ตะลอนเที่ยว : ถนนหนังสือเก่าในกรุงโตเกียว ใกล้ศาลเจ้ายาซูคูนิ

ตะลอนเที่ยว:ถนนหนังสือเก่าในกรุงโตเกียว ใกล้ศาลเจ้ายาซูคูนิ

ตะลอนเที่ยว:ถนนหนังสือเก่าในกรุงโตเกียว ใกล้ศาลเจ้ายาซูคูนิ

วันจันทร์ ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 12.42 น.

สัปดาห์ที่แล้วพาคุณไปเที่ยวชมศาลเจ้ายาซูคูนิ ในเขตโยชิดะ แต่ในบริเวณใกล้เคียงกับศาลเจ้านั้นมีถนนที่เต็มไปด้วยร้านร้านขายหนังสือเก่าชื่อว่าย่านจิมโบโช สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยหนังสือเก่าบางเล่มอายุหลาย 10 ปี นอกจากนั้นยังมีหนังสือเก่าอีกมากมายหลายร้อยหลายชนิดพันชนิดให้เลือก

สัปดาห์นี้จึงขอชวนคุณไปเดินซื้อ เดินดูหนังสือเก่าในย่านจิมโบโชด้วยกัน

วิธีการไปถนนหนังสือเก่าก็ง่ายดายมาก โดยการใช้รถไฟสายโทเอมิตะ และสายชิจูกุ หรือสายโตเกียวเมโทรฮันโซมง แล้วรถไฟที่สถานีจิมโบโช เมื่อคุณขึ้นไปบนถนนก็จะได้พบกับถนนหนังสือเก่า ศูนย์รวมหนังสือเก่าในร้านรวงต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ริมถนน มีความยาวประมาณ 1 กิโลเมตร

ย่านนี้ขายหนังสือเก่า หรือหนังสือมือสองมาประมาณเกือบหนึ่งศตวรรษ เพราะฉะนั้นบริเวณนี้จึงเป็นที่รักของหนอนหนังสือ โดยเฉพาะหนอนหนังสือจำพวกนิยมหนังสือมือสองและหนังสือเก่า รวมถึงโปสเตอร์ต่างๆ นานา ซึ่งนับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นศูนย์รวมของนักอ่านและหนอนหนังสือ และยังรับการยอมรับว่าเป็นแหล่งวัฒนธรรมท้องถิ่นที่น่าสนใจมาก

แล้วที่สำคัญที่ต้องบอกเล่าให้ทราบก็คือในย่านนี้นอกจากจะมีหนังสือมือสองทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นหนังสือวิชาการ หนังสืออ่านเพื่อความบันเทิงเริงรมย์ หนังสือแฟชัน หนังสือการ์ตูน และยังมีหนังแผ่นยุคเก่า รวมถึงแผ่นเสียงเพลงยุคโบราณให้เลือกซื้อเลือกชมอีกมากมาย ขณะเดียวกันก็มีร้านกาแฟและร้านเบเกอรี ไว้ให้บริการอีกมากมาย เพราะเป็นเรื่องปกติของผู้ที่ชอบอ่านหนังสือ ก็มักจะจะต้องมีเครื่องดื่มและเบเกอรีให้ลิ้มชิมรสไปพร้อมกันในระหว่างอ่านหนังสือ

ขณะเดียวกันในแต่ละช่วงก็มักจะมีการตั้งกลุ่มเพื่อวิจารณ์วรรณกรรม หรือพูดถึงหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งในเชิงลึก ซึ่งการรวมตัวกันวิพากษ์วิจารณ์วรรณกรรมหรือพูดถึงหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งในเชิงวิเคราะห์เบื้องลึก นับเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากสำหรับผู้ที่สนใจใฝ่หาความรู้ในแขนงใดแขนงหนึ่งของวรรณกรรม และหนังสือประเภทต่างๆ

อันที่จริงมีร้านหนังสือซึ่งมีชื่อต่างๆ นานามากมาย และมีอยู่ร้านหนึ่งซึ่งขอเอ่ยถึงเป็นพิเศษคือร้านยากุจิ จุดเด่นที่สุดของร้านนี้คือการโชว์หนังสือให้ดูเสมือนเหมือนกับว่าอยู่ในห้องสมุด โดยสามารถเห็นจุดเด่นนี้ได้ตั้งแต่ภายนอกร้าน ขณะเดียวกันก็จะเห็นความโดดเด่นของป้ายชื่อร้าน ทำให้สามารถจินตนาการได้ราวกับว่าผู้เข้าไปชมหนังสือในร้านนี้อยู่ในยุคย้อนหลังไปประมาณ 60-70 ปีที่แล้ว

จะเห็นได้ว่าการไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะในกรุงโตเกียวเพียงเมืองเดียวนั้น ยังมีสถานที่น่าเที่ยวน่าชมอีกมากมาย และการเที่ยวสถานที่เช่นนี้จำเป็นจะต้องอาศัยการเดิน และเดินซอกแซก ไปตามถนนสายต่างๆ รวมถึงหลายหลายต่อหลายครั้งอาจจะต้องนั่งรถเมล์เพื่อจะได้เห็นสถานที่น่าสนใจของเมือง แล้วต้องขอบอกว่า อย่ากลัวหลงเมื่อนั่งรถเมล์ เพราะต่อให้หลงก็สามารถจะถามทางจากผู้คนได้ แม้บางครั้งอาจจะสื่อสารกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่รับรองว่าการเที่ยวกรุงโตเกียวด้วยการนั่งรถเมล์และรถไฟฟ้าใต้ดิน แล้วขึ้นไปตามสถานีต่างๆ จะทำให้คุณได้เห็นกรุงโตเกียวในมุมมองที่นักท่องเที่ยวที่ชอบเที่ยวด้วยกันนั่งรถโค้ช และมีไกด์พาคุณไปในที่ต่างๆ จะไม่มีวันได้เห็นการเที่ยวด้วยตัวคุณเอง

หากคุณสนใจเที่ยวกรุงโตเกียวแบบเดินไปแล้วซอกซอนซอกแซกไปตามจุดต่างๆ ขอให้ไปท่องเที่ยวกับ Mr. Flower เบอร์ติดต่อคือ 0917233615

ตะลอนเที่ยว : ศาลเจ้ายาสุคูนิ โตเกียว

ตะลอนเที่ยว : ศาลเจ้ายาสุคูนิ โตเกียว

ตะลอนเที่ยว : ศาลเจ้ายาสุคูนิ โตเกียว

วันอาทิตย์ ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

น่าประหลาดใจกับการที่ประเทศหนึ่งจะมีปัญหากับอีกประเทศหนึ่ง เมื่อผู้นำการเมืองของประเทศหนึ่งไปแสดงความเคารพศาลเจ้าบางแห่งของประเทศที่เป็นคู่กรณีกัน

เมื่อขึ้นต้นเรื่องแบบนี้ อาจทำให้คุณงง แล้วถามว่ากำลังจะบอกอะไร แต่จริง ๆ แล้วจะบอกว่า ศาลเจ้ายาสุคูนิ หรือศาลเจ้าสันติรัฐ  คำว่า Yasukuni เป็นภาษาญี่ปุ่น แปลว่าประเทศที่แสนสงบสุข หรือ peaceful country และต้องบอกว่าศาลเจ้าแห่งนี้ถูกตั้งขึ้นเพื่อระลึกถึงผู้ที่เสียชีวิตในสงครามตั้งแต่สมัยเมอิจิจนถึงสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง

แน่นอนว่าการทำศึกสงครามระหว่างประเทศในยุคอดีตเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำ เพราะต่างฝ่ายต่างต้องการได้ดินแดน ได้ผู้คน และได้ทรัพย์สินของประเทศคู่กรณี หรือบางครั้งก็ต้องทำสงครามเพื่อป้องกันตัวเอง ป้องกันดินแดน แต่มันก็คือสงคราม คือการสู้รบกัน ซึ่งหมายถึงความสูญเสีย ความวิบัติของคู่กรณี ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าใครจะเป็นฝ่ายเสียหายมากกว่ากัน แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าบางครั้งสงครามก็เกิดจากความไม่ยั้งคิดของผู้ก่อ เพราะเมื่อก่อสงครามแล้ว ก็เดินหน้าทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่มีขีดจำกัด แต่มันก็คือสงคราม

ศาลเจ้าแห่งนี้คือปมที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้และจีน เพราะทุกครั้งที่ผู้นำกรเมืองญี่ปุ่นไปแสดงความเคารพศาลเจ้าแห่งนี้ ก็จะมีการประท้วงต่อต้านจากเกาหลีใต้และจีน เพราะไม่พอใจที่ผู้นำญี่ปุ่นไปแสดงความเคารพต่อผู้ที่เคยกระทำย่ำยีต่อชาวเกาหลีใต้และจีน แน่นอนว่าเกาหลีใต้และจีนคือเหยือสงครามที่แสนโหดร้ายที่ถูกญี่ปุ่นกระทำเมื่อครั้งอดีต

ถามว่าทำไมจีนและเกาหลีใต้จึงต้องประท้วงเมื่อผู้นำการเมืองญี่ปุ่นไปแสดงความเคารพดวงวิญญาณของนักรบในศาลเจ้าแห่งนี้ ตอบว่าเพราะไม่พอใจที่มีการบันทึกชื่อของนักรบญี่ปุ่นที่ถูกชาติที่ไม่พอใจระบุว่าเป็นอาชญกรสงครามในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2

