เส้นทางข้ามคาบสมุทรช่องสิงขร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 1 ก.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/707909

 

ทีมงานเปิดเลนส์ส่องโลกมีโอกาสเดินทางข้ามจุดผ่อนปรนพิเศษด่านสิงขร อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เข้าไปที่ด่านพรมแดนถาวรมูด่องของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เดินทางอีก 100 กิโลเมตรก็ถึงตัวเมืองตะนาวศรี และต่อไปอีก 80 กิโลเมตรถึงตัวเมืองมะริด ถนนทั้ง 180 กิโลเมตร บางช่วงกว้าง 8 เมตร บางช่วงกว้าง 12 เมตร

รัฐบาลเมียนมาสร้างเส้นทาง 80 กิโลเมตรจากเมืองมะริดถึงเมืองตะนาวศรีให้เท่านั้น ส่วนระยะทางอีก 100 กิโลเมตร จากเมืองตะนาวศรีจนถึงชายแดนไทยที่ด่านสิงขร รัฐบาลเมียนมาไปกู้เงินจากรัฐบาลจีน 1,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯมาสร้าง แต่หอการค้าและสภาอุตสาหกรรมเมืองมะริดจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการผ่อนชำระ

การเดินทางในครั้งนั้น ทีมงานเดินทางไปพร้อมกับนายอำเภอชาตรี จันทร์วีระชัย และชาวกุยบุรีอีก 30 คน เพื่อศึกษาเส้นทางข้ามคาบสมุทรช่องสิงขร ไม่น่าเชื่อนะครับว่า สินค้ายอดนิยมที่คนเมียนมามาซื้อที่ตลาดด่านสิงขรเป็นพวกดอกไม้และกล้วยไม้ที่ชาวเมียนมาซื้อไปถวายพระ นอกนั้นก็เป็นสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าของเมียนมาที่นำเข้ามาขายก็เป็นพวกเครื่องประดับ หยก พลอย เครื่องประทินผิว และเฟอร์นิเจอร์

ฝั่งเมียนมามีด่านพรมแดนถาวร ส่วนฝั่งไทยเป็นแค่จุดผ่อน ปรนพิเศษทางการค้า ยังไม่เปิดเป็นด่านพรมแดนถาวรเพราะติดปัญหาเรื่องเขตปักปันพื้นที่ชายแดนอีกประมาณ 100 เมตรที่ยังระบุเขตไม่ได้ ทำให้บริเวณนี้เป็น No man’s land ผมเองอยากให้มีข้อตกลงร่วมกันระหว่างไทยกับเมียนมาไวๆครับ ด่านสิงขรจะได้เป็นด่านพรมแดนถาวรซะที

ย้อนหลังกลับไปประมาณหลายร้อยปี มีเส้นทางประวัติศาสตร์ทางการค้าระดับโลก ที่พ่อค้าอาหรับ อิหร่าน และอินเดียขนของจากมหาสมุทรอินเดียมาขึ้นที่เมียนมาและขนทางบกมายังอ่าวไทย มหาสมุทรแปซิฟิก เพื่อขนของไปเมืองจีนโดยไม่ต้องไปอ้อมแหลมมลายู เส้นทางนี้เงียบเหงาไปนาน แต่ปลายปีหน้าเมื่อมีการปรับปรุงพัฒนาเส้นทางเสร็จผมว่าก็น่าจะเป็นอีกเส้นทางหนึ่งที่กลับมามีความสำคัญทางเศรษฐกิจอีกครั้ง

ตอนที่ทีมงานเปิดเลนส์ส่องโลกเดินทางไปเยือน จากชายแดนสิงขรถึงตัวเมืองตะนาวศรี ระยะทาง 100 กิโลเมตรนั้น ต้องใช้เวลาเดินทางเกือบ 4 ชั่วโมง จุดพักรถมีเพียงแห่งเดียว ร้านอาหาร ห้องน้ำ ฯลฯ ก็ยังไม่ได้มาตรฐาน เมื่อเส้นทางเสร็จ ผมว่าก็เป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนรายย่อยๆ ที่จะไปสร้างสถานีบริการน้ำมัน ร้านอาหาร ร้านค้า ไปจนถึงโรงแรมขนาดเล็ก ฯลฯ

เส้นทางสายตะนาวศรี–มะริด 80 กิโลเมตรก็มีโอกาสเช่นเดียวกันนะครับ มะริดเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพด้านการประมงและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสูง มะริดเมืองเดียวมีเกาะแก่งต่างๆ มากมายถึง 800 แห่ง แต่ละปีก็จับสัตว์น้ำได้มากกว่าแสนตัน มูลค่าส่งออกสัตว์น้ำมากถึงปีละ 530 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่เราชาวไทยต้องให้ความสำคัญกับเมืองนี้ เพราะมะริดเพียงเมืองเดียวเป็นแหล่งป้อนวัตถุดิบอาหารทะเลให้กับประเทศไทยถึงร้อยละ 80 โรงงานแปรรูปอาหารทะเลในมะริดตอนนี้มีมากถึง 10 แห่ง แช่แข็งอาหารทะเลได้มากถึง 1,000 ตัน

นอกจากความสมบูรณ์ของสัตว์น้ำในทะเลแล้ว ที่มะริดยังส่งเสริมการทำประมงชายฝั่งและการเลี้ยงสัตว์น้ำ มีการเลี้ยงปลาเก๋าในทะเล ฟาร์มเลี้ยงหอยมุก ส่วนฟาร์มปูนิ่มก็มีเยอะครับ หลายแห่งได้รับรองคุณภาพ GAP เลี้ยง 35 วัน ปูก็เริ่มลอกคราบ ก็ต้องรีบจับมาขาย นะครับ เพราะถ้าปูลอกคราบเกิน 6 ชั่วโมง กระดองก็จะแข็งเอามาทำปูนิ่มไม่ได้

มะริดมีประชากรมากกว่า 6 แสนคน มีเรือประมงขนาดใหญ่ 723 ลำ เรือขนาดเล็กมากกว่า 5,000 ลำ มีอู่ต่อเรือและซ่อมเรือหลายแห่ง ตอนนี้ก็ขยายท่าเรือและตั้งเขตนิคมอุตสาหกรรม นอกจากมะริดจะสำคัญกับจังหวัดประจวบคีรีขันธ์แล้ว กับจังหวัดระนองก็สำคัญนะครับ เพราะสัตว์น้ำที่จับได้จากมะริดส่วนใหญ่ส่งออกไปทางระนอง สำหรับมาที่ประจวบคีรีขันธ์ การขนส่งในปัจจุบันยังไม่สะดวก

ปลาย พ.ศ.2560 เส้นทางโบราณสายหนึ่งจะได้รับการปรับปรุงให้เดินทางได้สะดวกขึ้น รวดเร็วขึ้น นักธุรกิจเมียนมาและนักธุรกิจชาติอื่นในประชาคมอาเซียนต่างกระโจนเข้าไปหาความรู้และหาโอกาสทางการค้าและการลงทุน ผมขออนุญาตแนะนำนักธุรกิจไทยให้หาโอกาสไปทดลองเดินทางดูบ้าง อย่าให้ได้ชื่อว่า ใกล้เกลือกินด่างครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

 

กฎแห่งกรรม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 31 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/706505

 

เกือบ 20 ปีที่แล้ว เปิดฟ้าส่องโลกเขียนถึงการประมูลสินทรัพย์หลักของบริษัทที่ถูกปิดกิจการ 56 แห่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและมีการแสวงหาประโยชน์ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง มีการประมูลขายสินทรัพย์หลัก 7 ครั้ง มูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชี 600,243 ล้านบาท แต่ขายได้ในราคาเพียง 150,026 ล้านบาท

รัฐบาลตั้ง ปรส.ขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่ชำระบัญชีสถาบันการเงิน 56 แห่ง ปรส.มีหน้าที่ต้องขายสินทรัพย์ให้ได้ราคาดี เพื่อให้ได้เงินมาคืนหนี้กองทุนฟื้นฟูระบบสถาบันการเงิน แต่จากผลคำพิพากษาชัดเจนว่า ปรส.ได้เอื้อประโยชน์ต่อฝ่ายซื้อจนเสียหาย

ทุกครั้งที่เปิดฟ้าส่องโลกเขียนถึงเรื่องนี้ ก็มักโดนโจมตีกลับจากทั้งคณะบุคคลและพรรคการเมือง ผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียงเป็นที่เคารพท่านหนึ่งเคยพูดกับคนเขียนเปิดฟ้าส่องโลกว่า “เป็นไปไม่ได้ที่พวกผมจะแสวงหาประโยชน์ คุณเข้าใจผิด”

