อไปจีนอาจส่งเรือดำน้ำบรรทุกขีปนาวุธนิวเคลียร์ เข้าไปในพื้นที่ทะเลจีนใต้ เพื่อเปลี่ยนเกมดุลอำนาจ งัดข้อกับสหรัฐฯ

ชำแหละจีนกันเป็นช็อตๆ ตามด้วยหน่วยงานสายพลเรือน นายเท็ตซึโอะ โคทานิ นักวิเคราะห์จากสถาบันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแห่งชาติญี่ปุ่น ที่กล่าวสอดคล้องกันมองว่ากรณีของหมู่เกาะพิพาทนั้น ถือว่าเป็นความต้องการที่จะ “ท้าทาย” ต่ออิทธิพลของสหรัฐฯในมหาสมุทรแปซิฟิก

ตอกย้ำให้เห็นชัดเจนว่า จีนมองข้ามขั้นไปแล้ว ไม่เสียเวลากับประเทศเล็กประเทศน้อย มองเป้าหมายไปที่พี่ใหญ่ชาติตะวันตกผู้ทรงอิทธิพลของโลกโดยตรง

อย่างไรก็ตาม จากการไปฟังการจัดหนักจัดเต็มมาทั้งหมดนี้ แต่สุดท้ายรูปการณ์ที่ออกมากลับได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อช่วงต้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ข่าวเกี่ยวกับประเด็นพิพาททั้งหมดได้หายไปจากหน้าจอ ไม่มีการ รายงานอะไรให้เห็นอีกต่อไป

ซึ่งกรณีนี้เอง ที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการพักบทบาท “ชั่วคราว” ของทางการจีนหรือไม่

เพราะจากผลสรุปของการประชุมใหญ่สภาประชาชนจีนเมื่อวันที่ 5 มี.ค. ที่ออกมา นายหลี่ เค่อ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ได้ออกแถลงการณ์ชัดเจนว่า จีนขอเน้นไปทางด้านเศรษฐกิจล้วนๆ กำหนดเป้าหมายการเติบโต 6.5 เปอร์เซ็นต์ ตั้งเป้าสร้างงาน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนในแง่ความมั่นคงระบุเพียงว่า จะสร้างและเพิ่มศักยภาพระบบความมั่นคงทั่วประเทศอย่างครอบคลุม

ตามด้วยท่าทีของนายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ที่ออกมารับลูกลดกระแสน่านน้ำทะเลจีนใต้ยังคงมีสถานะไม่เปลี่ยนแปลงในฐานะน่านน้ำนานาชาติ ที่ทุกประเทศสามารถใช้ประโยชน์ เดินเรืออย่างเสรี และขอย้ำว่าเป็นไปไม่ได้ที่จีนจะกลายเป็นแบบสหรัฐฯ ไม่เคยมีเจตนารมณ์แทนที่ใครหรือชี้นำผู้ใด จีนไม่มีแนวคิดที่จะแผ่ขยายอำนาจและอิทธิพล และก้าวเข้ามาแทนที่สหรัฐฯแต่อย่างใด

กระนั้น เป็นเรื่องที่น่าจับตามองว่า สถานการณ์ลมสงบครั้งนี้ จะยืนยาวมากน้อยเพียงใด คงเป็นการยากที่จะตอบได้ เพราะวาจากับการกระทำของจีน มักขัดแย้งกันอยู่เนืองๆตลอดหลายปีที่ผ่านมา

และหนทางแก้ไขเมื่อห้วงเวลานั้นหวนกลับ ก็ยังไม่มีใครสามารถคิดสูตรรับมือสำเร็จตายตัวอย่างเป็นรูปธรรม มีนักวิชาการบางส่วนมองว่าสิ่งที่ทำได้ในเบื้องต้นคือ การสร้างกำลังทางทหาร ควบคู่ไปกับการใช้ช่องทางทางการเมืองอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง

มาถึงจุดนี้เองที่ทำให้นึกหวังตามคำพูดของนายโนบุคัตซึ คาเนฮาระ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น ที่กล่าวในการสนทนาวันท้ายๆ ที่กรุงโตเกียว ว่า ไม่ว่ารูปการณ์ออกมาเช่นไร ทุกอย่างก็จบที่ฝ่ายการเมือง และสำหรับฝ่ายการเมืองนั้น “การเจรจา” คือทางออกเพียงหนึ่งเดียวของทุกสถานการณ์

“การใช้อาวุธใช้กำลัง อาจจะทำให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่สิ่งที่ยั่งยืนยาวนานคือการทำความเข้าใจ แลกเปลี่ยนความคิด ใช้ความเป็นคนเข้าหาซึ่งกันและกัน”.

วีรพจน์ อินทรพันธ์

เส้นทางไทยไปย่างกุ้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/593127

โดย อานุภาพ เงินกระแชง 20 มี.ค. 2559 05:01

 

มหาเจดีย์ชเวดากองในนครย่างกุ้ง

….ขอแสดงความยินดีด้วยกับชาวเมียนมาได้ประธานาธิบดี คนใหม่ “อู ถิ่น จ่อ” เชื้อสายมอญ นั่งเก้าอี้พลเรือนผู้นำประเทศคนแรกรอบ 54 ปี เตรียมดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการตั้งแต่ 1 เมษายน นี้

แม้ “อู ถิ่น จ่อ” ถูกมองเป็น “ผู้แทน” — Proxy ของนางอองซาน ซูจี ประธานพรรคสันนิบาตชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือเอ็นแอลดี แต่เชื่อแน่ว่าความสนิทสนมแนบแน่นของ “อู ถิ่น จ่อ” กับ “ดอว์ ซู” จะผสานร่วมงานปกครองบริหารประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางอุปสรรคขวากหนามมากมาย ตั้งแต่ความร่วมมือทางการเมือง เรื่องเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการสร้างเสถียรภาพความสัมพันธ์กับชนกลุ่มน้อยหลากหลายเผ่าพันธุ์ในประเทศ ตลอดจนความสัมพันธ์อันดีกับนานาประเทศ

สุดเขตประเทศไทยด้าน อ.แม่สอด จ.ตาก

จังหวะดีสบโอกาสได้ไปเยือน “เมียนมา” เมื่อช่วงปลายเดือน ก.พ. การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ชวนร่วมงาน “แอ่วเหนือม่วนใจ๋ ก้าวไกลสู่ AEC” — “พิชิตตลาด เมียนมา สร้างพันธมิตรเศรษฐกิจชายแดน” กิจกรรมร่วมกับหอ การค้าไทยและหอการค้า จังหวัดตาก ฟังสัมมนาบรรยายพิเศษ “บทบาทของหอการค้าไทยต่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการค้าด่านชายแดน” ฟังอาจารย์เกษมสันต์ วีระกุล เล่าภาพรวมโอกาสทาง การค้าที่ประเทศไทยได้รับจากการเปิดประชาคมอาเซียนอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่ปีใหม่ ช่วยทำให้เห็นภาพเมียนมาแจ่มขึ้น

เส้นทาง “แอ่วเหนือม่วนใจ๋ ก้าวไกลสู่อาเซียน” ทริปนี้สำรวจพื้นที่อำเภอแม่สอด เมืองชายแดนด้านตะวันตกสุดอีกแห่งหนึ่งของไทย 2 วัน ชมสถานที่น่าสนใจของฝั่งไทยมากมาย ตั้งแต่โบราณสถานวัดวาอาราม แหล่งอาหารการกิน ไร่กุหลาบ สวนส้มร่มเกล้า โรงงานผลิตเอทานอลแม่สอดพลังงานสะอาด ชมตลาดริมเมยเลยเถิดไปดูสถานกาสิโนบนฝั่งชายแดนเมียนมา ก่อนเดินทางข้ามเข้าฝั่งเมียนมาจริงจังผ่านด่านพรมแดนแม่สอด โดยใช้เส้นทางถนนตัดใหม่สายจังหวัดเมียวดีกับเมืองกอกะเร็ก ซึ่งเปิดใช้อย่างเป็นทางการ เมื่อ 31 ส.ค.ปีที่แล้ว