ในศาลเจ้ายาสุคูนิได้บรรจุป้ายวิญญาณทหารญี่ปุ่นฝ่ายรัฐบาลไว้ประมาณ 2 แสน 4 หมื่น 7 พันชื่อ นับตั้งแต่ยุคปฏิรูปเมอิจิ โดยผู้เสนอให้ตั้งศาลเจ้าแห่งนี้โอมุระ มาสุชิโร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสงคราม โดยอ้างว่าสร้างเพื่อสักการะและปลอบประโลมดวงวิญญาณของทหาร โดยศาลเจ้านี้มีข้อสังเกตคือเสาโทริอิทำด้วยเหล็กและทองแดง ซึ่งต่างจากเสาโทริอิในศาลเจ้าอื่น ๆ ที่ทำด้วยไม้ การทำเสาโทริอิด้วยเหล็กและทองแดงเพื่อแสดงว่าญี่ปุ่นเข้าสู่ยุคของอุตสาหกรรมแล้ว และต่อมาจักรพรรดิเมอิจิทรงรับศาลเจ้าแห่งนี้เป็นศาลหลวงของราชวงศ์

ดังนั้น เมื่อเดินเข้าไปในเขตศาลเจ้ายาสุคูนิจึงพบอนุสาวรีย์ของโอมุระ มาสุชิโร ตั้งตระหง่านอยู่บริเวณวงเวียนก่อนถึงตัวศาลเจ้า

ต้องบอกว่าอันที่จริงการที่ผู้นำชาติต่าง ๆ ไปเคารพอนุสรณ์สถานของวีรชน หรือไปเคารพอนุสาวรีย์ของทหารกล้าของแต่ละประเทศไม่ใช่เรื่องผิด เพราะทุกประเทศก็กระทำด้วยกันทั้งนั้น แต่สำหรับญี่ปุ่นนั้นกลับมีปัญหา ไม่ใช่เพราะวิญญาณของวีรชนทหารกล้า แต่เป็นเพราะผู้นำการเมืองญี่ปุ่นไม่เคยแสดงความเสียใจ ไม่ยอมรับว่ากระทำการรุกรานประเทศคู่กรณี และไม่ชดใช้ค่าเสียหายให้ประเทศที่ถูกรุกราน

แน่นอนว่าสงครามก็คือสงคราม สงครามมีผู้ชนะและผู้แพ้ แต่ไม่มีสงครามไหนที่จะปราศจากคนตาย ส่วนการที่ใครจะมองว่าใครเป็นผู้ร้ายหรือพระเอก ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครมอง มองจากฝั่งไหน แต่ความจริงคือสงคราม และสงครามนำมาซึ่งความตายและความเสียหายของทั้งสองฝ่าย ซึ่งมีทั้งเสียหายมากและน้อยต่างกันไป

ผมไปศาลเจ้ายาสุคูนิเพราะเห็นว่าเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ไม่ได้ไปเพื่อส่งเสริมสงคราม แต่ไปเพราะต้องการปลงกับคำว่าสงคราม แต่ถึงกระนั้นก็ต้องบอกว่าเมื่อเข้าไปสู่เขตศาลเจ้าแห่งนี้แล้ว ก็นึกถึงประวัติศาสตร์สงครามในแง่มุมต่าง ๆ ผมไม่ได้ประณามดวงวิญญาณใด ๆ เพราะถือว่าแต่ละคนมีเหตุผลในการกระทำ แม้ทำในสิ่งที่ไม่น่ามีเหตุผลก็ตาม แต่มันก็คือประวัติศาสตร์

ศาลเจ้ายาสุคูนิ อยู่ในเขตกรุงโตเกียว ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของสวนควาจิโดริงาฟุจิแห่งพระราชวังหลวง อยู่ตรงข้ามกับนิปปอนบุโดคัง วันที่ผมไปศาลเจ้าแห่งนี้ ผมไปโดยรถไฟใต้ดินสายสีม่วง ไปลงที่สถานีคุดันชิตะ ขอบอกว่าหากคุณไปศาลเจ้าแห่งนี้ในยามนี้ (หน้าหนาว) คุณจะพบกับใบไม้สีทองของต้นกิงโกะ แต่หากไปช่วงปลายเดือนธันวาคมจะพบกับต้นกิงโกะที่เหลือแต่กิ่งก้านและลำต้น ส่วนหากไปหน้าร้อนจะได้พบกับซากูระแสนสวยในย่านนี้ แต่หากไปในช่วงเดือนเมษายนจะได้พบกับการแสดงละครโนห์ และได้ชมการแข่งขันซูโม เพื่อบูชาเทพเจ้าตามความเชื่อของคนญึ่ปุ่น

แต่หากคุณจะไปเที่ยวญึ่ปุ่นกับ Mr. Flower ก็ติดต่อได้ที่ 0917233615 เราไปเที่ยวกันแบบกลุ่มเล็ก ๆ ไม่รีบไม่ร้อน

ตะลอนเที่ยว by Mr. Flower

ตะลอนเที่ยว : สัตยาพาลี เสียชีพอย่าเสียสัตย์

ตะลอนเที่ยว : สัตยาพาลี เสียชีพอย่าเสียสัตย์

ตะลอนเที่ยว : สัตยาพาลี เสียชีพอย่าเสียสัตย์

วันอาทิตย์ ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 09.15 น.

“ไม่มีใครดูโขน แม่จะดูเอง” สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงกล่าวไว้เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว แล้วบัดนี้โขนก็ได้กลับมาเป็นที่นิยมของคนไทยและชาวต่างชาติที่เห็นคุณค่าของโขน จนทำให้โขนได้ถูกขึ้นทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติที่จับต้องไม่ได้ โดย UNESCO เมื่อปี 2561 เพราะโขนเป็นศิลปะชั้นสูงของไทยที่รวบรวมเอาภูมิปัญหาสารพัดแขนงไปรวมไว้ในการแสดงโขน ไม่ว่าจะเป็นบทพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์ ท่าร่ายรำ บทพากษ์ บทร้อง บทเจรจา ดนตรี พัสตราภรณ์ ศิราภรณ์ ฉาก และเครื่องประกอบฉาก รวมถึงระบบแสง สี และเสียง เป็นต้น 


บัดนี้ โขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าเป็นการแสดงประจำปีที่ผู้คนต่างเฝ้ารอเฝ้าคอยจะได้รับชมอย่างใจจดใจจ่อ เพราะได้ตระหนักแล้วถึงความงดงามของศิลปะการแสดงชั้นสูงของไทย โดยปีนี้จัดการแสดงโขนรามเกียรติ์ ตอนสัตยาพาลี ระหว่างวันที่ 6 พฤศจิกายน ถึง 8 ธันวาคม 2568 ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย


ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงที่พระราชทานทั้งพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ และพระราชทานทุกสิ่ง ทั้งพระราชดำริ และทรงสนับสนุนความรู้ด้านเทคนิกทันสมัยให้กับครูช่างที่ทำงานเกี่ยวกับโขน เพื่อให้โขนไทยมีความทันสมัย ผสมผสานไปกับคุณค่าของภูมิปัญญาจากบรรพบุรุษ จนบันนี้โขนได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งสมดังพระราชดำริ จนกล่าวได้ว่า ในยุคนี้ หากใครก็ตามที่มีโอกาสเข้าชมโขนของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ แล้วพลาดการชม ก็นับได้ว่าน่าเสียใจอย่างที่สุด 


และในโอกาสนี้ ขอเล่าเรื่องย่อตอนสัตยาพาลีให้ทราบโดยสังเขป พระอิศวรทรงปูนบำเหน็จความชอบแก่พญากากาศ ที่ช่วยชะลอเขาพระสุเมรุที่เอนทรุดให้กลับตั้งตรงได้ โดยพระราชทานนามว่าพญาพาลีธิราช แล้วพระราชทานตรีเพชรสุรกานต์เป็นอาวุธประจำกาย และยังพระราชทานพรว่า เมื่อต่อสู้กับศัตรูรายใดก็ตาม ให้ได้กำลังจากศัตรูแบ่งมาสมทบครึ่งหนึ่ง จากนั้นจึงออกพระโอษฐ์ทรงฝากผอบบรรจุนางเทพดาราไปพระราชทานแก่สุครีพน้องชาย แต่พระนารายณ์ซึ่งเข้าเฝ้าฯ อยู่ด้วยทรงทูลทัดทานว่าไม่ควรฝากสตรีงามไปกับบุรุษ เกรงจะไม่ถึงมือสุครีพ ดังเทวะประสงค์ เมื่อพาลีได้ยินจึงกล่าวถวายสัตย์สาบาน ว่าหากตนคิดทรยศน้องชาย ขอให้ตายด้วยศรพระนารายณ์ ว่าแล้วจึงเหาะนำผอบกลับไปเมืองขีดขิน เมื่อไปถึงเมือง พาลีก็เฝ้าแต่ครุ่นคิดด้วยความสงสัยว่านางในผอบจะงดงามสักเพียงใด จึงเปิดออกดูและเห็นความงามของนางเทพดารา ทำให้ลืมคำสัตย์สาบานต่อพระนารายณ์ พาลีเล้าโลมเกี้ยวพานจนได้นางเทพดาราเป็นชายา กล่าวถึงทรพีควายผู้ลูกทรพากับนางนิลากาสร ซึ่งได้ลอบไปคลอดในถ้ำฝากเทวดาช่วยพิทักษ์เลี้ยงดู เป็นเหตุให้ทรพีมีฤทธิ์จิตหยาบช้า คอยวัดรอยเท้าทรพาพ่อของตนจนเติบโตเท่าบิดา จึงไปสู้รบแล้วฆ่าบิดาตาย ทรพียิ่งกำเริบมากขึ้น จนไปท้าพระอิศวรรบถึงวิมานบนเขาไกรลาส พระอิศวรให้ลงไปสู้กับพาลีแล้วสาปให้ตายด้วยฤทธิ์ของพาลี เมื่อพาลีถูกทรพีมาท้าทาย ก็สังเกตว่าทรพีมีฤทธิ์และกำลังผิดธรรมดา จึงออกอุบายให้ไปสู้รบในถ้ำแล้วสั่งสุครีพน้องชายให้หมั่นพาไพร่พลมาตรวจดูหน้าถ้ำ ถ้าเห็นเลือดข้นไหลออกมา หมายความว่าตนมีชัยชนะ แต่ถ้าเลือดใสหมายความว่าตนสิ้นชีวิต ให้รีบขนหินมาปิดปากถ้ำอย่าให้ทรพีออกมาได้ สั่งแล้วก็เข้าไปรบกับทรพีในถ้ำ สู้กันอยู่นานไม่อาจชนะได้ พาลีสงสัยว่าคงมีเทวดาคอยรักษากายจึงร้องถามแต่ทรพีควายอกตัญญูมิได้รู้คุณเทวดา กลับตอบว่าเก่งด้วยตนเองโดยไม่มีเทวดาช่วยเหลือ เมื่อสิ้นคำทำให้เทวดาต่างพากันออกจากกาย ทรพีจึงถูกพาลีสังหาร แต่ขณะนั้นบังเกิดฝนตกหนักลงมาชะล้างเลือดทรพีที่มีสีข้นให้กลายเป็นเลือดใส เมื่อสุครีพมาเห็นก็ตกใจและเสียใจคิดว่าพาลีตายจึงสั่งพลลิงขนหินมาปิดปากถ้ำ


