ว่าที่สตรีหมายเลข 1

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ตุ๊ ปากเกร็ด 6 ก.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/713088

 

“ฉันไม่ให้เบอร์โทรศัพท์คุณหรอก เอาของคุณมาแล้วฉันจะโทร.ไปเอง” นี่คือประโยคสนทนาแรกเริ่มระหว่างนางแบบสาวสวยวัย 28 ปี เมลาเนีย นาฟส์ กับมหาเศรษฐีโดนัลด์ ทรัมป์ ภายในงานปาร์ตี้แห่งหนึ่ง ณ มหานครนิวยอร์ก สหรัฐฯ เมื่อปี 2541

จากนั้น 18 ปีผ่านไป มาวันนี้ทั้งคู่ได้กลายเป็นบุคคลที่ทั่วโลกจับตาไปแล้ว ในฐานะตัวแทนชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯจากพรรครีพับลิกัน และว่าที่สตรีหมายเลข 1

โดยเฉพาะฝ่ายหลังว่าเป็นใครมาจากไหน?

เมลาเนีย นาฟส์ (ปัจจุบันนามสกุลทรัมป์) เกิดเมื่อวันที่ 26 เม.ย.2513 ในหมู่บ้านชนบทเซฟนิกา ห่างจากเมืองหลวงลีอูบลีอานา ประเทศสโลวีเนีย คาบสมุทรบอลข่านยุโรปใต้ บิดาเป็น เซลส์แมนขายรถ มารดารับงานออกแบบให้ แบรนด์สินค้าแฟชั่น ตัดสินใจออกจากมหาวิทยาลัยเข้าสู่วงการนางแบบเมื่ออายุ 18 ปี

หลังจากเดินสายไปทั่วยุโรปและสหรัฐฯ เมลาเนียก็ได้มาเจอกับทรัมป์ในงานเลี้ยงดังกล่าว ก่อนที่จะตกลงปลงใจแต่งงานกันในปี 2548 และมีลูกด้วยกัน 1 คน บาร์รอน ทรัมป์

ความสามารถส่วนตัวพูดได้ 4 ภาษา สโลวีเนีย ฝรั่งเศส เยอรมัน และอังกฤษ ขณะที่การวางตัวก็ถูกยกให้อยู่ในระดับเดียวกับสตรีหมายเลข 1 ในอดีต อย่างเบ็ตตี ฟอร์ด และแจ๊กกี เคนเนดี ไม่แสดงบทบาททางการเมืองมากนัก ทำตัวโลว์โปรไฟล์อยู่หลังฉากเสียมากกว่า

อย่างไรก็ตาม เกมการเมืองไม่ขาวสะอาด เมลาเนียถูกขุดคุ้ยเรื่องราวมาโจมตีมากมาย อย่างที่ว่าเธอจะเป็นสตรีหมายเลข 1 คนแรก ที่เคยถ่ายภาพเปลือยลงนิตยสาร ส่วนล่าสุดสื่ออังกฤษ “เดลี่ เมลล์” อ้างแหล่งข่าวในวงการว่า เคยรับจ๊อบเสริมขายบริการทางเพศ ในช่วงวัย 20 ต้นๆ ซึ่งประเด็นหลังเจ้าตัวปฏิเสธเสียงแข็ง พร้อมเตรียมฟ้องร้องกลับเรียกค่า เสียหาย 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ.

ตุ๊ ปากเกร็ด

 

สไตล์แบดบอย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ยูเรนัส 5 ก.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/711908

 

รักษาความเป็นหนุ่มเกเรไว้อย่างเหนียว แน่น เมื่อ คริส บราวน์ นักร้องหนุ่มวัย 27 ปี ก่อปัญหาให้ตัวเองเดือดร้อน หลังใช้ปืนจ่อไปที่ใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเป็นแขกในงานปาร์ตี้ จัดขึ้นที่บ้าน เอ้ย…คฤหาสน์ของหนุ่มคริสในนครลอสแอนเจลิส ยังดีนะที่นักร้องแนวอาร์แอนด์บีไม่ลั่นไกปืนให้มีเหตุเลือดตกยางออกซะก่อน แต่แค่ใช้ปืนขู่ผู้หญิงนี่ก็ไม่ใช่สุภาพบุรุษแล้วนะ

หลังสาวปริศนาแจ้งตำรวจ 911 ว่า หล่อนถูกคริส บราวน์ ทำร้ายร่างกาย ตอนแรกข่าวไม่แจ้งว่า สาวคนนี้ชื่อเรียงเสียงไร? ต่อมาระบุว่าเหยื่อชื่อเบย์ลี เคอร์แรน เป็นนางแบบและนักแสดงโนเนม แต่ชอบไปคลุกคลีเข้าสังคมกับนักร้อง-นักแสดงดาวดัง คล้ายเป็นแฟนคลับที่ชอบเฮไหนเฮนั่น