เส้นทางสายเมียวดี–กอกะเร็ก

ทางสายใหม่เลียบลัดเลาะแนวเขาระยะทางราว 45 กม. สิ้นสุดลงด้วยเวลาเดินทางราว 45 นาที จากนั้น ถนนสายเดียวกันแต่กำลังเร่งสร้างปรับปรุงตลอดเส้นทางไปสู่เมืองผาอัน เมืองหลวงรัฐกะเหรี่ยง มุ่งหน้าสู่ เมาะละแหม่ง–Maw la myaing เมืองหลวง รัฐมอญ ผ่านแวะชม โบราณสถานหลายแห่ง รวมถึง เจดีย์ไจ๊ตาลาน–Kyaik than lan ตำนานโศกนาฏกรรมความรักระหว่างเจ้าน้อยแห่งเมืองเชียงใหม่กับสาวมอญแห่งเมืองมะละแหม่ง จบการเดินทางในรอบวันและพักค้างแรมริมแม่น้ำสาละวินอันกว้างใหญ่เหมือนไม่มีวันแล้ง

“เมาะละแหม่ง” เมืองใหญ่อันดับ 4 ของเมียนมา มีศักยภาพสูงมากเป็นท่าเรือน้ำลึก ธุรกิจกำลังขยายตัวเยอะแยะ โดยเฉพาะด้านท่องเที่ยว ทั้งเป็นเขตนิคมอุตสาหกรรมทั้งเก่าและใหม่

พระธาตุอินทร์แขวน–– “ไจ๊ทิโย” (Kyaik ti yo) ในรัฐมอญ อยู่ระหว่างหุ้มบูรณะเร่งแล้วเสร็จก่อนสงกรานต์นี้

รุ่งขึ้นแวะชมตลาดเช้าวิถีชาวมอญ ก่อนมุ่งสู่เมืองไจท์โทว์ สถานที่ตั้ง “พระธาตุอินทร์-แขวน”–Kyaik ti yo (ไจ๊ทิโย) เจดีย์ขนาดเล็กสูง 7.3 เมตร ตั้งอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ สูง 5.5 เมตร บนยอดเขาพวงลวงในรัฐมอญอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 3,615 ฟุต ถือเป็น 1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเมียนมาต้องไปสักการะ ทั้งยังเป็นพระธาตุประจำปีจอ บนลานพระธาตุอินทร์แขวน อนุญาตเฉพาะชาวเมียนมานอนพักค้างคืน แต่มีโรงแรมและห้องพักบริการชาวต่างชาติตลอดทั้งปี

ออกจากรัฐมอญใช้ทางด่วนตัดใหม่สายกรุงเนปิดอว์-นครย่างกุ้งเข้าเมืองหลวงเก่านมัสการ “มหาเจดีย์ชเวดากอง” อันยิ่งใหญ่ลือลั่นอมตะ ผู้คนนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกพากันมาเยือนแทบไม่ขาดสายเกือบตลอดทั้งปี แม้แต่คนหนุ่มสาวชาวเมียนมายังอาศัยมหาเจดีย์ชเวดากองเป็นสถานที่ใช้เวลาพูดคุยสานสัมพันธ์ภายใต้ร่มเงาศาสนา

ไกด์สาวเมียนมา ชาวไทใหญ่ พูดสื่อสารภาษาไทยชัดแจ๋ว ค่าแรงพวกเธอวันละ 40 ดอลลาร์สหรัฐฯ

ปิดท้ายทริปสำรวจเส้นทาง แม่สอด-เมียวดี–เมาะละแหม่ง-ไจท์โทว์-นครย่างกุ้ง ด้วยระยะทางกว่า 450 กม. ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนชื้นเช่นเดียวกับเมืองไทย เชื่อแน่ ว่าเส้นทางสายนี้อนาคตสดใสรอคอยต้อนรับเหล่านักเดินทางไปเยือนอีกมากมายในอนาคตอันใกล้…