คำตัดสินของศาลฎีกาเมื่อ 26 สิงหาคม 2559 ที่ให้จำคุกนายอมเรศ ศิลาอ่อน ประธานกรรมการ ปรส. และนายวิชรัตน์ วิจิตรวาทการ คนละ 2 ปี โทษจำให้รอลงอาญา เป็นสิ่งยืนยันว่า ผมเข้าใจไม่ผิด

คนไทยต้องขอบคุณ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ซึ่งตอนนั้นเป็นอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่สอบพยานบุคคลมากกว่า 100 ปาก และดำเนินคดีคณะกรรมการ ปรส. โดยไม่ส่งสำนวนไปยัง ป.ป.ช. เพราะเป็นการกระทำผิดที่เกิดก่อนกฎหมาย ป.ป.ช. แต่ส่งไปให้พนักงานอัยการโดยตรง

ยังจำความทุกข์ของคนไทยในตอนนั้นได้ สถาบันการศึกษาเอกชนที่พ่อผมทำงานอยู่ แต่ละวันต้องต้อนรับพ่อแม่ที่พาลูกกลับจากต่างประเทศมาเรียนต่อในประเทศ เพราะส่งเสียต่อไปไม่ไหว ธุรกิจล้มละลาย ไม่สามารถพลิกฟื้นคืนมาเหมือนเดิมได้

ที่ผมแปลกใจมากในตอนนั้นก็คือ สินทรัพย์ที่ควรขายให้เร็ว ท่านกลับขายช้า ปล่อยให้เสียหายก่อนแล้วจึงขาย เช่น สินทรัพย์สินเชื่อผลิตสินค้าเพื่ออุปโภคบริโภค สินเชื่อเพื่อการพาณิชย์และการค้า พวกนี้ต้องรีบประมูลให้เร็วครับ ผู้คนจะได้ทำงานต่อไปได้ ถ้าทิ้งไว้นาน สินค้าจะเสียหาย เครื่องจักรมีค่าเสื่อม คนจะตกงาน ลูกค้าที่เคยสั่งสินค้าจะหนีไปสั่งซื้อจากประเทศอื่น ฯลฯ

สินทรัพย์ที่ไม่น่าจะต้องรีบขาย ดันกลับเร่งขาย เช่น หมู่บ้านจัดสรร อาคารให้เช่า ที่ดินรอพัฒนาโครงการ และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ของพวกนี้ไม่เน่า ไม่เสื่อมราคา ถ้ารออีกสักหน่อย เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้นแล้ว ก็จะมีราคาคุ้มกับสินเชื่อที่กู้ไป แต่เพราะท่านเร่งรีบขาย ฝรั่งก็จึงเข้ามาซื้อได้ในราคาที่ถูกมาก

ท่านจัดกองสินทรัพย์ประมูลขาย “ขนาดใหญ่” จนผู้ที่จะเข้าประมูลต้องเป็นบริษัทต่างชาติที่มีเงินมหาศาลเพียงสองสามรายในโลกนี้เท่านั้น นี่ล่ะครับที่เราเขียนกันบ่อยว่า ท่านสร้างการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม แถมท่านยังกำหนดให้คนชนะประมูลต้องจ่ายเป็นเงินสด คนไทยที่ไหนจะมีเงินสดมากขนาดนั้นครับ ขนาด บบส. มีวงเงิน 1 พันล้านบาท ธนาคารรัตนสินมี 4 พันล้านบาท ก็ยังประมูลไม่ได้เลย

คนไทยยืนตาละห้อยดูต่างชาติซื้อทรัพย์สินเพื่อเอาไปขายต่อโดยไม่ได้นำเงินเข้าประเทศไทย ท่านเชื่อไหมครับ กองประมูลสินเชื่อธุรกิจครั้งที่ 1 (15 ธันวาคม 2541) กลุ่ม BL 19-BL 22 ท่านจัดกองสินทรัพย์เอาไว้สูงถึง 115,890 ล้านบาท สูงขนาดนั้น บริษัทไทยไม่มีสิทธิเข้าประมูลดอกครับ บริษัทต่างชาติโกลด์แมน แซคส์ เอเชีย ไฟแนนซ์ จึงเข้าไปซื้อในราคาเพียง 22,454 ล้านบาท ซื้อไปแล้วก็เอากลับไปขายให้ลูกหนี้เดิมซึ่งเป็นคนไทย อยู่ดีๆ ท่านก็ยื่นดาบให้บริษัทต่างชาติปล้นคนไทย ได้กำไรไปหลายเท่าตัว

พวกเราตะโกนก้องร้องแฉพฤติกรรมของบริษัทต่างชาติอย่างเลแมน บราเดอร์ส โฮลดิ้ง อิงค์ และบริษัทอื่นที่แบ่งผลประโยชน์กับนักการเมือง ด้วยความหวังตั้งใจว่ารัฐมนตรีคลังและนายกรัฐมนตรีสมัยนั้นจะแก้ไข ทว่าทุกอย่างเงียบเชียบ

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เคยสอนว่า “กรรม” เป็นของลึกลับ และมีอำนาจมาก ไม่มีผู้ใดหนีกฎแห่งกรรมได้เลย

บริษัทต่างชาติที่เข้ามาก่อกรรมทำเข็ญกับคนไทย ต่างล้มระเนนระนาด และแม้ว่าจะมีคำพิพากษาของศาลฎีกาลงโทษประธานและกรรมการ ปรส.แล้ว แต่ยังมีนักการเมืองไทยอีกหลายคนที่ในตอนนั้นจับมือกับฝรั่งฟันคนไทย

คุณหนีกรรมไม่พ้นดอกครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
pasalok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

 

อังเกลา แมร์เคิลเสียศูนย์ (2)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 30 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/705170

 

เมื่อวานผมรับใช้เรื่องที่นางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีของเยอรมนี ออกมาพูดเมื่อ 23 สิงหาคม 2559 ว่า รัฐบาลคาดหวังว่าคนเยอรมันเชื้อสายตุรกีที่มาลงหลักปักฐานในประเทศนี้จะพัฒนาความจงรักภักดีต่อประเทศ ก็ไม่นึกนะครับว่า นางแมร์เคิลจะแสดงความสงสัยในความจงรักภักดีของพลเมืองของตน รัฐมนตรีทบวงการรวมตัวเยอรมนีออกมาด่านางแมร์เคิลทันทีว่าคนเยอรมันเชื้อสายตุรกีมีความรักชาติและไม่ควรถูกเข้าใจผิด

แรงงานตุรกีเข้าไปในเยอรมนีครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1965 จำนวน 6,800 คน ตอนแรกก็ไม่มีใครคิดที่จะอยู่นานดอกครับ หาเงินได้แล้วก็จะกลับตุรกี แต่เศรษฐกิจตุรกีแย่ลง แรงงานก็เลยตัดสินใจอยู่เยอรมนีเป็นการถาวร แรงงานเหล่านี้หลายคนแต่งงานกับคนเยอรมัน จนกระทั่ง ค.ศ.1973 เศรษฐกิจโลกตกต่ำเพราะวิกฤติน้ำมัน ในเยอรมนีเองก็มีคนว่างงานเยอะ รัฐบาลเยอรมันจึงยกเลิกนโยบายแรงงานนำเข้าจากต่างประเทศ แต่ในตอนนั้นก็มีคนตุรกีอยู่ในเยอรมนีแล้ว 9 แสนคน

ค.ศ.1974 เยอรมนีมีกฎหมาย Family Reunion Law คนตุรกีก็พาญาติพี่น้องเข้ามาอยู่ตามกฎหมายนี้ สิ้นปี ค.ศ.2000 มีชาวตุรกีอยู่ในเยอรมนี 2 ล้านคน ที่พ่อผมเดินทางไปเมื่อ 2 เดือนก่อน มีคนเยอรมันเชื้อสายตุรกีอยู่มากถึง 3 ล้านจากประชากรชาวเยอรมันทั้งหมด 82 ล้านคน

คนเยอรมันตุรกีส่งเงินกลับไปตุรกีถึงขนาดว่าสมัยก่อนเงินมาร์กนอกประเทศเยอรมนีมีมากที่สุดในประเทศตุรกี ใจกลางที่สุดของกรุงเบอร์ลินคือ เขต Kreuzberg เป็นเขตที่อยู่ของคนเยอรมันตุรกี มีธุรกิจของคนตุรกีในเยอรมนีมากกว่า 6 หมื่นแห่ง ค.ศ.2013 มีชาวเยอรมันเชื้อสายตุรกีได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกรัฐสภาแห่งเยอรมนีมากถึง 11 คน

ตามกฎหมายเยอรมัน เด็กเกิดในเยอรมนีจะได้รับสัญชาติโดยอัตโนมัติ หากมีพ่อแม่เป็นชาวต่างชาติ ต้องมีคนใดคนหนึ่งได้รับสิทธิในการอยู่อาศัยอย่างถูกต้องตามกฎหมายมาไม่น้อยกว่า 8 ปี และเด็กนั้นจะต้องเลือกถือสัญชาติเดิมของพ่อแม่ หรือสัญชาติเยอรมันก่อนอายุครบ 23 ปี