เมื่อพาลีเห็นปากถ้ำถูกปิด ก็โกรธจัด คิดว่าสุครีพผูกใจเจ็บโกรธแค้นจึงต้องการฆ่าตน เพราะเรื่องนางเทพดารา จึงตัดหัวทรพีขว้างทำลายหินที่ปิดปากถ้ำ แล้วออกมาไล่สู้รบกับสุครีบ แล้วขับไล่สุครีพออกจากเมืองโดยไม่ฟังเหตุผล สุครีพหนีไปในป่าจนได้พบหนุมานหลานชาย หนุมานพาไปเฝ้าพระราม และพระลักษมณ์ สุครีพกราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ พระรามรำลึกถึงคำพาลีที่เคยถวายสัตย์สาบาน จึงให้สุครีพไปท้ารบเพื่อจะแผลงศรสังหาร เมื่อสุครีพล่อพาลีออกมาต่อสู้บนท้องฟ้า พระรามจึงแผลงศรพรหมาสตร์หมายจะสังหาร แต่พาลีสามารถจับลูกศรไว้ได้ แล้วเหาะลงมาด่าทอบริภาษพระราม แต่แล้วก็ได้เห็นพระรามว่าคือพระนารายณ์ พระนารายณ์ทรงกล่าวทวงสัตย์สาบาน พาลีจึงสำนึกผิดกราบทูลถวายชีวิต แล้วฝากสุครีพพร้อมพลวานรเป็นข้าของพระราม แล้วสั่งสอนสุครีพจนเสร็จสิ้น ก็ใช้ลูกศรปักตัวเองถึงแก่ความตาย

ตะลอนเที่ยว : คืนบ้านให้ปูเสฉวน

ตะลอนเที่ยว : คืนบ้านให้ปูเสฉวน

ตะลอนเที่ยว : คืนบ้านให้ปูเสฉวน

วันจันทร์ ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 15.25 น.

ปูเสฉวนหายไปจากชายหาดของบ้านเราจนแทบจะหาไม่เจอแล้ว มันหายไปไหน ทำไมมันหายไป อะไรคือต้นเหตุทำให้ปูเสฉวนหายไปจากชายหาดของบ้านเรา

ก่อนอื่นต้องถามคุณก่อนว่าเคยเห็นปูเสฉวนที่ชายหาดมาก่อน หรือไม่ หากคุณไม่เคยเห็นมาก่อน ก็คงยากที่จะบรรยายให้ฟัง เพราะฉะนั้น ขอให้คุณลองไปเปิดคลิปวิดีโอดูก่อนเป็นอันดับแรก แล้วจึงค่อยมาคุยกันต่อ แต่สำหรับคนที่เคยเห็นปูเสฉวนตัวเป็น ๆ ในธรรมชาติ รับรองคุณจะต้องหลงรักมันอย่างแน่นอน เพราะมันคือสัตว์ที่แสนน่ารัก ตัวเป็นปู แต่อาศัยเปลือกหอยเป็นเสมือนกระดองของมัน 

เหตุผลที่ปูเสฉวนต้องอาศัยเปลือกหอยเป็นเสมือนบ้าน หรือกระดองของมัน ก็เพราะว่ามันมีตัวที่นิ่มมาก แต่ก้ามด้านซ้ายของมันมีขนาดใหญ่กว่าด้านขวา มันจึงใช้เป็นเสมือนอาวุธป้องกันตัว แล้วก็ใช้เปิดฝาหอยเพื่อเอาตัวเข้าไปอาศัย ส่วนก้ามด้านขวาที่เล็กกว่าใช้สำหรับป้อนอาหารให้ตัวเอง 

ก่อนอื่นขอย้ำว่าปูเสฉวนอาศัยอยู่บนบก ไม่ได้อยู่ในน้ำทะเลนะครับ เพราะฉะนั้น อย่าจับมันไปโยนลงทะเล ปูชนิดนี้อาศัยตามป่าและเขาที่อยู่ที่กับชายหาด มันได้รับการยกย่องว่าเป็นนักกำจัดขยะตามชายหาดที่ขยันขันแข็งมาก เพราะมันกินซากพืช ซากสัตว์ จึงทำให้หาดทรายสะอาดขึ้น มันจะวางไข่ปีละสามครั้งต่อหนึ่งฤดูการวางไข่ แล้วมันก็ใช้การลอกคราบเพื่อเพิ่มขนาดของตัวของมันให้โตขึ้น ระยะเวลาการลอกคราบอยู่ที่ 3 สัปดาห์ถึง 3 เดือน ขึ้นอยู่กับขนาดของมัน โดยปูเสฉวนที่โตเต็มวัยจะมีขนาด 5 นิ้ว 

ถามว่าทำไมปัจจุบันปูเสฉวนจึงลดจำนวนลงอย่างเห็นได้ชัด ตอบว่า เพราะมันไม่มีบ้าน หรือเปลือกหอยเป็นที่คุ้มกันภัยให้มัน สาเหตุเพราะคนที่ไม่รักธรรมชาติ มักชอบเก็บเปลือกหอยไปจากชายทะเล จนมันไม่มีเปลือกหอยให้อาศัย แล้วก็มันก็ยังเจอกับปัญหาน้ำทะเลไม่สะอาด จึงทำให้ปูเสฉวนตายไปเป็นจำนวนมาก แต่ที่อุบาทว์กว่าคือ มีพวกโรคจิตซื้อปูเสฉวนไปเป็นสัตว์เลี้ยง ซึ่งขอบอกว่าอย่าได้หาทำเป็นอันขาด เพราะมันคือการฆ่า ย้ำว่าไม่สามารถเลี้ยงปูเสฉวนเป็นสัตว์เลี้ยงได้ เพราะมันต้องอยู่กับธรรมชาติ มันไม่ใช่สัตว์เลี้ยง 

ขอบอกว่าหากเราให้ปูเสฉวนอยู่ตามธรรมชาติที่เหมาะสมกับพวกเขา เขาจะมีอายุยืนยาวถึง  30-60 ปี ตามแต่ละสายพันธ์ุ แต่หากอุตรินำเข้าไปเป็นสัตว์เลี้ยง มันคือการจงใจฆ่าเขาให้ตายภายในเวลาไม่เกิน 2-3 วัน หรืออย่างเก่งก็ไม่เกิน 2 สัปดาห์ เพราะมันอยู่ผิดที่ผิดทาง ผิดธรรมชาติ ปูเสฉวนมันต้องอยู่ริมทะเล อยู่บนหาดทราย อยู่ในเปลือกหอย แต่ดันเอามันไปเลี้ยงในตู้ปลา มันจะไปอยู่ได้อย่างไรกัน 

เมื่อธรรมชาติถูกทำลาย เปลือกหอยถูกคนสติไม่สมประกอบเก็บไปจนหมด ทำให้ปูเสฉวนไม่มีบ้านอยู่ ขอย้ำว่าปูเสฉวนนั้นมีตัวที่นุ่มนิ่มมาก มันจึงต้องมีเปลือกหอยเป็นกระดอง หรือเป็นบ้านของมัน ย้ำว่าปูเสฉวนต้องอยู่ในหอยแบบมีโพรงให้มันอาศัย ไม่ใช่หอยสองฝา เพราะหอยแบบมีโพรงเป็นที่อยู่อาศัยของปูเสฉวนได้ เพราะมันจะแทรกตัวเข้าไปอยู่ในช่องหรือในโพรงของเปลือกหอย เมื่อคนบ้าบอดันเก็บเปลือกหอยไปจนหมด ก็ทำให้ปูเสฉวนไม่มีบ้านอยู่ มันก็จึงตาย ดังนั้น เราจึงต้องช่วยกันนำเปลือกหอยคืนกลับไปยังป่าละเมาะที่อยู่ชายหาด หรือเนินเขาริมทะเล แล้วที่สำคัญคือเราต้องไม่เก็บเปลือกหอยกลับบ้าน ไม่ซื้อสินค้าใด ๆ ที่ทำจากเปลือกหอย 

ภาพปูเสฉวนต้องเอาตัวเข้าไปอาศัยอยู่ในขวดแตก หรือกระป๋องน้ำอัดลม กระป๋องเบียร์ หรือขวดพลาสติก ทำให้เกิดความสังเวชมาก เพราะมันคือการเอาตัวรอดของปูเสฉวนที่ไม่มีเปลือกหอยเป็นบ้านของมัน

เพราะฉะนั้น ขอเชิญชวนคุณส่งเปลือกหอยกลับคืนสู่ชายทะเล เพื่อให้เป็นบ้านของปูเสฉวน โดยส่งไปให้อุทยานทางทะเลต่าง ๆ ทั่วทุกแห่งของไทย โดยส่งไปทางไปรษณีย์ หรือหากสะดวกก็นำไปไว้ที่บริเวณป่าชายทะเล เพราะปูเสฉวนอาศัยอยู่ตามป่าละเมาะ และเนินเขาริมทะเล และขอย้ำว่าเวลาคุณกินอาหารทะเล โดยเฉพาะหอยต่าง ๆ ขอให้ช่วยนำเปลือกหอยกลับบ้านไปด้วย แล้วทำความสะอาดเปลือกหอยโดยแช่น้ำสะอาดไว้สักหนึ่งคืน แล้วก็ส่งทางไปรษณีย์ไปยังอุทยานทางทะเลที่คุณตั้งใจส่งไป เพียงแค่นี้ก็จะได้ช่วยกันหาบ้านให้ปูเสฉวน และช่วยกันเพิ่มจำนวนปูเสฉวน