เบย์ลี สาววัย 25 ปี ไปงานปาร์ตี้ของคนดังมาแล้วหลายราย ซึ่งทุกทีที่ไปงานเหล่านี้ก็มีการถ่ายรูปคู่ระหว่างเธอกับคนดังไว้เป็นที่ระทึก…เอ้ย ไว้เป็นที่ระลึก แล้วก็มีการโพสต์ในสังคมออนไลน์คนในวงการบันเทิงที่เธออ้างว่าเคยสังสรรค์ด้วย เช่น จัสติน บีเบอร์ และด็อกเตอร์เดร ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์วงการเพลง

ก่อนหน้านี้ไปงานปาร์ตี้ที่ไหนก็ไม่มีอะไรทำให้ตกใจ ยกเว้นครั้งล่าสุด ที่ไปบ้านคริส บราวน์ แล้วเจอเรื่องเขย่าขวัญ หล่อนบอก คริสขู่ตะคอกและไล่เธอออกจากบ้าน!

หลังจากนั้นหล่อนก็โทร.ไปแจ้งความเอาเรื่องกับคริสซะเลย เพราะเล่นชักปืนขึ้นมาใส่หน้าเธอจนทำให้กลัวว่าจะถูกยิงเข้าจริงๆ หล่อนให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าเธอไม่ได้ทำอะไรเสียหายในบ้านของคริสนะ จึงต้องทำให้เขา โมโหขนาดนั้น แล้วหล่อนก็ทบทวนให้สื่อฟังว่า ขณะอยู่ในบ้านคริส ก่อนเกิดเรื่อง มีผู้ชายคนหนึ่งถือกล่องใส่เครื่องเพชรนิลจินดาออกมาโชว์ ทำให้เบย์ลีเอ่ยปากชมความงามของเครื่องเพชรชิ้นนั้น

ต่อมาเพื่อนของคริสก็ตะคอกหล่อนว่าให้ถอยไปจากกล่องจิวเวลรี่ โดยฝ่ายหญิงบอกว่า ไม่ได้แตะต้องเครื่องเพชรชิ้นนั้น ทันใดนั้นเอง คริสก็ “ของขึ้น” พูดว่า ตูละเบื่อ คนแบบนี้ แล้วก็ชักปืนออกมา!

คริสเคยมีปัญหาใช้ความรุนแรงตบตีรีฮานนา นักร้องสาวอดีตแฟนเก่ามาแล้ว และเหตุการณ์ครั้งนี้แม้เขาไม่ได้ตบใคร แต่แสดงว่ายังเป็นคนอารมณ์ร้าย เมื่อถูกแจ้งจับ ก็ขอประกันตัว แบดบอยก็ยังคงเป็นแบดบอยวันยังค่ำ ส่วนเบย์ลีก็ใช่ว่าจะดีนัก ไปยุ่งเกี่ยวกะคนดังๆเพื่อไรกันแน่?

ยูเรนัส

 

ทายาทเชฟริมถนน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ฤทัยรัช จันทร์เพ็ญ 3 ก.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/710538

 

กุ๊กหาบเร่แผงลอยในสิงคโปร์ที่ปรุงอาหารรสชาติอร่อยเด็ด แต่ทุกวันนี้ หลายๆร้านขึ้นชื่อของเกาะ เรียกได้ว่า ใครไปเยือนก็ต้องแวะไปกินให้เป็นบุญปาก เริ่มส่อแววอนาคตง่อนแง่นซะแล้ว เพราะกระแสเกษียณวางตะหลิวกระทะ

คลื่นแห่งคำถามเลยตามมาว่า…แล้วใครจะมาสืบทอดกิจการอันเป็น “ซิกเนเจอร์” ที่หาใครมาเทียบเคียงระดับจ้าวยุทธจักรแห่งเมนูรถเข็นเหล่านี้กันล่ะ?

ปัจจุบันทั้งเกาะมีกุ๊กริมทางกว่า 100 คน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเชฟรุ่นเหลาๆ ผมสีดอกเลา คอยเสิร์ฟลูกค้าทุกชั้นวรรณะ ลิ้มลองของเด็ด แต่จ่ายตังค์แค่ 2.80 เหรียญสิงคโปร์ หรือราวๆ 70 บาท

แต่ด้วยเนื้องานที่หนัก เหนื่อย เหงื่อไหลย้อยแทบตลอดเวลา ภายในร้านเล็กๆ แคบๆ อุปกรณ์เครื่องครัวแค่พื้นๆ กำไรไม่กี่ตังค์ สวนทางกับความฝันของเชฟรุ่นใหม่ที่อยากปรุงอาหารภายในห้องครัวหรูหรา ติดแอร์ ภัตตาคารทันสมัย รายได้งดงาม ความหวังที่จะมีลูกหลานสืบทอดนั้น…ริบหรี่เต็มที

ไม่ว่าจะเป็น มร.อเล็ก สี อายุ 66 ปี ขาย ผัดหมี่ฮกเกี้ยน ย่านอีสต์ โคสต์ เล่าว่า สมัยก่อนอายุ 16 ปี ถามพ่อเรื่องผัดหมี่ทุกวัน แต่สมัยนี้มาๆไปๆ ไม่สนใจที่จะเรียนรู้อย่างแท้จริง

