Science Update : หุ่นยนต์จีนเดินไม่พัก 106 กิโลเมตร

Science Update : หุ่นยนต์จีนเดินไม่พัก 106 กิโลเมตร

Science Update : หุ่นยนต์จีนเดินไม่พัก 106 กิโลเมตร

วันอาทิตย์ ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

เอจิบอต เอ2 (AgiBot A2) หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ระบบแอนดรอย์ ซึ่งพัฒนาโดยเอจิบอต (AgiBot) บริษัทหุ่นยนต์ในนครเซี่ยงไฮ้ ทางตะวันออกของจีน สร้างสถิติโลก กินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดส์ ครั้งใหม่ หลังจากเดินเท้าระหว่างเมืองทางตะวันออกของจีนโดยไม่หยุดทำงานเป็นระยะทาง 106 กิโลเมตร

เอจิบอต เอ2 ออกเดินจากเมืองซูโจวของมณฑลเจียงซูเมื่อคืนวันที่ 10 พ.ย. และถึงย่านเดอะ บันด์ ของนครเซี่ยงไฮ้ในช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 13 พ.ย. โดยหุ่นยนต์ตัวนี้ใช้ระบบเปลี่ยนแบตเตอรี่แบบไม่ต้องหยุดทำงานของเอจิบอต จึงยังคงทำงานตลอดทั้งการเดินทางที่ได้รับการรับรองระยะทาง 106.286 กิโลเมตร เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (20 พ.ย.)

เอจิบอต เอ2 มีระบบโมดูลจีพีเอสคู่ (dual GPS) ไลดาร์ (LiDAR) และเซนเซอร์อินฟราเรดวัดความลึก สามารถเดินเท้าในสถานการณ์อันซับซ้อน เช่น เจอสัญญาณไฟจราจร ทางเดินที่คับแคบ และทางเท้าที่คนพลุกพล่าน รวมถึงรักษาการรับรู้สภาวะทั้งกลางวันและกลางคืน โดยหุ่นยนต์ได้เดินบนถนนลาดยาง ทางเท้าปูกระเบื้อง สะพาน ทางเดินผู้พิการทางสายตา และทางลาด

Science Update : ลูกเรือจีนทำบาร์บีคิวบนสถานีอวกาศ

Science Update : ลูกเรือจีนทำบาร์บีคิวบนสถานีอวกาศ

Science Update : ลูกเรือจีนทำบาร์บีคิวบนสถานีอวกาศ

วันอาทิตย์ ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

นักบินอวกาศประจำภารกิจเสินโจว-21 (Shenzhou-21) ทั้ง 3 นาย ที่เพิ่งขึ้นไปปฏิบัติภารกิจบนสถานีอวกาศเทียนกงของจีนเมื่อช่วงต้นเดือนนี้ ร่วมฉลองเตาทำอาหารที่เพิ่งติดตั้งเสร็จใหม่ๆ ภายในสถานีอวกาศเทียนกงพร้อมกับทีมนักบินอวกาศภารกิจเสินโจว-20 ที่ประจำการอยู่ก่อนหน้า ด้วยการทำบาร์บีคิวไก่ โดยนำปีกไก่เข้าไปอบภายในตู้ทำอาหารที่เพิ่งติดตั้งภายในสถานีอวกาศ รอเพียง 28 นาที บาร์บีคิวไก่ที่นำออกจากเตาอบก็สุกพอดี พร้อมให้รับประทานกันอย่างเอร็ดอร่อย เป็นอาหารมื้อพิเศษที่แตกต่างจากอาหารที่กินกันเป็นประจำบนสถานีอวกาศ ซึ่งปกติจะเป็นอาหารแช่แข็งที่นำมาอุ่นก่อนรับประทานเป็นส่วนใหญ่ แต่การทำบาร์บีคิวกินกันแบบนี้ แทบไม่ต่างจากการทำอาหารกินเองในครัวที่บ้านเลย

นอกเหนือจากบาร์บีคิวปีกไก่แล้ว ลูกเรือยังทำบาร์บีคิวเนื้อวัวกินกันอย่างเอร็ดอร่อยเพิ่มอีกเมนูหนึ่งด้วย ถือได้ว่าการติดตั้งอุปกรณ์ทำครัวใหม่บนสถานีอวกาศเทียนกง ช่วยให้คุณภาพชีวิตของนักบินอวกาศดีขึ้นอย่างมาก

