มือกราดยิงหาดบอนได ถูกตั้งข้อหา 59 กระทง รวมฆาตกรรม

มือกราดยิงหาดบอนได ถูกตั้งข้อหา 59 กระทง รวมฆาตกรรม

17 ธ.ค. 2568 22:17 น.

มือกราดยิงหาดบอนได ถูกตั้งข้อหา 59 กระทง รวมฆาตกรรม

ตำรวจออสเตรเลียเปิดเผยว่า มือปืนคนเดียวที่รอดชีวิตในเหตุกราดยิงหาดบอนไดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ถูกตั้งข้อหามากถึง 59 กระทง ซึ่งรวมถึงข้อหาฆาตกรรม 15 กระทง

เมื่อวันพุธที่ 17 ธ.ค. 2568 ตำรวจรัฐนิวเซาท์เวลส์ของออสเตรเลียเปิดเผยว่า นายนาวีด อัคราม หนึ่งในผู้ก่อเหตุกราดยิงงานเทศกาลของชาวยิวที่หาดบอนได ในนครซิดนีย์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ถูกตั้งข้อหารวมทั้งสิ้น 59 กระทง รวมถึงข้อหาฆาตกรรม 15 กระทง และข้อหาก่อการร้าย 1 กระทง

นายอัคราม วัย 24 ปี ถูกตำรวจยิงได้รับบาดเจ็บสาหัสระหว่างก่อเหตุ ขณะที่นายซาจิด อัคราม พ่อของเขา วัย 50 ปี ถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญฆาตกรรม

เหตุการณ์ครั้งนี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 15 ศพ และบาดเจ็บอีกหลายสิบคน โดยเป้าหมายของการโจมตีคือกลุ่มชุมชนชาวยิวในออสเตรเลีย ที่กำลังจัดงานเฉลิมฉลองคืนแรกของเทศกาลฮานุกกะห์ (Hanukkah) นับเป็นเหตุกราดยิงครั้งที่รุนแรงที่สุดของออสเตรเลียนับตั้งแต่ปี 2539

นอกจากนั้น นายอัครามยังถูกตั้งข้อหาทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บสาหัสโดยเจตนาฆ่าอีก 40 กระทง รวมถึงข้อหาแสดงสัญลักษณ์ขององค์กรก่อการร้ายต้องห้ามต่อสาธารณะอีก 1 กระทงด้วย

ศาลท้องถิ่นแห่งรัฐนิวเซาท์เวลส์ระบุว่า นายอัครามได้เข้ารับฟังการพิจารณาคดีนัดแรกจากเตียงในโรงพยาบาล และศาลได้สั่งเลื่อนการพิจารณาคดีออกไปจนถึงเดือนเมษายน ปี 2569

ก่อนหน้านี้ในวันพุธ นายมัล แลนยอน ผู้บัญชาการตำรวจรัฐนิวเซาท์เวลส์ กล่าวว่าเจ้าหน้าที่กำลังรอให้ฤทธิ์ยาบรรเทาลงก่อนที่จะเริ่มสอบปากคำนายอัครามอย่างเป็นทางการ “เพื่อความยุติธรรมต่อตัวเขาเอง เราจำเป็นต้องให้เขามีสติรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในขณะนี้”

ตามข้อมูลล่าสุด ณ เย็นวันพุธตามเวลาท้องถิ่น ยังคงมีผู้บาดเจ็บ 17 รายที่กำลังรับการรักษาในโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วซิดนีย์ โดยมี 1 รายอยู่ในอาการวิกฤต และอีก 4 รายอาการวิกฤตแต่ทรงตัว

ตำรวจออสเตรเลียยืนยันว่า เหตุกราดยิงครั้งนี้เป็นการก่อการร้าย โดยนายกรัฐมนตรีแอนโทนี อัลบาเนซี ของออสเตรเลีย ระบุว่าการกระทำดังกล่าวดูเหมือนจะมี “แรงจูงใจจากอุดมการณ์ของกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอซิส)”

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา มีข้อมูลปรากฏว่าสองพ่อลูกคู่นี้ได้เดินทางไปยังประเทศฟิลิปปินส์เมื่อเดือนพฤศจิกายน

สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของฟิลิปปินส์เปิดเผยกับ BBC ว่า ทั้งคู่พำนักอยู่ในประเทศตั้งแต่วันที่ 1 ถึง 28 พฤศจิกายน โดยโฆษกสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองระบุว่า จุดหมายปลายทางสุดท้ายของพวกเขาคือเมืองดาเวา (Davao) ทางตอนใต้ของประเทศ

เจ้าหน้าที่ชายแดนในกรุงมะนิลาให้ข้อมูลกับ BBC ว่า นายนาวีด อัคราม เดินทางเข้าฟิลิปปินส์โดยใช้หนังสือเดินทางออสเตรเลีย ในขณะที่นายซาจิด ผู้เป็นบิดา ใช้หนังสือเดินทางอินเดีย

ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจจากรัฐเตลังคานาของอินเดีย ระบุว่า นายซาจิด มีพื้นเพเดิมมาจากเมืองไฮเดอราบัด ทางตอนใต้ของอินเดีย แต่ที่ผ่านมาเขามีการติดต่อกับครอบครัวที่นั่น “เพียงเล็กน้อย” เท่านั้น

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : bbc

ทรัมป์สั่งแบน เพิ่มอีก 7 ชาติรวมปาเลสไตน์ ห้ามเข้าสหรัฐฯ ไทยยังไม่โดน

ทรัมป์สั่งแบน เพิ่มอีก 7 ชาติรวมปาเลสไตน์ ห้ามเข้าสหรัฐฯ ไทยยังไม่โดน

17 ธ.ค. 2568 11:53 น.