มร.สุโมสันทรัม โมกหัน อายุ 50 ปี เจ้าของ “โรตี พราต้า” บอกทั้งที่มีลูกน้องคอยช่วย แต่ 8 ปีแล้ว ฝีมือตวัดแป้งโรตีแล้วทอดให้เหลืองกรอบนั้น…ยังไม่ได้ดั่งใจเลย

มร.ลิม สวี เฮ็ง อายุ 56 ปี ผู้ปรุงบะหมี่ “โรซี่ ลักซา” ก๋วยเตี๋ยวต้มยำกระทิ ว่า กว่าจะปรุงให้น้ำซุปกลมกล่อมต้องใช้เวลาฝึกอยู่หลายปี และยิ่งจะให้ทุกอย่างเข้าถึงเครื่องนั้น…ยากส์

มร.วี ผ่อง ไส อายุ 66 ปี ผู้ที่อยู่กับบะหมี่ลูกชิ้นมานาน 40 ปี ที่ตลาดอาหาร กิ๋ม ม่อก ก็ยังมองไม่เห็นใครที่จะมอบสูตรได้ และ 2 คนสุดท้ายที่เพิ่งได้ดาวมิชลิน มร.ชาน ฮอง เมิง อายุ 51 ปี กับสุดยอดข้าวมันไก่ในย่านไชน่า ทาวน์ กับ มร. สแตนลิม อายุ 43 ปี ซึ่งน่าจะเป็นคนเดียวที่ลาออกจากงานเซลส์เมื่อ 3 ปีก่อนมาช่วยพ่อขาย “โรจัก”…

ฤทัยรัช จันทร์เพ็ญ

 

สันติภาพเมียนมาร์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย อานุภาพ เงินกระแชง 2 ก.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/709115

 

…ห้วงเวลา 5 วัน ตั้งแต่วันพุธ 31 ส.ค.ถึง 4 ก.ย. ชาติเพื่อนบ้านเมียนมาอยู่ระหว่างการประชุมครั้งสำคัญที่เรียกว่า “21 Century Panglong Conference”–การประชุมปางหลงยุคศตวรรษ 21 ขยายความถึง “ข้อตกลงปางหลวง” ความพยายามสร้างสันติภาพในประเทศจากความขัดแย้งของชนกลุ่มน้อยหลากหลายเผ่าพันธุ์กับรัฐบาลกลาง ซึ่งยืดเยื้อยาวนานมาแล้วหลายสิบปีนับตั้งแต่เมียนมาได้รับเอกราชจากอังกฤษเมื่อปี 2491

ข้อตกลงปางหลงเป็นความพยายามดำเนินการโดยนายพลออง ซาน อดีตผู้นำเมียนมา บิดา นางอองซาน ซูจี

เดิมพันการประชุมปางหลงยุคศตวรรษ 21 รัฐบาลเมียนมาเชื้อเชิญผู้แทนชนกลุ่มน้อยติดอาวุธทุกกลุ่มเข้าร่วมหารือในกรุงเนปิดอว์ แต่คาดว่าจะมีผู้แทนชนกลุ่มน้อยเข้าร่วมหารืออย่างน้อย 17 กลุ่มจากกลุ่มหลักๆ 20 กลุ่ม

นับตั้งแต่รัฐบาลใหม่ของเมียนมาภายใต้การบริหารของนางอองซาน ซูจี เริ่มปฏิบัติหน้าที่ นางซูจีมุ่งมั่นนำสันติภาพกลับคืนสู่ประเทศชาติเป็นภารกิจสำคัญอันดับต้นๆ แม้ไม่ใช่งานง่ายและใช้เวลาเพียงประเดี๋ยวประด๋าวสำเร็จ เพราะเงื่อนไขและความ ต้องการของชนกลุ่มน้อยหลากหลายเผ่าพันธุ์ทั่วประเทศมีรายละเอียดปลีกย่อยมากมายนอกเหนือจากความต้องการปกครองตนเองมากขึ้น

ที่ผ่านมาตั้งแต่กองทัพเมียนมายึดอำนาจปกครองประเทศเมื่อปี 2505 การสู้รบระหว่างฝ่ายทหารเมียนมากับกองกำลังชนกลุ่มน้อยหลากหลายเผ่าพันธุ์เกิดขึ้นตลอดไม่เคยหยุด เพราะแม้แต่การประชุมปางหลงยุคศตวรรษ 21 อยู่ระหว่างดำเนินการก็ยังมีการสู้รบอยู่ในพื้นที่เขตยึดครองกองกำลังคะฉิ่นกับรัฐฉานในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

คำถามถึงการประชุมครั้งล่าสุดนี้จะทำให้เกิดสันติภาพโดยเร็วหรือไม่

คำตอบคือยังไม่ใช่ แต่ก็เป็นนิมิตหมายที่ดีให้ฝ่ายความขัดแย้งได้มีโอกาสแสดงความจริงใจสร้างความเชื่อมั่นแก่กันมากขึ้นก่อน…