อานุภาพ เงินกระแชง

“หุ่นเชิด” กับ “ผู้นำตัวจริง”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/589695

โดย บวร โทศรีแก้ว 13 มี.ค. 2559 05:01

“หุ่นเชิด” กับ “ผู้นำตัวจริง”

ผู้นำคู่-นางอองซาน ซูจี ผู้นำพรรคเอ็นแอลดี (ขวา) และอู ถิ่น จอ (กลาง) ผู้ช่วยคนสนิท เดินทางไปร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎรในกรุงเนปิดอว์ เมื่อ 11 มี.ค. หลังพรรคเอ็นแอลดีเสนอชื่อถิ่น จอ เป็นตัวแทนสภาผู้แทนฯไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแทนนางซูจี (เอเอฟพี)

ตั้งแต่พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ของนางอองซาน ซูจี “วีรสตรีประชาธิปไตย” ผู้พิชิตรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ปี 2534 ชนะการเลือกตั้งถล่มทลายเมื่อ 8 พ.ย.ปีที่แล้ว ก็มีการ “ลุ้น” กันมาตลอดว่า ใครจะได้เป็น “ประธานาธิบดี” คนใหม่ของเมียนมา สืบแทนท่านเต็ง เส่ง

ซูจีพยายามเจรจาลับๆกับฝ่ายทหารให้แก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2551 โดยเฉพาะมาตรา 59 เอฟ ที่ห้ามผู้มีคู่สมรสหรือลูกเป็นชาวต่างชาติเป็น ประธานาธิบดี ซึ่งทำให้เธอหมดสิทธิ์ แต่ยังไงๆทหารก็ไม่ยอม สุดท้ายเอ็นแอลดีจำต้องเสนอชื่อคนอื่นขึ้นมาชิงเก้าอี้ผู้นำแทน แต่ซูจียืนยันว่าจะ “อยู่เหนือประธานาธิบดี” หรือเป็น “ผู้นำเงา”

เมื่อ 10 มี.ค. เอ็นแอลดีเสนอชื่อ “อู ถิ่น จอ” วัย 69 ปี เป็นตัวแทน ในสภาผู้แทนฯ และนาย “เฮนรี วาน ธิ ยู” ส.ส. จากกลุ่มชาติพันธุ์ชาวฉิ่นชนกลุ่มน้อย เป็นตัวแทนในวุฒิสภา ขึ้นไปชิงเก้าอี้ประธานาธิบดี ขณะที่พรรคสหภาพสามัคคีและการพัฒนา (ยูเอสดีพี) รัฐบาลเดิมซึ่งทหารหนุนหลัง ก็เสนอชื่อคนของตน 2 คน คือนายไซ มวค คาม รองประธานาธิบดี และนายขิ่น อ่อง มินต์ อดีตประธานวุฒิสภา เข้าแข่งพอเป็นพิธี

เพราะเอ็นแอลดีมีเสียงข้างมากในทั้ง 2 สภา ผลการโหวตจึงแน่นอนว่า ถิ่น จอ และเฮนรี วาน ธิ ยู ชนะขาด ได้เข้าไปชิงกับมินต์ ส่วย มุขมนตรีนครย่างกุ้ง อดีตนายทหารที่เป็นพันธมิตรกับ พล.อ.อาวุโส ตาน ฉ่วย อดีตผู้นำรัฐบาลเผด็จการตัวแทนของ “กองทัพ” ซึ่งมีโควตาที่นั่งในรัฐสภา 25% ตามรัฐธรรมนูญกำหนด

การโหวตเลือกประธานาธิบดี โดยทั้ง 2 สภาจะมีขึ้นก่อน 31 มี.ค.นี้ ก่อนรัฐบาลพรรคเอ็นแอลดีขึ้นกุมอำนาจใน 1 เม.ย. ถ้าเป็นไปตามคาด “ถิ่น จอ” จะได้เป็นประธานาธิบดี ส่วนเฮนรี วาน ธิ ยู และมินต์ ส่วย จะได้เป็นรองประธานาธิบดี