ทรัมป์สั่งแบน เพิ่มอีก 7 ชาติรวมปาเลสไตน์ ห้ามเข้าสหรัฐฯ ไทยยังไม่โดน

ทรัมป์ เดินหน้าขยายมาตรการห้ามเดินทางเข้าสหรัฐฯ อย่างเข้มข้น ล่าสุดสั่ง แบนพลเมืองจากอีก 7 ประเทศ รวมถึงปาเลสไตน์ รวมประเทศที่ถูกจำกัดการเดินทางพุ่งขึ้นเกือบ 40 ประเทศ ลาวโดนด้วยแต่ไทยยังรอด

ประเทศที่ถูกสั่งห้ามเดินทางเข้าสหรัฐฯ แบบเต็มรูปแบบรอบใหม่นี้ ประกอบด้วย ลาว, ซีเรีย, บูร์กินาฟาโซ, มาลี, ไนเจอร์, เซียร์ราลีโอน และซูดานใต้ ขณะที่ประเทศไทยยังไม่อยู่ในรายชื่อประเทศที่ถูกแบน

ทำเนียบขาวออกแถลงการณ์ระบุว่า มาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อป้องกันชาวต่างชาติที่มีแนวโน้มเป็นภัยต่อชาวอเมริกัน รวมถึงผู้ที่อาจบ่อนทำลายหรือทำให้วัฒนธรรม รัฐบาล สถาบัน และหลักการก่อตั้งประเทศของสหรัฐฯ ไม่มั่นคง

การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนจุดยืนแข็งกร้าวด้านผู้อพยพของทรัมป์ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายหลักที่เขาใช้หาเสียงมาโดยตลอด และเกิดขึ้นท่ามกลางการเร่ง กวาดล้างผู้อพยพผิดกฎหมายและผลักดันการเนรเทศครั้งใหญ่

การแบนชาวซีเรียมีขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากทหารสหรัฐฯ 2 นายและพลเรือน 1 คนเสียชีวิตในซีเรีย โดยทางการซีเรียระบุว่าผู้ก่อเหตุเป็นเจ้าหน้าที่ความมั่นคงที่กำลังจะถูกปลดออกเนื่องจากแนวคิดสุดโต่งทางศาสนา

ขณะที่ผู้ถือพาสปอร์ตขององค์การปาเลสไตน์ ถูกจำกัดการเดินทางเข้าสหรัฐฯ มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้อย่างไม่เป็นทางการ และครั้งนี้ถูกยกระดับเป็น คำสั่งชัดเจน ท่ามกลางท่าทีของรัฐบาลทรัมป์ที่ยืนอยู่ข้างอิสราเอล และต่อต้านการรับรองรัฐปาเลสไตน์ของชาติตะวันตกหลายประเทศ เช่น ฝรั่งเศสและอังกฤษ

จะสังเกตได้ว่า ประเทศที่ถูกแบนรอบใหม่จำนวนมากเป็นประเทศยากจนในแอฟริกา ทั้งในแอฟริกาตะวันตกและแอฟริกากลาง ขณะที่สหรัฐฯ ยังออกมาตรการ จำกัดการเดินทางบางส่วน กับประเทศอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น ไนจีเรีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในแอฟริกา, ไอวอรีโคสต์ และเซเนกัล รวมถึง แคนาดาและเม็กซิโก

ประเทศอื่นที่ถูกจำกัดการเดินทางบางส่วนยังรวมถึงหลายประเทศในแอฟริกาและแคริบเบียน เช่นแองโกลา, แอนติกาและบาร์บูดา, เบนิน, โดมินิกา, กาบอง, แกมเบีย, มาลาวี, มอริเตเนีย, แทนซาเนีย, แซมเบีย และซิมบับเวรวมถึงประเทศหมู่เกาะอย่าง ตองกา

น่าสนใจว่า แองโกลา เซเนกัล และแซมเบีย ล้วนเคยเป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ ในแอฟริกา และอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน เคยยกย่องประเทศเหล่านี้ว่าเป็นตัวอย่างของประชาธิปไตยในภูมิภาค

การขยายคำสั่งแบนครั้งนี้ ทำให้รัฐบาลทรัมป์ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่า เลือกปฏิบัติต่อประเทศยากจนและประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่ไม่ใช่คนผิวขาว และสะท้อนท่าทีต่อต้านผู้อพยพที่รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแม้ทำเนียบขาวจะยืนยันว่าเป็นเรื่องความมั่นคงของชาติ แต่หลายฝ่ายเตือนว่า มาตรการนี้อาจยิ่งทำให้สหรัฐฯ ถูกโดดเดี่ยวบนเวทีโลก และสร้างแรงกดดันทางการทูตในระยะยาวได้.