อานุภาพ เงินกระแชง

 

เวทีงัดข้อ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย เกรียงศักดิ์ จุนโนนยางค์ 1 ก.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/707930

 

นาทีนี้ พ.ศ.นี้ ไม่ว่าเรื่องดี หรือเรื่องลบต้องยกให้ประเทศจีนทีเดียว โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจในฐานะประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐฯ เรียกได้ว่าเดินหน้าไม่หยุดโดยมีภูมิภาคอาเซียนเป็น 1 ในจุดหมายหลัก โดยเข้ามาเป็นประเทศคู่เจรจาของอาเซียนเมื่อปี 2534 แล้วก้าวขึ้นเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์กันในปี 2546 และตั้งเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน (CAFTA) ในอีก 7 ปีต่อมา หรือในปี 2553

จีนยังกระจายความร่วมมือเป็นรายแยกย่อยกับสมาชิกอาเซียนแต่ละประเทศผ่านความร่วมมือโครงการต่างๆ รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐาน ถนนและระบบรางอีกด้วย จนผงาดมีอิทธิพลเหนือบางประเทศอาเซียนได้ แต่อีกทางก็เป็นคู่ขัดแย้งกับหลายประเทศอาเซียนในกรณีพิพาททะเลจีนใต้

และบนเวทีประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนและเวทีประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกในช่วงต้นเดือน ก.ย.นี้ ที่ สปป.ลาว จีนยังเตรียมงานฉลองครบรอบ 25 ปีการเป็นประเทศคู่เจรจาของจีน-อาเซียน โดยจะมีการจัดหลายงาน รวมทั้งการประชุมผู้นำจีน-อาเซียน ครั้งที่ 19 และการประชุมระดับผู้นำจีน-อาเซียนในโอกาสครบรอบ 25 ปีการเป็นประเทศคู่เจรจาระหว่างกัน

ผ่านเรื่องดีๆ มาแล้ว มาถึงเรื่องลบบ้างนอกจากเป็นประเทศคู่เจรจาและร่วมมือพัฒนาแล้ว จีนยังถูกหลายประเทศอาเซียนมองเป็นศัตรู โดยเฉพาะปัญหาพิพาททะเลจีนใต้ โดยมีสหรัฐฯเป็นตัวแปร

โดยประธานาธิบดีบารัค โอบามาของสหรัฐฯ หลังเสร็จประชุมกลุ่มจี 20 ที่จีนก็จะบินมาร่วมประชุมอาเซียน ที่ สปป.ลาว เป็นการมาเพื่อปรับ กระชับดุลนโยบายต่างประเทศ กลาโหมและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เพื่อรับมืออิทธิพลของจีน คงจะได้เห็นการใช้ชั้นเชิงการทูตเล่นงานกันอีกไม่ต่างกับหลายเวทีอาเซียนที่ผ่านๆมา

นักการทูตหลายคนเห็นว่าสหรัฐฯน่าจะมีแต้มต่อ สปป.ลาวตอนนี้ไม่เหมือนก่อน นับแต่ผลัด เปลี่ยนคณะผู้นำชุดใหม่เมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ก็ดูท่าจะเอนเอียงไปเข้าเวียดนามมากกว่าจีน เห็นได้จากที่เพิ่งพักโครงการรถไฟของจีนไว้ก่อนเพราะไม่พอใจเงื่อนไขข้อตกลงและเจ้าหน้าที่รัฐบาล สปป.ลาวเพิ่งยกคณะไปเยือนเวียดนามซึ่งเป็นการเยือนต่างประเทศประเทศแรก

การเลือกเข้าหาเวียดนามมากกว่าจีนของคณะผู้นำชุดใหม่ของ สปป.ลาว ไม่ต่างกับการเขี่ย ลูกบอลไปเข้าทางสหรัฐฯ เพราะยิ่งทำให้เวียดนามที่แย่งชิงทะเลจีนใต้กับจีนด้วยหันไปสนิทแนบแน่นกับสหรัฐฯมากขึ้น…งานนี้ผู้นำสหรัฐฯจะมาจับเสือมือเปล่า หรือกลับบ้านมือเปล่ามาลุ้นกัน!

เกรียงศักดิ์ จุนโนนยางค์

 

ดัชนีพิบัติภัย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย อานุภาพ เงินกระแชง 31 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/706535

 

…ดัชนีความเสี่ยงพิบัติภัย “World Risk Index 2016” สำรวจทั่วโลก 171 ประเทศหรือดินแดน ระบุกลุ่มชาติเสี่ยงเกิดภัยพิบัติมากที่สุดของโลกคือ สาธารณรัฐวานูอาตู ชาติหมู่เกาะมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ อยู่ห่างทางตะวันออกเฉียงเหนือออสเตรเลียราว 540 กม. ตามด้วยตองกา ฟิลิปปินส์ กัวเตมาลาและบังกลาเทศ ส่วนกลุ่มชาติเผชิญความเสี่ยงพิบัติภัยน้อยที่สุด คือ กาตาร์ มอลตา ซาอุดีอาระเบีย บาร์บาโดสและเกรนาดา