ถิ่น จอ เกิดเมื่อ 20 ก.ค.2489 จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยย่างกุ้ง และมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดในอังกฤษ สาขาเศรษฐกิจ เคยเป็น อาจารย์มหาวิทยาลัย เคยทำงานในกระทรวงอุตสาหกรรมและการต่างประเทศ

จริงแล้วๆ ซูจี วัย 70 ปี รู้จักสนิทสนมกับ ถิ่น จอ มาตลอดชีวิต ทั้งคู่เป็นเพื่อนร่วมโรงเรียน เคยร่วมต่อสู้กับรัฐบาลทหารมาด้วยกัน เขาจึงเป็นทั้ง “มือขวา” คนสนิท ที่ปรึกษา แม้กระทั่ง “คนขับรถ” ให้ซูจี

ตัวจริง-แม่ค้านั่งขายเสื้อยืดพิมพ์รูปใบหน้านางอองซาน ซูจี ที่หน้าสำนักงานใหญ่พรรคเอ็นแอลดี ในนครย่างกุ้ง เมื่อ 10 มี.ค. โดย อักษรบนเสื้อแปลว่า “เสรีภาพในการนำ” และ “ผู้นำของเรา” (เอเอฟพี)

บิดาของถิ่น จอ คือมิน ธู วุน เป็นนักเขียน และกวีแห่งชาติ และเป็นสมาชิกพรรคเอ็นแอลดีอาวุโสที่เคยชนะเลือกตั้ง ส.ส.ในปี 2543 แต่ถูกทหารคว่ำกระดาน เขายังเป็นลูกเขยของอู ลวิน อดีตโฆษกและหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งพรรคเอ็นแอลดีผู้ล่วงลับ โดยภรรยาของถิ่น จอ คือนางซู ซู ลวิน ก็เป็น ส.ส.ของเอ็นแอลดีด้วย

ถิ่น จอ จึงมีชาติตระกูลและการศึกษาไม่น้อยหน้า แต่คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของเขาคือเป็นผู้ “รับคำสั่ง” ที่ดี ซื่อสัตย์ จงรักภักดี พูดน้อย ไม่ทำตัวโดดเด่น เหมาะเจาะลงตัวที่จะเป็น “ผู้นำหุ่นเชิด” ของซูจี

แต่การขึ้นนั่งแท่นผู้นำหัวโขนของถิ่น จอ อาจ มีอุปสรรคถ้าฝ่ายทหารยัง “ตีรวน” ว่าขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งระบุว่าใครจะมีอำนาจเหนือประธานาธิบดีไม่ได้ แต่คาดว่าซูจีกับทหารคงตกลงกันแล้ว

ต่อไปจึงมี “ปุจฉา” ว่า ซูจีจะบริหารประเทศโดยผ่าน “ผู้นำตัวแทน” (Proxy leader) อย่างไร เธออาจรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือกระทรวงที่ตั้งขึ้นมาใหม่ หรือเป็นสมาชิก “สภาความมั่นคงแห่งชาติ” อันทรงอิทธิพลที่ทหารครอบงำอยู่ แต่ก็ต้องสละตำแหน่งในพรรคเอ็นแอลดีเสียก่อน

นักวิเคราะห์บางคนชี้ว่า ซูจีอาจใช้วิธีกุมอำนาจอยู่เบื้องหลังแบบนาง “โซเนีย คานธี” ภริยาม่ายของอดีตนายกฯ ราชีพ คานธี แห่งอินเดีย ผู้ถูกลอบสังหาร โดยโซเนียยังมีอิทธิพลสูงสุดเหนือพรรคคองเกรส แม้ไม่มีตำแหน่งใดๆ ในรัฐบาลอย่าง เป็นทางการ หรืออาจใช้อำนาจแบบ “ลี กวน ยิว” อดีตนายกฯ ผู้นำผู้ก่อตั้งประเทศสิงคโปร์ผู้ล่วงลับ ซึ่งยังเป็นรัฐมนตรีอาวุโส และที่ปรึกษาคณะรัฐบาล หลังเกษียณอายุแล้ว

แต่ที่สำคัญ ซูจีจะทำให้ทหารซึ่งยังมีอำนาจสูง ยังมีโควตาในรัฐสภาถึง 25% ยังคุมกระทรวงหลักตามรัฐธรรมนูญ ทั้งกลาโหม มหาดไทย และความมั่นคงชายแดน สนับสนุนรัฐบาลใหม่ได้แค่ไหน!