ทั้งนี้ ทีมนักบินอวกาศประจำภารกิจเสินโจว-21 ประกอบด้วย จางลู่ รับหน้าที่เป็นผู้บัญชาการ, อู่ เฟย วิศวกรการบินประจำยาน และ จางหงจาง ผู้เชี่ยวชาญด้านอุปกรณ์บรรทุก จะปฏิบัติหน้าที่บนสถานีอวกาศเทียนกงหลังจากนี้ไปอีก 6 เดือน ส่วนทีมนักบินอวกาศประจำภารกิจเสินโจว-20 มีกำหนดจะเดินทางกลับโลกในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

Science Update : จีนเตรียมส่ง ‘หนูทดลอง’ ไปเลี้ยงบนสถานีอวกาศ

Science Update : จีนเตรียมส่ง ‘หนูทดลอง’ ไปเลี้ยงบนสถานีอวกาศ

Science Update : จีนเตรียมส่ง ‘หนูทดลอง’ ไปเลี้ยงบนสถานีอวกาศ

วันอาทิตย์ ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

องค์การอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุมแห่งประเทศจีน (CMSA) เผยว่า ทีมนักบินอวกาศประจำภารกิจเสินโจว-21 (Shenzhou-21) จะดำเนินการทดลองทางวิทยาศาสตร์โดยใช้หนูทดลอง ระหว่างอยู่บนสถานีอวกาศจีนในวงโคจร โดยหนูจำนวน 4 ตัว แบ่งเป็นตัวผู้ 2 ตัว และตัวเมีย 2 ตัว จะถูกส่งขึ้นไปพร้อมยานอวกาศเสินโจว-21 เพื่อเลี้ยงในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วงบนวงโคจร เป็นครั้งแรกที่จีนจะทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์กับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกสัตว์ฟันแทะในอวกาศ การศึกษาจะเน้นตรวจสอบผลกระทบของสภาพแวดล้อมอวกาศที่มีต่อพฤติกรรมของสัตว์เหล่านี้ เช่น สภาวะไร้แรงโน้มถ่วง และพื้นที่ปิด

จากนั้น ยานอวกาศจะนำหนูเหล่านี้กลับมายังโลก และจะมีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เพิ่มเติมเพื่อสำรวจการตอบสนองต่อความเครียดและการเปลี่ยนแปลงเชิงปรับตัวของเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ของหนูในสภาพแวดล้อมอวกาศ

ยานอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุมเสินโจว-21 มีกำหนดเดินทางสู่ห้วงอวกาศจากศูนย์ปล่อยดาวเทียมจิ่วเฉวียนทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ตอน 23.44 น. ของวันศุกร์ (31 ต.ค.) ตามเวลาปักกิ่ง โดยประกอบด้วยทีมนักบินอวกาศ 3 คน ได้แก่ จางลู่, อู่เฟย และจางหงจาง ซึ่งระหว่างที่อยู่ในวงโคจรนาน 6 เดือน ทีมลูกเรือจะดำเนินโครงการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และการประยุกต์ใหม่รวม 27 โครงการ

Science Update : หลุมอุกกาบาตในจีนตอนใต้ ขึ้นแท่น ‘ใหญ่สุดในโลก’

Science Update : หลุมอุกกาบาตในจีนตอนใต้ ขึ้นแท่น ‘ใหญ่สุดในโลก’

Science Update : หลุมอุกกาบาตในจีนตอนใต้ ขึ้นแท่น ‘ใหญ่สุดในโลก’

วันอาทิตย์ ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

สถาบันบัณฑิตฟิสิกส์วิศวกรรมศาสตร์แห่งชาติจีน รายงานการยืนยันว่าหลุมอุกกาบาตจินหลิน ในมณฑลกวางตุ้ง ทางตอนใต้ของจีน เป็นหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่ที่สุดบนโลกเท่าที่เคยค้นพบนับตั้งแต่ยุคโฮโลซีน หรือเมื่อราว 11,700 ปีก่อนจนถึงปัจจุบัน

การสำรวจพื้นที่และทดสอบตัวอย่างทางธรณีวิทยาทำให้ค้นพบหลักฐานการแปรสภาพในชั้นหินและแร่ธาตุเพราะการพุ่งชนอย่างรุนแรงของอุกกาบาต มีการใช้หลักฐานเหล่านี้ตัดสินว่าหลุมอุกกาบาตจินหลินเป็นผลลัพธ์จากการพุ่งชนด้วยความเร็วสูงมากของวัตถุนอกโลกขนาดเล็กมากกว่ากระบวนการทางธรณีวิทยาของโลกเอง