ถ้าวัดค่าเฉลี่ยทวีปเสี่ยงเกิดภัยพิบัติมากที่สุดคือ แอฟริกา ความเสี่ยงสูงสุดอยู่ที่ 13 ใน 15 ประเทศ ยกเว้นไลบีเรีย แซมเบียและสาธารณรัฐ แอฟริกากลางอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงปานกลางค่อนลงต่ำ

กลุ่มชาติมหาสมุทรแปซิฟิกอื่นๆ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อเมริกากลาง ทวีปแอฟริกาตอนใต้ และชาติแถบทะเลทรายซาฮาราอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงปานกลางค่อนทางสูง

พิบัติภัยในที่นี้หมายความรวมถึงภัยธรรมชาติแผ่นดินไหว น้ำท่วม ดินถล่ม พายุฝนรุนแรงและความแห้งแล้ง

ปัญหาคือ แต่ละประเทศแว่นแคว้นดินแดน พร้อมเผชิญและรับมือสถานการณ์พิบัติภัยมากน้อยแค่ไหน…

ตัวอย่างเช่น ญี่ปุ่นเสี่ยงเผชิญพิบัติภัยธรรมชาติสูงอันดับ 17 จากแผ่นดินไหว สึนามิ พายุรุนแรงและน้ำท่วม ดินถล่ม แต่มาตรการเฝ้าระวังป้องกันภัยและรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายของญี่ปุ่นสูงติดอันดับแถวหน้าของโลก

ออสเตรเลียก็เสี่ยงเผชิญพิบัติภัยธรรมชาติอยู่ในกลุ่มปานกลางค่อนทางสูงเหมือนกลุ่มชาติแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัญหาใหญ่ของออสเตรเลียคือ ความแห้งแล้ง แผ่นดินไหวและระดับน้ำทะเลเพิ่มสูง

ทวีปแอฟริกามีเพียงซิมบับเวได้รับเลื่อนอันดับดีขึ้น หรือความเสี่ยงลดลง เพราะยกระดับเตรียมความพร้อมป้องกันรับมือพิบัติภัยดีขึ้น โดยเฉพาะแผนเตรียมพร้อมเข้าถึงแหล่งน้ำดื่มน้ำใช้และระบบงานด้านสาธารณสุข

ชาติยุโรปส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ความเสี่ยงเผชิญพิบัติภัยธรรมชาติต่ำ ยกเว้นเนเธอร์แลนด์ อยู่อันดับ 49 เสี่ยงน้ำท่วมเพราะต้องต่อสู้กับสถานการณ์ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเรื่อยๆ

เปรียบเทียบกับบังกลาเทศ แม้เผชิญความเสี่ยงภัยธรรมชาติสูง โดยเฉพาะภัยน้ำท่วม ความแห้งแล้งและพายุรุนแรง แต่การเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติของภาครัฐยังไม่ถึงเกณฑ์มาตรฐาน สหประชาชาติแนะนำรัฐบาลบังกลาเทศให้เพิ่มการสำรองใช้พื้นที่อาคารสาธารณะ เช่นโรงเรียนเป็นสถานที่พักพิงชั่วคราวแก่ผู้ประสบภัยมากขึ้น

แม้ภัยพิบัติทั้งหลายแหล่ยากหลีกเลี่ยงเกิดขึ้นได้อย่างเด็ดขาดในทุกพื้นที่ แต่ปัญหาคือสภาพเศรษฐกิจ สภาพสังคม กฎระเบียบข้อจำกัดการเข้าถึงในเรื่องต่างๆ รวมถึงการแพทย์ แหล่งน้ำและระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน กับปัญหาทุจริตคอร์รัปชันและความหย่อนยานบังคับใช้กฎหมาย ยิ่งจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายแย่ลงอีก…

อานุภาพ เงินกระแชง

 

ปมมูลนิธิคลินตัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ตุ๊ ปากเกร็ด 30 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/705175

 

“Savage” ซาเวจที่แปลว่าป่าเถื่อน ถูกยกเป็นคำจำกัดความของศึกหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะนี้ซึ่งถือว่าเหมาะสม เนื่องจากต่างฝ่ายต่างถล่มโจมตีกันวันต่อวันแบบไม่มีกั้ก

โดยเฉพาะฟากนายโดนัลด์ ทรัมป์ พรรครีพับลิกัน ที่ล่าสุดถือว่าประสบความสำเร็จในการสร้างแรงกระเพื่อมทางการเมืองในระดับหนึ่ง หลังออกมาจี้จุดเรื่องมูลนิธิ “คลินตัน” องค์กรการกุศลระหว่างประเทศ ว่าเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับให้สินบนเจ้าหน้าที่ หรือ Slush Fund