27 สิงหาคม 2559 รัฐบาลตุรกีอนุญาตให้ตำรวจหญิงคลุมฮิญาบในชุดเครื่องแบบได้เป็นครั้งแรกแล้วนะครับ แต่ต้องใช้ผ้าคลุมผมสีเดียวกับเครื่องแบบ และต้องไม่มีลวดลาย ตั้งแต่ ค.ศ.1937 มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ตุรกีเป็นรัฐฆราวาส หมายความว่า ศาสนากับการเมืองต้องแยกจากกัน มีการประท้วงบ่อยเรื่องต่อต้านการห้ามคลุมฮิญาบในหน่วยงานราชการของตุรกี เป็นเรื่องแปลกนะครับที่ตุรกีมีพลเมืองทั้งประเทศ 79.4 ล้านคน และร้อยละ 99.8 ของพลเมืองนับถือศาสนาอิสลาม แต่กลับมีการห้ามคลุมฮิญาบในหน่วยงานราชการ จนถึงขนาดต้องมีการประท้วงกันมากมายหลายครั้ง

หลายประเทศที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม ให้ตำรวจหญิงคลุมฮิญาบได้ก่อนประเทศตุรกีเสียอีก ตำรวจลอนดอนให้ตำรวจหญิงคลุมฮิญาบได้ตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ตำรวจสกอตแลนด์ก็เอาตาม ตอนนี้รัฐบาลแคนาดาก็ประกาศจะอนุญาตให้ตำรวจม้าหญิงคลุมฮิญาบขณะแต่งเครื่องแบบได้เช่นกัน

ก่อนหน้านี้ นักศึกษาหญิงในมหาวิทยาลัยในตุรกีก็ห้ามคลุมฮิญาบนะครับ เพิ่งมาได้รับอนุญาตเมื่อ ค.ศ.2010 นี่เอง นักศึกษาหญิงของรัฐทุกแห่งเพิ่งได้รับอนุญาตเมื่อ ค.ศ.2013 นักเรียนหญิงชั้นมัธยมก็เพิ่งได้รับอนุญาตเมื่อ ค.ศ.2014 จะว่าไปแล้วนักเรียนนักศึกษาหญิงตุรกีได้รับอนุญาตให้คลุมฮิญาบได้ทีหลังหลายประเทศที่ไม่ใช่มุสลิม

การที่นางอังเกลา แมร์เคิล ต้อนรับผู้อพยพมุสลิมเข้าประเทศจำนวนมากก็มองได้ 2 มุม มุมหนึ่งก็คือ ได้ทรัพยากรมนุษย์จากตะวันออกกลางมาอยู่ในประเทศของตนเองโดยไม่ต้องลงทุน แต่อีกมุมหนึ่งก็เป็นการนำปัญหาเข้ามาในประเทศ ซึ่งตอนนี้มีข่าวของแท้แน่ชัดว่ามีสายลับและเครือข่ายสายข่าวของตุรกีฝังตัวอยู่ในเยอรมนีมากถึง 6 พันคน

ผมว่านโยบายของเยอรมนีที่มีต่อชนกลุ่มน้อยต้องแบ่งเป็น 2 อย่างครับ อย่างแรกคือ กลุ่มที่เข้ามาใช้แรงงานและถือโอกาสอยู่เลยจนพลเมืองสมบูรณ์ กลุ่มนี้เข้ามาช่วยสร้างประเทศอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่างเช่น เยอรมันตุรกี ส่วนกลุ่มที่สองคือ ผู้อพยพที่หนีภัยสงครามที่เข้ามาอย่างเร่งด่วน แต่ทุกครั้งที่ฟังนางอังเกลาพูดดูเหมือนกับว่าแกเหมารวม ทั้งคนเก่าคนใหม่ ซึ่งถ้าเหมารวมอย่างนี้ก็คงจะมีปัญหาตามมาอีกเยอะครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

 

อังเกลา แมร์เคิลเสียศูนย์ (1)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 29 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/704359

 

09.00-12.00 น. ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ พูดสถานการณ์โลกกับบทบาทการพัฒนาท้องถิ่น และ 13.00-16.00 น. พูดศักยภาพการบริหารในบริบทอาเซียนของผู้บริหาร รับใช้นักบริหาร อปท.2 คณะ ที่สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น จ.ปทุมธานี

18 สิงหาคม 2559 มีข่าวกระจายไปทั่วเยอรมนีว่า ตุรกีเป็นศูนย์กลางของกลุ่มมุสลิมติดอาวุธและขณะนี้หน่วยข่าวกรอง MIT ของตุรกีมีสายลับและเครือข่ายสายข่าวฝังตัวอยู่ในเยอรมนีมากถึง 6 พันคน

ข่าวนี้คงเป็นความจริงครับ เพราะคนที่ร้อนรนมากที่สุดคนหนึ่งก็คือ นางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีของเยอรมนี ถึงขนาดนางแมร์เคิลออกมาพูดเมื่อ 23 สิงหาคม 2559 ว่า รัฐบาลคาดหวังว่าคนเยอรมันเชื้อสายตุรกีที่มาลงหลักปักฐานในประเทศนี้จะพัฒนาความจงรักภักดีต่อประเทศ

ไม่นึกนะครับว่า นางแมร์เคิลจะแสดงความสงสัยในความจงรักภักดีของพลเมืองของตน รัฐมนตรีทบวงการรวมตัวเยอรมนีออกมาด่านางแมร์เคิลทันทีว่าคนเยอรมันเชื้อสายตุรกีมีความรักชาติและไม่ควรถูกเข้าใจผิด

โฆษกการอพยพเยอรมนีของพรรคกรีนเยอรมันเฟาเคอร์ เบค ออกมาซัดนางแมร์เคิลเหมือนกันว่า การสงสัยว่าพลเมืองของตนเองรักชาติหรือไม่ เราจะพบได้จากรัฐบาลเผด็จการเท่านั้น คนเราไม่จำเป็นต้องมาแสดงออกเรื่องความจงรักภักดี แต่ควรสนับสนุนหลักการใหญ่ของประเทศที่ว่าด้วยศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิขั้นพื้นฐาน

ทุกครั้งที่มีข่าวแบบนี้ออกมา บางท่านอาจจะงุนงงสงสัยว่า เอพวกยุโรปเขาพูดถึงเรื่องอะไรกัน เมื่อก่อนผมก็งงเหมือนกันครับ จนกระทั่งเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว พ่อผมและทีมงานเปิดเลนส์ส่องโลกได้ไปตระเวนเยือนบ้านคนเยอรมันเชื้อสายตุรกี ซึ่งในขณะนี้ทั้งประเทศมีประมาณ 3 ล้านคน พบเลยครับว่า คนพวกนี้มี 2 โลก โลกเก่าในตุรกี และโลกใหม่ในเยอรมนี บางครอบครัวที่เรารู้จักก็ยังสั่งอาหารการกินมาจากตุรกี แต่พอพูดถึงเรื่องความรักประเทศ เรารู้สึกว่า คนเยอรมันเชื้อสายตุรกีพวกนี้รักประเทศเยอรมนีมาก

สถานทูตเยอรมนีในตุรกี และสถานทูตตุรกีในเยอรมนีต่างเป็นสถานทูตที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ เยอรมันตุรกีเป็นคนกลุ่มน้อยใหญ่สุดในเยอรมนี คนเยอรมันเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติใหญ่สุดในตุรกี แถมเยอรมนีเป็นประเทศคู่ค้าอันดับหนึ่งของตุรกี

ตุรกีก็คือมหาอาณาจักรออตโตมันในอดีต เยอรมนีก็คือมหาอาณาจักรปรัสเซียในอดีต สองอาณาจักรลงนามข้อตกลงการพาณิชย์และมิตรภาพและคบค้าสมาคมกันลึกซึ้งอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ตอนสงครามโลกครั้งที่ 1 ทั้งคู่อยู่ฝ่ายเดียวกัน ร่วมรบกับศัตรูคู่อาฆาตอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่และก็แพ้ เยอรมนีแย่ไปนาน จนเป็นฐานให้ฮิตเลอร์สร้างตัวเป็นเผด็จการใหญ่ในสงครามโลกครั้งที่ 2 อาณาจักรออตโตมันก็ล่มสลายหายไป

มาถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้ว่าตุรกี (ออตโตมัน) จะประกาศวางตัวเป็นกลางอย่างเคร่งครัด (เพราะยังขยาดสงครามโลก) ก็ยังแอบขายแร่เหล็กโครเมี่ยมให้เยอรมนี แต่เยอรมนีก็แพ้อีก ฮิตเลอร์ฆ่าตัวตาย เยอรมนีพบความหายนะเกือบสิ้นประเทศ