หลุมอุกกาบาตยุคโฮโลซีนที่ค้นพบก่อนหน้านี้ทั่วโลกมักมีขนาดเล็ก ส่วนใหญ่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 100 เมตร และขนาดใหญ่ที่สุดอยู่ที่ราว 300 เมตร แต่หลุมอุกกาบาตจินหลินมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 900 เมตร ทำให้คณะนักวิจัยประเมินว่าหลุมอุกกาบาตนี้มีแรงพุ่งชนเทียบเท่าระเบิดทีเอ็นที 6 แสนตัน

อดีตที่ผ่านมามีการค้นพบหลุมอุกกาบาตเพียง 4 แห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ไม่มีการค้นพบร่องรอยหลุมอุกกาบาตในภาคใต้ของจีนมาเป็นเวลานาน เนื่องจากเกิดภาวะเสื่อมสลายตามการผุพังทางเคมีและชีวะขั้นรุนแรงของชั้นหินระดับพื้นผิวในภูมิภาค การค้นพบเหล่านี้จึงเป็นข้อมูลเชิงลึกล้ำค่าต่อการศึกษาหลุมอุกกาบาตทั่วโลก โดยเฉพาะพื้นที่อากาศอบอุ่นและร้อนชื้นและกึ่งเขตร้อน รวมถึงช่วยขยับขยายข้อมูลการกระจายตัวเชิงพื้นที่ระดับโลกของเหตุการณ์อุกกาบาตขนาดเล็กพุ่งชนโลก

Science Update : พบรอยเท้าไดโนเสาร์ยาว 200 เมตรในอังกฤษ

Science Update : พบรอยเท้าไดโนเสาร์ยาว 200 เมตรในอังกฤษ

Science Update : พบรอยเท้าไดโนเสาร์ยาว 200 เมตรในอังกฤษ

วันอาทิตย์ ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

นักบรรพชีวินวิทยา หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาสิ่งมีชีวิตยุคโบราณจากซากดึกดำบรรพ์ หรือฟอสซิล ค้นพบรอยเท้าไดโนเสาร์ที่ทอดยาวต่อเนื่องกว่า 200 เมตร ภายในเหมืองหินแห่งหนึ่งในมณฑลออกซ์ฟอร์ดเชียร์ ประเทศอังกฤษ ซึ่งเคยมีการพบรอยเท้าไดโนเสาร์ในช่วงทศวรรษ 1990 และเมื่อปีที่แล้ว แต่การค้นพบครั้งนี้อยู่ในพื้นที่อีกส่วนหนึ่งของเหมือง ซึ่งต้องมีการใช้การระเบิดควบคุม เพื่อลอกชั้นหินปูนที่สะสมมาตลอดหลายล้านปีออก ก่อนที่นักบรรพชีวินวิทยาจะเข้าไปขุดรอยเท้าที่จมอยู่ในชั้นดินอย่างละเอียด

สำหรับรอยเท้าที่พบมีหลายเส้นทาง แต่เส้นหนึ่งมีความต่อเนื่องยาวเป็นพิเศษ จนถูกขนานนามว่า ‘ทางหลวงไดโนเสาร์’ (Dinosaur Superhighway) ในจำนวนนี้ รมถึงรอยเท้าขนาดเล็กที่เชื่อว่าเป็นของไดโนเสาร์กินเนื้อสองขา เมกาโลซอรัส (Megalosaurus) ขนาดความยาวราว 9 เมตร และรอยเท้าของเซทิโอซอรัส (Cetiosaurus) ไดโนเสาร์กินพืชเดิน 4 ขา คอยาว ขนาดลำตัวยาวกว่า 18 เมตร นอกจากนี้ ทีมนักวิจัยยังพบเปลือกหอยทะเลและเม่นทะเล ซึ่งถือเป็นหลักฐานสำคัญที่บ่งชี้ว่า เหมืองหินเก่าที่ไดโนเสาร์เคยเดินอยู่อาจเคยเป็นบริเวณทะเลสาบหรือลากูนโบราณ

นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า รอยเท้าไดโนเสาร์เหล่านี้ให้ข้อมูลที่แตกต่างจากฟอสซิลทั่วไป เพราะมันแสดงให้เห็นการเคลื่อนไหวจริงของพวกมันในขณะมีชีวิต รวมถึงสามารถวิเคราะห์ได้จากรอยเท้าว่า ไดโนเสาร์เหล่านี้เดินลำพังหรือเป็นฝูง กำลังล่าเหยื่อ ถูกล่า หรือเพียงเดินเล่นช้าๆ ขณะที่ตั้งแต่ยุคที่ภาพยนตร์อย่าง Jurassic Park สร้างไดโนเสาร์จำลองด้วยคอมพิวเตอร์ พฤติกรรมของพวกมันบนจอภาพยนตร์ ก็อิงมาจากหลักฐานที่พบในสถานที่แบบนี้

Science Update : ประมวลผลแบบควอนตัม คว้าโนเบลฟิสิกส์ 2025

Science Update : ประมวลผลแบบควอนตัม คว้าโนเบลฟิสิกส์ 2025

Science Update : ประมวลผลแบบควอนตัม คว้าโนเบลฟิสิกส์ 2025

วันอาทิตย์ ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

คณะกรรมการรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ จากราชบัณฑิตยสภาวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดน ประกาศมอบรางวัลในปีนี้ให้แก่แก่คือ ศาสตราจารย์จอห์น คลาร์ก นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเบิร์กลีย์ (UC Berkeley) ของสหรัฐฯ, ศาสตราจารย์มิเชล เอช. เดอโวเรต์ นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศสจากมหาวิทยาลัยเยล และศาสตราจารย์จอห์น เอ็ม. มาร์ตินิส นักฟิสิกส์ชาวอเมริกันจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตซานตาบาร์บารา (UCSB) จากผลงานการค้นพบ “การลอดอุโมงค์ควอนตัมเชิงกลในระดับมหภาค (macroscopic quantum mechanical tunnelling) และการควอนไทซ์พลังงาน (energy quantisation) ในวงจรไฟฟ้า” ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ที่พวกเขาได้ค้นพบ ระหว่างทำการทดลองกับวงจรไฟฟ้าหลายครั้ง ในช่วงทศวรรษ 1980

ผลงานของพวกเขาเป็นการทดลองวงจรไฟฟ้าที่สร้างจากตัวนำยิ่งยวด โดยได้แสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติเชิงควอนตัมในระบบที่มีขนาดใหญ่พอที่จะจับต้องได้ ซึ่งการค้นพบนี้เป็นรากฐานสำคัญที่นำไปสู่การพัฒนา คิวบิตตัวนำยิ่งยวด (Superconducting Qubits) และเทคโนโลยี ควอนตัมคอมพิวติง ในปัจจุบัน

ตัวอย่างหนึ่งของเทคโนโลยีควอนตัมที่ใช้หลักการดังกล่าว ซึ่งพบได้ทั่วไปในชีวิตประจำวันของคนเรา ได้แก่ทรานซิสเตอร์ (transistor) ในไมโครชิปของคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ ผลการศึกษาวิจัยของผู้ครองรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ประจำปี 2025 ยังเปิดโอกาสสู่การพัฒนาเทคโนโลยีควอนตัมรุ่นใหม่ รวมถึงการเข้ารหัสควอนตัมของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (quantum cryptography), คอมพิวเตอร์ควอนตัม, และอุปกรณ์ตรวจจับ หรือเซนเซอร์ควอนตัมด้วย

Science Update : ยานอวกาศจีนถ่ายรูปเซลฟีคู่โลก

Science Update : ยานอวกาศจีนถ่ายรูปเซลฟีคู่โลก

Science Update : ยานอวกาศจีนถ่ายรูปเซลฟีคู่โลก

วันอาทิตย์ ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

องค์การบริหารอวกาศแห่งชาติจีน (CNSA) เปิดเผยภาพถ่ายยานอวกาศเทียนเวิ่น-2 (Tianwen-2) เคียงคู่โลก ซึ่งกล้องสังเกตการณ์ที่ติดตั้งบนแขนกลของยานฯ บันทึกได้ระหว่างเดินทางในอวกาศห้วงลึก โดยจุดเด่นของภาพคือธงแดงดาวห้าดวงหรือธงชาติจีนและแคปซูลส่งกลับสีขาว พร้อมโลกสีฟ้าที่อยู่ห่างไกลเป็นฉากหลัง