สำหรับคุณ ๆ ที่สนใจร่วมทริปคืนเปลือกหอยให้ปูเสฉวนที่เกาะลันตา โดยไปที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา จังหวัดกระบี่ โดยตั้งใจจะไปทริปนี้ในช่วงต้นเดือนธันวาคม หรือต้นเดือนมกราคม โปรดติดต่อ 091 7233615 

 

ตะลอนเที่ยว by Mr. Flower 

ตะลอนเที่ยว : วันที่ระลึกทรงดนตรี ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ตะลอนเที่ยว : วันที่ระลึกทรงดนตรี ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ตะลอนเที่ยว : วันที่ระลึกทรงดนตรี ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

วันอาทิตย์ ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

ความใกล้ชิดระหว่างพระเจ้าแผ่นดินไทยกับพสกนิกร เป็นสิ่งยืนยันชัดเจนว่า “ฟ้ากับดิน” ไม่เคยอยู่ห่างไกลกันเลยแม้แต่น้อย เพราะ “ฟ้า” ทรงห่วงใย และทรงให้ความเป็นกันเองกับ “ดิน” เสมอมา ดังนั้นในสังคมไทยจึงไม่มีปัญหาช่องว่างระหว่าง “ฟ้ากับดิน”


พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร หรือที่คนไทยขานพระนามว่า ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงเป็นฟ้าที่พระราชทานความเป็นกันเองกับพสกนิกรตลอดเวลา ดังจะพบได้ชัดเจนในระหว่างการเสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมเยียนราษฎรในเขตห่างไกลความเจริญ และแสนทุรกันดาร ภาพชินตาที่พสกนิกรได้เห็นเป็นประจำคือพระองค์ประทับกับพื้นดินแล้วมีพระราชปฏิสันถารกับพสกนิกรที่เข้าเฝ้าฯ 


นอกจากทรงห่วงใยพสกนิกรในเขตทุรกันดารแล้ว ยังพระราชทานโครงการในพระราชดำริเพื่อช่วยเหลือและแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้ประชาชนตลอดเวลา อาทิ โครงการเกี่ยวกับชลประทาน โครงการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพดิน รวมถึงโครงการด้านการเกษตรกรรมอีกมากมายจนเกินพรรณนาได้ครบถ้วนทุกโครงการได้ภายในระยะเวลาอันสั้น


ขณะเดียวกัน พระองค์ยังทรงเป็นห่วงปัญญาชนของประเทศ ด้วยทรงทราบดีว่าปัญญาชนคือจักรกลสำคัญตัวหนึ่งที่จะช่วยพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าได้อย่างดี ดังนั้น พระองค์จึงทรงใส่พระทัยกับการพัฒนาการศึกษาขั้นสูงของประเทศ โดยพระราชทานความช่วยเหลือต่าง ๆ ให้สถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา และยังทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ด้วยการเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เพราะทรงเห็นว่าการได้มีโอกาสได้พบปะกับบัณฑิตคือการช่วยให้บัณฑิตมีขวัญกำลังใจออกไปช่วยสร้างสรรค์ความเจริญให้ประเทศชาติ และยังพระราชทานพระบรมราโชวาทแด่บัณฑิต เพื่อเป็นเครื่องย้ำเตือนใจให้ช่วยกันพัฒนาประเทศ


ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ พระองค์ท่านจึงพระราชพระบรมราชวโรกาสให้นิสิต นักศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาหลายแห่งได้มีโอกาสอันดีที่จะได้เข้าเฝ้าฯ โดยทรงเลือกใช้การพบปะกับปัญญาชนด้วยรูปแบบที่เป็นกันเอง นั่นคือเสด็จพระราชดำเนินไปทรงดนตรีในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยมหิดล รวมถึงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นต้น 


สำหรับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยคือสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ โดยเสด็จพระราชดำเนินไปทรงดนตรีร่วมกับนักดนตรีของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยเสด็จพระราชดำเนินทรงดนตรีครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2501 จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2516 แต่หลังจากนั้นทรงมีพระราชภารกิจที่สำคัญกว่าจึงทรงงดการเสด็จพระราชดำเนินทรงดนตรี ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ด้วย


ดังนั้น วันที่ 20 กันยายนทุกปีจึงเป็นวันที่ระลึกทรงดนตรี ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยผู้บริหารมหาวิทยาลัยได้จัดงานเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของพระองค์ท่าน โดยปีนี้ได้จัดงานไปเมื่อวันที่ 20 กันยายน ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์ท่านเสด็จทรงดนตรี โดยในหลาย ๆ วาระนั้น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยเสด็จด้วย พร้อมทั้งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ โดยเสด็จด้วย (สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ คือพระบรมราชอิสริยยศในขณะนั้น)


และเป็นประจำเมื่อเสด็จพระราชดำเนินทรงดนตรีที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็จะทรงเชิญชวนให้ผู้เข้าเฝ้าฯ ร่วมกันสมทบทุนทุนอานันทมหิดล (ต่อมาคือมูลนิธิอานันทมหิดล) เพื่อนำเงินไปเป็นทุนการศึกษาสำหรับบัณฑิตที่ได้การคัดเลือกไปศึกษาต่อขั้นสูงในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก เพื่อนำความรู้ด้านวิชาการกลับมาพัฒนาประเทศ โดยพระองค์ท่านพระราชทานทุนประเดิมสำหรับทุนอานันทมหิดล จำนวน 2 หมื่นบาท เมื่อปี พ.ศ. 2498 ดังนั้น จึงถือเป็นประเพณีที่ผู้เข้าชมการแสดงดนตรีในวันที่ระลึกทรงดนตรีจะร่วมกันบริจาคเงินสมทบมูลนิธิอานันทมหิดลเป็นประจำทุกปี


สำหรับการแสดงในงานของปี 2568 นี้ มีนักดนตรีจากวง CU Band , OCU Band (Old CU Band) และนักร้องที่เป็นนิสิตเก่า และนิสิตปัจจุบันไปรวมงานอย่างคับคั่ง แต่ปีนี้มีความแปลกใหม่ตรงที่บรรดาผู้บริหารของจุฬาฯ ได้ร่วมร้องเพลง “จุฬาฯ ของเรา” ด้วย เพลงนี้กล่าวถึงคณะและวิทยาลัยต่าง ๆ ในจุฬาฯ อย่างครบถ้วน 


สำหรับนักร้อง นักดนตรีกิตติมศักดิ์ของงานในปีนี้คือ ม.ร.ว. เบญจาภา ไกรฤกษ์ นิสิตเก่าคณะรัฐศาสตร์ อดีตนักร้องประจำวง อ.ส. วันศุกร์ (อัมพรสถานวันศุกร์) สุวิทย์ อังศวานนท์ นนท์ บูรณสมภพ ถาวร เยาวขันธ์ และภูษิต ไล้ทอง เป็นต้น ส่วนปีนี้ไม่มีคนสำคัญของงานคือสันทัด ตัณฑนันทน์ หรือลุงตัน ไปร่วมด้วย เนื่องจากลุงตันได้จากไปแล้วเมื่อไม่นานมานี้ 


และในโอกาสนี้ ยังเป็นปีที่ CU Band มีอายุครบ 70 ปีด้วย ดังนั้นจึงนับเป็นโอกาสพิเศษที่ CU Band ได้ร่วมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพราะวง CU Band ได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้ร่วมเล่นและแสดงดนตรีกับพระองค์ท่านมาก่อน  


ส่วนในภาพที่เห็นนักเรียนตัวน้อยร่วมการแสดงในครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นประถมจากโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ร่วมบรรเลงโดยใช้ฮาร์โมนิกา (หรือ mouth organ) ภายใต้การฝึกซ้อมโดยณานดนู ไล้ทอง 
ขอเชิญชวนคุณผู้อ่านร่วมบริจาคเงินสมทบมูลนิธิอานันทมหิดล โดยบริจาคผ่านธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ชื่อบัญชี “สมทบทุนอานันทมหิดล วันที่ระลึกวันทรงดนตรี” บัญชีเลขที่ 045-2-98139-9 ผู้บริจาคจะได้รับใบเสร็จเพื่อนำไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้ด้วย โดยผู้บริจาคที่ต้องการใบเสร็จรับเงิน โปรดกรอกข้อมูลในแบบฟอร์มร่วมบริจาคเงินสมทบทุนอานันท

มหิดล https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSdvV9noinhZptfs7fTlvdwZQVr0EjlWzme_b0Cmh9ucOMvOeA/viewform หรือส่งใบโอนเงินไปที่ Line official : วันที่ระลึกวันทรงดนตรี @240wuccm ภายใน 1 เดือน นับจากวันที่เงินเข้าบัญชีรับเงินบริจาค สำนักบริหารกิจการนิสิตจะดำเนินการส่งใบเสร็จรับเงินให้ผู้บริจาคทางไปรษณีย์ภายใน 1 เดือนนับจากวันที่ได้รับข้อมูลบริจาค หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดโทรศัพท์สอบถามที่หมายเลข 0-2218-7373 ในวันเวลาราชการ

ตะลอนเที่ยว by Mr. Flower

ตะลอนเที่ยว : ปีนัง เมืองที่เดินเล่นก็เย็นใจ

ตะลอนเที่ยว : ปีนัง เมืองที่เดินเล่นก็เย็นใจ

ตะลอนเที่ยว : ปีนัง เมืองที่เดินเล่นก็เย็นใจ

วันจันทร์ ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2568, 13.39 น.