เวลาผ่านไปไม่นาน เยอรมนีก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาได้อีก คราวนี้เศรษฐกิจเยอรมันรุ่งเรืองเฟื่องฟูเป็นอันมาก โรงงานเกิดขึ้นบานเบอะเยอะแยะ คนทั้งโลกสั่งสินค้าและเครื่องจักรจากเยอรมนี มากเสียจนคนเยอรมันก็มีไม่พอที่จะทำงาน รัฐบาลเยอรมนีตะวันออกสอดส่ายสายตาว่าจะเอาแรงงานจากประเทศไหนมาช่วย คิดอยู่นานก็ได้ข้อสรุปว่าต้องมาจากตุรกีเท่านั้น

ความที่สะสมองค์ความรู้และประสบการณ์ในฐานะหนึ่งในมหาอำนาจโลกมานานถึง 624 ปี คนตุรกีจึงทำงานได้เป็นที่น่าเชื่อถือประทับใจของพวกยุโรป หลายประเทศก็เลยมาขอแรงงานจากตุรกีเข้ามาทำงานในประเทศของตนกันใหญ่ รัฐบาลตุรกีลงนามส่งแรงงานไปเยอรมนีเมื่อ ค.ศ.1961 ไปออสเตรียเมื่อ ค.ศ.1964 ไปฝรั่งเศสเมื่อ ค.ศ.1965 และไปสวีเดนเมื่อ ค.ศ.1967

ลงนามได้ 4 ปีแล้ว แรงงานกลุ่มแรก 6,800 คน ก็เริ่มไปเยอรมนีเมื่อ ค.ศ. 1965 ไปทำงานในฐานะ Gastarbeiter หรือ Guest workers ที่แปลว่า แขกผู้มาช่วยทำงาน พวกตุรกีที่ไปทำงานในตอนนั้นไม่มีใครอยากอยู่เยอรมนีดอกครับ คิดว่าไปทำงานชั่วคราวประเดี๋ยวประด๋าว ได้เงินแล้วก็หอบกลับมาใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในตุรกี

พรุ่งนี้มาว่ากันต่อครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

 

อึ่งอ่าง เขียด กบ ผักตบชวา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 26 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/701404

 

รศ.นงเยาว์ ชาญณรงค์ เชิญ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ พูดวัฒนธรรมตะวันออกกลางเพื่อการท่องเที่ยว ที่ห้องประชุมพวงแสด คณะมนุษยศาสตร์ ม.รามคำแหง 09.00-12.00 น. เสาร์พรุ่งนี้

เวลานาทีเดียวกันกับที่บางประเทศกำลังวุ่นวายขายปลาช่อนกับการกำจัดผักตบชวา จีนส่งดาวเทียมสื่อสารควอนตัมที่เร็วกว่าเสียงขึ้นสู่อวกาศ เร็วจนไม่สามารถจารกรรมข้อมูลได้ จีนสามารถส่งข้อมูลรหัสจากอวกาศมายังสถานีบนภาคพื้นดินได้สำเร็จ โลกใน ค.ศ.2030 หรืออีก 14 ปีต่อจากนี้เป็นต้นไป จะมีการติดต่อกันด้วยเครือข่ายสื่อสารควอนตัมระโนงโยงเยงไปทั้งโลก จีนพลิกตัวจากบทบาทผู้ตามมาเป็นผู้นำด้านการพัฒนาเทคโนโลยีข่าวสารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

หลับตาจินตนาการนึกถึงจีนเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ไม่มีใครนึกนะครับว่าจีนจะมาได้ไกลถึงขนาดนี้ สมัยนั้น ทุกตรอกซอกมุมของจีนมีแต่จักรยานกับคนขี่ที่ใส่เสื้อผ้าสีเดียวกันทั้งหมด ผมเขียนมามากมายหลายครั้งว่า ประเทศก็เหมือนคนนะครับ บางยุคก็อาจจะตกต่ำย่ำแย่ ทว่า ถ้าได้ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และขยันพัฒนาต่อเนื่องก็สามารถดันประเทศตนเองให้เป็นผู้นำโลกทางด้านหนึ่งด้านใดได้

เช่นเดียวกับอิหร่าน สิบกว่าปีที่แล้วเปิดฟ้าส่องโลกเขียนถึงอิหร่านทีไร ก็มีแต่คำดูหมิ่นถิ่นแคลนว่าคุณไปเขียนถึงทำไม ไม่มีประโยชน์ เพื่อนฝูงของพ่อที่อยู่ตามหน่วยข่าวกรองเล่าให้พ่อฟังถึงความไม่ไว้ใจที่พ่อไปคบค้าสมาคมกับอิหร่าน ถึงขนาดเดินทางไปเยือนหลายครั้ง แล้ววันนี้เป็นยังไงครับ ทั้งโลกต้องวิ่งเข้าหาอิหร่าน ต้องไปทำมาค้าขายกับอิหร่าน

5 เดือนแรกของปีงบประมาณปัจจุบัน การค้าระหว่างประเทศของอิหร่านพุ่งทะลุ 3.58 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเงินไทยก็เกิน 1.24 ล้านล้านบาท ถ้าเอาตัวเลขการส่งออกที่ไม่เกี่ยวดองหนองยุ่งกับน้ำมัน แค่ 5 เดือน อิหร่านส่งออกได้มากถึง 1.67 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเงินไทยก็ 5.78 แสนล้านบาท ชาติที่ค้าขายกับอิหร่านมากที่สุดก็คือจีน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อิรัก ตุรกี และเกาหลีใต้

เดิมสหรัฐฯและตะวันตกไม่ชอบอิหร่าน แต่ทุกวันนี้ต้องรีบฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอิหร่าน เพราะอิหร่านเป็นหนึ่งในประเทศที่มีศักยภาพที่จะจัดการกับกลุ่มรัฐอิสลามได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความสามารถในการแข่งขันของบางประเทศขึ้น บางประเทศลง รายงานการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของเวิลด์ อิโค–โนมิค ฟอรั่ม ค.ศ.2015-2016 ทั้งหมด 140 ประเทศ ประเทศที่มีความสามารถสูงระดับท็อปเทนก็คือ สวิตเซอร์แลนด์ สิงคโปร์ สหรัฐ– อเมริกา เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่น ฮ่องกง ฟินแลนด์ สวีเดนและสหราชอาณาจักร ส่วนประเทศไทยไชโยของเรานั้น ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ที่ 32 ลดลงกว่าเดิมนิดหน่อย ความสามารถในการแข่งขันในกลุ่มปัจจัยพื้นฐานลดลงไป 2 อันดับ ถ้าเปรียบเทียบในประเทศตลาดใหม่และกำลังพัฒนาของประเทศในเอเชียด้วยกัน เราก็ยังรองกว่ามาเลเซียและจีนนะครับ เพราะมาเลเซียอยู่ในอันดับที่ 18 จีนอยู่ในอันดับที่ 28

ตั้งแต่สิงหาคมปีที่แล้ว จีนเซไปเยอะ เพราะเทียนเหอ 1 ซึ่งเป็นซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ใหญ่และประมวลผลได้เร็วที่สุดในโลกเสียหายจากการที่ท่าเรือเทียนจินโดนระเบิดและไฟไหม้ไปทั่วบริเวณ การกระดิกพลิกตัวทุกด้านของจีนจึงโดนสหรัฐฯ และตะวันตกแทรกแซงและดักฟังได้ นี่คือจุดอ่อนประการสำคัญที่จีนตระหนัก และพยายามแก้ไขจุดอ่อนที่สุดของตน จนประสบความสำเร็จในการส่งดาวเทียมควอนตัมไปอวกาศ และนี่คือก้าวสำคัญของยุคสื่อสารไร้การแฮกข้อมูล

บางประเทศติดหล่มความขัดแย้งทางการเมืองจนศักยภาพด้านต่างๆ ลดน้อยถอยลง ประชาชนคนทั้งแผ่นดินขาดโอกาสและต้องยอมให้ผู้มีศักยภาพจากต่างประเทศเข้ามาทำมาหากินในประเทศของตน มาใช้ทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐานที่ตนทำไว้แล้ว ไม่ว่าจะถนนหนทาง ไฟฟ้า ประปา เรื่องอย่างนี้มองเผินๆ ดูไม่น่าจะมีอะไร แต่ถ้าพิจารณากันอย่างลึกซึ้งถี่ถ้วน ขอเรียนว่าอันตรายมากนะครับ

เปิดอินเตอร์เน็ตดูข่าวประเทศโน้นชาตินี้แล้วก็อิจฉาประชาชนคนในหลายประเทศที่มีผู้นำขยัน ฉลาด และคิดแต่เรื่องใหญ่ๆ