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ยานอวกาศเทียนเวิ่น-2 อยู่ห่างจากโลกราว 43 ล้านกิโลเมตร และอยู่ห่างจากดาวเคราะห์น้อย 2016เอชโอ3 (2016HO3) ราว 45 ล้านกิโลเมตร สามารถทำการทดสอบในวงโคจรหลายรายการ อาทิ ใช้อุปกรณ์เก็บตัวอย่างและตรวจสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ด้วยตนเอง โดยทุกระบบทำงานเป็นปกติและเครื่องมือบนยานฯ เริ่มต้นเก็บข้อมูลสภาพแวดล้อมอวกาศ

Science Update : นาซาเตรียมส่งนักบินอวกาศไปดวงจันทร์ต้นปีหน้า

Science Update : นาซาเตรียมส่งนักบินอวกาศไปดวงจันทร์ต้นปีหน้า

Science Update : นาซาเตรียมส่งนักบินอวกาศไปดวงจันทร์ต้นปีหน้า

วันอาทิตย์ ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐฯ หรือนาซา ประกาศแผนการส่งนักบินอวกาศขึ้นไปสำรวจดวงจันทร์ในเดือนกุมพาพันธ์ปีหน้า เป็นครั้งแรกในรอบ 54 ปี ในภารกิจอาร์ทีมิส 2 (Artemis II)  ซึ่งเป็นโครงการลำดับที่ 2 ของโครงการอาร์ทีมิส ที่นาซาตั้งเป้าดำเนินการระยะยาวบนพื้นผิวของดวงจันทร์

นักบินอวกาศที่จะเดินทางไปสำรวจดวงจันทร์ครั้งนี้มีทั้งหมด 4 คน ประกอบด้วย รีด ไวส์แมน ผู้บัญชาการภารกิจ, วิคเตอร์ โกลเวอร์ นักบิน, คริสตินา คอช ผู้เชี่ยวชาญภารกิจ 1 และนักบินอวกาศ เจเรมี แฮนเซน จะใช้เวลาทำภารกิจ 10 วัน ทั้งหมดจะไม่ได้ลงไปเหยียบพื้นผิวของดวงจันทร์ แต่จะเดินทางรอบดวงจันทร์ไกลกว่าภารกิจ Apollo ด้วยยาน Orion ซึ่งจะโคจรเลยดวงจันทร์ออกไปกว่า 9,200 กิโลเมตร ถือเป็นการซ้อมการเดินทางเพื่อปูทางสู่การลงจอดจริงบนดวงจันทร์และเตรียมการเดินทางไปดาวอังคารในอนาคต

หากภารกิจอาร์ทีมิส 2 ประสบความสำเร็จ ก็จะเข้าสู่ขั้นถัดไปคือ ภารกิจ “อาร์ทีมิส 3” (Artemis III)  ที่จะนำนักบินอวกาศลงเหยียบพื้นผิวของดวงจันทร์ ซึ่งนาซาคาดการณ์ไว้ว่าน่าจะเกิดขึ้นหลังช่วงกลางปี 2027

Science Update : ‘โดรนตรวจจับความร้อน’ ติดตามสัตว์พื้นเมืองใกล้สูญพันธุ์

Science Update : ‘โดรนตรวจจับความร้อน’ ติดตามสัตว์พื้นเมืองใกล้สูญพันธุ์

Science Update : ‘โดรนตรวจจับความร้อน’ ติดตามสัตว์พื้นเมืองใกล้สูญพันธุ์

วันอาทิตย์ ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ในรัฐวิกตอเรียของออสเตรเลีย เปิดเผยการใช้โดรนติดกล้องตรวจจับความร้อนในการเฝ้าติดตามสัตว์ป่าพื้นเมืองที่ใกล้สูญพันธุ์และหายากที่สุดบางชนิดอย่างมีประสิทธิภาพ คณะนักวิจัยพบว่า โดรนสามารถสำรวจพื้นที่ป่าได้มากกว่าการส่องไฟสปอตไลท์แบบเดิมถึง 10 เท่า เนื่องจากการส่องไฟสปอตไลท์แบบเดิมต้องใช้แรงงานคนเดินเท้าตอนกลางคืนอย่างช้าๆ และมักพลาดที่จะพบเจอสัตว์ รวมถึงก่อความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของนักสำรวจด้วย