ที่มา :channelnewsasia

คลิกอ่านข่าวเกี่ยวกับ ทรัมป์

โลกเสี่ยงสูญเสียธารน้ำแข็งปีละ 4,000 แห่ง นำไปสู่การอพยพประชากรครั้งใหญ่ในอนาคต

โลกเสี่ยงสูญเสียธารน้ำแข็งปีละ 4,000 แห่ง นำไปสู่การอพยพประชากรครั้งใหญ่ในอนาคต

17 ธ.ค. 2568 11:22 น.

โลกเสี่ยงสูญเสียธารน้ำแข็งปีละ 4,000 แห่ง นำไปสู่การอพยพประชากรครั้งใหญ่ในอนาคต

งานวิจัยใหม่สร้างความกังวลให้กับนักอนุรักษ์และนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก เมื่อพบว่าธารน้ำแข็งหายไปในแต่ละปี อาจเพิ่มเป็น 2,000–4,000 แห่ง ภายในกลางศตวรรษนี้ หากอุณหภูมิโลกยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

การศึกษาที่เผยแพร่ในวารสาร Nature Climate Change ระบุชัดว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กำลังเร่งให้ธารน้ำแข็งละลายในอัตราที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์มนุษย์ โดยนักวิจัยอธิบายว่า หากโลกสามารถจำกัดภาวะโลกร้อนให้อยู่ที่ ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ตามเป้าหมายความตกลงปารีส จะยังรักษาธารน้ำแข็งได้ราว 50% ของจำนวนทั้งหมดในปัจจุบัน

แต่ในสถานการณ์เลวร้าย หากโลกร้อนขึ้นถึง 4 องศาเซลเซียส ธารน้ำแข็งเกือบทั้งหมดจะหายไป เหลือเพียงราว 18,000 แห่งทั่วโลก

โดยตัวเลขจากการศึกษาพบว่าโลกสูญเสียน้ำแข็งจากธารน้ำแข็งบนภูเขามากกว่า 7 ล้านล้านตัน ตั้งแต่ปี 2000 ขณะที่ในปี 2023 ปีเดียว มีการสูญเสียธารน้ำแข็งกว่า 600,000 ล้านตัน โดยธารน้ำแข็งละลายเร็วที่สุดในอลาสกา และยุโรปตอนกลาง เช่น เทือกเขาแอลป์ ขณะที่มวลน้ำแข็งจากแผ่นน้ำแข็งขั้วโลก ลดลงมากกว่ายุคปี 1990 ถึง 4 เท่า

โดยนักวิทยาศาสตร์เตือนว่า การหายไปของธารน้ำแข็งจะกระทบต่อแหล่งน้ำจืดของประชากรหลายร้อยล้านคน และทำให้ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่ความเสี่ยงน้ำท่วมพื้นที่ชายฝั่ง และอาจต้องอพยพประชากรครั้งใหญ่ในอนาคต

ขณะเดียวกันธารน้ำแข็งยังทำหน้าที่เป็นแคปซูลเวลาทางสภาพภูมิอากาศ ที่เก็บข้อมูลโลกย้อนหลังหลายพันปี ตั้งแต่ปริมาณฝน การปะทุของภูเขาไฟ ไปจนถึงยุคอุตสาหกรรม ซึ่งหากธารน้ำแข็งละลายจนปนเปื้อน ข้อมูลเหล่านี้อาจสูญหายไปตลอดกาล ดังนั้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเร่งด่วน คือกุญแจสำคัญในการชะลอการสูญเสียธารน้ำแข็ง และรักษาสมดุลของโลกใบนี้ไว้ให้คนรุ่นต่อไป.

ที่มา : AP 

คลิกอ่านข่าวเกี่ยวกับ ธารน้ำแข็ง

“ฮุน เซน” ปัดข่าวทหารรับจ้างรัสเซีย ยันกัมพูชาไร้กองกำลังต่างชาติตั้งแต่ปี 2536

"ฮุน เซน" ปัดข่าวทหารรับจ้างรัสเซีย ยันกัมพูชาไร้กองกำลังต่างชาติตั้งแต่ปี 2536

17 ธ.ค. 2568 11:21 น.

“ฮุน เซน” ปัดข่าวทหารรับจ้างรัสเซีย ยันกัมพูชาไร้กองกำลังต่างชาติตั้งแต่ปี 2536

“ฮุน เซน” โต้ข้อกล่าวหาสื่อ–กองทัพไทย ชี้ไม่มีทหารรับจ้างรัสเซีย หรือที่ปรึกษาทางทหารร่วมรบชายแดน ย้ำว่ากองกำลังต่างชาติได้ถอนออกจากดินแดนกัมพูชาทั้งหมดตั้งแต่ปี 2536

วันที่ 17 ธันวาคม 2568 สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ออกโรงปฏิเสธข้อกล่าวหาจากกองทัพและสื่อไทย ที่ตั้งข้อสงสัยว่ากัมพูชาอาจว่าจ้างทหารรับจ้างชาวรัสเซียหรือชาวต่างชาติ เข้ามาปฏิบัติการในพื้นที่สู้รบตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา

โดยฮุน เซน ระบุผ่านโพสต์บนสื่อสังคมออนไลน์ว่า กัมพูชาไม่มีทหารต่างชาติหรือที่ปรึกษาทางทหารจากชาติใดเข้าร่วมการสู้รบหรือปฏิบัติหน้าที่กับกองทัพกัมพูชา พร้อมย้ำว่ากองกำลังต่างชาติได้ถอนออกจากดินแดนกัมพูชาทั้งหมดตั้งแต่ปี 2536 หลังองค์การบริหารชั่วคราวแห่งสหประชาชาติในกัมพูชาสิ้นสุดภารกิจ

คำชี้แจงของฮุน เซน มีขึ้นหลังจากกองทัพภาคที่ 2 ของไทยรายงานความสงสัยว่า กัมพูชาอาจมีชาวต่างชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษเข้ามาควบคุมโดรน หรืออากาศยานไร้คนขับ ในพื้นที่ชายแดน ก่อนที่สื่อไทยหลายสำนักจะรายงานว่า บุคคลเหล่านี้อาจเป็นทหารรับจ้างชาวรัสเซีย

ฮุน เซน ยอมรับว่า กัมพูชาเคยมีทหารต่างชาติเข้ามาในประเทศเพื่อการฝึกทางทหารแบบทวิภาคีหรือพหุภาคี รวมถึงการเทียบท่าของกองทัพเรือต่างชาติที่ท่าเรือสีหนุวิลล์ แต่ย้ำว่าเป็นความร่วมมือด้านกลาโหมตามปกติ เช่นเดียวกับที่ประเทศอื่นๆ ปฏิบัติ โดยชี้แจงว่า ปัจจุบันมีชาวต่างชาติหลายสัญชาติพำนักอยู่ในกัมพูชาในฐานะนักท่องเที่ยว นักลงทุน ช่างเทคนิค หรือแรงงานในบริษัทต่างชาติและท้องถิ่น แต่ไม่มีผู้ใดเกี่ยวข้องกับภาคทหารหรือการสู้รบ

ขณะที่ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม สถานเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำกรุงเทพฯ ได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธรายงานข่าว โดยระบุว่าข้อกล่าวหาอาจเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของชาวรัสเซียที่พำนักหรือเดินทางอยู่ในประเทศไทย และยืนยันว่า รัสเซียไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาแต่อย่างใด.

ที่มา Facebook/Samdech Hun Sen of Cambodia

ทรัมป์จัดหนัก สั่งปิดล้อมเรือบรรทุกน้ำมัน ขึ้นบัญชีรัฐบาลเวเนซุเอลาเป็นองค์กรก่อการร้ายข้ามชาติ

ทรัมป์จัดหนัก สั่งปิดล้อมเรือบรรทุกน้ำมัน ขึ้นบัญชีรัฐบาลเวเนซุเอลาเป็นองค์กรก่อการร้ายข้ามชาติ

17 ธ.ค. 2568 09:53 น.

ทรัมป์จัดหนัก สั่งปิดล้อมเรือบรรทุกน้ำมัน ขึ้นบัญชีรัฐบาลเวเนซุเอลาเป็นองค์กรก่อการร้ายข้ามชาติ

โดนัลด์ ทรัมป์ สั่งปิดล้อมเรือบรรทุกน้ำมันทุกลำที่ถูกคว่ำบาตร ห้ามเดินทางเข้า-ออกเวเนซุเอลา พร้อมขึ้นบัญชีรัฐบาลของนายมาดูโรเป็นองค์กรก่อการร้ายข้ามชาติ จุดกระแสความตึงเครียดอย่างหนัก

ทรัมป์โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social ระบุว่า รัฐบาลของประธานาธิบดี นิโกลัส มาดูโร แห่งเวเนซุเอลา ถูกสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีเป็นองค์กรก่อการร้ายข้ามชาติ โดยกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพันกับ การก่อการร้าย การค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ และการยักยอกทรัพย์สินของสหรัฐฯ

“ดังนั้น วันนี้ผมจึงสั่งการให้มีการปิดล้อมโดยสิ้นเชิงและสมบูรณ์ ต่อเรือบรรทุกน้ำมันที่ถูกคว่ำบาตรทุกลำ ที่เข้าและออกจากเวเนซุเอลา”

ทรัมป์ยังข่มขู่ว่า เวเนซุเอลากำลังถูกปิดล้อมด้วยกองกำลังทางเรือที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่อเมริกาใต้เคยเห็นมา และเสริมว่า กำลังทหารสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นอีก และจะเป็นภาพที่เวเนซุเอลาไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตนี้

ทรัมป์กล่าวหาว่า รัฐบาลมาดูโรนำน้ำมันที่ขโมยมา ไปใช้เป็นแหล่งเงินทุนสนับสนุน ยาเสพติด การก่อการร้าย การค้ามนุษย์ การฆาตกรรม และการลักพาตัว ขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ กล่าวหาเวเนซุเอลาเรื่องการลักลอบค้ายาเสพติดมาอย่างต่อเนื่อง

นับตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา กองทัพสหรัฐฯ อ้างว่าได้สังหารผู้คนอย่างน้อย 90 คน จากปฏิบัติการโจมตีเรือที่ถูกกล่าวหาว่าขนส่ง เฟนทานิลและยาเสพติดผิดกฎหมาย มุ่งหน้าสู่สหรัฐฯ พร้อมทั้งส่งเรือรบเข้าประจำการในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง

คำประกาศของทรัมป์มีขึ้นเพียงหนึ่งสัปดาห์ หลังจากสหรัฐฯ ยึดเรือบรรทุกน้ำมันลำหนึ่งนอกชายฝั่งเวเนซุเอลา โดยทำเนียบขาวระบุว่า เรือชื่อ Skipper มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขนส่งน้ำมันผิดกฎหมาย และจะถูกนำไปยังท่าเรือของสหรัฐฯ

ด้านรัฐบาลเวเนซุเอลาออกมาประณามอย่างรุนแรง โดยมาดูโรกล่าวหาว่า สหรัฐฯลักพาตัวลูกเรือ และขโมยเรือ อย่างโจ่งแจ้ง

ก่อนที่จะมีการยึดเรือดังกล่าว สหรัฐฯ ได้เสริมกำลังทางทหารครั้งใหญ่ในทะเลแคริบเบียน รวมถึงการส่งทหารนับพันนาย และนำ USS Gerald Ford เรือบรรทุกเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก เข้าประจำการในระยะที่สามารถโจมตีเวเนซุเอลาได้ทันที

อย่างไรก็ตาม เวเนซุเอลาตอบโต้ด้วยการกล่าวหาว่า วอชิงตันกำลังใช้ข้ออ้างด้านความมั่นคงเพื่อยึดครองทรัพยากรพลังงานของประเทศ

ทั้งในยุคทรัมป์และอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน สหรัฐฯ ยืนหยัดต่อต้านรัฐบาลมาดูโรมาโดยตลอด พร้อมใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอย่างเข้มข้น เพื่อกดดันให้เขาพ้นจากอำนาจ

ล่าสุด สหรัฐฯ เพิ่งประกาศ คว่ำบาตรเรือบรรทุกน้ำมันเพิ่มอีก 6 ลำ รวมถึงบุคคลใกล้ชิดและเครือข่ายธุรกิจของมาดูโร ซึ่งสหรัฐฯเรียกว่าเป็นส่วนหนึ่งของระบอบการปกครองที่ไร้ความชอบธรรม

จนถึงขณะนี้ รัฐบาลเวเนซุเอลายังไม่ออกแถลงการณ์ตอบโต้คำสั่งปิดล้อมล่าสุดของทรัมป์อย่างเป็นทางการ ท่ามกลางความวิตกว่าการยกระดับความแข็งกร้าวครั้งนี้ อาจผลักภูมิภาคเข้าสู่ ความขัดแย้งที่รุนแรงยิ่งขึ้น.

ที่มา :BBC

คลิกอ่านข่าวเกี่ยวกับ เวเนซุเอลา

“คิม จองอึน” ควงภริยา ลูกสาว ตัดริบบิ้นเปิดนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่

"คิม จองอึน" ควงภริยา ลูกสาว ตัดริบบิ้นเปิดนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่

17 ธ.ค. 2568 09:52 น.

“คิม จองอึน” ควงภริยา ลูกสาว ตัดริบบิ้นเปิดนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่

“คิม จองอึน” ผู้นำเกาหลีเหนือ ควงภริยา-ลูกสาว ตัดริบบิ้นเปิดนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ตามนโยบายพัฒนาท้องถิ่นลดช่องว่างเขตเมือง-ชนบท ซึ่งถือเป็นการออกงานพร้อมหน้าครอบครัวอีกครั้งในรอบหลายเดือน

วันที่ 16 ธันวาคม 2568 สำนักข่าวกลางเกาหลี (KCNA)  รายงานว่า นายคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดของประเทศ ปรากฏตัวพร้อมครอบครัว โดยมีนางรี ซอลจู ภรรยา และคิม จูแอ บุตรสาว เข้าร่วมพิธีตัดริบบิ้นเปิดนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ในเขตคังดง บริเวณชานกรุงเปียงยาง ซึ่งถือเป็นการออกงานพร้อมหน้าครอบครัวอีกครั้งในรอบหลายเดือน

รายงานข่าวระบุว่า พิธีนี้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ที่เขตคังดง ซึ่งมีการก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมและศูนย์บริการอเนกประสงค์ ภายใต้นโยบายพัฒนาภูมิภาคอันเป็นเอกลักษณ์ของคิม จองอึน

ภาพถ่ายที่เผยแพร่โดย KCNA แสดงให้เห็นคิม จองอึน ตัดริบบิ้นและตรวจเยี่ยมโรงงานแปรรูปอาหาร รวมถึงศูนย์บริการชุมชน พร้อมแสดงความพึงพอใจต่อความคืบหน้าของโครงการ โดยกล่าวว่า การผลักดันการพัฒนาภูมิภาคและนำสาระอันล้ำค่าของความมั่งคั่งและอารยธรรมมาสู่ประชาชน เป็นภารกิจศักดิ์สิทธิ์ที่พรรคต้องเดินหน้าอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีเงื่อนไข

การปรากฏตัวของคิม จูแอ ซึ่งถูกมองอย่างกว้างขวางว่าอาจเป็นทายาททางการเมืองในอนาคต นับว่าน่าสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากที่ผ่านมาเธอมักร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับกองทัพเป็นหลัก แตกต่างจากครั้งนี้ที่เป็นงานด้านเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน

ทั้งนี้ ในการประชุมเต็มคณะของพรรคแรงงานเกาหลีเมื่อสัปดาห์ก่อน ทางการเกาหลีเหนือได้คัดเลือกเมืองและเขตต่างๆ จำนวน 20 แห่ง เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างภายใต้นโยบายพัฒนาท้องถิ่นระยะใหม่ ขณะที่เกาหลีเหนือกำลังเดินหน้ามาตรการพัฒนาท้องถิ่น เพื่อลดช่องว่างระหว่างเขตเมืองกับชนบท ซึ่งก่อนหน้านี้ คิม จองอึน เคยลงพื้นที่เขตคังดงเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อร่วมพิธีวางศิลาฤกษ์สร้างโรงพยาบาลและศูนย์บริการอเนกประสงค์ ซึ่งโครงการโรงพยาบาลแล้วเสร็จเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา.

ที่มา Yonhap

โพลชี้ คะแนนความนิยม “ทรัมป์” ลดลงเหลือ 39% ชาวอเมริกันไม่พอใจการแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง

โพลชี้ คะแนนความนิยม "ทรัมป์" ลดลงเหลือ 39% ชาวอเมริกันไม่พอใจการแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง

17 ธ.ค. 2568 09:05 น.

โพลชี้ คะแนนความนิยม “ทรัมป์” ลดลงเหลือ 39% ชาวอเมริกันไม่พอใจการแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง

โพลชี้ คะแนนนิยม “ทรัมป์” ร่วงเหลือ 39% หลังชาวอเมริกันไม่พอใจการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะค่าครองชีพที่ยังพุ่งสูง

วันที่ 16 ธันวาคม 2568 สำนักข่าวรอยเตอร์ส เผยแพร่ผลสำรวจความคิดเห็นของสำนักข่าวรอยเตอร์ส ร่วมกับอิปซอส (Reuters/Ipsos) ที่ออกมาว่า คะแนนความนิยมของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ลดลงมาอยู่ที่ 39% โดยเป็นการลดลงราว 2% จากช่วงต้นเดือนนี้ ท่ามกลางความกังวลของประชาชนชาวอมเริกันต่อภาวะเศรษฐกิจและค่าครองชีพ 

ผลโพลระบุว่า มีเพียง 33% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่พอใจกับการบริหารเศรษฐกิจของทรัมป์ ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ขณะที่คะแนนความเชื่อมั่นด้านค่าครองชีพลดลงเหลือ 27% จาก 31% ในช่วงต้นเดือนธันวาคม

โดยแม้แต่ในกลุ่มผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกัน คะแนนนิยมด้านเศรษฐกิจก็ลดลงเช่นกัน จาก 78% เหลือ 72% สะท้อนความไม่พอใจที่เพิ่มขึ้น แม้ทรัมป์และพันธมิตรจะหาเสียงในปี 2567 ด้วยคำมั่นสัญญาว่าจะแก้ปัญหาเงินเฟ้อและลดภาระค่าครองชีพของประชาชน  

ขณะเดียวกัน ผลสำรวจของโพลิติโก (Politico) ระบุว่า ชาวอเมริกันกว่า 55% มองว่านโยบายของทรัมป์มีส่วนทำให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะอาหารและที่อยู่อาศัย ปรับตัวสูงขึ้น.

ที่มา Aljazeera

ผลศึกษาชี้ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่หยุดสืบพันธุ์ มีอายุยืนขึ้นมากถึง 20%

ผลศึกษาชี้ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่หยุดสืบพันธุ์ มีอายุยืนขึ้นมากถึง 20%

17 ธ.ค. 2568 08:53 น.

ผลศึกษาชี้ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่หยุดสืบพันธุ์ มีอายุยืนขึ้นมากถึง 20%

นักวิจัยออสเตรเลียพบว่าสัตว์ที่หยุดการสืบพันธุ์ ไม่ว่าจะด้วยการคุมกำเนิดทางฮอร์โมนหรือการทำหมัน มีอายุขัยเฉลี่ยยืนยาวขึ้นราวร้อยละ 10-20

มหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ของออสเตรเลีย เปิดเผยผลวิจัยที่ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลจากบันทึกของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อยู่ภายใต้การเลี้ยงดูของมนุษย์ 117 สายพันธุ์ อาทิ สิงโต หนู ฯลฯ เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการมีอายุยืนยาวกับการให้กำเนิดลูก โดยพบว่าสัตว์ที่หยุดการสืบพันธุ์ ไม่ว่าจะด้วยการคุมกำเนิดทางฮอร์โมนหรือการทำหมัน มีอายุขัยเฉลี่ยยืนยาวขึ้นราวร้อยละ 10-20

มาลกอร์ซาตา ลากิส นักชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยฯ และผู้ร่วมเขียนการศึกษาที่เผยแพร่ในวารสารเนเจอร์ (Nature) กล่าวว่าผลการศึกษานี้ถือเป็นหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดชิ้นหนึ่ง ซึ่งสนับสนุนแนวคิดสำคัญของชีววิทยาวิวัฒนาการว่าการสืบพันธุ์ทำให้อายุขัยสั้นลง