ผู้นำหลายประเทศคิดแต่เรื่องเล็กๆ ประเภทอึ่งอ่างเขียดกบผักตบชวา พวกแพะแกะรองเท้าแตะและมีดพกกระจกเงากระเป๋าหิ้วแว่นตานาฬิกาฟันปลอม จนประเทศที่เคยล้าหลัง วิ่งแซงไปอยู่ข้างหน้าด้วยวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ไปเยอะแล้ว.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

 

คนฟิลิปปินส์และอเมริกันหนักใจ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 25 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/700024

 

นายสมพร ดำพริก ประธานสภาทนายความจังหวัดมีนบุรีเชิญทนายความในเขตอำนาจศาลมีนบุรีสังสรรค์ที่ศาลาประชาคมเมืองมีนบุรี 17.00-22.00 น. ศุกร์ 26 สิงหาคม 2559

ขณะนี้โลกสนใจนักการเมืองมุทะลุดุดัน 2 คน คนแรกคือ นายโรดริโก ดูเตอร์เต ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ และคนที่สองคือ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครประธานาธิบดีสหรัฐฯ

ตอนนี้มีการฆ่าคนฟิลิปปินส์ที่ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวดองหนองยุ่งกับยาเสพติดไปแล้ว 1,800 ศพ เป็นการฆ่าโดยใช้ศาลเตี้ย ทำให้องค์กรสิทธิมนุษยชนกระดิกพลิกตัวกันทั้งโลก โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ เรียกร้องให้รัฐบาลฟิลิปปินส์หันมาใช้กฎหมายและยึดหลักสิทธิมนุษยชน ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติก็เรียกร้องให้ดูเตอร์เตหยุดฆ่าคนโดยใช้ศาลเตี้ย

นายดูเตอร์เตไม่สนใจสหประชาชาติและรัฐบาลสหรัฐฯ แถมยังขู่ว่าจะถอนตัวออกจากสหประชาชาติ จะไปชวนจีนและทวีปแอฟริกามาตั้งองค์กรระหว่างประเทศขึ้นใหม่ แกด่ายูเอ็นว่าไอ้ลูกโสเภณี ถ้ายูเอ็นยังกดดันผม “ผมก็จะถอนตัว”

ตอนได้รับเลือกตั้งใหม่ๆ แกก็ด่าให้สหประชาชาติไปลงนรก แถมยังดูหมิ่นถิ่นแคลนว่า แค่การแก้ปัญหานองเลือดในตะวันออกกลาง หรือแม้แต่ความช่วยเหลือประเทศในทวีปแอฟริกา สหประชาชาติยังทำไม่ได้

แกขู่ว่าฟิลิปปินส์อาจจะไม่ให้การรับรองพันธสัญญาข้อตกลงว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงชั้นบรรยากาศของสหประชาชาติ “ยูเอ็นไม่ได้ทำอะไรให้ฟิลิปปินส์เลย โครงการลดความยากจน ยูเอ็นก็ไม่ได้หนุน มีไต้ฝุ่นหรือเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติอื่นๆ ยูเอ็นก็ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือ มีแต่ความพยายามจะเข้ามาจุ้นจ้านกับเรื่องภายในของฟิลิปปินส์”

ผู้คนในแวดวงสิทธิมนุษยชนไม่สบายใจกับการกระทำของนายดูเตอร์เต แกเคยหาเสียงว่า “ผมจะฆ่าอาชญากรให้ได้แสนคนและจะโยนศพลงอ่าวมะนิลาให้ปลากิน” ตอนที่ทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ดูเตอร์เตบอกให้คนที่อยู่ในสลัมฆ่าเพื่อนบ้านที่ติดยา

ส่วนนายทรัมป์ไปหาเสียงที่ไหนในตอนนี้ก็ใช้วิธีด่าไปทั่วเหมือนนายดูเตอร์เต แทนที่จะปราศรัยถึงการพัฒนาเหมือนกับผู้สมัครคนอื่นในอดีต ทรัมป์กลับใช้วิธีการด่าอย่างเดียว ตอนนี้ก็ด่าว่ามูลนิธิคลินตันเป็นองค์กรขี้โกง ตอนที่นางคลินตันเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศในเทอมแรกของรัฐบาลนายโอบามา มูลนิธิคลินตันรับเงินบริจาคก้อนใหญ่ๆจากหลายประเทศ ประเทศผู้บริจาค

พวกนั้นส่วนใหญ่ถูกตราหน้าจากประเทศตะวันตกว่าเป็นพวกริดรอนสิทธิมนุษยชน หลายประเทศที่บริจาคเงินให้มูลนิธิคลินตันเป็นพวกแบ่งแยกกีดกันสตรีและดูหมิ่นถิ่นแคลนพวกรักเพศเดียวกัน

คำปราศรัยของทรัมป์โดนใจคนฟังที่หัวรุนแรง ตอนที่แกไปพูดที่เมืองอาครอน รัฐโอไฮโอ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา คนฟังถึงขนาดตะโกนก้องร้องด่านางคลินตันว่า จับมันให้ได้ๆ ที่ว่า จับให้ได้ ก็คือ จับนางคลินตันในข้อหาใช้อีเมลเอื้อประโยชน์ให้ได้ คนฟังทรัมป์พูดแล้วก็บ้าจี้เหมือนกับอุปาทานหมู่ ทำให้คนวิจารณ์เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างมูลนิธิคลินตันกับการทำงานของนางคลินตันในฐานะรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ไปทั้งประเทศ

อีเมลที่ถูกส่งจากเซิร์ฟเวอร์ส่วนตัวของนางคลินตันเกือบ 1.5 หมื่นฉบับถูกนำมาเปิดเผย ตอนนี้เรื่องโน้นเรื่องนี้ก็แดงโร่ออกมาว่าผู้บริจาคหลายคนใช้เงินบริจาคเพื่อเข้าหารัฐมนตรีต่างประเทศ นางคลินตัน มหาเศรษฐีบางคนบริจาคเงินเข้ามูลนิธิเพื่อแลกกับการให้ผู้ช่วยคนสนิทของนางคลินตันช่วยให้ได้พบกับนักการทูตที่กรุงลอนดอน ขณะนี้ ภาพลักษณ์ของนางคลินตันเปิดเผยออกมาเรื่อยๆ ว่าใช้ตำแหน่งหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้ผู้บริจาครายใหญ่ๆ

คนฟิลิปปินส์จำนวนไม่น้อยเริ่มสับสนงุนงงกับประธานาธิบดีของตนและเริ่มกลัวอนาคตของตนในประเทศนี้ ผมว่าคนอเมริกันก็สับสนไม่แพ้คนฟิลิปปินส์ดอกครับ

ให้นางคลินตันเป็นผู้นำ ความหลังครั้งก่อนตอนเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศก็ไม่เคลียร์ ให้นายทรัมป์เป็นผู้นำก็มีปัญหาเรื่องวุฒิภาวะ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

 

ฟัตฮุลลอฮฺ กูเลน (2)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 24 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/698783

 

ประธานาธิบดีตุรกีกดดันสหรัฐฯให้ส่งท่านฟัตฮุลลอฮฺ กูเลน ผู้ก่อตั้งขบวนการฮิซเมทกลับมาดำเนินคดีในตุรกี แต่รัฐบาลสหรัฐฯปฏิเสธ

มีการส่งคนไปเจรจากับผู้นำของประเทศต่างๆ เพื่อให้ปิดโรงเรียนของขบวนการฮิซเมท แต่ผู้นำส่วนใหญ่ปฏิเสธ บ้านผมที่ลาดกระบังเคยต้อนรับผู้คนจากฮิซเมทหลายครั้ง สิ่งที่คนจากขบวนการนี้มาสนทนากับ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ ก็คือ การศึกษา การศึกษา และการศึกษา

10 สิงหาคม 2559 หนังสือพิมพ์ Le Monde ของฝรั่งเศสตีพิมพ์ความคิดเห็นของท่านกูเลน ผมเห็นว่าเป็นประโยชน์ จึงขอนำมาลงในเปิดฟ้าส่องโลกติดต่อกัน 2 วันครับ

“…ผมมีสัมพันธ์ฉันมิตรกับผู้นำจากหลายพรรคการเมือง เช่น นายทุรกุท โอซาล นายสุไลมาน เดมอแรล และนายบุแลนด์ เอเจวิท นโยบายใดของผู้นำเหล่านี้ที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนขนาดใหญ่ ผมก็ให้การสนับสนุน พวกเขาปฏิบัติต่อผมด้วยความเคารพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาตระหนักถึงกิจกรรมที่ขบวนการฮิซเมททำ และนำไปสู่ความสงบสุขของสังคม…