ถึงแม้นานาชาติยกเลิกการคว่ำบาตรเมียนมาแล้ว แต่เมียนมายังเป็นหนึ่งในชาติยากจนที่สุดในโลก ยังพึ่งการเกษตรเป็นหลัก ระบบการศึกษา สาธารณสุข โครงสร้างพื้นฐานยังย่ำแย่ การ “คอร์รัปชัน” ก็ยังแพร่หลาย

และแม้ก่อตั้งพรรคมา 28 ปี แต่รัฐบาลใหม่เอ็นแอลดียังไร้ประสบการณ์ทางการเมืองและการบริหาร ขณะที่พวกทหารยังกุมอำนาจทาง เศรษฐกิจส่วนใหญ่ของประเทศอยู่ รวมทั้งเครือบริษัท “เมียนมา อีโคนอมิก โฮลดิงส์ จำกัด” (MEHL) ซึ่งผูกขาดทำธุรกิจหลากหลาย ทั้งเหมือง แร่ ป่าไม้ ก่อสร้าง ขนส่ง ต้มกลั่นสุรา ฯลฯ

การพัฒนาเศรษฐกิจถ้าทหารไม่ร่วมมือก็เดินหน้าไปได้ยาก หรือถ้าไปแตะต้องไปรื้อขุมข่ายผลประโยชน์ของทหาร มีสิทธิ์ขัดแย้งกันรุนแรง

ส่วนปัญหากลุ่มชาติพันธุ์ แม้หลายกลุ่มลงนามข้อตกลงหยุดยิงแล้ว แต่อีกหลายกลุ่มยังไม่เอาด้วย เพราะยังหวาดระแวงกองทัพ และด้านนโยบายการต่างประเทศ รัฐบาลใหม่ต้องปรับความสัมพันธ์กับ “จีน” และ “มหาอำนาจตะวันตก” นำโดยสหรัฐอเมริกาให้ดีๆ ถ้าเอียง ไปทางหนึ่งทางใดก็อาจเป็นเรื่อง

ภารกิจ “ผู้นำเงา” ของซูจีจึงน่าหนักใจแทน นี่ยังไม่พูดถึงบทบาทเมื่อไปปรากฏตัวบน “เวทีโลก” ซูจี กับ ถิ่น จอ ใครจะนำหน้า ใครจะ อยู่หลัง ดูๆแล้วมันลักลั่นพิพักพิพ่วนยังไงพิกล!

บวร โทศรีแก้ว

โดนัลด์ ทรัมพ์ ตัวเลือกคนเบื่อการเมือง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/586439

โดย วีรพจน์ อินทรพันธ์ 6 มี.ค. 2559 05:01

 

2 ผู้เข้าชิง?-แฟ้มภาพนางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครตัวเต็งจากพรรคเดโมแครต พร้อมสามีนายบิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ หัวเราะกันอย่างอารมณ์ดีระหว่างร่วมงานแต่งงานของนายโดนัลด์ ทรัมพ์ ผู้สมัครตัวเต็งจากพรรครีพับลิกัน เมื่อปี 2548.

สร้างความปั่นป่วนอลหม่านไปตามๆกัน สำหรับชัยชนะครั้ง สำคัญของนาย “โดนัลด์ ทรัมพ์” มหาเศรษฐีปากกล้า วัย 69 ปี จากพรรครีพับลิกัน สหรัฐอเมริกา