นักวิจัยระบุว่า ทฤษฎีวิวัฒนาการชี้ว่าเมื่อร่างกายต้องทุ่มพลังงานไปกับการมีลูกและเลี้ยงดูลูก ย่อมแลกมากับระดับการซ่อมแซมเซลล์และการรักษาสุขภาพในระยะยาวที่ลดลง

การศึกษาที่นำโดยนักวิจัยจากนิวซีแลนด์และออสเตรเลียเผยว่าฐานข้อมูลที่ครบถ้วนของสวนสัตว์ ซึ่งเชื่อมโยงข้อมูลการเกิด การตาย และการจัดการสืบพันธุ์ผ่านการคุมกำเนิดหรือการทำหมัน ทำให้นักวิจัยสามารถเปรียบเทียบอายุขัยของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมได้ในหลากหลายสายพันธุ์

การศึกษาพบกลไกที่แตกต่างกันระหว่างเพศ โดยในสัตว์เพศผู้ มีเพียงการทำหมันด้วยการตัดอัณฑะเท่านั้นที่ช่วยยืดอายุขัยได้ โดยเฉพาะหากดำเนินการก่อนเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ซึ่งน่าจะเป็นผลจากการลดพฤติกรรมเสี่ยงและก้าวร้าวที่ขับเคลื่อนด้วยฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนที่มักนำไปสู่การบาดเจ็บหรือตายก่อนวัยอันควร

ขณะที่ในเพศเมีย งานวิจัยพบว่าทั้งการคุมกำเนิดและการทำหมันด้วยการผ่าตัดสามารถช่วยยืดอายุขัยได้อย่างสม่ำเสมอในทุกสายพันธุ์ โดยไม่ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา

ลากิสอธิบายว่าการตั้งท้อง การให้นมลูก และวัฏจักรสืบพันธุ์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ไม่เพียงแต่ต้องใช้พลังงานทางเมตาบอลิซึมสูง แต่ยังอาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง พร้อมเสริมว่าเมื่อเพศเมียหลุดพ้นจากภาระด้านการสืบพันธุ์ ร่างกายจะสามารถจัดสรรทรัพยากรได้มากขึ้นเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ส่งผลให้ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อลดลง

ผลการศึกษานี้ยังช่วยอธิบายวิวัฒนาการของภาวะหมดประจำเดือน (menopause) เนื่องจากภาวะดังกล่าวอาจเป็นประโยชน์ต่อการอยู่รอดในช่วงบั้นปลายชีวิต

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยเตือนว่าไม่ควรนำผลการศึกษานี้ไปปรับใช้กับการตัดสินใจด้านสุขภาพของมนุษย์โดยตรง โดยชี้ว่าการเข้าถึงบริการสาธารณสุข การแพทย์ โภชนาการ และการสนับสนุนทางสังคม ล้วนช่วยลดทอนความยากลำบากทางร่างกายที่เกิดจากการสืบพันธุ์ได้อย่างมาก.

ที่มา: ซินหัว

คลิกอ่านข่าวเกี่ยวกับ การสืบพันธุ์

สลด นร.วัย 15 ปี ใช้มีดก่อเหตุในรร.กรุงมอสโก ของรัสเซีย เด็ก 10 ขวบเสียชีวิต ตร.เร่งสอบแรงจูงใจ

สลด นร.วัย 15 ปี ใช้มีดก่อเหตุในรร.กรุงมอสโก ของรัสเซีย เด็ก 10 ขวบเสียชีวิต ตร.เร่งสอบแรงจูงใจ

17 ธ.ค. 2568 08:38 น.

สลด นร.วัย 15 ปี ใช้มีดก่อเหตุในรร.กรุงมอสโก ของรัสเซีย เด็ก 10 ขวบเสียชีวิต ตร.เร่งสอบแรงจูงใจ

เกิดเหตุสะเทือนขวัญ นักเรียนวัย 15 ปี ใช้มีดแทงเด็ก 10 ขวบเสียชีวิต บาดเจ็บอีกอย่างน้อย 2 ราย ในโรงเรียนย่านตะวันตกของกรุงมอสโก รัสเซีย ทางการรัสเซียเร่งสอบแรงจูงใจ

วันที่ 16 ธันวาคม 2568 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธมีดไล่แทงผู้คนภายในโรงเรียนแห่งหนึ่งในพื้นที่โอดินต์โซโว ชานกรุงมอสโก ของรัสเซีย ส่งผลให้เด็กชายวัย 10 ปี เสียชีวิต และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 2 ราย

คณะกรรมการสอบสวนรัสเซียระบุว่า ผู้ก่อเหตุเป็นนักเรียนชายวัย 15 ปี ของโรงเรียนแห่งนี้ โดยเริ่มจากการทำร้ายเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่บริเวณทางเดิน ก่อนใช้อาวุธมีดแทงเด็กชายวัย 10 ปี บริเวณลำคอจนเสียชีวิต และทำร้ายพนักงานโรงเรียนอีกราย ก่อนเกิดเหตุ ผู้ต้องสงสัยยังถูกระบุว่าได้ส่งข้อความลักษณะเป็นแถลงการณ์ไปยังเพื่อนร่วมชั้น มีเนื้อหาแสดงความเกลียดชังต่อชนกลุ่มต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ทางการยังไม่ยืนยันข้อมูลนี้อย่างเป็นทางการ