…แม้ผมจะออกห่างจากแนวคิดการเมืองอิสลาม แต่ผมยกย่องการปฏิรูปประชาธิปไตยที่ดำเนินการโดยนายเออร์โดกันในระยะแรกที่เขาเพิ่งขึ้นมามีอำนาจ ผมคัดค้านรัฐประหารโดยทหารและการเอาศาสนาอิสลามมาแทรกแซงการเมือง เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ผมประกาศว่า “ไม่มีการออกจากระบอบประชาธิปไตยและลัทธิฆราวาสนิยม” คำพูดของผมทำให้ผมถูกต่อต้านจากกลุ่มนักการเมืองอิสลามที่ใกล้ชิดกับรัฐบาลปัจจุบัน…

…จากหนังสือที่ผมเขียนเอาไว้กว่า 70 เล่ม และจากการเทศนาของผมกว่า 40 ปี ไม่มีเลยแม้แต่ครั้งเดียว ที่ผมแสดงออกถึงความนิยมรัฐประหาร การรัฐประหารเมื่อ 15 กรกฎาคม ประชาชนหลายหมื่น รวมทั้งตัวผมเองที่ตกเป็นเหยื่อของการกล่าวหา ซึ่งพวกเราไม่ต้องการการถูกโยนข้อหาเหล่านี้ ผมขอเรียกร้องให้รัฐบาลตุรกีอนุญาตให้คณะกรรมการระหว่างประเทศสืบสวนความพยายามก่อรัฐประหารครั้งนี้ โดยผมสัญญาว่า ผมจะเดินทางกลับไปยังตุรกี และรับการลงโทษทันที หากคณะกรรมการพบว่าหนึ่งในสิบของข้อกล่าวหาพวกนี้ถูกพิสูจน์ว่าเป็นความจริง…

…กว่า 25 ปี ที่รัฐบาล หน่วยข่าวกรอง นักวิจัย และองค์กรประชาสังคมอิสระหลายร้อยแห่ง ตรวจสอบผู้ร่วมขบวนการฮิซเมท แต่ก็ไม่เคยพบกิจกรรมผิดกฎหมาย หลายประเทศจึงไม่สนใจข้อกล่าวหาที่รัฐบาลตุรกีโยนใส่ให้เรา ลักษณะเด่นของขบวนการฮิซเมทคือ การไม่แสวงหาอำนาจทางการเมือง ผู้ร่วมขบวนการฮิซเมททำงานเฉพาะเรื่องของการศึกษา การดูแลสุขภาพ และความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม โดยทำงานเหล่านี้ในมากกว่า 160 ประเทศทั่วโลก เราให้บริการประชาชนจากทุกศาสนาและเชื้อชาติ โดยไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นมุสลิมเท่านั้น…

…การที่รัฐบาลตุรกีโยนให้ขบวนการฮิซเมทเป็นองค์กรการก่อการร้าย ส่งผลให้โรงเรียน โรงพยาบาล และองค์กรบรรเทาทุกข์หลายแห่งต้องปิด ครู ผู้ประกอบการ แพทย์ นักวิชาการ และสื่อมวลชนถูกตัดสินจำคุกโดยที่ไม่มีความเชื่อมโยงกับความรุนแรง การสอบสวนหลังการทำรัฐประหารทำให้ศูนย์วัฒนธรรมในปารีสถูกเผา มีการจับสมาชิกในครอบครัวของผู้ต้องสงสัยไปเป็นตัวประกัน มีสื่อมวลชนที่ถูกคุมขังไม่ได้รับการรักษาจากแพทย์ โรงพยาบาล 35 แห่งถูกปิด คณบดี 1,500 คนถูกบังคับให้ลาออก การกวาดล้างของรัฐบาลตุรกีไม่ได้ทำเฉพาะกับผู้ร่วมขบวนการฮิซเมทเท่านั้น แต่กวาดล้างทุกคนที่ถูกสงสัยว่าไม่ภักดีต่อรัฐบาล ซึ่งองค์การนิรโทษกรรมสากลเปิดเผยว่า ขณะนี้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการทรมานเกิดขึ้นในตุรกีเป็นจำนวนมาก…

…ความพยายามทำรัฐประหารเมื่อ 15 กรกฎาคมถูกขัดขวางโดยประชาชนตุรกี ทว่าความล้มเหลวของรัฐประหารครั้งนี้ก็ไม่ได้หมายถึงชัยชนะของระบอบประชาธิปไตย เราไม่สามารถพูดถึงประชาธิปไตยที่ไร้หลักกฎหมาย ปราศจากการแยกอำนาจ ไม่มีสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น…

…ชัยชนะที่แท้จริงสำหรับประชาธิปไตยในตุรกีจะเกิดขึ้นได้ ต้องมาจากการฟื้นฟูค่านิยมหลักเหล่านี้ให้เกิดขึ้นมาเท่านั้น”

นั่นคือความเห็นของท่านกูเลน ที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ Le Monde ของฝรั่งเศส ซึ่งท่านสามารถหาอ่านฉบับเต็มได้ที่ http:// bit.ly/gulen-lemonde-2016 ครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

 

ฟัตฮุลลอฮฺ กูเลน (1)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 23 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/697699

 

ก่อนหน้าการรัฐประหารในตุรกี 1 เดือน ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ ได้รับเชิญจากขบวนการฮิซเมทให้ไปเยือนออสเตรเลีย เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และเบลเยียม

ก่อนหน้าการรัฐประหารในตุรกี 1 สัปดาห์ ผู้คนจากขบวนการฮิซเมท 4 คน มาสนทนากับพ่อผมในเมืองไทยเป็นเวลานานมากกว่า 4 ชั่วโมง

ขบวนการฮิซเมทก่อตั้งโดย ท่านฟัตฮุลลอฮฺ กูเลน นักวิชาการ นักเทศนา และผู้ให้ความช่วยเหลือทางสังคม ประธานาธิบดีเออร์โดกันกล่าวหาท่านกูเลนว่าเป็นผู้นำในการปฏิวัติรัฐประหารครั้งนี้ และขอให้รัฐบาลสหรัฐฯส่งตัวท่านกูเลนมาดำเนินคดีในตุรกี

สัปดาห์ที่แล้ว หนังสือพิมพ์ Le Monde ของฝรั่งเศสลงบทความของท่านกูเลน ผมคิดว่ามีประโยชน์ เพราะเราได้ฟังข่าวจากซีกของประธานาธิบดีเออร์โดกันมาตลอดระยะเวลา 1 เดือน ก็มาฟังความเห็นของอีกซีกหนึ่งดูบ้างครับ

“คืน 15 กรกฎาคม ตุรกีมีเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ มีความพยายามก่อรัฐประหาร คนตุรกีทุกชนชั้นทางสังคม เศรษฐกิจและเชื้อชาติ ที่คิดว่ายุคของรัฐประหารจบลงไปแล้ว ได้ออกมาแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการต่อต้านรัฐประหาร และสนับสนุนระบอบประชาธิปไตย…

…ยี่สิบนาทีหลังจากความพยายามก่อรัฐประหารของทหาร ประธานาธิบดีเออร์โดกันได้ด่วนกล่าวโทษผม โดยไม่รอรายละเอียดของเหตุการณ์และวัตถุประสงค์ของผู้กระทำผิด และผมขอปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวอย่างเด็ดขาด…

…ผมใช้ชีวิตอย่างสันโดษในเมืองเล็กๆ ในสหรัฐฯมาเป็นเวลา 17 ปี การกล่าวหาว่าผมสั่งให้กองทัพที่ใหญ่อันดับ 8 ของโลกและอยู่ห่างจากผมถึง 6,000 ไมล์ ให้ต่อต้านรัฐบาลของตนเองนั้น นอกจากไม่จริงแล้ว ยังเป็นเท็จ และไม่มีใครเชื่อด้วย…

…ศาลยุติธรรมตุรกีถูกทำให้เป็นการเมืองและถูกควบคุมโดยรัฐบาลตั้งแต่ ค.ศ.2014 การพิจารณาคดีที่เป็นธรรมจึงมีน้อยมาก ผมจึงอยากให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการระหว่างประเทศเพื่อสอบสวนความพยายามก่อรัฐประหาร และผมให้คำมั่นสัญญาว่าผมจะปฏิบัติตามผลของการสอบสวนของคณะกรรมการชุดดังกล่าว…

…ผู้เข้าร่วมขบวนการฮิซเมทไม่ได้มีส่วนในเหตุการณ์รุนแรงใดเลย ตลอดประวัติศาสตร์ 50 ปี พวกเขาไม่เคยรวมตัวกันต่อต้าน แม้ว่าพวกเขาจะได้รับความทุกข์ทรมานภายใต้ “การประหัตประหารศัตรูทางการเมือง” ของรัฐบาล ในห้วงช่วงสามปีที่ผ่านมา พวกเขาถูกใส่ร้ายป้ายสีจากรัฐที่ใช้กฎหมายมาควบคุมการเมืองและตุลาการ