ผลการศึกษาที่เผยแพร่ผ่านวารสาร Ecological Applications สังกัดสมาคมนิเวศวิทยาแห่งอเมริกา ระบุว่า กล้องตรวจจับความร้อนบนโดรนสามารถตรวจจับความร้อนในร่างกายจากระยะห่างที่ปลอดภัยเหนือยอดไม้ ทำให้รบกวนสัตว์น้อยที่สุด

คณะนักวิจัยเผยว่า โดรนตรวจจับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยอยู่บนต้นไม้ในหลายพื้นที่ทั้งหมด 9 ชนิด บันทึกการสังเกตสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมพื้นเมือง นกป่า และสัตว์ที่อาศัยบนพื้นดิน เช่น แบนดิคูต วอมแบต กวางป่า และแมวป่าในพื้นที่วิจัยมากกว่า 1,000 ครั้ง แนวทางเฝ้าติดตามใหม่นี้ยังตรวจจับพอสซัมลีดบีตเตอร์ ซึ่งอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์ขั้นวิกฤติ และเกรทเตอร์ไกลเดอร์สายพันธุ์ใต้ ซึ่งเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ในหมู่สัตว์สายพันธุ์อื่นๆ ที่โดดเด่นอีกมากมายด้วย

ทั้งนี้ ประชากรสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ในออสเตรเลียกำลังลดจำนวนลงเพราะสูญเสียถิ่นที่อยู่ ไฟป่า และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

Science Update : พบสัญญาณสิ่งมีชีวิตโบราณบนดาวอังคาร

Science Update : พบสัญญาณสิ่งมีชีวิตโบราณบนดาวอังคาร

Science Update : พบสัญญาณสิ่งมีชีวิตโบราณบนดาวอังคาร

วันอาทิตย์ ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

รักษาการผู้อำนวยการองค์การบริหารการบินและอวกาศของสหรัฐฯ หรือนาซา แถลงว่า ทีมนักวิทยาศาสตร์ของนาซาได้ใช้เวลากว่า 1 ปีตรวจสอบข้อมูลจากหินที่มีลักษณะคล้ายลายเสือดาว ซึ่งยานสำรวจดาวอังคาร ‘เพอร์เซเวียแรนซ์’ ได้สำรวจเมื่อปี 2567 บริเวณแหล่ง Bright Angel ในหลุมอุกกาบาตเจซีโร ตะกอนก้นทะเลสาบบนดาวอังคาร พบว่าอาจมีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตจุลชีพโบราณ หรือสัญญาณสเปกตรัม ที่สอดคล้องกับสารอินทรีย์ในชั้นหินโคลน (mudstone) ที่บริเวณแหล่ง Bright Angel ซึ่งรวมถึงสัญญาณรามาน จี แบนด์ (Raman G band) หรือสัญญาณแสงที่สื่อถึงการมีอยู่ของสารอินทรีย์ในหิน ซึ่งในโลกมักเกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก

นอกจากนี้ การตรวจพบแร่วิเวียนไนต์ (vivianite) หรือฟอสเฟตของเหล็ก และเกรย์ไกต์ (greigite) หรือซัลไฟด์ของเหล็ก บ่งชี้ถึงปฏิกิริยาเคมีระหว่างโคลนที่มีเหล็กสูงกับสารอินทรีย์ หลังจากการทับถมของตะกอนในทะเลสาบโบราณ ซึ่งลักษณะเช่นนี้ในชั้นตะกอนบนโลก แร่เหล่านี้มักเป็นผลพลอยได้จากกระบวนการเผาผลาญของจุลชีพที่ย่อยสลายสารอินทรีย์และสร้างแร่เหล่านี้ขึ้นมาถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการตอบคำถามว่า มนุษยชาติอยู่เพียงลำพังในจักรวาลหรือไม่ เนื่องจากพื้นผิวหินที่มีลวดลายแปลกตาเหล่านี้ ได้รับความสนใจตั้งแต่แรกเห็นเมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว และทำให้เกิดการตรวจสอบว่ามีสาเหตุที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตหรือไม่

อย่างไรก็ดี นาซาย้ำว่า การค้นพบดังกล่าวเป็นแค่ผลลัพธ์เบื้องต้นเท่านั้น เนื่องจากกระบวนการที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิต (abiotic) ก็สามารถสร้างผลลัพธ์คล้ายกันได้ จึงไม่สามารถตัดสิ่งเหล่านี้ออกไปได้อย่างสิ้นเชิงโดยอาศัยข้อมูลจากยานสำรวจเพียงอย่างเดียว