โดยในศึกเลือกตั้งใหญ่ “ซุปเปอร์ทิวส์เดย์” ลงคะแนนเลือกผู้แทน (Delegate) พร้อมกัน 11 รัฐ เมื่อวันที่ 1 มี.ค. ตามเวลาท้องถิ่น ที่ผ่านมา นายทรัมพ์ปักหมุดกำชัยไปถึง 7 รัฐ ได้แก่ อะลาบามา จอร์เจีย แมสซาชูเสตต์เทนเนสซี เวอร์จิเนีย อาร์คันซอ และเวอร์มอนต์ ขณะที่ก่อนหน้านี้ก็กวาดไปแล้ว 3 รัฐ คือนิวแฮมพ์เชียร์ เนวาดารวมถึงเซาท์แคโรไลนา ซึ่งเป็นฐานที่มั่นเก่าของตระกูลการเมืองบุช

เท่ากับว่าตอนนี้หากวัดกันถึงจำนวน “ผู้แทน” ที่อยู่ในมือแล้ว นายทรัมพ์มานำเป็นอันดับ 1 เหนือตัวเต็งคนอื่นๆของพรรค คะแนน สนับสนุนจากเดเลเกตอยู่ที่ 329 เสียง ตามด้วยนายเท็ด ครูซ ส.ว.รัฐเท็กซัส คะแนนสนับสนุน 231 เสียง และนายมาร์โก รูบิโอ ส.ว.รัฐฟลอริดา คะแนนสนับสนุน 110 เสียง

ซึ่งในการชี้ชะตาขั้นสุดท้ายในการประชุมใหญ่พรรคแนชนัล คอนเวนชั่น ระหว่างวันที่ 18-21 ก.ค.นี้ ใครที่ได้คะแนนสนับสนุนถึง 1,237 เสียง ก็จะได้รับการโหวตเป็นตัวแทนพรรคอย่างเป็นทางการ ไปลงแข่งศึกชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯกับตัวแทนพรรคเดโมแครตในเดือน พ.ย.ปลายปี ตอนนี้จึงเท่ากับว่านายทรัมพ์ต้องการอีก 908 เสียง จากเสียงที่เหลือ 1,639 เสียง หรือคิดง่ายๆ ว่าในการเลือกตั้งตามรัฐต่างๆที่เหลือ ชนะอีกสักครึ่งหนึ่งก็น่าจะเพียงพอ

ส่วนผู้สมัครอีก 2 คน คือนายครูซ และ นายรูบิโอ ยังต้องการเสียง 1,006 เสียง และ 1,127 เสียง ตามลำดับ แต่ดูๆแล้วถือเป็นเรื่องค่อนข้างยากและเสี่ยงพอสมควร หากเทียบกับโพลในรัฐต่างๆ ที่ต่างบ่งชี้ว่านายทรัมพ์ได้รับ ความนิยมมาแรงเป็นอันดับกันทั้งสิ้น

เป็นเรื่องที่น่าสนใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้งชิงตำแหน่งตัวแทนพรรคการเมืองสหรัฐฯครั้งนี้ นับเป็นปรากฏการณ์พิเศษ ที่ประชาชนชาวอเมริกันจำนวนมากได้แสดงให้โลกเห็นชัดเจนว่า เบื่อแล้ว พอกันทีกับ “การเมือง” ในรูปแบบเดิมๆ กลับต้องการบุคคลที่ไม่ใช่นัก การเมืองขึ้นมาบริหารงานเสียมากกว่า

เพราะนับตั้งแต่เปิดศึกเลือกตั้งเป็นต้นมา จากปกติที่จะได้เห็นนักการเมืองขึ้นมาโชว์วิสัยทัศน์ ดีเบตถกเถียงกันเป็นหลักเป็นการ แต่ใน ครั้งนี้กลับเป็นสีสันเสียส่วนใหญ่จากนายทรัมพ์ ไม่ว่าจะเป็นการด่ายั่วยุ จิกกัดบนโพเดียม ไป จนถึงการเหน็บแนมประชดประชันผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ทวิตเตอร์

ความหวังพรรค?-นายมาร์โกรูบิโอ ส.ว.รัฐฟลอริดา หนึ่งในความหวังของพรรครีพับลิกันที่จะมาโค่นนายทรัมพ์ หาเสียงทักทายผู้สนับสนุนที่รัฐมินเนโซตา เมื่อวันที่ 1 มี.ค.