ไปปีนังอีกแล้ว ไปทำไมบ่อย ๆ เพิ่งไปมามิใช่หรือ คำถามนี้ถูกถามอีกแล้ว หลังจากที่เพื่อนฝูงทราบว่าเพิ่งกลับจากเที่ยวปีนัง


ตอบแบบง่าย ๆ สั้น ๆ คือไปปีนังได้สะดวก สบาย แม้บางครั้งค่าเครื่องบินจะแพงเอาการก็ตาม แต่ก็ยังนับว่าพอหาเงินไปเที่ยวได้ เพราะหลายคนบ่นว่าเที่ยวภูเก็ตแพงกว่าปีนัง แต่ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับภูเก็ตด้วยว่า ที่ว่าภูเก็ตแพงนั้น เธอไปนอนที่ไหน เธอไปกินอะไร ที่ไหน แล้วเธอบินสายการบินอะไร 


แต่คำตอบหนึ่งที่ตรงกันคือกินนอนที่ภูเก็ตยังพอหาที่ราคามิตรภาพได้ แต่สำหรับราคาตั๋วเครื่องบินกรุงเทพฯ ภูเก็ตแล้ว บอกได้ตรงกันว่าแพงจริง ๆ ไม่ว่าจะบินวันไหน เวลาใด ก็ต้องจ่ายค่าตั๋วแพงจริง ๆ แพงจนหลายคนบ่นว่าบินไปสิงคโปร์ถูกกว่า


ไปปีนังครั้งนี้ก็เหมือนครั้งก่อน ๆ คือไปหาของกินอร่อย ๆ ไปเดินเที่ยว ไปเปลี่ยนที่นอน แล้วก็ไปชิล ชิล เพื่อเปลี่ยนที่กินที่นอน แต่ฟังแล้วเหมือนปัญญาอ่อนนะ เพราะอันที่จริงอยู่ไทยก็เปลี่ยนที่กินที่นอนได้ แต่ก็ต้องบอกว่ามันไม่เหมือนกัน เพราะอาหารในไทยกับที่ปีนังไม่เหมือนกัน แต่ก็ต้องยอมรับว่าอาหารไทยอร่อยไม่แพ้ใคร แต่เหตุที่ต้องไปกินอาหารที่ปีนังในบางวันก็เพราะอยากเปลี่ยนรสชาติ และบรรยากาศ


การไปเที่ยวครั้งนี้ก็เน้นเหมือนเดิมคือกินแล้วเดินเที่ยว เที่ยวแล้วหาที่กิน เพราะกินได้ทั้งร้านหรูราคาแพง และกินได้ทั้งร้านอร่อยริมถนน ส่วนอากาศที่ปีนังไม่ต่างจากบ้านเราคือร้อน และร้อน ไม่ต่างกัน


แต่ปัญหาที่น่าเบื่ออย่างหนึ่งคือ เรื่องเครื่องบินไปปีนัง เพราะเวลาเช็คอินจากไทยไปปีนังไม่ค่อยมีปัญหา แต่เวลาจะบินกลับไทย มันมีปัญหาพอประมาณ เพราะต่อให้เช็คอินจากไทยไปแล้ว ก็ต้องไปเริ่มต้นใหม่ที่ปีนังเวลาที่เราจะบินกลับ ปัญหานี้แก้ไม่ได้จริง ๆ ทำให้เกิดอารมณ์เสียเวลาเที่ยวเสร็จแล้วต้องบินกลับไป (ปัญหานี้เกิดกับแอร์เอเชีย และสายการบิน low cost ที่บินระหว่างบ้านเรากับปีนัง) นับว่าทำให้เราปวดหัว อารมณ์เสียพอประมาณ 


แต่หากมองข้ามปัญหาข้างต้นได้ ก็ต้องบอกว่าปีนังก็ยังน่าเที่ยว เพราะบินจากกรุงเทพฯ ไปเพียงแค่ไม่ถึงสองชั่วโมงก็ถึงแล้ว เดินทางในปีนังก็สะดวกพอประมาณ แม้รถยนต์จะติดขัดไม่แพ้กรุงเทพฯ แต่รับรองว่าอากาศดีกว่ากรุงเทพฯ แน่นอน


ไม่มีอะไรเล่าเรื่องที่เที่ยวปีนังอีกแล้วในวันนี้ เพราะเล่าให้ฟังไปหมดแล้วเมื่อไม่นานมานี้ แต่วันนี้จึงขอนำภาพสวย ๆ จากปีนังมาฝากก็แล้วกัน แล้วก็จะบอกว่าหากสนใจไปเที่ยวด้วยกัน ไปแบบกลุ่มเล็ก ๆ ไปแบบคนไม่เรื่องมาก เน้นกินอร่อย นอนดี เที่ยวแบบชิล ชิล ก็ขอให้บอก Mr. Flower นะครับ ติดต่อที่หมายเลข 091 7233615 ได้ครับ ไปเที่ยวแบบกลุ่มเล็ก ๆ กับคนคอเดียวกัน รับรองสนุกและเบิกบานใจ 


อ้อ! เกือบลืมเล่าว่าภาพโรงเรียนคอนแวนต์ปีนังบนถนนไลท์แห่งนี้ คือโรงเรียนเก่าแก่ที่คนไทยจำนวนไม่น้อยส่งลูกสาวไปเรียนที่นี่ และยังเป็นโรงเรียนเก่าของนางงามจักรวาลคนไทยคนแรกด้วย นั่นคือคุณอาภัสรา หงส์สกุล ปัจจุบันโรงเรียนแห่งนี้กำลังจะเปลี่ยนเป็นโรงเรียนนานาชาติ แต่เมื่อเข้าไปชมภายในโรงเรียนแล้วบอกได้คำเดียวว่าดูเข้มขลังมาก อาคารเก่ายังสวยงามมีมนต์เสน่ห์น่าหลงใหล 

ตะลอนเที่ยว : SIAM Sonata บทเพลงแห่งที่บ่งบอกตัวตนของสยามชน

ตะลอนเที่ยว : SIAM Sonata บทเพลงแห่งที่บ่งบอกตัวตนของสยามชน

ตะลอนเที่ยว : SIAM Sonata บทเพลงแห่งที่บ่งบอกตัวตนของสยามชน

วันอาทิตย์ ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 19.52 น.

คำว่าสยาม หรือ SIAM มีความหมายลึกซึ่งมาก เพราะหมายถึงคนที่เป็นประชาชนพลเมืองของประเทศหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่อยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิ ซึ่งต่อมาคือประเทศไทย ฝรั่งมังค่า และคนต่างชาติที่มีภูมิปัญญาจะเข้าใจโดยพลันจากการศึกษาว่า คนไทยในปัจจุบันคือคนสยามในอดีต และดินแดนสยามเป็นเขตแดนที่เต็มไปด้วยศิลปวัฒนธรรม มีขนบประเพณี มีจารีต มีความเป็นมาที่ยาวนานลึกซึ้ง เป็นดินแดนที่สามารถกล่าวได้ว่าเป็นถิ่นที่อยู่ของผู้มีวัฒนธรรม มีความรุ่งเรืองไพบูลย์มายาวนานตั้งแต่โบราณกาล 


เพราะฉะนั้น คำว่าสยามจึงมีความลุ่มลึก ลึกซึ้งอย่างมาก เพราะเป็นทั้งชื่อของชนชาติสยาม และในสมัยโบราณนั้น พระมหากษัตริย์ไทยทรงใช้ชื่อสยามเป็นชื่อของประเทศในการทำสนธิสัญญาใด ๆ กับต่างชาติ เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่เรียนประวัติศาสตร์ของไทยโดยย้อนหลังไปถึงอดีตหลายร้อยปีที่ผ่านมาก็จะเข้าใจได้ดีว่าสยามคืออะไร

 
อันที่จริงในดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบันหรือเรียกว่าสยามในอดีตนั้น เป็นแหล่งที่อยู่ ที่ทำมาหากินของคนหลายเผ่าพันธ์ุ เพราะดินแดนสยามเป็นเสมือนศูนย์รวมของชนชาติต่าง ๆ ทั้ง ไท ลาว มอญ เขมร ญวน แขก จีน จาม ฝรั่ง มลายู เป็นต้น เพราะฉะนั้น เพื่อให้เกิดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ผู้ปกครองดินแดนในยุคอดีตจึงใช้คำว่าสยามแทนชนต่าง ๆ ในดินแดนนี้


ส่วน SIAM Sonata หรือบทเพลงแห่งสยามนั้นคือผลงานรังสรรค์ของคีตกวีคนสำคัญคนหนึ่งของไทยหรือสยามในอดีต ที่มีนามว่าณัฐ ยนตรรักษ์ นักเปียโนที่มีรางวัลเกียรติยศมากมายทั้งของไทยและเทศเป็นเครื่องรับรองฝีมือ ซึ่งศิลปินผู้นี้มักบอกเสมอ ๆ ว่า ตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด เพื่อฝากฝีมือไว้ในคนรุ่นหลังในไทยและต่างชาติที่ได้เสพได้รับรู้ว่างานที่ตั้งใจทำนั้นเป็นงานที่ทำจากใจ ทำเพื่อบอกถึงความลุ่มลึกของแอ่งอารยธรรมที่ชื่อสยาม ส่วนรางวัลใด ๆ ที่ได้รับนั้น ก็เป็นสิ่งที่ช่วยเตือนใจว่า มีผู้คนมากมายเห็นคุณค่าของงาน เขาจึงให้รางวัลเพื่อแสดงความชื่นชมและขอบคุณ 


มีคำถามว่า SIAM Sonata คืออะไร ตอบได้ชัด ๆ และตรงประเด็นว่า คือบทเพลงแห่งชนชาติสยาม เป็นบทเพลงที่บ่งบอกถึงความเป็นคนสยาม และบอกเล่าถึงศิลปะแห่งสยาม เพราะจริง ๆ แล้วเสียงเพลงบอกเล่าถึงคนชาวสยามในทุกภูมิภาคของดินแดนแห่งนี้ ดินแดนที่มีความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ตั้งแต่เหนือ อีสาน กลาง และใต้ ความต่างกันของแต่ละท้องถิ่นคือเสน่ห์ของความเป็นชนชาติสยาม และเป็นสิ่งที่ต่างชาติสามารถสัมผัสได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น ใครก็ตามเมื่อมาเยือนแดนดินถิ่นสยาม แล้วไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ก็จะซึมซับได้ทันทีว่าสยามคืออะไร มีองค์ประกอบของงานศิลปะอะไรบ้าง มีทั้งความเป็นอยู่ อาหารการกิน ศิลปวัฒนธรรม ขนมธรรมเนียม ประเพณี ความเชื่อ และค่านิยม 


เสียงเพลงแห่งสยามคือเครื่องยืนยันว่าสยามเป็นอู่อารยธรรมที่สำคัญของมนุษยชาติในเขตอุษาคเนย์ หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การแสดง SIAM Sonata ได้ดำเนินมาแล้วกว่า 20 ปี ไปเผยโฉมให้นานาชาติเห็นมาแล้วกว่า 16 ประเทศ แสดงมากแล้วกว่า 100 รอบ และได้รับเสียงชื่นชมมาแล้วจากผู้ได้สัมผัสงานคีตศิลป์ชิ้นนี้ 

มาบัดนี้ SIAM Sonata จะไปอวดสายตาชาวโลกอีกครั้งที่ดินแดนยุโรป โดยจะไปแสดง ณ กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี และไปแสดงที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย รวมถึงที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยจะเริ่มการแสดงก่อนในประเทศไทยที่ศาลสุทธิสิริโสภา วันที่ 21 กันยายน แล้วไปเปิดการแสดงที่กรุงบูดาเปสต์ วันที่ 25 กันยายน และไปที่กรุงเวียนนา วันที่ 30 กันยายน และปิดการแสดงรอบสุดท้ายที่กรุงปารีส วันที่ 3 ตุลาคม 


SIAM Sonata จะนำเสนอทั้งเสียงเพลงของชนชาติสยามในภูมิภาคต่าง ๆ พร้อมกับการแสดงให้เห็นชัดถึงการร่ายรำ การแต่งกาย และท่วงท่าของศิลปินของชนชาวสยามในทุกภูมิภาคตั้งแต่เหนือจรดใต้ ตะวันออกจรดตะวันตก และเขตภาคกลางของเมืองสยาม แล้วยังนำเสนอความก้าวหน้าของชนชาติสยามผ่านรูปลักษณ์การกิน การอยู่ การใช้ชีวิต และเทคโนโลยีที่ทันสมัยแบบสยามที่นานาชาติให้การยอมรับ 


SIAM Sonata คือความภาคภูมิใจของชนชาวสยาม เป็นความตั้งใจประกาศให้นานาชาติรับรู้ว่าสยามคือดินแดนแห่งอารยะโดยแท้ ดังนั้นหากใครก็ตามได้สัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งสยามแล้ว รับรองว่าเขาเหล่านั้นจะไม่มีวันลืมเอกลักษณ์ และความเป็นสยามได้เป็นอันขาด 


หมายเหตุ
สยามเป็นชื่อทางการของประเทศไทย โดยใช้ชื่อสยามมาตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็นไทย โดยเริ่มบังคับใช้ในทางพฤตินัยตามประกาศรัฐนิยมตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482 และมีผลในทางนิตินัยอย่างสมบูรณ์หลังบังคับใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับแก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยนามประเทศ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ปีเดียวกัน

ตะลอนเที่ยว by Mr. Flower

ตะลอนเที่ยว : เพราะมีทหารหาญ ประเทศไทยจึงมีเอกราชอธิปไตย

ตะลอนเที่ยว : เพราะมีทหารหาญ ประเทศไทยจึงมีเอกราชอธิปไตย

ตะลอนเที่ยว : เพราะมีทหารหาญ ประเทศไทยจึงมีเอกราชอธิปไตย

วันอาทิตย์ ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

แผ่นดินไทยร่มเย็นเป็นสุขสงบได้ เพราะคนไทยรักสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน โดยมีศูนย์รวมใจคนไทยคือสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ แต่เมื่อมีข้าศึกศัตรูรุกรานแผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอนของเรา คนไทยช่วยกันปกบ้านป้องเมืองให้รอดพ้นภัยจากอริราชศัตรู แต่ที่สำคัญนั้นประเทศไทยมีบุคคลสำคัญกลุ่มหนึ่งช่วยดูแลรักษาบ้านเมืองด้วยการเสียสละได้แม้ชีวิต เพื่อให้บ้านเมือง และประชาชนในแนวหลังมีชีวิตสุขสงบ คนสำคัญนั้นคือทหารหาญ ผู้ปกป้องคุ้มกันภัยอันตรายจากข้าศึก มิให้เข้ามาแผ้วพาลทำลายความสุขสงบของคนไทยและแผ่นดินไทย
ในยามศึกสงครามเช่นนี้ คนไทยตระหนักถึงความสำคัญและจำเป็นของทหารเป็นอย่างดี คนไทยที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนบริบูรณ์ และมีสติปัญญากล้าแข็ง ต่างรู้ซึ้งว่าทหารช่วยรักษาเอกราชของประเทศไทย ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะมี ส.ส. ปัญญานิ่มบางจำพวกชอบแสดงความโง่ด้วยการพูดโง่ ๆ ว่ามีทหารไปเพื่ออะไร มีทหารไปทำไม ยุคนี้ไม่มีใครทำสงครามกันแล้ว แต่ที่โง่บัดซบยิ่งกว่าคือ ส.ส. ไร้สมองบางคนพล่ามว่า ทหารไทยรบกับใครก็ไม่มีวันชนะ ซึ่งการพูดเช่นนั้นคือการแสดงความโง่บัดซบโดยแท้ของ ส.ส. เหล่านั้นโดยแท้
วันนี้ ยามนี้ เวลานี้ ทุกคนในประเทศไทยรู้และเข้าใจตรงกันแล้วว่ากัมพูชาจงใจรุกรานประเทศไทย ส่วนอะไรคือมูลเหตุของปัญหา เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปดูต้นตอความขัดแย้งระหว่างทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องการมีอำนาจรัฐไปจนวันตาย กับฮุนเซน ผู้ครองอำนาจรัฐแห่งกัมพูชามาเกือบ 4 ทศวรรษ ความขัดแย้งของคนทั้งสองนำความวิบัติพินาศมาสู่สังคมไทยโดยแท้ ดังพบว่ามีการสู้รบกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา อันเนื่องมาจากกัมพูชาจงใจรุกรานแผ่นดินไทย 
การรุกรานโดยกัมพูชาทำให้พลเรือนไทยกว่า 10 คนต้องล้มตาย และบาดเจ็บสาหัสหลายสิบคน เพราะจรวดและระเบิดที่ยิงมาจากกัมพูชา แล้วยังทำให้พลเรือนไทยต้องพลัดที่นาคาที่อยู่อีกหลายแสนคน (ประมาณ 3 แสนคน) และทำให้ทหารไทยต้องตายไปแล้ว 15 นาย บาดเจ็บสาหัสอีกหลายสิบนาย 
ความเสียหายต่อประเทศไทยที่ประมาณค่ามิได้อันเกิดจากการกระทำโดยฝ่ายกัมพูชา ทำให้คนไทยเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นของการมีทหาร และมีกองทัพ แล้วเมื่อยิ่งได้ทราบถึงความเสียสละอย่างยิ่งใหญ่ของทหารหาญที่ปฏิบัติภารกิจป้องกันประเทศแล้ว ก็ยิ่งทำให้คนไทยขอบคุณในความกล้าหาญและเสียสละของทหารที่สู้รบป้องกันประเทศมากยิ่งขึ้น ดังนั้น คนไทยจึงพร้อมใจร่วมกันจัดหาสิ่งของต่าง ๆ เพื่อส่งมอบให้ทหาร อาทิ อาหารแห้ง ยารักษาโรค ของใช้ในชีวิตประจำวัน แม้กระทั่งชุดห้ามเลือด ลวดสนามหีบเพลง โดรน เสื้อผ้าชุดชั้นใน ถุงเท้า กางเกงใน แป้งเย็น ผ้าเย็น ยากันยุง แม้กระทั่งเข้าไปช่วยสร้างบังเกอร์ให้ทหาร และจัดหาสิ่งของต่าง ๆ ให้ทหาร เพียงแค่ขอให้ทหารบอกว่าว่าต้องการสิ่งใด ก็ยินดีช่วยจัดหาให้โดยพลัน เพราะต้องการสนับสนุนทหาร และเพื่อบอกว่าขอบคุณทหารที่เสียสละเพื่อชาติและเพื่อคนไทย
ภาพที่นำเสนอในวันนี้คือภาพที่ทหารหาญของเราส่งมาจากชายแดน เพื่อยืนยันว่าทหารทุกคนพร้อมรักษาดินแดนไทย แต่ Mr.  Flower ขออนุญาตปิดบังใบหน้า และปิดบังรายละเอียดสถานที่เพื่อความปลอดภัยของทหาร และพร้อมกันนี้ก็นำเสนอภาพการสนับสนุนโดยแนวหลังจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่ส่งข้าวของไปให้ทหารในแนวหน้า รวมถึงการตั้งใจทำอาหารใหม่ ๆ สด ๆ เลี้ยงทหารผู้บาดเจ็บที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล และขอขอบคุณคุณหมอ และคุณพยาบาลที่ให้การรักษาพยาบาลทหารผู้บาดเจ็บสาหัสจากการสู้รบเพื่อรักษาอธิปไตยของไทย
Mr. Flower แจ้งกับทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ในแนวหน้าว่า หากสถานการณ์สงบลงแล้ว จะขออนุญาตพาผู้อ่านหนังสือพิมพ์แนวหน้าไปเยี่ยมเยียนให้กำลังใจทหารถึงฐานปฏิบัติการ เพื่อให้ได้รับทราบว่าชีวิตประจำวันของทหารในแนวหน้ายากลำบากมากเพียงใด เราทุกคนรอให้สถานการณ์สงบลงโดยเร็ว และขอให้ทหารไทยที่ปฏิบัติหน้าที่ในแนวหน้าปลอดภัย แคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวง และขอบอกทหารที่ทำหน้าที่ในแนวหน้าทุกคน และทหารทุกหน่วยว่า คนไทยไม่ลืมบุญคุณของทหารหาญ 
หากคุณผู้อ่านแนวหน้าสนใจร่วมบริจาคสิ่งของ อาหารแห้ง ขนม ยารักษาโรคชนิดยาสามัญประจำบ้าน แป้งเย็น ผ้าเปียก เสื้อยืดชั้นใน กางเกงใน ถุงเท้า แปรงสีฟัน ยาสีฟัน สบู่ ยาทากันยุง หรือของอื่นใดที่คุณเห็นว่าเป็นประโยชน์กับทหารชายแดน โปรดนำไปฝากที่หนังสือพิมพ์แนวหน้า ซอยวิภาวดี 66 ถนนวิภาวดีรังสิต โดยเขียนบนกล่องว่าส่งถึง Mr. Flower เพื่อฝากให้ทหารชายแดน หรือหากต้องการไปเยี่ยมให้กำลังใจทหารบาดเจ็บ โปรดติดต่อ 091 7233615 