มูลนิธิบิล ฮิลลารี แอนด์ เชลซี คลินตัน ก่อตั้งเมื่อปี 2540 มีจุดประสงค์เพื่อสร้างคอนเนกชั่นระหว่างกลุ่มทุนธุรกิจ รัฐบาล และเอ็นจีโอ ให้มาร่วมกันสร้างพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนให้ดีขึ้น ด้วยโครงการช่วยเหลือระดับสากลต่างๆ จนได้รับการจัดอันดับให้เป็นมูลนิธิชั้นนำ ระดับ A ของโลก

เงินทุนระดมได้ปีละกว่า 223 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กว่าครึ่งมาจากผู้บริจาคต่างชาติ มีทั้งรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย คูเวต ออสเตรเลีย นอร์เวย์ เนเธอร์แลนด์ เช่นเดียวกับบริษัทยักษ์ใหญ่เอ็กซอนโมบิล ซิสโก โคคา-โคล่า ธนาคารบาร์คเลย์ และกลุ่มมหาเศรษฐีเพื่อนนายบิล คลินตัน เครือธุรกิจสื่อ อุตสาหกรรม โทรคมนาคม

อย่างไรก็ตาม ด้วยเงินที่มหาศาลนี้จึงทำให้เกิดประเด็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนขึ้นมา ยกกรณีหนึ่งเมื่อปี 2553 ซึ่งนางฮิลลารีดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ เซ็นอนุมัติให้รัฐวิสาหกิจรัสเซีย “โรซาตอม” เข้าซื้อกิจการบริษัทเหมืองแคนาดาของเพื่อนนายบิล คลินตัน โดยบริษัทเหมืองแคนาดาที่ว่านี้เป็นผู้ได้รับสัมปทานการขุดแร่ยูเรเนียมในแผ่นดินสหรัฐฯ

แต่ที่ประจวบเหมาะคือการอนุมัติโดยกระทรวงต่างประเทศครั้งนั้น มีขึ้นหลังธนาคารที่มีความสัมพันธ์กับโรซาตอมได้จ่ายเงินแก่มูลนิธิ 500,000 ดอลลาร์ ให้นายบิล คลินตันมากล่าวปาฐกถาที่กรุงมอสโก รัสเซีย

นอกจากนี้ ในปมอีเมลส่วนตัวนางฮิลลารีที่ถูกเผยแพร่ออกมา ยังมีเรื่องราวมาสมทบอีกว่ารัฐบาลต่างชาติได้ใช้เส้นสายในมูลนิธิให้ช่วยนัดพบกับนางฮิลลารี รวมถึงนักการทูตชาติอื่นๆด้วย

งานนี้จึงเป็นที่น่าจับตาทีเดียว ว่าแรงกระเพื่อมจะไปได้ไกลแค่ไหน และจะมีการสวนกลับมากน้อยแค่ไหนจากฟากเดโมแครต โดย เฉพาะประเด็นเรื่องภาษีนายทรัมป์ ที่เจ้าตัวยังคงเงียบกริบ.

ตุ๊ ปากเกร็ด

 

ใช้โดรนส่งพิซซ่า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ยูเรนัส 29 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/704370

 

เดี๋ยวนี้เป็นยุคที่ผู้ผลิตสินค้าหรือผู้จัด จำหน่ายต่างหากลยุทธ์ใหม่ๆ มาใช้ในการขนส่งสินค้าไปให้ถึงมือผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วและยังคงความสดใหม่ (หากเป็นสินค้าประเภทอาหาร) ตลอดจนรักษาสินค้าให้อยู่สภาพมาตรฐานจากโรงงานผู้ผลิต (สำหรับสินค้าทั่วไป) ทำให้ผู้บริโภคได้รับการบริการที่สะดวกสบายมากขึ้น ซึ่งเป็นข้อดีอย่างมากๆ ในโลกไฮเทค ที่ทำให้อะไรต่อมิอะไรเจริญก้าวหน้าไปซะหมด

แล้วยิ่งน่าตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ เพราะที่ นิวซีแลนด์ ดินแดนที่มีนักเรียนไทยไปศึกษากันมากไม่แพ้ออสเตรเลีย ได้มีการส่งพิซซ่าถึงมือผู้สั่ง โดยใช้แมสเซนเจอร์ที่ไม่ใช่การส่งแบบคนขับรถมอเตอร์ไซค์ไปให้แล้วนะ

แต่เค้าใช้โดรน (อากาศยานไร้คนขับ) จัดส่งพิซซ่าไปถึงมือผู้รับ ด้วยความถูกต้องและรักษารสชาติเหมือนการส่งแบบแมสเซนเจอร์โดยรถมอ’ไซค์กันแล้ว

ร้านที่ริเริ่มการใช้โดรนมาบริการส่ง สินค้าตามสั่ง ได้แก่บริษัท โดมิโน พิซซ่า เอนเตอร์ไพร์ส แต่ตอนนี้ยังใช้โดรนจัดส่งพิซซ่าอาหารอิตาเลียนที่ง่ายต่อการรับประทานโดยจำกัดพื้นที่แค่ในเมืองโอ๊คแลนด์ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเกาะ เหนือของนิวซีแลนด์แดนศิวิไลซ์ก่อน แต่ทางโดมิโนประกาศว่า จะมีการขยายให้บริการด้วยวิธีใช้โดรนไปตามเมืองต่างๆ ต่อไปเรื่อยๆ