ส่วนนโยบายที่พอเรียกได้ว่าเป็นหลัก การก็กลับแสนจะสุดโต่งจนอ้าปากค้าง โดยจากที่ฟังมาคอนเซปต์ “Make America Great Again!” หรือทำอเมริกาให้กลับมายอดเยี่ยมอีกครั้ง ของนายทรัมพ์มีอยู่ 3 ประการคือ 1.การขจัดแรงงานผิดกฎหมายออกไปจาก ประเทศ โดยมุ่งไปที่กลุ่มชาวละตินอเมริกา 2. การสร้างกำแพงพรมแดนกั้นระหว่างสหรัฐฯ-เม็กซิโก เพื่อป้องกันแรงงานเถื่อน การขนยาเสพติด ของเถื่อน ฯลฯ (แถมระบุด้วยว่าค่ากำแพงจะให้รัฐบาลเม็กซิโกเป็นคนจ่าย) และ 3. การกีดกันชาวมุสลิมไม่ให้เดินทาง เข้าสหรัฐฯอ้างหลีกเลี่ยงปัญหาก่อการร้าย

ขณะเดียวกัน ในด้านนโยบายการต่างประเทศ ที่ถือเป็นเมนหลักของรัฐบาลสหรัฐฯ และผู้สมัครคนอื่นๆมาตลอดก็กลับตาลปัตรกลายเป็นตรงกันข้าม นายทรัมพ์ยังไม่ได้แสดงจุดยืนอะไรที่ชัดเจนเลย มีแต่ส่งสัญญาณว่าพอใจในท่าทีของนายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย เช่นเดียวกับการที่รัสเซียเข้ามาคุมสถานการณ์ในซีเรีย

ผิดไปคนละทิศกับนายครูซ ที่เรียกร้องให้กระหน่ำโจมตีกองกำลังรัฐอิสลามไอเอสในซีเรีย และนายรูบิโอที่มองว่าสหรัฐฯควรแทรกแซงสถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลางให้มากยิ่งขึ้น เผชิญหน้าท้าชนรัสเซียและกดดันคิวบา

อย่างไรก็ตาม ถือเป็นเรื่องน่าจับตาอย่างยิ่งว่าปรากฏการณ์ครั้งนี้จะไปได้จนสุดทาง ถึงจุดที่นายทรัมพ์จะได้รับเลือกเป็น ตัวแทนพรรครีพับลิกันอย่างเป็นทางการหรือไม่ เพราะสัญญาณความไม่พอใจจากกลุ่มฐานอำนาจพรรคเริ่มดังขึ้นเป็นระยะๆ

ไม่ว่ากรณีวันก่อนที่กลุ่มนักการเมืองอาวุโส รวมตัวส่งจดหมายเปิดผนึกโจมตี ประกาศทำนองว่าแนวทางของนายทรัมพ์จะนำพาอเมริกาไปในทางผิด หรือล่าสุดการส่งนายมิตต์ รอมนีย์ อดีตผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีปี 2555 (มิตรเก่าแก่ที่นายทรัมพ์เคยช่วยหาเสียง) ออกมาโจมตี อัดว่า “จอมปลอม” ไปจนถึงทีมยุทธศาสตร์ที่เตรียมวางหมากปลุกกระแสนายรูบิโอ หากเจ้าตัวชนะในฐานที่มั่นรัฐฟลอริดา 15 มี.ค. นี้

แต่ ณ ตอนนี้ขอเรียนเชิญมาลุ้นกันต่อทีละรัฐๆ น่าจะสนุกกว่าครับ เริ่มตั้งแต่ 6 มี.ค. ตามเวลาไทย คือรัฐแคนซัส เคนตักกี หลุยเซียนา เมน ต่อด้วยวันที่ 9 มี.ค. ตาม เวลาไทย คือฮาวาย ไอดาโฮ มิชิแกน และ มิสซิสซิปปี ใครจะอยู่จะไป เปลี่ยนทิศจับขั้ว อย่างไรโปรดติดตามชม.

วีรพจน์ อินทรพันธ์