เจ้าหน้าที่เผยว่า ผู้ต้องสงสัยให้การรับสารภาพแล้ว และถูกควบคุมตัวเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย ขณะที่สื่อท้องถิ่น รายงานว่า ผู้ก่อเหตุอาจได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุกราดยิงในโรงเรียนโคลัมไบน์ ของสหรัฐฯ เมื่อปี 2542

ทั้งนี้ รัสเซียเคยเผชิญเหตุรุนแรงในโรงเรียนหลายครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยหลังเหตุกราดยิงในเมืองคาซาน เมื่อปี 2564 ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ได้สั่งเข้มงวดกฎหมายควบคุมอาวุธปืน และปราบปรามขบวนการเลียนแบบเหตุรุนแรงในสถานศึกษาอย่างจริงจัง.

ที่มา The New York Times

คนวัยหนุ่มสาวเกาหลีใต้ลดเหลือกว่า 10 ล้านคน เหตุสังคมสูงวัย-อัตราเกิดต่ำเรื้อรัง

คนวัยหนุ่มสาวเกาหลีใต้ลดเหลือกว่า 10 ล้านคน เหตุสังคมสูงวัย-อัตราเกิดต่ำเรื้อรัง

17 ธ.ค. 2568 08:25 น.

คนวัยหนุ่มสาวเกาหลีใต้ลดเหลือกว่า 10 ล้านคน เหตุสังคมสูงวัย-อัตราเกิดต่ำเรื้อรัง

ประชากรวัยหนุ่มสาวของเกาหลีใต้ลดลงต่อเนื่องตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ท่ามกลางจำนวนประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้นและอัตราการเกิดที่อยู่ในระดับต่ำเรื้อรัง 

กระทรวงข้อมูลและสถิติของเกาหลีใต้เปิดเผยว่าสัดส่วนประชากรวัยหนุ่มสาวของเกาหลีใต้ลดลงต่อเนื่องตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ท่ามกลางจำนวนประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้นและอัตราการเกิดที่อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง โดยจำนวนประชากรอายุ 19-34 ปี อยู่ที่ 10,404,000 คน ในปี 2024 คิดเป็นร้อยละ 20.1 ของประชากรทั้งหมด

สัดส่วนของกลุ่มประชากรวัยหนุ่มสาวต่อประชากรทั้งหมดลดลงอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ 28.0 ในปี 2000 เหลือร้อยละ 22.9 ในปี 2010 และร้อยละ 21.1 ในปี 2020

สัดส่วนผู้ชายอายุ 30-34 ปีที่ยังไม่แต่งงานพุ่งสูงจากร้อยละ 28.1 ในปี 2000 เป็นร้อยละ 74.7 ในปี 2024 ขณะที่สัดส่วนผู้หญิงในช่วงอายุเดียวกันที่ยังไม่แต่งงาน เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10.7 เป็นร้อยละ 58.0 ส่วนกลุ่มผู้ชายอายุ 25-29 ปีที่ยังไม่แต่งงานเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 71.0 เป็นร้อยละ 95.0 และผู้หญิงอายุ 25-29 ปีที่ยังไม่แต่งงาน เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 40.1 เป็นร้อยละ 89.2

อัตราการเผชิญภาวะหมดไฟ (burnout) ในกลุ่มประชากรวัยหนุ่มสาวซึ่งรู้สึกอ่อนล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจ ลดลงเล็กน้อยจากร้อยละ 33.9 ในปี 2022 เหลือร้อยละ 32.2 ในปี 2024 ขณะที่อัตราการฆ่าตัวตายในกลุ่มคนวัยหนุ่มสาวอยู่ที่ 24.4 ราย ต่อประชากร 100,000 คน ในปี 2024 โดยยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นปีที่สองติดต่อกัน จาก 22.0 ในปี 2022

สำหรับกลุ่มอายุ 15-29 ปี ผู้ชายมีอัตราการมีงานทำร้อยละ 43.7 และผู้หญิงร้อยละ 48.4 ในปี 2024 ขณะที่กลุ่มอายุ 30-34 ปี ผู้ชายมีอัตราการมีงานทำร้อยละ 86.6 และผู้หญิงร้อยละ 73.5

ส่วนอัตราการว่างงานแบบกว้าง (expanded jobless rate) ซึ่งหมายถึงสัดส่วนของผู้ที่ทำงานน้อยกว่า 36 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ที่ต้องการทำงานเพิ่ม ผู้ที่ไม่พร้อมทำงานในช่วงระยะเวลาสำรวจ และผู้ที่ไม่ได้หางานอย่างจริงจังแต่พร้อมที่จะทำงาน ในกลุ่มอายุ 15-29 ปี พุ่งสูงสุดที่ร้อยละ 25.1 ในปี 2020 ก่อนจะลดลงอย่างต่อเนื่องจนเหลือร้อยละ 23.1 ในปี 2021 ร้อยละ 19.0 ในปี 2022 ร้อยละ 16.6 ในปี 2023 และร้อยละ 15.6 ในปี 2024.

ที่มา: ซินหัว

คลิกอ่านข่าวเกี่ยวกับ เกาหลีใต้