…รัฐบาลเชื่อว่า การที่รัฐบาลเองโดนสอบสวนข้อหาทุจริตเมื่อ ค.ศ.2013 นั้น เป็นเพราะพวกฮิซเมทที่อยู่ในระบบราชการต้องการถอนรากถอนโคนรัฐบาล ภายหลังรัฐบาลจับผู้คนไปกว่า 4,000 คน จับข้าราชการไปหลายหมื่น ยึดองค์กรเอกชนและธุรกิจส่วนตัวอย่างผิดกฎหมาย แต่ก็ไม่เจอหลักฐานสักชิ้นว่าขบวนการฮิซเมทจะล้มรัฐบาล…

…ก่อนหน้านั้น ทุกครั้งที่นายกรัฐมนตรีตุรกีจะได้พบกับผม ก็จะเรียกโอกาสของการได้พบกันว่า “โอกาสที่สวรรค์ส่งมา” แต่พอรัฐบาลโดนสอบเรื่องทุจริตเมื่อ ค.ศ.2013 รัฐบาลกลับเรียกผมและขบวนการฮิซเมทด้วยภาษาแห่งความเกลียดชังอย่าง “ผู้ลอบสังหาร” หรือ “พวกผีดูดเลือด”…

…หลังจากความพยายามก่อรัฐประหารเมื่อ 15 กรกฎาคม รัฐบาลเริ่มมองพวกผมว่าเป็น “ไวรัส” และ “เซลล์มะเร็งที่ต้องกำจัดออก” ผู้คนหลายแสนที่สนับสนุนขบวนการฮิซเมทถูกลดความเป็นมนุษย์ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ทรัพย์สินส่วนตัวของพวกเขาถูกยึด บัญชีเงินฝากธนาคาร

ถูกควบคุม หนังสือเดินทางถูกยกเลิก เสรีภาพในการเดินทางถูกลิดรอน ผู้คนมากกว่า 90,000 คนถูกให้ออกจากงาน ครู 21,000 คนถูกถอนใบอนุญาต

…ผมเคยอยู่ในเหตุการณ์รัฐประหารโดยทหารตุรกีทุกครั้งเช่นเดียวกับพลเมืองตุรกีคนอื่นๆ และได้รับความเดือดร้อนทุกที การรัฐประหารเมื่อ 12 มีนาคม 1971 ผมถูกขังโดยคำสั่งของรัฐบาลทหาร การรัฐประหารเมื่อ 12 กันยายน 1980 ผมถูกออกหมายจับและต้องลี้ภัยเป็นเวลานานถึง 6 ปี การรัฐประหารโดยทหารเมื่อ 28 กุมภาพันธ์ 1997 ผมถูกฟ้องและให้ได้รับโทษถึงประหารชีวิตในข้อหาเป็นองค์กรการก่อการร้ายไม่ติดอาวุธซึ่งประกอบด้วยคนเพียงคนเดียว…

…3 คดีที่กล่าวหาผมในข้อหาเป็นผู้นำองค์กรก่อการร้ายนั้น มีการพิพากษาให้ผมพ้นจากความผิดทั้งหมด ในอดีตผมโดนทหารเล่นงาน ทว่ามาวันนี้ ผมกลับโดนพวกเผด็จการพลเรือนเล่นงาน…

พรุ่งนี้มาต่อคำให้สัมภาษณ์ของท่านกูเลนในหนังสือพิมพ์ Le Monde ของฝรั่งเศสกันครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

 

โลกปฏิเสธทรัมป์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 22 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/696744

 

จันทร์วันนี้ 13.00-14.30 น. ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ พูด “การจัดการศึกษาของประเทศที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเยาวชนในทวีปต่างๆ” รับใช้อาจารย์กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สพม. 25 ที่โรงแรมวีวิช อ.เมือง จ.ขอนแก่น

โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครประธานาธิบดีสหรัฐฯ พรรครีพับลิกัน เป็นตัวอย่างของนักการเมืองที่มีวุฒิภาวะน้อยและไร้ประสบการณ์ทางการเมืองที่เสนอตัวจะเป็นผู้นำประเทศ แต่ดันปราศรัยดูหมิ่นถิ่นแคลนครอบครัวทหารที่เสียชีวิตในสงคราม แถมยังยุให้แฮกเกอร์ชาวรัสเซีย แฮกอีเมลของนางฮิลลารี คลินตัน และเสนอให้สหรัฐฯ ปลดตัวเองจากพันธกรณีที่มีต่อนาโต

ไม่ใช่แค่ผู้คนสำคัญในพรรครีพับลิกันพรรคเดียวกันกับทรัมป์เท่านั้นที่ปฏิเสธจะลงคะแนนให้ทรัมป์ แม้แต่พวกเราซึ่งเป็นคนต่างประเทศ ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯโดยตรง ทุกครั้งที่ได้ฟังทรัมป์ปราศรัย ก็ยังต้องเบือนหน้าหนี

การพูดของทรัมป์จะทำให้คนอเมริกันไม่เลือก ส.ส.จากพรรครีพับลิกันไปด้วย และตอนนี้ก็มีโอกาสนะครับ ที่รีพับลิกันจะเสียเสียงข้างมากในสภาคองเกรส

นักการเมืองไม่ว่าจะสมัครในตำแหน่งไหน ก็เอาใจใส่ในการเข้าไปหาเสียงในชุมชนของคนผิวสี แต่ทรัมป์โยนคะแนนของคนผิวสีทิ้งไปเลย หาเสียงมาแล้ว 1 ปีกว่า ทรัมป์ไม่ไปจัดปราศรัยในชุมชนของคนผิวสีเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ไปจัดตามหอประชุม หรือไม่ก็ตามสนามกีฬาขนาดใหญ่ บางทีก็เชิญสื่อไปที่ทรัมป์ ทาวเวอร์ ซึ่งเป็นอาคารของทรัมป์ในย่านแมนฮัตตันแทน

ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 ในสหรัฐฯเต็มไปด้วยสโลแกน America First ที่คนอเมริกันที่ไม่อยากให้สหรัฐฯ เข้าสู่สงครามรณรงค์อยู่ทั่วประเทศ ตอนนี้ทรัมป์เอาสโลแกน “อเมริกาต้องมาก่อน” กลับมาใช้อีก แต่ใช้ในแง่ที่ว่าสหรัฐฯจะไม่กระโจนเข้า

ไปช่วยปกป้องประเทศอื่น โดยเฉพาะญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ เรื่องนี้ทำให้พันธมิตรของสหรัฐฯ ไม่สบายใจ ตอนนี้ที่ญี่ปุ่นมีทหารของสหรัฐฯประจำการอยู่ 47,000 คน และที่เกาหลีใต้ 30,000 คน ถ้าทรัมป์เป็นประธานาธิบดี ก็มีโอกาสที่สหรัฐฯ จะลอยแพพันธมิตรอย่างญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ ทรัมป์ปราศรัยว่าจะทำให้สหรัฐฯ กลับมายิ่งใหญ่ กลับมาเป็นผู้นำโลกอย่างแท้จริง แต่ขณะเดียวกันก็จะปลดเปลื้องภาระการปกป้องชาติอื่นด้วย เรื่องนี้ขัดกันมากนะครับ

ที่ผมเห็นว่าทรัมป์ใช้ไม่ได้เลยก็คือ การที่แกบอกให้ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นมาป้องกันตัวเองจากจีนและเกาหลีเหนือ แทนที่จะรอพึ่งสหรัฐฯอยู่เพียงอย่างเดียว แถมทรัมป์ยังแซวคนญี่ปุ่นว่า คงนั่งดูโทรทัศน์โซนี่อย่างสบายใจในตอนที่สหรัฐฯถูกโจมตี ในขณะที่สหรัฐฯมีพันธกรณีต้องป้องกันญี่ปุ่น

ถ้าทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีขึ้นมาจริงๆ คนทั้งโลกก็คงจะแอนตี้สหรัฐฯ ในเรื่องที่มีผู้นำเหยียดเชื้อชาติและคลั่งชาติ สหรัฐฯจะโดดเดี่ยวตัวเอง และสหรัฐฯก็จะโดนประเทศเล็กชาติน้อยโดดเดี่ยว ที่พึ่งของประเทศเล็กก็คงจะต้องวิ่งเข้าหาประเทศจีนซึ่งผู้นำมีวุฒิภาวะมากกว่า