ตะลอนเที่ยว by Mr. Flower

ตะลอนเที่ยว : คนไทยรักทหารไทย และรักประเทศไทย

ตะลอนเที่ยว : คนไทยรักทหารไทย และรักประเทศไทย

ตะลอนเที่ยว : คนไทยรักทหารไทย และรักประเทศไทย

วันอาทิตย์ ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

ช่วงนี้คอลัมน์ตะลอนเที่ยวยังไม่พาคุณไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือต่างประเทศน เพราะไม่มีอารมณ์เที่ยว แต่รู้สึกเป็นห่วงประเทศไทย เพราะรู้ดีว่ายังมีภัยร้ายจากกัมพูชาที่จงใจรุกรานประเทศไทยตลอดเวลา 
 
ประเทศไทยของเราทุกคนดำรงอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ เพราะคนไทยส่วนใหญ่รักและหวงแหนประเทศของเรา แม้ในความเป็นจริงจะมีคนไทยบางจำพวกจงใจบ่อนทำลายล้างผลาญประเทศไทย แต่ก็เป็นเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้น แต่ถึงแม้มันจะเป็นคนส่วนน้อย แต่คนไทยส่วนใหญ่ก็ต้องไม่นิ่งดูดายปล่อยให้คนส่วนน้อยเซาะกร่อนบ่อนทำลายประเทศชาติและบ้านเมืองของเรา เพราะมิฉะนั้นแล้ว บ้านเมืองของเราก็จะพังทลายสูญสลายไปในที่สุด


หัวข้อเรื่องวันนี้ ดูแล้วอาจจะเชยมากในสายตาของคนบางคน แต่ขอยืนยันว่าความรักชาติบ้านเมืองไม่ใช่เรื่องเชย แต่คือความดีงามที่ทุกคนจำเป็นต้องสร้างสมบ่มเพาะให้บังเกิดขึ้นกับตัวเองและกับลูกหลานของเราทุกคน เพราะชาติบ้านเมืองเป็นที่อยู่อาศัย ที่ทำมาหากินของเราทุกคน และเป็นเครื่องแสดงความภาคภูมิใจของคนไทยทุกคนด้วย 


มีคนไม่น้อยมักถามว่านักการเมืองไทยรักชาติไทยหรือไม่ ตอบว่าบางคนรัก บางคนไม่รัก ถามต่อไปว่า ทำไมจึงมีนักการเมืองไม่รักชาติ ทำไมนักการเมืองบางคนขายชาติ ตอบโดยสรุปแต่ตรงประเด็นว่า เพราะมันคือนักการเมืองชั่วชาติสามานย์ ส่วนนักการเมืองคนไหนขายชาติ ก็ขอให้คนไทยดูพฤติกรรมของมันเหล่านั้น แล้วตอบตัวเอง โดยเฉพาะจำพวกที่ประกาศว่าทหารเป็นศัตรูกับมัน หรือมันเป็นศัตรูกับทหาร หรือพูดว่ามีทหารไว้ทำไม


ขอเตือนความจำว่าการเป็นรัฐหรือประเทศ มีองค์ประกอบดังนี้ มีพื้นที่-ดินแดนชัดเจนแน่นอน มีอำนาจอธิปไตย มีรัฐบาล และมีประชาชนพลเมืองเป็นคนเชื้อชาติของดินแดนอยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก และอาศัยอยู่อย่างถาวรสืบเนื่องต่อกันมายาวนาน แต่ก็อนุญาตให้มีชนชาติอื่น ๆ ร่วมอยู่อาศัยได้ด้วย 


เมื่อพูดถึงอำอาจอธิปไตย และเอกราชของประเทศไทย ก็ต้องให้ความสำคัญอย่างมากที่สุดกับคนไทยทุกคนที่ร่วมเป็นเจ้าของพระราชอาณาจักรไทย เราคนไทยต้องรักษาอธิปไตยและเอกราชของไทยไว้ให้มั่นคงและยืนยาวตราบฟ้าดินสลาย เราทุกคนมีหน้าที่สำคัญคือปกป้องประเทศชาติให้รอดพ้นจากการคุกคามรุกรานโดยประเทศอื่น แต่ก็มิใช่ว่าคนไทยทุกคนจะต้องทำอาชีพทหาร เพราะแต่ละคนก็มีอาชีพต่างกันไป ซึ่งทุกอาชีพมีความสำคัญไม่น้อยกว่ากัน 


แต่สำหรับภารกิจป้องกันประเทศให้รอดพ้นจากภัยคุกคามโดยกองกำลังต่างชาติ โดยเฉพาะการทำศึกสงครามโดยต่างชาติที่จงใจรุกรานไทย ขอย้ำว่าหน้าที่ปกป้องแผ่นดินไทยให้รอดพ้นจากอริราชศัตรูเป็นพันธกิจหลักของทหารไทยทุกนาย ทุกเหล่าทัพ รวมถึงทหารพราน และทหารอาสาสมัครทุกคน


ในยามนี้ กัมพูชาจงใจรุกรานประเทศไทย คนไทยที่ไม่โง่เขลาเบาปัญญาต้องตอบได้ชัดเจนว่าทหารไทยมีไว้ทำอะไร มีไว้เพื่ออะไร และต้องไม่มีใครถามคำถามโง่ ๆ ว่ามีทหารไปทำไม ยกเว้นนักการเมืองโง่และเลวเท่านั้น ที่สามารถตั้งคำถามโง่บัดซบเช่นนี้


การสู้รบหรือศึกสงครามที่กัมพูชาจงใจก่อขึ้นเพื่อรุกรานไทยซึ่งกำลังเกิดขึ้นนี้ เป็นเหตุให้ทหารไทยเสียชีวิตไปแล้ว 15 ราย (อ้างอิงตัวเลขของทางการไทย) บาดเจ็บทั้งสาหัสมากและสาหัสพอประมาณหลายสิบราย ทหารไทยจำนวนหลายนายต้องถูกตัดขา เพราะเหยียบกับระเบิดที่ทหารกัมพูชาจงใจวางไว้เพื่อสังหารฝ่ายไทย ความจริงทั้งหมดปรากฏต่อสาธารณชนแล้วว่ากัมพูชาจงใจโจมตีและรุกรานไทย แม้กัมพูชาจะยังพยายามโกหกตัวเองและโกหกประชาคมโลก แต่ก็ต้องย้ำว่ากัมพูชาคือผู้รุกรานไทย


ตั้งแต่ 24 กรกฎาคม 2568 ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากโจมตีไทยด้วยอาวุธสงครามอย่างหนักหน่วง แม้จะมีการเจรจาหยุดยิงเมื่อ 28 กรกฎาคม 2568 ฝ่ายกัมพูชาก็ไม่ได้เคารพข้อตกลงหยุดยิง เพราะจนถึงบัดนี้กัมพูชายังลอบวางกับระเบิด ทุ่นระเบิดในเขตของไทย เป็นเหตุให้ทหารไทย และทหารพรานของไทยได้รับบาดเจ็บสาหัส และทหารไทย 15 นายต้องตายไปเพราะอาวุธสงครามของฝ่ายกัมพูชา


Mr. Flower ได้รับข้อเรียกร้องจากสมาชิกผู้อ่านหนังสือพิมพ์แนวหน้า และผู้ฟังรายการ Good Time 95.5 FM ว่าขอให้พาสมาชิกไปเยี่ยมให้กำลังใจทหารหาญที่ชายแดนไทย-กัมพูชา แต่ทหารแจ้งว่าขออย่าเพิ่งไปในระยะนี้ เพราะมีอันตรายมาก เมื่อเราไปให้กำลังใจทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ได้ เราก็ส่งข้าวของ อาหาร ยา และของใช้ที่จำเป็นให้กับทหารชายแดน และเราก็ชักชวนกันไปเยี่ยมให้กำลังใจทหารที่ได้รับบาดเจ็บเพราะการสู้รบประกันประเทศ ซึ่งพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลค่ายสุรนารี นครราชสีมา (เมื่อ 7 สิงหาคม) และที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า (เมื่อ 14 สิงหาคม) 


เราไปเยี่ยมให้กำลังใจทหารที่บาดเจ็บ เพราะต้องการบอกเขาว่าเราระลึกถึงความกล้าหาญ เสียสละของทหารหาญ ไปเพื่อบอกว่าขอบคุณที่ยอมสละชีวิตเพื่อเอกราชของชาติไทย เรารู้ดีว่าข้าวของ และเงินทองที่เรานำไปมอบให้ทหารหาญ เปรียบเทียบค่าไม่ได้เลยแม้แต่น้อยกับความเสียสละ ความกล้าหาญของทหารหาญที่ยอมพลีชีพเพื่อรักษาประเทศไทย เราไปเพื่อบอกทหารว่าขอบคุณที่รักษาแผ่นดินไทยไว้ให้พวกเราทุกคน หากไม่มีทหาร เราก็ไม่มีปราการด่านหน้าป้องกันและกำจัดศัตรูที่จงใจรุกรานแผ่นดินไทย 


หากคุณ ๆ ต้องการร่วมไปเยี่ยมให้กำลังใจทหารที่บาดเจ็บจากการสู้รบเพื่อปกป้องอธิปไตยของไทย โปรดติดตามรายละเอียดในคอลัมน์นี้ เราตั้งใจจะไปเยี่ยมทหารหาญอีกในช่วงประมาณปลายเดือนสิงหาคมนี้ครับ หรือสอบถามรายละเอียดได้จาก 091 7233615 


ตะลอนเที่ยว by Mr. Flower

ตะลอนเที่ยว : เกิดเป็นไทย ตายเพื่อไทย ไม่ยอมให้แผ่นดินไทยตกเป็นของศัตรู

ตะลอนเที่ยว : เกิดเป็นไทย ตายเพื่อไทย ไม่ยอมให้แผ่นดินไทยตกเป็นของศัตรู

ตะลอนเที่ยว : เกิดเป็นไทย ตายเพื่อไทย ไม่ยอมให้แผ่นดินไทยตกเป็นของศัตรู

วันอาทิตย์ ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

หากประเทศไทยไม่มีเอกราช ขาดอธิปไตย ก็หมดสิ้น สูญสลายความเป็นไทยไปโดยพลัน แผ่นดินผืนนี้คือแผ่นดินที่บรรพบุรุษของเราทุกคนยอมเสียสละเลือดเนื้อ ชีวิต และหยาดเหงื่อเพื่อสร้างความเป็นราชอาณาจักรไทย แล้วยังสู้อุ่ตส่าห์ปกป้องดินแดนนี้ไว้ จนสามารถส่งต่อบ้านเมืองที่สุขสงบร่มเย็นเป็นสุขให้กับลูกหลานเยาวชนรุ่นต่อ ๆ มาจวบจนบัดนี้ 


แผ่นดินไทยผืนนี้จึงเป็นมรดกที่บรรพชนของเรามอบไว้ให้กับอนุชนคนรุ่นเรา แล้วเราทุกคนก็มีหน้าที่สำคัญคือรักษา ทำนุบำรุงแผ่นดินผืนนี้ให้มั่นคง งอกงาม แล้วส่งต่อให้กับลูกหลานอนุชนคนรุ่นต่อ ๆ ไป
ปู่ยาตายาย บรรพบุรุษของเราสั่งสอนต่อ ๆ กันมาว่า ผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ต่อคนไทยทุกคนคือแผ่นดินไทย เพราะแผ่นดินนี้คือบ้านเกิดเมืองนอนของเราทุกคน เรามีอยู่มีกินมีความสุขตามอัตภาพจนถึงบัดนี้ได้ ก็เพราะเรามีแผ่นดินไทยให้เราได้อยู่ได้อาศัยทำมาหากิน ดังนั้น เราจึงต้องปกป้องดูแลรักษาบ้านเมืองของเราไว้ หากบ้านเมืองของเรามีภยันตรายใด ๆ เข้ามาคุกคามจู่โจม เราทุกคนก็ต้องร่วมกันดูแลรักษาบ้านเมืองและแผ่นดินของเราไว้


ถึงแม้ว่าเราไม่ใช่ทหารโดยอาชีพ แต่เราทุกคนต้องระลึกไว้เสมอว่าเรามีหน้าที่ปกป้อง ดูแลแผ่นดินไทยของเรา เราต้องให้การสนับสนุนและบำรุงขวัญทหารของเราให้ดี เพราะเขาคือผู้ที่ทำหน้าที่ปกบ้านป้องเมืองให้กับเราทุกคน ส่วนการที่บ้านเมืองของเรามีนักการเมืองปากแจ๋ว (ปากแจ๋วในที่นี้หมายถึงปากเลวทราม) ถามว่ามีทหารไปทำไม มีเพื่ออะไร ก็เป็นเพราะนักการเมืองบ้านเราจำนวนไม่น้อยยังเลว และโง่เขลา อันที่จริงถ้าหากนักการเมืองไม่เลว ไม่โง่เขลามากนัก ก็ต้องชี้ให้ได้ว่าทหารเลว หรือโกงกินตรงไหนอย่างไร แล้วแก้ปัญหาให้ตรงประเด็นตรงจุด แต่การถามโง่ ๆ ว่า มีทหารไว้ทำไม มันคือการประจานว่านักการเมืองที่ถามเช่นนั้นโง่เขลาเบาปัญญาโดยแท้จริง


ภาพในคอลัมน์ตะลอนเที่ยวสัปดาห์นี้ สืบเนื่องจากภาพเมื่อสัปดาห์ก่อน เพราะหลังจากพวกเราชาวแนวหน้า (หมายถึงผู้อ่าน) และผู้ฟังรายการของเฉลิมชัย ยอดมาลัย บรรณาธิการข่าวแนวหน้า ร่วมกันบริจาคเงิน สิ่งของ แล้วยังร่วมกับออกแรงเพื่อแบ่งข้าวของให้กับทหารเป็นรายบุคคล แล้วพวกเราก็ยังเดินทางไปเยี่ยมทหารที่บาดเจ็บเพราะการปกป้องอธิปไตยไทยให้รอดพ้นจากการคุกคามโดยกัมพูชา โดยไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลค่ายสุรนารี นครราชสีมา เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ส่วนพวกเรามอบสิ่งใดให้ทหารบ้าง ขอให้คุณไปร่วมกิจกรรมกับเรา แล้วคุณจะรู้คำตอบด้วยตัวคุณเอง


 
การไปเยี่ยมทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบกับทหารกัมพูชา ทำให้เราได้เห็นหน้า ได้พูดคุยกับทหาร ญาติทหาร และได้ทราบถึงความเด็ดเดี่ยวของตัวทหาร และญาติพี่น้องของทหาร คำถามหนึ่งที่เราถามทหารที่เราไปเยี่ยมคือ หากหายป่วยแล้ว แต่สถานการณ์ชายแดนยังไม่ดีขึ้น จะออกรบอีกหรือไม่ คำตอบที่ได้ตรงกันก็คือ ไปแน่นอน และหากไปได้ตั้งแต่วันนี้ ก็จะไปเฝ้ารักษาเขตอธิปไตยของไทยโดยทันที ทหารบางคนบอกว่า ผมรอให้หายจากบาดเจ็บแล้วผมจะกลับไปทำหน้าที่ที่ชายแดนโดยทันที ส่วนเมื่อเราได้พูดคุยกับแม่และเมียของทหารที่บาดเจ็บ ก็ได้รับคำตอบว่า จริง ๆ แล้วเป็นห่วงลูกและสามีมาก หากห้ามได้ก็จะห้ามไม่ให้เขาไปชายแดนอีก แต่ไม่สามารถห้ามเขาได้ แล้วอีกใจหนึ่งก็ภูมิใจมากที่ลูกและสามีทำหน้าที่รักษาอธิปไตยให้บ้านเมืองของเรา 


ในฐานะคนแนวหลังที่ได้รับการคุ้มครองดูแลเขตอธิปไตยของประเทศไทยโดยเหล่าทหารหารเหล่านี้ เราทุกคนขอกราบขอบคุณในความเสียสละ ความกล้าหาญ และความเด็ดเดี่ยว ขอชื่นชม และแสดงความเคารพในความเสียสละ พร้อมทั้งขอแสดงความขอบคุณทหารหาญทุกคน โดยเฉพาะวีรบุรุษที่เสียสละชีวิตเพื่อปกป้องอธิปไตยของไทย และขอบคุณพ่อแม่ ลูกเมียของทหารหาญที่ยอมให้ลูกและสามีหรือพ่อของเขาออกไปรบเพื่อรักษาเอกราชของไทยไว้ ขอกราบคารวะด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจ และความเสียสละ


พวกเราแนวหลังของเป็นกำลังใจให้ทหารหาญทุกคน และขอกราบแสดงความเคารพต่อดวงวิญญาณของทหารหาญที่พลีชีพเพื่อชาติไทยของเรา เพื่อเอกราชและอธิปไตยของไทย พวกเราแนวหน้าขอตั้งจิตอธิษฐานของคุณงามความดีทั้งปวงในสากลโลก และขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลจักรวาลโปรดช่วยคุ้มครองรักษาให้ทหารหาญทุกคนแคล้วคลาดรอดพ้นจากภยันตรายทั้งปวง ขอพลานุภาพและพระบารมีแห่งสมเด็จพระบูรพมหากษัตราธิราชเจ้าทุกพระองค์ของสยามและไทยจงช่วยให้ทหารไทยรอดพ้นจากภัยอันตรายจากข้าศึกศัตรู


เราจะเฝ้าดูแลและให้การสนับสนุนทหารหาญทุกคนตลอดไป ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะป่วยจนพิการหรือทุพพลภาพ เราจะติดตามดูแลและช่วยเหลือเขาจนกว่าเขาจะมีชีวิตที่ดีขึ้น เพราะเราทุกคนตระหนักในความดี ความกล้าหาญ ความเสียสละของทหารหาญตลอดไป และหากคุณ ๆ ที่ติดตามคอลัมน์นี้ต้องการจะร่วมกิจกรรมเพื่อสนับสนุนทหารหาญของเรา โปรดติดต่อที่ 091 7233615 เราจะไปเยี่ยมให้กำลังใจและช่วยเหลือทหารหาญของเราตลอดไป ด้วยจิตสำนึกแห่งความขอบคุณในความเสียสละของทหารทุกคน