ถือเป็นครั้งแรกในโลกที่ใช้โดรนส่ง พิซซ่า เพื่อหวังประหยัดทั้งเงินและเวลาทำไมต้องเริ่มที่โอ๊คแลนด์? เพราะเมืองนี้เป็นเมืองใหญ่ที่สุดในนิวซีแลนด์ แถมมีประชากรอยู่นับล้าน (ประมาณ 4.4 ล้านคน) ทั้งยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการศึกษาของประเทศ มีมหาวิทยาลัย 3 ใน 8 แห่งตั้งอยู่ที่นี่

ดังนั้น จึงมั่นใจได้ว่าอุตสาหกรรมอาหารอย่างพิซซ่ามีกลุ่มเป้าหมายชัดเจนและมากพอที่บริษัทจะลงทุนใช้โดรนให้บริการแก่ลูกค้าได้ แม้บางคนแซวว่าเป็นการลงทุนเพื่ออยากดังแต่จะเป็นไรไปล่ะ

ด้านนายไซมอน บริดจ์ รัฐมนตรีคมนาคมขนส่งของแดนกีวี กล่าวว่า นิวซีแลนด์มีกฎหมายและข้อบังคับชัดเจนในเรื่องของการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งการนำโดรนมาใช้ขนส่งสินค้าก็เป็นส่วนหนึ่งของการรักษาสิ่งแวดล้อม เนื่องจากการใช้มอเตอร์ไซค์หรือการขนส่งทางบกด้วยรถประเภทใดก็ตามจะก่อให้เกิดมลภาวะทางอากาศ

แต่ข้อเสียก็มี เพราะพนักงานส่งอาหารอาจถูกลดจำนวนลงน่ะซี.

ยูเรนัส

 

อิรัชชัยมาเซะ…โอลิมปิก(ต่อ)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย กิรณา อินทร์ชญาณ์ 27 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/702549

 

เป็นที่รู้แจ้งกันโดยทั่วอยู่แล้วว่า ยูโด เป็นกีฬาที่ถือกำเนิดขึ้นในญี่ปุ่น กระทั่งแพร่หลายไปจนถึงหยิบไปใช้ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก แต่เมื่อย้อนกลับไปเมื่อศตวรรษที่ 12 เป็นช่วงที่ญี่ปุ่นเข้าสู่การปกครองโดยซามูไร ในสมัย “คามะคุระ” สืบเนื่องมาจนถึงศตวรรษที่ 17-19 ในสมัยเอโดะ ทำให้ศิลปะการต่อสู้ในหลากหลาย แขนงได้ถูกพัฒนาขึ้น รวมไปถึงการต่อสู้ด้วยดาบและธนู

ต่อมาซามูไรได้พัฒนาการต่อสู้ด้วยมือเปล่า เพื่อใช้สำหรับประชิดตัวกับศัตรูในสนามรบ

กระทั่งต้นสมัยเมจิ ค.ศ.1868-1912 จิโกะโร คะโน ได้ก่อตั้งสำนักยูโดขึ้น โดยมีจุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อเป็นกีฬาเท่านั้น แต่เพื่อเป็นการฝึกฝนจิตใจด้วย กีฬายูโด ได้รับความสนใจในฐานะกีฬาสากล ได้รับการบรรจุเป็นกีฬาสำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก นับตั้งแต่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพครั้งที่ 18 ในปี 2507

การแข่งขันยูโดถูกล้อมกรอบภายใต้สังเวียนที่มีขนาดพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาด 8-10 ม. มีกรรมการตัดสิน 1 และผู้ช่วยอีก 2 ในการแข่งขันที่ต้องใช้เทคนิค 67 กระบวนท่าเศษๆ เพื่อโยนคู่ต่อสู้ และอีก 29 กระบวนท่าสำหรับล็อกคู่ต่อสู้ไม่ให้ขยับ อาจถูกตัดสินเห็นผลรู้ชนะ

การให้คะแนนนั้น คู่แข่งสามารถทุ่มอีกฝ่ายจนหลังคู่ต่อสู้สัมผัสพื้น จะได้รับ “อิปปง” คะแนนสูงสุด การบิดหรือล็อกแขนคู่ต่อสู้ไว้กับเสื่อหรือร่างกายจะสามารถได้รับคะแนน และทำให้การแข่งขันสิ้นสุดลงทันทีเมื่อคู่ต่อสู้กล่าวว่า “มะอิตตะ” ยอมแพ้ หรือใช้มือตบลงบนร่างกายหรือเสื่อมากกว่า 2 ครั้ง

เสน่ห์อีกอย่างหนึ่ง คือเรื่องของ “มารยาท” ซึ่งแสดงถึงความเคารพต่อคู่ต่อสู้ ในการแข่งขัน 1 ครั้ง มีการโค้งเพื่อคารวะถึง 7 ครั้ง ทั้งก่อนและหลัง ด้วยการโค้งร่างกายส่วนบนไปข้างหน้าทำมุมประมาณ 30 องศา การโค้งเมื่อเข้าและออกจากบริเวณการแข่งขัน โค้งก่อนและหลังออกจากสังเวียน โค้งเมื่อพบคู่ต่อสู้ก่อนและหลังจากการแข่งขัน และสุดท้ายโค้งหลังจากกรรมการประกาศผลการแข่งขัน

และการเป็นเจ้าภาพอีกครั้งคราวนี้ ญี่ปุ่นก็เพิ่มกีฬาอีก 6 ประเภท : เบสบอล ซอฟต์บอล โต้คลื่น สเกตบอร์ด คาราเต้และกีฬาปีนป่าย หวังต้อนคนรุ่นใหม่ทั้งผู้เล่นและผู้ดูมากขึ้นนั่นเอง.

กิรณา อินทร์ชญาณ์

 

อิรัชชัยมาเซะ…โอลิมปิก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ฤทัยรัช จันทร์เพ็ญ 26 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/701390

 

กลายเป็นภาพที่เรียกได้ว่า สร้างความประทับใจแบบแรกเห็น เมื่อ มร.ชินโสะ อาเบะ หัวหน้าคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น “แย่งซีน” เรียกเสียงชัตเตอร์รัวๆๆๆๆ จากสื่อในงาน รวมไปถึงโลกสังคมออนไลน์

หลังปรากฏตัวในพิธีปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่นครริโอ เด จาเนโร ประเทศบราซิล แบบโผล่ออกมาจากท่อในชุดและหมวกซุปเปอร์มาริโอกับลูกบอลกลมๆ สีแดงๆ ตัวการ์ตูนเอกในเกมสุดคลาสสิกของญี่ปุ่น เพื่อรับมอบภารกิจการเป็นเจ้าภาพครั้งต่อไปในอีก 4 ปีข้างหน้า… อิรัชชัยมาเซะ ยินดีต้อนรับกันเลย

ส่วนการ์ตูนที่ทางญี่ปุ่นเลือกให้เป็นทูตพิเศษโอลิมปิกนั้น ก็คือ โดราเอมอน เจ้าแมวโลกอนาคตที่มีกระเป๋าจิงโจ้สารพัดนึก และหลายๆคนเชื่อขนมโมจิกินได้เลยว่า จะมีตัวคาแรกเตอร์เด่นๆ ทยอยออกมาให้อู้ววว์…คาวาอิ๊ (ภาษาญี่ปุ่นหมายถึง น่ารัก) อีกแน่นอน น่าเสียดายที่การ์ตูนในเกมโปเกมอน โก ที่กำลังระบาดคอเกมในหลายๆประเทศไปแล้ว ไม่ได้เข้าร่วม เพราะไม่ได้เป็นสปอนเซอร์

และเป็นจังหวะพอดีที่ทาง สถานทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย จัดส่งวารสาร “จากญี่ปุ่น” มาให้ ภายในเนื้อหาก็เกี่ยวเนื่องกับการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโอลิมปิก และบอกเล่าเท้าความถึง “กีฬาญี่ปุ่น” ซึ่งบางประเภทกลายเป็นกีฬาระดับสากล และกีฬาในโอลิมปิกด้วย

สำหรับตราสัญลักษณ์ซึ่งเป็นผลงานออกแบบโดย “โทโคะโระ อะซะโอะ” ชื่อ “Harmo-nized Chequered Emblems” กับแนวความคิดที่ว่า…

ในประวัติศาสตร์พบว่า รูปแบบลายตารางได้รับความนิยมและแพร่หลายในหลายประเทศทั่วโลก สำหรับประเทศญี่ปุ่น ลายตาราง เป็นที่รู้จักกันดีมาตั้งแต่สมัยเอโดะ (ค.ศ.1603-1867) ในชื่อ “Ichimatsu moyo”

พร้อมการออกแบบลายตารางด้วยสีคราม (indigo Blue) ซึ่งเป็นสีดั้งเดิมของญี่ปุ่น แสดงถึงความงดงาม และสะท้อนลักษณะความเป็นญี่ปุ่น การผสมผสานรูปทรงสี่เหลี่ยม 3 รูปแบบที่แตกต่างกันไป สะท้อนความหลากหลายในประเทศ วัฒน– ธรรมและความคิด ซึ่งแม้จะมีความแตกต่าง แต่ยังมีความกลมเกลียวรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ดังเช่นข้อความที่ว่า “เอกภาพในความหลากหลาย” Unity in Diversity และยังแสดงถึงจุดมุ่งหมายของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก และพาราลิมปิกเกมส์ เพื่อส่งเสริมการยอมรับในความหลากหลาย ในการเชื่อมโลกเข้าด้วยกัน…

ฤทัยรัช จันทร์เพ็ญ