อย่างที่ผมเรียนรับใช้ไปแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อนนะครับ ว่าดูเกมการเลือกตั้งสหรัฐฯ ในปีนี้แล้วไม่สนุก เพราะไม่ค่อยมีลุ้น ถึงตอนที่ผมเขียนคอลัมน์ของฉบับวันนี้ ทุกโพลในสหรัฐฯสรุปตรงกันว่า นางคลินตันมาแน่ โพลจากรีล เคลียร์ โพลิติกส์ ให้คลินตันนำทรัมป์ 47.3% ต่อ 41.2% และเมื่อสำรวจไปในรัฐใหญ่ๆ ทรัมป์เป็นรองในทุกรัฐ

นโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ในช่วงอีก 4 ปีข้างหน้าในยุคที่นางคลินตันเป็นประธานาธิบดีก็คงจะไม่เปลี่ยนมากนะครับ เพราะนางคลินตันก็คือรัฐมนตรีต่างประเทศของนายโอบามา โลกเราก็คงจะดำเนินไปอย่างเซ็งๆ ไม่แตกต่างจากเดิม ความขัดแย้งและการสู้รบในซีเรีย อิรัก และในอีกหลายแห่งของโลกก็ยังจะดำเนินไปเหมือนเดิม

ผู้นำอย่างนางคลินตันที่จะพาโลกหมุนไปอย่างเซ็งๆ แต่ก็ยังดีกว่าผู้นำอย่างนายทรัมป์ ที่เราเดาได้ว่าจะนำความเสียหายมาสู่สหรัฐฯและนำความวุ่นวายมาสู่โลกแน่นอน.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

 

อิหร่านเนื้อหอม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 19 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/693857

 

ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ พูด “ประชาคมอาเซียนกับทิศทางของประเทศไทย” ในงานสัมมนาปัญหาเศรษฐกิจ สังคม และการปกครองไทย ของหลักสูตรรัฐศาสตรมหาบัณฑิต ม.รามคำแหง ที่นภาลัย รีสอร์ท จ.สมุทรสงคราม เสาร์พรุ่งนี้ 13.00-17.00 น.

สหรัฐฯแพ้ทางอิหร่านบ่อยนะครับ พ.ศ.2522 คนอเมริกัน 52 คน ถูกคนอิหร่านยึดเอาไว้เป็นตัวประกันในสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงเตหะรานนานถึง 444 วัน สหรัฐฯต้องวิ่งไปหาแอลจีเรียให้ช่วยเจรจาปล่อยตัวประกัน โดยมีข้อตกลงว่าสหรัฐฯต้องเลิกยึดทรัพย์สินอิหร่านและต้องไม่เข้าไปเกี่ยวดองหนองยุ่งกับเรื่องภายในของอิหร่านอีกต่อไป

อิหร่านมีศักยภาพที่จะเป็นมหาอำนาจขนาดกลาง แต่เพราะไม่ค่อยยอมสหรัฐฯกับตะวันตก จึงโดนแกล้งอยู่บ่อยๆ สหรัฐฯและตะวันตกทดลองนิวเคลียร์ได้ แต่อิหร่านทำไม่ได้

สหรัฐฯ สหภาพยุโรป และสหประชาชาติคว่ำบาตรอิหร่านอย่างต่อเนื่องยาวนาน ทรัพย์สินของอิหร่านก็โดนอเมริกาและตะวันตกยึด มีหนี้สินหลายประเภทที่สหรัฐฯค้างอิหร่านและไม่ยอมจ่าย โดยอ้างเรื่องที่อิหร่านพัฒนานิวเคลียร์

อิหร่านเจรจาอยู่นานมากกว่า 10 ปี จน 14 กรกฎาคม 2558 อิหร่าน สหรัฐฯ อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย จีน และเยอรมนี ที่เราเรียกกันว่ากลุ่ม P5+1 ก็ประสบความสำเร็จในการบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์ หลายประเทศยกเลิกคว่ำบาตรอิหร่านทันที มาตรการคว่ำบาตรที่ตะวันตกทำต่อธนาคารกลาง บริษัทน้ำมันแห่งชาติ สายการบินอิหร่าน ฯลฯ ถูกยกเลิกทั้งหมด จะยังมีก็เพียงแต่กรณีที่สหประชาชาติยังห้ามชาติต่างๆ ซื้อขายอาวุธกับอิหร่านอีก 5 ปี และห้ามอิหร่านซื้อเทคโนโลยีด้านขีปนาวุธอีก 8 ปีเท่านั้น

อังคารที่ผ่านมา กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯออกมาแถลงแล้วนะครับ ว่า สหรัฐฯจะคืนเงินที่ค้างรัฐบาลอิหร่านไว้ก่อนคว่ำบาตร 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และจะจ่ายค่าชดเชยทางกฎหมายที่เกิดขึ้นจากข้อพิพาทระหว่างสหรัฐฯและอิหร่าน 1,700 ล้านดอลลาร์

2 ประเทศที่เสียประโยชน์จากการที่นานาประเทศยกเลิกคว่ำบาตรอิหร่าน คืออิสราเอลและซาอุดีอาระเบีย นายกรัฐมนตรีอิสราเอลถึงขนาดประกาศว่า จะหาทางทำลายข้อตกลงของตะวันตกกับอิหร่าน และมองว่านี่เป็นการยอมจำนนครั้งประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯและโลกตะวันตก ที่ให้กับชาติที่ชั่วร้ายอย่างอิหร่าน

คนอิหร่านส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์ คนซาอุดีอาระเบียนับถือศาสนาอิสลามนิกายสุหนี่ ซาอุดีอาระเบียไม่พอใจการยกเลิกคว่ำบาตรอิหร่านเหมือนกัน แต่สหรัฐฯขอให้อิสราเอลกับซาอุดีอาระเบียเอาความไม่พอใจใส่กระเป๋าเอาไว้เรียบร้อยซะก่อน และสหรัฐฯหันมาฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอิหร่าน โดยมีเหตุผลว่าอิหร่านมีศักยภาพที่จะปราบกลุ่มรัฐอิสลาม หรือไอเอส ที่กำลังยึดครองอิรักและซีเรียอยู่ในขณะนี้ได้

ปัญหากลุ่มรัฐอิสลามทำให้ทุกมหาอำนาจต้องพึ่งอิหร่าน ผู้อ่านท่านทราบกันดีอยู่แล้วนะครับว่า รัสเซียหนุนประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดของซีเรียอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู เมื่อสามวันก่อน รัสเซียขออนุญาตอิหร่านและอิรักยิงขีปนาวุธร่อนใส่เป้าหมายในซีเรีย ที่ต้องขออนุญาตประเทศทั้งสองก็เพราะรัสเซียต้องยิงขีปนาวุธจากทะเลสาบแคสเปียน ข้ามน่านฟ้าของอิหร่านและอิรัก ไปฆ่าพวกไอเอสในซีเรีย

เครื่องบินรัสเซียที่ทิ้งระเบิดลงที่ซีเรียเป็นเครื่องตูโปเลฟ–22 เอ็ม 3 ซึ่งมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่จะไปจอดในฐานทัพอากาศของรัสเซียที่ซีเรียได้ เพื่อทำให้ลดเวลาการบินของเครื่องบินทิ้งระเบิดรัสเซียลงร้อยละ 60 และเพื่อให้เครื่องบินบรรทุกระเบิดได้มากเที่ยวขึ้น รัสเซียก็ขอเครื่องบินของตนไปจอดในฐานทัพบินฮามาดันของอิหร่าน อิหร่านอนุญาต

จากประเทศที่เคยถูกรังเกียจเดียดฉันท์ เคยถูกประณามหยามหมิ่นถิ่นแคลนจากนานาประเทศ อิหร่านใช้ความอดทนและพยายามแก้ไขปัญหาด้วยการเจรจาอย่างรอบคอบ จนในบั้นปลายท้ายที่สุด อิหร่านก็ได้กินรวบทั้งสหรัฐฯและรัสเซีย

พ่อผมเคยไปอิหร่านหลายครั้ง เคยร่วมทีมกับผู้คนในรัฐบาลไปเจรจาแก้ปัญหาเรื่องที่อิหร่านไม่ซื้อข้าวไทยและหันไปซื้อข้าวเวียดนามแทน เคยไปพูดตามสมาคมหอการค้าในจังหวัดต่างๆของอิหร่าน ส่วนการไปเที่ยวอิหร่านเพียงอย่างเดียว พ่อก็ไปมาหลายครั้ง ทุกครั้งที่กลับมาถึงไทย พ่อผมก็จะตะโกนโพนทนาสาธยายให้คนไทยไปทำการค้าและการลงทุนในอิหร่าน ใครที่ไปตั้งแต่สมัยโน้น ตอนนี้ก็คงจะรอดตัวกันไปแล้วนะครับ

ส่วนคนที่กำลังคิดจะไปในตอนนี้ก็คงลำบากหน่อย

เพราะอิหร่านเนื้อหอมเสียแล้ว

ไม่ต้องง้อใครมากแล้วครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand