พิพากษาจบแล้วมีอะไร! ทะเลจีนใต้เดือดกว่าเดิม?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย บวร โทศรีแก้ว 17 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/665206

 

พิจารณาคดี–ศาลอนุญาโตตุลาการถาวร (PCA) ณ กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ พิจารณาคดีฟิลิปปินส์ฟ้องจีน เรื่องกรณีพิพาทในทะเลจีนใต้ เมื่อ 7 ก.ค.2558 ก่อนที่ PCA จะตัดสินเมื่อ 12 ก.ค.ว่า จีนไม่มีสิทธิทางประวัติศาสตร์ที่จะอ้างกรรมสิทธิ์ในทะเลจีนใต้ (เอพี)

หลังใช้เวลากว่า 3 ปี พิจารณาคดี 2 รอบ ใช้เอกสารหลักฐานเกือบ 4,000 หน้า “ศาลอนุญาโตตุลาการถาวร” (Permanent Court of Arbitration) หรือ PCA ณ กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ ก็มีคำพิพากษาคดีฟิลิปปินส์ยื่นฟ้องจีน เรื่องกรณีพิพาทในทะเลจีนใต้ เมื่อ 12 ก.ค.ที่ผ่านมา

ในคำพิพากษา 497 หน้า PCA ยืนยันว่า มีอำนาจตัดสินคดีนี้ และชี้ว่า จีนไม่สิทธิ์ทางประวัติศาสตร์ที่จะอ้างกรรมสิทธิ์ทรัพยากรในทะเลจีนใต้ และ “เส้นประ 9 เส้น” (Nine–dash line) ที่จีนระบุในแผนที่ของตนมาตั้งแต่ 69 ปีก่อนเพื่ออ้างกรรมสิทธิ์ในทะเลจีนใต้เกือบทั้งหมดราว 90% เป็น “โมฆะ”

ส่วนเกาะเทียมที่จีนถมสร้างขึ้น ก็ไม่เข้าข่ายเป็นเกาะที่จะมีประชากรอยู่อาศัยได้ยั่งยืน จีนจึงไม่อาจอ้าง “เขตเศรษฐกิจจำเพาะ” (EEZ) 200 ไมล์ทะเลรอบๆเกาะได้ และควรยุติการก่อสร้างสิ่งต่างๆไว้ก่อนขณะที่ยังมีคดีฟ้องร้องแย่งกรรมสิทธิ์กันอยู่

คำพิพากษายังระบุว่า จีนละเมิดสิทธิในอธิปไตยในเขต EEZ ของฟิลิปปินส์ ทั้งด้วยการเข้าไปสำรวจปิโตรเลียม แทรกแซงการทำประมงและสำรวจทรัพยากรธรรมชาติของฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะที่หมู่เกาะปะการัง “สการ์โบโรห์” ส่วนการถมสร้างเกาะเทียมและการทำประมงมากเกินไปของจีนก็ทำลายสิ่งแวดล้อมของ “หมู่เกาะสแปรตลีย์” ทำให้แนวปะการังและสัตว์น้ำหายากเสี่ยงสูญพันธุ์

เรียกว่า จีนถูก “จัดหนัก” จนเซ แม้พอรู้ล่วงหน้าและประกาศกร้าวไม่ยอมรับ PCA ตั้งแต่แรกแล้ว!

ฟิลิปปินส์ยื่นฟ้อง PCA เมื่อเดือน ม.ค. 2556 ว่าจีนละเมิด “อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทางทะเล ค.ศ.1982” หรือ UNCLOS โดยอ้างว่าได้ใช้ความพยายามทั้งทางการเมืองการทูตจนหมดสิ้นเจรจากับจีนถึง 17 ปีแต่ล้มเหลว และว่า UNCLOS ให้โอกาสชาติเล็กๆ ต่อสู้กับชาติยักษ์ใหญ่ได้โดยเสมอภาค

จากนั้นเดือน มิ.ย.2556 มีการแต่งตั้งผู้ พิพากษา PCA ชุดนี้ขึ้นมา 5 คน ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญกฎหมายทางทะเลระหว่างประเทศ และในสำนวนฟ้อง ฟิลิปปินส์ขอให้ PCA ตัดสินข้อขัดแย้งถึง 15 ประเด็น ซึ่ง PCA สรุปเมื่อเดือน ต.ค.2558 ว่าตนมีอำนาจตัดสินในอย่างน้อย 7 ประเด็น

ฟิลิปปินส์แต่งตั้งผู้พิพากษา PCA 1 คน เป็นชาวเยอรมัน แต่จีนปฏิเสธที่จะใช้สิทธิ์แต่งตั้งผู้พิพากษาของตน 1 คน และไม่เข้าร่วมกระบวนการพิจารณาคดีตั้งแต่แรก โดยอ้างว่า PCA ไม่มีอำนาจตัดสินคดีนี้ และยืนยันว่าสิทธิทางประวัติศาสตร์และอธิปไตยของจีนเหนือทะเลจีนใต้เกิดขึ้นก่อนที่จะมีการตั้ง UNCLOS จีนยังอ้างว่า PCA ชุดนี้ แม้ประธานเป็นชาวกานา แต่ผู้พิพากษาอีก 4 คนเป็นชาวยุโรป เกรงว่าจะตัดสินอย่างมีอคติต่อจีน

PCA ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.2442 หรือ 117 ปีก่อน เป็นสถาบันศาลระหว่างประเทศที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ปัจจุบันมีสมาชิก 121 ประเทศ รวมทั้งจีน ฟิลิปปินส์ และไทยของเรา โดย PCA มีสิทธิ์ตั้งคณะอนุญาโตตุลาการขึ้นมาตัดสินคดีบางคดีภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศต่างๆ รวมทั้ง UNCLOS

ส่วน UNCLOS เพิ่งตั้งขึ้นใน พ.ศ.2525 แต่เริ่มมีผลบังคับใน พ.ศ.2537 หลังสมาชิกให้สัตยาบันครบ 60 ประเทศ ซึ่งทั้งจีนและฟิลิปปินส์ก็เป็นสมาชิก UNCLOS ส่วนไทยเข้าร่วมเป็นชาติที่ 162 เมื่อ 14 มิ.ย.2554

ปัจจุบัน UNCLOS มีสมาชิก 167 ประเทศ ครอบคลุมประมวลกฎหมายจารีตประเพณีทางทะเลต่างๆ อาทิ เรื่องทะเลอาณาเขต เรื่องเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (EEZ) และเรื่องไหล่ทวีป

แต่ “พี่ใหญ่” สหรัฐอเมริกาไม่ยอมเข้าร่วม UNCLOS เพราะถูกวุฒิสภายับยั้ง แต่รัฐบาลสหรัฐฯ ยังยอมรับ UNCLOS ในฐานะกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ รวมทั้งเรื่องเสรีภาพในการบินและการเดินเรือ ซึ่งสหรัฐฯใช้เป็นข้ออ้างส่งเครื่องบินและเรือรบเข้าไปลาดตระเวนในทะเลจีนใต้หลายครั้ง สร้างความโกรธเกรี้ยวให้จีน ซึ่งหาว่าสหรัฐฯเข้ามาแทรกแซงภูมิภาคนี้ โดยหนุนฟิลิปปินส์ เวียดนาม และอีกบางประเทศในอาเซียนให้งัดกับจีน

อย่างไรก็ตาม แม้คำตัดสินของ PCA จะมีผลผูกมัดทางกฎหมายและถือเป็นที่สิ้นสุดห้ามอุทธรณ์ใดๆอีก แต่ PCA ไม่มีอำนาจบังคับให้คู่กรณีปฏิบัติตามคำตัดสินได้ จึงไม่ต่างจาก “เสือกระดาษ”

หลังมีคำพิพากษา จีนประกาศย้ำว่า ไม่ยอมรับคำตัดสินเด็ดขาด และยังยืนกรรมสิทธิ์และอธิปไตยเหนือทะเลจีนใต้ต่อไป ทั่วโลกจึงลุ้นว่าจีนจะเอายังไงต่อ จะหันไปใช้ไม้นวมลดความตึงเครียด ด้วยการเจรจาโดยตรงกับฟิลิปปินส์ หรือใช้ไม้แข็งยิ่งขึ้น เช่น ถอนตัวจาก UNCLOS หรือถมสร้างเกาะเทียมและสิ่งปลูกสร้างต่างๆบน “สการ์โบโรห์ โชล” ในเขต EEZ ของฟิลิปปินส์ ที่จีนเข้าควบคุมตั้งแต่ พ.ศ.2555

จีนยังอาจตั้ง “เขตแสดงตนเพื่อป้องกันภัยทางอากาศ” (ADIZ) เหนือน่านฟ้าทะเลจีนใต้ บังคับให้เครื่องบินทุกลำรายงานตัวต่อจีนเมื่อบินเข้าไป หรืออาจแสดงแสนยานุภาพทางทหารอื่นๆ ข่มขวัญ


ประท้วงจีน–ผู้ประท้วงยืนถือแผ่นป้ายเขียนข้อความขอให้จีนออกไปจากน่านน้ำฟิลิปปินส์ ที่หน้าพระราชวังสันติภาพ ณ กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ ที่ตั้งของศาลอนุญาโตตุลาการถาวร (PCA) ก่อน PCA มีคำตัดสินคดีทะเลจีนใต้ เมื่อ 12 ก.ค. (เอพี)

ดูท่าทีแล้วยากที่จีนจะอ่อนข้อ เพราะทะเล จีนใต้มีความสำคัญยิ่ง ทั้งเชิงยุทธศาสตร์ ความมั่นคง เศรษฐกิจ เป็นเส้นทางเดินเรือสำคัญ มีทรัพยากรธรรมชาติมหาศาล ทั้งน้ำมัน ก๊าซ สัตว์น้ำอุดมสมบูรณ์

จีนยังกลัวว่า ถ้าตนยอมถอย ชาติอื่นที่แย่งชิงทะเลจีนใต้ ทั้งไต้หวัน เวียดนาม มาเลเซีย บรูไน จะ “ได้ใจ” ไปฟ้องศาลบ้าง ส่วนญี่ปุ่นที่แย่งชิงหมู่เกาะเซนกากุ หรือเตี้ยวหวี กับจีนในทะเลญี่ปุ่นก็อาจทำเช่นกัน

คำตัดสินของ PCA อาจไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น แต่แหย่ให้ “พญามังกร” พยศหนักขึ้น โดยไม่สนใจภาพลักษณ์ที่เลวร้าย หรือหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ ทะเลจีนใต้จึงยังสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงต่อไป!

บวร โทศรีแก้ว

 

ประเทศที่ภูมิคุ้มกันพร่อง เอื้อผู้ก่อการร้ายแทรกซึม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย บวร โทศรีแก้ว 10 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/659017

 

ฆ่าหมู่สยองขวัญ-ฝูงชนและสื่อมวลชนยืนดูรถหุ้มเกราะที่วิ่งสู่จุดเกิดเหตุ หลังหน่วยคอมมานโดบังกลาเทศบุกจู่โจมจับตายกลุ่มคนร้ายที่บุกโจมตีและจับตัวประกันในร้านอาหาร “โฮลีย์ อาร์ติซาน เบเกอรี่” (รูปเล็ก) ในกรุงธากา เมื่อ 2 ก.ค. ซึ่งตัวประกัน 22 คน และคนร้าย 6 คนเสียชีวิต (เอพี)

ช่วงเดือนที่ผ่านมา มีเหตุ “ก่อการร้าย” ถี่ยิบผิดปกติในหลายพื้นที่ของโลก ส่วนใหญ่กองกำลังรัฐอิสลาม (ไอเอส) เจ้าเก่า อ้างความรับผิดชอบหรือถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลัง

ไม่ว่าจะเป็นเหตุโจมตีด้วยระเบิดและปืนที่ทางเข้าอาคารผู้โดยสารสนามบิน “อตาเติร์ก” ในนครอิสตันบูล ตุรกี เมื่อ 28 มิ.ย. มีผู้เสียชีวิต 45 ศพ เหตุโจมตีและจับตัวประกันในร้านอาหารในบังกลาเทศ เมื่อ 1-2 ก.ค. ซึ่งตัวประกันเสียชีวิต 22 ศพ คนร้าย 6 ใน 7 คนถูกหน่วยคอมมานโดจับตาย และเหตุระเบิดพลีชีพในรถบรรทุกกลางกรุงแบกแดดในอิรัก เมื่อ 3 ก.ค. มีผู้เสียชีวิตมโหฬารเกือบ 300 ศพ

จากนั้น 4 ก.ค. ในวันชาติสหรัฐฯ ก็มีระเบิดพลีชีพ 3 ครั้งซ้อนในซาอุดีอาระเบีย โดยที่เมดินา เมืองศักดิ์สิทธิ์อันดับ 2 รองจากนครเมกกะ เกิดระเบิดที่นอกมัสยิดนบี หรือ “อัล-มัสยิด อัล-นะบะวีย์” สถานที่ฝังศพศาสดามูฮัมหมัด ทำให้คนร้ายและ รปภ. 4 นายเสียชีวิต หลังเกิดเหตุระเบิดพลีชีพที่ชุมชนชาวชีอะห์ที่เมืองคาติฟ และใกล้สถานกงสุลสหรัฐฯ ในเมืองจิดดาห์ คนร้ายเสียชีวิตและ รปภ. 2 นายบาดเจ็บ

ที่อินโดนีเซีย มีระเบิดพลีชีพที่หน้าสถานีตำรวจเมืองโจโล บนเกาะชวา บ้านเกิดประธานาธิบดีโจโค วิโดโด ส่วนมาเลเซียยืนยันว่าเหตุโจมตีไนท์คลับในกรุงกัวลาลัมเปอร์ด้วยระเบิดมือ เมื่อ 28 มิ.ย. ก็เป็นฝีมือกลุ่มไอเอส ก่อนหน้านั้น 13 มิ.ย. ก็มีเหตุโจมตีบาร์เกย์ “พัลส์” เมืองออร์ลันโด รัฐฟลอริดา ในสหรัฐฯ มีผู้เสียชีวิต 50 ศพ รวมทั้งคนร้าย ซึ่งการโจมตีแทบทั้งหมดมุ่งเจาะ “เป้าอ่อน” (Soft targets) หรือเป้าหมายที่โจมตีได้ง่ายและยากป้องกัน อีกทั้งต้องการฆ่าหมู่คนให้มากที่สุด โหด เหี้ยมที่สุด โดยไม่สนใจว่าเหยื่อเป็นสตรีหรือ
ลูกเล็กเด็กแดง

สาเหตุที่การก่อการร้ายถี่ยิบผิดสังเกต อาจเป็นเพราะไอเอสในอิรักและซีเรียกำลังเพลี่ยงพล้ำ โดยเฉพาะต้องการตอบโต้ที่กองทัพอิรักยึดเมือง “ฟัลลูจาห์” คืนจากไอเอสได้ อีกทั้งอยู่ในช่วงสุดท้ายของเดือนถือศีลอดหรือ “รอมฎอน” ซึ่งพวกมุสลิมหัวรุนแรงต่อต้าน และไอเอสปลุกเร้าให้สมาชิกและแนวร่วมทั่วโลกลงมือในช่วงนี้

แต่ที่น่าขนพองสยองเกล้าและไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์จะโหดเหี้ยมได้ปานนั้น คือเหตุบุกจับตัวประกัน 12 ชม. ในร้านอาหาร “โฮลีย์ อาร์ติซาน เบเกอรี่” ในกรุงธากา บังกลาเทศ ซึ่งมีคนร้าย 7 คน ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นที่มาจากครอบครัวร่ำรวยและเรียนในสถานศึกษาชั้นสูง คนหนึ่งเป็นถึงลูกชายของนายอิมติอัซ ข่าน นักการเมืองพรรคสันนิบาตอวามี พรรครัฐบาล และรองเลขาธิการคณะกรรมการโอลิมปิกบังกลาเทศ

คนร้ายกลุ่มนี้สั่งให้ตัวประกันท่องคัมภีร์อัล กุรอาน ใครท่องไม่ได้จะถูกทรมานแล้วฆ่าทิ้ง และแทนที่จะยิงด้วยปืนกลับใช้มีดเชือดแทน ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่จึงเป็นชาวต่างชาติ รวมทั้งชาวอิตาลี 9 คน ชาวญี่ปุ่น 7 คน

ชาวบังกลาเทศซึ่งมีประชากรกว่า 160 ล้านคน และเกือบ 90% เป็นชาวมุสลิม ตกตะลึงงุนงงสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้น แม้ใน 2 ปีหลัง กลุ่มหัวรุนแรงคลั่งศาสนาจะก่อเหตุสังหารคนกลุ่มน้อยชาวคริสต์ ฮินดู นักวิชาการเสรีนิยม นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิคนรักร่วมเพศ และบล็อกเกอร์ฝ่ายแยกศาสนาจากการเมืองแล้วหลายสิบคน แต่มักเป็นการลงมือแบบเดี่ยวๆ และการก่อการร้ายที่ทำกันเป็นทีมและวางแผนล่วงหน้าอย่างดีเช่นนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้น


ไว้อาลัย-ชีค ฮาสินา นายกรัฐมนตรีบังกลาเทศ พร้อมเจ้าหน้าที่รัฐบาลและนายทหารระดับสูง ร่วมพิธีไว้อาลัยให้ผู้เสียชีวิตจากเหตุโจมตีร้านอาหาร “โฮลีย์ อาร์ติซาน เบเกอรี่” ที่สนามกีฬาในกรุงธากา เมื่อ 4 ก.ค. (เอพี)

ถึงกระนั้น รัฐบาลบังกลาเทศ ภายใต้การนำของชีค ฮาสินา นายกรัฐมนตรีหญิง ยังปฏิเสธเสียงแข็งว่า คดีนี้ไม่เกี่ยวข้องกับไอเอส แต่คนร้ายเป็นสมาชิกกลุ่ม “จามาอีตุล มูจาฮีดีน บังกลาเทศ” (เจเอ็มบี) กลุ่มหัวรุนแรงภายในประเทศซึ่งถูกประกาศให้เป็นกลุ่มนอกกฎหมายเมื่อ 10 ปีก่อน

สาเหตุที่รัฐบาลยืนกรานปฏิเสธว่า ไม่มีไอเอสอยู่ในบังกลาเทศ อาจเป็นเพราะกลัวผลกระทบด้านเศรษฐกิจและการลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมผลิตเสื้อผ้าและรองเท้าซึ่งเป็นรายได้หลัก ช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจบังกลาเทศเติบโตถึง 6-7% ในปีหลังๆ

แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า อาจมีกลุ่มหัวรุนแรงในบังกลาเทศลอบติดต่อเป็นสาขาหรือแนวร่วมของไอเอส เพราะสภาพแวดล้อมทางการเมืองเอื้ออำนวย เนื่องจากบังกลาเทศยังขาดประชาธิปไตย เพราะรัฐบาลชีค ฮาสินา สั่งยุบและห้ามพรรค “จามาอัต อี-อิสลามี” พรรคอิสลามที่ใหญ่ที่สุดเข้าร่วมการเมืองกระแสหลัก

ผู้นำพรรคจามาอัตฯ ส่วนใหญ่ยังถูกจับหรือถูกประหารชีวิตในการพิจารณาคดีเมื่อไม่นานมานี้ ในข้อหาก่ออาชญากรรมสงครามและสมรู้ร่วมคิดกับปากีสถาน สมัยบังกลาเทศทำสงครามแยกเอกราชจากปากีสถานในปี 2514 รัฐบาลยังกวาดจับฝ่ายต่อต้านนับหมื่นคน อ้างว่าเพื่อกำจัดพวกหัวรุนแรงให้สิ้นซาก ซึ่งนั่นยิ่งสร้างความโกรธแค้นให้ฝ่ายอิสลามและพวกหัวรุนแรง

ส่วนพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค คือ พรรคสันนิบาตอวามีของนายกฯ ชีค ฮาสินา กับ “พรรคชาตินิยมบังกลาเทศ” (บีเอ็นพี) ของนางเบกุม คาเลดา เซีย ก็ต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันมาดุเดือดยาวนาน และในปี 2557 พรรคบีเอ็นพีคว่ำบาตรการเลือกตั้ง หลังชีค ฮาสินา ไม่ยอมให้มีการตั้งรัฐบาลรักษาการที่เป็นกลางขึ้นมากำกับดูแลการเลือกตั้งดังที่เคยปฏิบัติกันมา

ประเทศที่แตกแยกขัดแย้งรุนแรง ภูมิคุ้มกันภายในจะบกพร่อง อาจเปิดช่องให้กลุ่มก่อการร้ายอย่าง “ไอเอส” ฉวยโอกาสแทรกซึม จนอาจกลายเป็นฐานที่มั่นของผู้ก่อการร้ายไปในที่สุด

และกว่าผู้นำจะยอมรับก็อาจสายเกินไป!

บวร โทศรีแก้ว

 

“มาตรา 50” กับความแตกแยก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย บวร โทศรีแก้ว 3 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/652862

 

ผลกระทบจาก “Brexit” สหราชอาณาจักร (ยูเค) ลงประชามติถอนตัวจากสหภาพยุโรป (อียู) เมื่อ 23 มิ.ย. นอกจากจะทำให้ทั่วโลกปั่นป่วน ยังสร้างความแตกแยกให้ทั้งยูเคและอียูแทบทุกองคาพยพ!

พรรคอนุรักษนิยมของนายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน และพรรคแรงงาน ฝ่ายค้านหลักของยูเค แตกแยกเละตุ้มเป๊ะไม่แพ้กัน คาเมรอนซึ่งสนับสนุนฝ่ายให้อยู่ต่อ หรือ “Remain” ต้องลาออก เปิดทางให้พรรคสรรหานายกฯใหม่ในเดือน ต.ค. ซึ่งคงมาจากฝ่ายที่รณรงค์ให้แยกหรือ “Leave”

ตัวเก็งรวมทั้งนายบอริส จอห์นสัน อดีตนายกเทศมนตรีกรุงลอนดอน และนางเทเรซา เมย์ รมว.มหาดไทย ส่วนพรรคแรงงาน ยิ่งแตกแยกหนัก “รัฐมนตรีเงา” กว่าครึ่งยกโขยงลาออก ยื่นญัตติไม่ไว้วางใจ กดดันให้นายเจเรมี คอร์บิน ผู้นำพรรคไขก๊อก โทษฐานนำทัพรณรงค์ฝ่าย Remain ไม่เอาไหนจนพ่ายแพ้

ประชามติครั้งนี้ยังทำให้สังคมและครอบครัวแตกร้าวลึก คล้ายกรณี “เสื้อเหลือง” และ “เสื้อแดง” ในบ้านเรา กลุ่มคนหนุ่มสาวจำนวนมากที่เห็นต่างด่าทอกันเอง และขุ่นแค้นกลุ่มคนสูงวัยซึ่งส่วนใหญ่ลงมติให้ถอนตัวจากอียู โดยโพลของ “ไมเคิล แอชครอฟต์” ระบุว่า กลุ่มคนหนุ่มสาวอายุ 18-24 ปี และ 25-34 ปี ลงคะแนนให้ยูเคอยู่ในอียูต่อไปถึงร้อยละ 73 และ 62 ตามลำดับ ส่วนผู้สูงวัยอายุ 65 ปีขึ้นไปลงคะแนนขอถอนตัวถึงร้อยละ 60

หนุ่มสาวบางคนเสียดสีว่าพวกคนแก่ยุค “เบบี้บูม” ซึ่งมีการงานมั่นคงแล้ว มีบำนาญเลี้ยงชีพสูงๆ นอกจากจะทำให้ราคาที่อยู่อาศัยพุ่งและประเทศจมกองหนี้ ยังทำให้ลูกหลานที่ยังต้องดิ้นรนต่อสู้สร้างฐานะต้องลำบากกันยาวนาน บางคนพูดว่า “ขอบคุณพวกเบบี้บูมที่ช่วยตอกตะปู
ปิดฝาโลงดอกสุดท้ายให้คนรุ่นเรา”!

ส่วนผู้นำ “สกอตแลนด์” ที่ลงมติขออยู่ต่อถึงร้อยละ 62 ต่อ 38 ก็ขุ่นแค้น ขู่จะจัดการลงประชามติแยกเอกราชจากยูเคครั้งที่ 2 หรือไปเจรจาขออยู่กับอียูต่อไป แม้แต่ “ยิบรอลตา” ดินแดนเล็กๆในยูเคก็ขู่จะไปซบอียู

ขณะที่ฝ่ายชาตินิยมขวาจัดและพวกต่อต้านอียูในหลายประเทศได้ทีเรียกร้องให้จัดการลงประชามติแยกตัวบ้าง จึงมีศัพท์ใหม่ๆโผล่ขึ้นเป็นดอกเห็ด เช่น Frexit (ฝรั่งเศส), Nexit (เนเธอร์แลนด์), Oexit (ออสเตรีย), Swexit (สวีเดน), Fixit (ฟินแลนด์), Dexit (เดนมาร์ก), Gerxit (เยอรมนี) และ Italexit (อิตาลี)

ส่วนความแตกร้าวระหว่างยูเคกับสมาชิกอียูอื่นๆ อีก 27 ชาติยิ่งสาหัส เพราะฝ่ายอียูเห็นว่ายูเคทำป่วนขั้นโลกาวินาศ จะฉุดรั้งให้อียูและทั้งโลกที่เศรษฐกิจย่ำแย่อยู่แล้วลงเหวลึกไปด้วย

อียูซึ่งมี “เยอรมนี” และ “ฝรั่งเศส” เป็นพี่ใหญ่ พยายามลดความแตกตื่น โดยประกาศจะผนึกกำลังอียูให้แข็งแกร่งกว่าเดิม ขณะเดียวกัน ก็กดดันให้ยูเครีบประกาศใช้ “มาตรา 50” เปิดการเจรจาถอนตัวโดยเร็วที่สุด เพราะยิ่งล่าช้าจะยิ่งทำให้เกิดความไม่แน่นอน เป็นผลร้ายต่อเศรษฐกิจ ตลาดหุ้น ตลาดเงินทั่วโลกช่วงนี้ “มาตรา 50” จึงเป็นคำยอดฮิต เพราะมันคือ “หัวใจ” ของ “Brexit” ก็ว่าได้!

มาตรา 50 อยู่ใน “สนธิสัญญาลิสบอน 2007” ว่าด้วยการรวมอียู มีแค่ 5 พารากราฟสั้นๆและคลุมเครือ พูดถึงเรื่องสิทธิในการถอนตัวจากอียู โดยระบุว่า เมื่อชาติสมาชิกใดตัดสินใจถอนตัว จะต้อง “ประกาศใช้สิทธิ” (Trigger) มาตรา 50 เสียก่อนจึงจะเริ่มต้นเจรจาถอนตัวได้

การประกาศใช้มาตรา 50 ประเทศนั้นๆ ต้องส่งจดหมายแจ้ง “สภายุโรป” (European Council) ซึ่งประกอบด้วยผู้นำชาติสมาชิกอียูทั้งหมดบวกกับประธานสภายุโรป (ปัจจุบันคือนายโดนัลด์ ทัสค์) หรือใช้วิธีแถลงอย่างเป็นทางการต่อที่ประชุมสภายุโรปก็ได้ แต่ชาติที่ขอถอนตัวต้องเป็นผู้แจ้งเองเท่านั้น โดยไม่มีกำหนดเวลาว่าต้องแจ้งเมื่อไหร่ และไม่มีใครบังคับได้ ดังนั้น ยูเคจึงมีสิทธิ์ “เตะถ่วง” ได้โดยไม่มีกำหนด

แต่ถ้าประกาศใช้มาตรา 50 แล้ว ยูเคและอียูมีเวลาเจรจากัน 2 ปีเต็ม เพื่อหาข้อตกลงว่าจะมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างไรต่อไป ถ้ายังตกลงกันไม่ได้ก็อาจขยายเวลาได้ แต่ยูเคและชาติสมาชิกอียูต้องตกลงเป็นเอกฉันท์

มาตรา 50 ยังระบุว่าชาติที่ถอนตัวแล้วมีสิทธิ์ขอกลับเข้าเป็นสมาชิกอียูได้ภายใต้มาตรา 49 แต่ต้องเริ่มกระบวนการเจรจาขอเป็นสมาชิกใหม่ทั้งหมด นับจาก “ศูนย์” เหมือนตุรกี เซอร์เบีย และแอลเบเนียขณะนี้

มีนักกฎหมายชี้ว่ายูเคมีสิทธิ์กลับลำ ไม่ยอมประกาศใช้มาตรา 50 หรือเมินผลประชามติ เพื่ออยู่ในอียูต่อไป เพราะรัฐสภาไม่มีข้อผูกมัดตามกฎหมายให้ต้องปฏิบัติตามประชามติใดๆ

ยูเคยังอาจใช้วิธียุบสภาเลือกตั้งใหม่ โดยถ้ามีพรรคใดประกาศนโยบายชัดเจนว่าถ้าตนชนะเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมากได้ตั้งรัฐบาล จะไม่ถอนตัวจากอียู และเกิดชนะขึ้นมาจริงๆ อาจ “หักดิบ” ให้ยูเคอยู่ในอียูต่อไป หรืออาจจัดการลงประชามติใหม่ อ้างว่าให้โอกาสประชาชนตัดสินใจว่าจะรับรองผลประชามติรอบแรกหรือไม่

เป็นทางเลือก “แหกกฎ” ที่ยากจะเกิดขึ้น แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!

บวร โทศรีแก้ว

 

ยูเคทิ้งอียู-จุดเริ่มหรือจุดจบ?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย บวร โทศรีแก้ว 26 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/646847

 

ช็อกโลก! เมื่อผลการลงประชามติในสหราชอาณาจักร (ยูเค) หรือที่เราเรียกกันว่า “อังกฤษ” เมื่อ 23 มิ.ย. ฝ่าย “Brexit” (Britain+ Exit) ชนะฝ่าย “Bremain” (Britain+Remain) ด้วยคะแนน 51.9% ต่อ 48.1% นั่นคือยูเคถอนตัวจากสหภาพยุโรป (อียู) ส่งผลให้นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน ซึ่งอยู่ฝ่าย “Bremain” ประกาศลาออก

คำถามที่ดังเซ็งแซ่ตามมาก็คือ ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น?

ฝ่ายมองโลกในแง่ร้ายชี้ว่า เมื่อยูเค หนึ่งในสมาชิกยักษ์ใหญ่ที่สุดถอนตัวเป็นประเทศแรกในประวัติศาสตร์ 60 ปีของอียู จะเป็นจุดเริ่มต้นการล่มสลายของอียู ซึ่งกำลังเผชิญวิกฤติรุมเร้า ทั้งวิกฤติเศรษฐกิจ วิกฤติผู้อพยพรุนแรงที่สุดตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ไปจนถึงวิกฤติการก่อการร้าย

บางคนชี้ว่า ในระยะสั้น Brexit จะส่งผลให้ทั่วโลกปั่นป่วนหนัก โดยเฉพาะตลาดหุ้นและตลาดเงิน เฉพาะในส่วนยูเค ค่าเงินปอนด์สเตอร์ลิงอาจร่วงลง 15-20% อัตราเงินเฟ้ออาจพุ่งขึ้นถึง 5% ค่าแรงพุ่งกระฉูด และจีดีพีจะลดลงถึง 1.0-1.5% นายโดนัลด์ ทัสก์ ประธานอียู ถึงกับเตือนว่า ถ้ายูเคถอนตัว ไม่เพียงจะนำไปสู่การทำลายอียูเท่านั้น แต่จะทำลาย “อารยธรรมทางการเมืองของโลกตะวันตก” ด้วย

Brexit ยังส่งผลกระทบเป็นโดมิโน ประเทศอื่นๆขอเอาอย่างบ้าง เช่น ฝ่ายขวาจัดและพวกสงสัยในการรวมตัวกับอียู (Eurosceptics) ในฝรั่งเศส อิตาลี เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก สวีเดน ก็เรียกร้องให้จัดลงประชามติถอนตัวจากอียูเช่นกัน ขณะที่สกอตแลนด์และไอร์แลนด์เหนือ ก็อาจขอลงประชามติแยกตัวจากยูเคอีก

นั่นแสดงให้เห็นว่า “ศรัทธา” ในอียูเสื่อมถอยอย่างหนัก นับตั้งแต่เยอรมนีตะวันตก ฝรั่งเศส และอีก 4 ประเทศ ร่วมก่อตั้ง “ประชาคมเศรษฐกิจยุโรป” (อีอีซี) ในปี 2500 หวังสร้างความสามัคคี มั่นคง มั่งคั่ง ในยุโรป หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งทำให้ยุโรปบอบช้ำอย่างหนัก
ยูเคสมัครเป็นสมาชิกอีอีซีในปี 2504 หลังเห็นการค้าในอีอีซีเฟื่องฟู แต่แรกๆ ถูกประธานาธิบดีชาร์ลส์ เดอ โกล ของฝรั่งเศสขัดขวาง แต่เมื่อเดอ โกล พ้นอำนาจ ก็เข้าร่วมสำเร็จในปี 2516 ต่อมาอีอีซีกลายมาเป็นอียูในปี 2536 และขยายตัวจนมีสมาชิก 28 ประเทศ มีประชากรรวมกันกว่า 500 ล้านคน หนึ่งในความสำเร็จยิ่งใหญ่ของอียูคือการเป็น “ตลาดร่วม” (Single Market) มีการเคลื่อนที่ของสินค้า เงินทุน การบริการ และคนอย่างเสรี

แต่ถึงกระนั้น ชาวยูเคยังกังขาในการรวมตัวกับอียูอยู่ไม่วาย เพราะเห็นว่าตนมีประวัติศาสตร์ เกียรติภูมิยิ่งใหญ่แตกต่างจากชาติอื่นๆ แต่กลับถูกถ่วงรั้ง เสียเปรียบ ไร้อิสระ จากกฎเกณฑ์เยอะแยะของอียู อีกทั้งต้องอุ้มชาติอื่นที่อ่อนแอ ต้องจ่ายเงินให้อียูมหาศาลถึงปีละกว่า 8,800 ล้านปอนด์ ซึ่ง “ได้ไม่คุ้มเสีย”

ยูเคจึงเข้าอียูแบบขาข้างเดียว ยังใช้เงินปอนด์ต่อไป ไม่เข้าร่วมกลุ่ม “ยูโรโซน” ใช้เงินสกุลยูโร และไม่เข้าร่วม “ความตกลงเชงเกน” ซึ่งอนุญาตให้ประชาชนในชาติสมาชิกเดินทางระหว่างกันได้เสรีโดยไม่ต้องใช้พาสปอร์ต และให้ผู้ถือวีซ่าเชง-
เกนมีสิทธิเดินทางได้ชั่วคราวในทุกชาติสมาชิก

นายกรัฐมนตรีฮาโรลด์ วิลสัน เคยจัดการลงประชามติครั้งแรกในปี 2518 ซึ่งฝ่ายไม่ถอนตัวชนะด้วยเสียง 67% ต่อมา คาเมรอน ให้สัญญาในปี 2556 ว่าถ้าพรรคอนุรักษนิยมของตนชนะเลือกตั้งในปี 2558 จะจัดลงประชามติอีกครั้งเพื่อกำจัดความคลุมเครือ อีกทั้งเพื่อลดแรงกดดันจากพวก Eurosceptics ภายในพรรคอนุรักษนิยมและพรรคเอกราชยูเค (UKIP) หัวหอกต่อต้านอียูมานานกว่า 20 ปี


ผู้แพ้-นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน แถลงข่าวที่หน้าบ้านเลขที่ 10 ถนนดาวนิง กรุงลอนดอน หลังทราบผลการลงประชามติว่ายูเคขอถอนตัวจากอียู โดยมีนางซาแมนธา ภริยา ยืนให้กำลังใจ (เอพี)

แม้คาเมรอนจะหนุนฝ่าย Bremain แต่ก็ไม่ต้องการให้ยูเครวมตัวกับอียูเกินไป และต้องการให้อียูปฏิรูป รวมทั้งนโยบายเคลื่อนย้ายแรงงานเสรี ที่ทำให้คนจากชาติอียูอื่นๆเข้าไปแย่งงานชาวยูเค และนโยบายรับมือวิกฤติผู้อพยพลี้ภัยจากตะวันออก กลางและแอฟริกา ซึ่งเป็นประเด็นหลักในประชามติครั้งนี้

เมื่อเลือกถอนตัว รัฐสภายูเคต้องผ่านกฎหมายรับรองก่อน ส่วนรัฐบาลยูเคต้องไปต่อรองเงื่อนไขต่างๆกับอียูว่าจะคบค้าสมาคมกันอย่างไรต่อไป โดยเจรจากันสุดเข้มข้น 2 ปี ภายใต้มาตรา 50 ของสนธิสัญญาลิสบอน 2009 ซึ่งอาจใช้เวลานานกว่านั้น ก่อนถอนตัวอย่างเป็นทางการ ระหว่างนั้น ยูเคยังต้องเคารพกฎเกณฑ์อียูต่อไป แต่ไม่มีสิทธิ์ร่วมตัดสินใจในนโยบายใดๆ

ผู้ชนะ-นางกิเซลา สจวร์ท (ซ้าย) นายบอริส จอห์นสัน อดีตนายกเทศมนตรีกรุงลอนดอน (กลาง) นายไมเคิล โกฟ รมว.ยุติธรรม (ขวา) 3 ผู้นำกลุ่ม Vote Leave ซึ่งรณรงค์ให้ยูเคถอนตัวจากอียู แถลงข่าวที่สำนักงานใหญ่ของ Vote Leave ในกรุงลอนดอน หลังทราบผลการลงประชามติ (เอพี)

แต่ถ้ายูเคเลือกเล่นเกมยุบสภาเลือกตั้งใหม่ และมีพรรคใดประกาศนโยบายชัดเจนว่าจะ “กลับลำ” ไม่ถอนตัวจากอียู และพรรคนั้นๆชนะเลือกตั้ง จะทำให้ยูเคอยู่ในอียูต่อไปได้ท่ามกลางความแตกแยก เพราะเท่ากับเป็นการ “ลงประชามติซ้อน” ขัดต่อมติมหาชนที่ให้ถอนตัวจากอียูไปแล้ว

ส่วนอียูก็ต้องทบทวนตัวเองและเร่งปฏิรูปเพื่อความอยู่รอด และแนวคิดรวมตัวทางการเมืองให้ลึกซึ้งขึ้นที่เรียกว่า “Ever-closer” คล้าย “สหรัฐอเมริกา” นั้นคงต้องพักไว้ก่อน แต่การปฏิรูป “พูดง่ายแต่ทำยาก” เพราะยังแตกแยกกันหลายเรื่อง โดยเฉพาะฝรั่งเศสและเยอรมนี “ขาใหญ่” ขัดแย้งกันเรื่องนโยบายเศรษฐกิจ เรื่องยูโรโซน และวิกฤติผู้อพยพ การผลักดันแนวริเริ่มด้านเศรษฐกิจใหญ่ๆ คงสำเร็จได้ยาก

ในช่วงยังมึนงง อียูอาจเลือกแนวทางรวมตัวกันแบบหลวมๆลง หรือทำอะไรที่ดูยิ่งใหญ่ให้รู้ว่า “ข้ายังอยู่” อาจเป็นการผนึกกำลังกันด้าน “ความมั่นคง” และ “การทหาร” ให้เข้มแข็งขึ้น ขณะที่เผชิญความท้าทายจาก “รัสเซีย” และภัยก่อการร้าย

หลัง Brexit อนาคตยูเคและอียูจะเป็นเช่นไรยังยากจะบอกได้ แต่ที่แน่ๆ อะไรๆไม่มีวันเหมือนเดิมอีกแล้ว!

บวร โทศรีแก้ว

 

ปมฆ่าหมู่ออร์ลันโด เหยื่อทูตมรณะ AR-15

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย บวร โทศรีแก้ว 19 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/641345

 

บาร์เกย์สยอง-เจ้าหน้าที่ปิดล้อมบาร์เกย์ “พัลส์ ไนต์คลับ” เมืองออร์ลันโด รัฐฟลอริดา หลังนายโอมาร์ มาทีน ชาวอเมริกันเชื้อสายอัฟกัน วัย 29 ปี (รูปเล็ก) บุกกราดยิงและจับตัวประกัน มีผู้เสียชีวิต 49 ศพ บาดเจ็บ 53 คน ก่อนถูกตำรวจยิงตาย เมื่อ 13 มิ.ย. (เอเอฟพี/เอพี)

คดีสังหารหมู่ครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯยุคใหม่ เมื่อเช้า 12 มิ.ย. นอกจากจะเขย่าขวัญชาวโลกสุดๆแล้ว ยังมีมิติแง่มุมสลับซับซ้อน ชนิดที่ทีมสอบสวนต้องกุมขมับ

นาย โอมาร์ มาทีน ชาวอเมริกันเชื้อสายอัฟกันเกิดในนิวยอร์ก วัย 29 ปี ใช้ปืนไรเฟิลจู่โจม “เออาร์-15” และปืนพกสั้น บุกกราดยิงและจับตัวประกันในบาร์เกย์ “พัลส์ ไนต์คลับ” เมืองออร์ลันโด รัฐฟลอริดา มีผู้เสียชีวิต 49 ศพ บาดเจ็บ 53 คน ก่อนถูกตำรวจบุกจู่โจมจับตาย

มาทีนทำงานให้ “จีโฟร์เอส” (G4S) บริษัทรักษาความปลอดภัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีลูกจ้างถึง 620,000 คนในกว่า 110 ประเทศ ตั้งแต่ปี 2550 เขาไปซื้ออาวุธมรณะก่อนก่อเหตุแค่ 2 วัน ขณะก่อเหตุยังโทรศัพท์ถึงหน่วยฉุกเฉิน “911” ประกาศสวามิภักดิ์ต่อ “กองกำลังรังอิสลาม” (ไอเอส) อีกทั้งเอ่ยถึง 2 พี่น้องชาวมุสลิมเชเชนผู้ก่อเหตุลอบวางระเบิด “บอสตัน มาราธอน” ในปี 2556 มีผู้เสียชีวิต 3 คน บาดเจ็บกว่า 260 คนด้วย

สำนักงานสืบสวนสอบสวนกลางสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) ยอมรับว่า เคยสอบสวนมาทีนถึง 2 ครั้งในปี 2556-2557 ในฐานะผู้ต้องสงสัยเป็นมุสลิมหัวรุนแรง หลังพูดจาข่มขู่เพื่อนร่วมงาน ต่อมาถูกสอบสวนอีกในฐานะผู้ต้องสงสัยมีสายสัมพันธ์กับนายโมเนอร์ โมฮัมหมัด อาบูซาลา มือระเบิดพลีชีพชาวอเมริกันคนแรกในซีเรียในปี 2557 แต่สุดท้ายเอฟบีไอก็ปิดการสอบสวน และถอดเขาออกจากบัญชีเฝ้าระวังผู้ก่อการร้ายซะดื้อๆ

อดีตภรรยาเผยว่า มาทีนอยากเป็นตำรวจแต่ไม่สมหวัง มีสภาพจิตใจไม่ปกติ มีบุคลิกภาพ 2 ขั้ว เกลียดพวกรักร่วมเพศ โมโหร้าย มักทุบตีเธอเป็นประจำ จนพ่อแม่ต้องไปช่วยให้หนีออกมาหลังอยู่กินกันได้แค่ 4 เดือน ส่วนบิดาของมาทีน ซึ่งเป็นชาวอัฟกันอพยพ เผยว่า ลูกชายอาจโกรธแค้นที่เห็นผู้ชาย 2 คนยืนจูบกันริมถนนในเมืองไมอามีต่อหน้าภรรยาใหม่และลูกชายวัย 3 ขวบ

หลังเกิดเหตุ กลุ่ม “ไอเอส” รีบผสมโรง อ้างว่ามาทีนคือ “นักรบ” ของตน แม้เอฟบีไอระบุว่าเขาไม่น่าเกี่ยวข้องโดยตรงกับกลุ่มก่อการร้ายต่างชาติใดๆ แม้เคยโพสต์ใน “เฟซบุ๊ก” ด่าชาติตะวันตกว่าเสื่อมทรามและเอ่ยถึงการโจมตีทางอากาศถล่มไอเอสในซีเรีย แต่เขาอาจได้รับแรงบันดาลใจหรือถูกล้างสมองผ่านอินเตอร์เน็ต และภรรยาใหม่อาจมีส่วนรู้เห็นกับคดีนี้

คดีนี้ยิ่งน่าปวดหัวเข้าไปใหญ่ เมื่อพนักงานและลูกค้าของ “พัลส์” เผยว่า เคยเห็นมาทีนไปเที่ยวที่พัลส์หลายครั้งใน 3 ปีหลัง คล้ายไปรอจับผู้ชาย แถมยังใช้แอพพลิเคชันหาคู่ของชาวเกย์ด้วย

มูลเหตุจูงใจในการก่อเหตุจึงซับซ้อนมาก เพราะมีทั้งปมโรคจิต ปมแนวคิดหัวรุนแรง ปมรักร่วมเพศ ซึ่งอาจมีทั้งรักและเกลียด ไปจนถึงปมปัญหาครอบครัวและการงานเข้ามาเกี่ยวข้องอีนุงตุงนังไปหมด

คดีสังหารหมู่ที่ “พัลส์” นอกจาก “เอฟบีไอ” จะถูกด่าเละที่ปล่อยให้ผู้ต้องสงสัยหลุดมือมาก่อการร้ายได้ ยังจุดกระแสถกเถียงเรื่องการควบคุมอาวุธปืนขึ้นมาอีก คล้ายคดียิงหมู่หรือกราดยิงใส่ฝูงชน (Mass shooting) แทบทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งนิยามของ Mass shooting คือการยิงที่ทำให้มีคนเสียชีวิตหรือบาดเจ็บ 4 คนขึ้นไป โดยแค่ปีที่แล้วเกิดคดียิงหมู่ในสหรัฐฯถึง 372 คดี มีผู้เสียชีวิต 475 คน บาดเจ็บ 1,870 คน!

คดี “พัลส์” ยังก่อแรงกดดันรอบใหม่ให้สภาคองเกรสผ่านกฎหมายควบคุมอาวุธปืนเข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะปืนเล็กยาวหรือปืนไรเฟิลจู่โจม (Assault Rifles) ที่มาทีนใช้เป็นอาวุธหลักก่อเหตุ ถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษ

“เออาร์-15” เป็นปืนไรเฟิลจู่โจมกึ่งอัตโนมัติ ถูกพัฒนามาจากปืน “เอ็ม-16” ที่กองทัพสหรัฐฯ ใช้ตั้งแต่ยุคสงครามเวียดนาม มีแรงสะท้อนปานกลาง แต่มีขนาดเล็กและเบากว่า ยิงได้ถึงนาทีละ 45 นัด บริษัทผู้ผลิตรวมทั้งเรมิงตัน, สมิธ แอนด์ เวสสัน, สเติร์ม รูเกอร์ และบุชมาสเตอร์ ประเมินว่าชาวอเมริกันมีปืนเออาร์-15 อยู่ในครอบครอง 5-10 ล้านกระบอก!


ทูตมรณะ-ตำรวจรัฐคอนเนกติกัตโชว์ปืนไรเฟิลจู่โจมกึ่งอัตโนมัติ “เออาร์-15” รุ่นหนึ่ง ซึ่งคนร้ายใช้ยิงสังหารหมู่ 28 ศพในโรงเรียนประถมแซนดี ฮุก ในปี 2555 และนายโอมาร์ มาทีน ก็ใช้ปืนชนิดนี้ฆ่าหมู่ 49 ศพในบาร์เกย์ “พัลส์ ไนต์คลับ” ในรัฐฟลอริดา (เอพี)

สิทธิในการครอบครองอาวุธปืนถูกระบุไว้ในรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ประชาชนจึงมีปืนมากมายราว 300 ล้านกระบอก หรือเฉลี่ย 1 คนต่อ 1 กระบอก และในแต่ละปี มีผู้เสียชีวิตจากอาวุธปืนในสหรัฐฯ ราว 30,000 คน

แม้สัดส่วนผู้เสียชีวิตจากปืนไรเฟิลจู่โจมจะมีไม่มากนัก แต่ตั้งแต่ปี 2554 มันถูกใช้ก่อเหตุ “Mass shooting” แล้วอย่างน้อย 11 ครั้ง รวมทั้งคดีฆ่าหมู่ 14 ศพที่เมืองซาน เบอร์นาดิโน รัฐแคลิฟอร์เนียปีที่แล้ว คดีฆ่าหมู่ 28 ศพในโรงเรียนประถมแซนดี ฮุก รัฐคอนเนกติกัต และคดีฆ่าหมู่ 12 ศพ ในโรงภาพยนตร์เมืองโคโลราโด ในปี 2555 แต่ถึงกระนั้น กฎหมายควบคุมอาวุธปืนฉบับใหม่ที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามาผลักดันก็ไม่ผ่านวุฒิสภาในปี 2556

จริงๆแล้ว กฎหมายห้ามมีอาวุธจู่โจมและแมกกาซีนบรรจุกระสุนปืนขนาดใหญ่ เคยมีผลบังคับใช้ในปี 2537 หลังเจรจากันในสภาคองเกรสถึง 7 ปี แต่หมดอายุลงแล้วในปี 2547 จากนั้นกฎหมายควบคุมอาวุธปืนฉบับใหม่ก็ยากจะคลอดออกมาได้ เพราะถูกต่อต้านจากพรรครีพับลิกันและสมาคมปืนไรเฟิลแห่งชาติ (เอ็นอาร์เอ) ที่ทรงอิทธิพล อีกทั้งชาวอเมริกันส่วนใหญ่เห็นว่าควรตรวจเช็กประวัติผู้ซื้อปืนให้เข้มข้นขึ้นจะดีกว่า

เชื่อหรือไม่ว่า กฎหมายสหรัฐฯปัจจุบันผู้อยู่ในบัญชีเฝ้าระวังผู้ก่อการร้ายก็ยังมีสิทธิซื้อปืนได้ จึงไม่แปลกที่มาทีนซึ่งถูกถอดจากบัญชีแล้วจะไปซื้อทูตมรณะ “เออาร์-15” ในรัฐฟลอริดาได้อย่างง่ายดายในวันเดียว!

บวร โทศรีแก้ว

 

ศึกเลือกตั้งนัดประวัติศาสตร์ สหรัฐฯลุ้นผู้นำหญิงคนแรก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย บวร โทศรีแก้ว 12 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/636490

 

ประวัติศาสตร์-นางฮิลลารี คลินตัน ว่าที่ตัวแทนพรรคเดโมแครตไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ชูมือปลุกเร้าผู้สนับสนุน ที่มหานครนิวยอร์ก หลังการเลือกตั้งขั้นต้นในอีก 6 รัฐ เมื่อ 7 มิ.ย. (เอพี)

ถ้าไม่มี “อุบัติเหตุ” ชนิดมโหฬาร ก็แน่ชัดแล้วว่าคู่ชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใน 8 พ.ย.นี้ คือ นางฮิลลารี คลินตัน อดีตสตรีหมายเลข 1 อดีต ส.ว.รัฐนิวยอร์ก และอดีต รมว.การต่างประเทศ ตัวแทนพรรคเดโมแครต “ตราลา” กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ มหาเศรษฐีฝีปากกล้าผู้อื้อฉาว ตัวแทนพรรครีพับลิกัน “ตราช้าง”

ตอนเปิดตัวแรกๆ แทบไม่มีใครคิดว่าทรัมป์จะมีวันนี้ได้ ส่วนคลินตันดูจะเป็น “ตัวเก็ง” ตั้งแต่แรก หลังเคยแพ้บารัค โอบามา ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ในการชิงเป็นตัวแทนพรรคสมัยแรกในปี 2551

คลินตันใช้ความผิดพลาดครั้งนั้นเป็นบทเรียน ปิดจุดด้อยเสริมจุดเด่น วางแผนหาเสียงอย่างรัดกุม ไม่เน้น “โชว์เก่ง” และชูภาพลักษณ์ “ติดดิน” มากขึ้น เธอจ้างทีมที่ปรึกษา “ดิวอี้ สแควร์ กรุ๊ป” เป็นกุนซือหาเสียง เน้นระเบียบวินัย เอกภาพ และที่สำคัญ มุ่งพิชิตจำนวน “คณะผู้แทน” (delegates) มากกว่า “ผู้มีสิทธิ์ออกเสียง” (voters)

หลังการเลือกตั้งขั้นต้น 6 รัฐล่าสุดเมื่อ 7 มิ.ย. คลินตันกวาด “คณะผู้แทน” ได้แล้วถึง 2,755 เสียง ทะลุเกณฑ์ที่กำหนดไว้ที่ 2,383 เสียง แยกเป็นคณะผู้แทนปกติ 2,184 เสียง คณะผู้แทนพิเศษ (superdelegates) ที่สัญญาจะสนับสนุนเธอแล้ว 571 เสียง โดยผู้แทนพิเศษนี้ประกอบด้วยแกนนำพรรค รวมทั้งสมาชิกสภาคองเกรสและผู้ว่าการรัฐ ซึ่งมีสิทธิ์เลือกใครก็ได้ให้เป็นตัวแทนพรรคในการประชุมใหญ่ระดับชาติของพรรคใน 25 ก.ค.นี้


กำลังใจดี-โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ตัวแทนพรรครีพับลิกันไปชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โบกมือให้กองเชียร์ขณะแถลงข่าวที่สโมสรกอล์ฟทรัมป์แห่งชาติเวสต์เชสเตอร์ ที่เบรียร์คลิฟฟ์ แมน-เนอร์ รัฐนิวยอร์ก โดยมีนางเมลาเนีย ภริยา ยืนเคียงข้างให้กำลังใจ (เอพี)

คลินตันสร้าง “ประวัติศาสตร์” เป็นสตรีคนแรกในรอบ 227 ปี ที่ได้เป็นตัวแทนพรรคใหญ่ไปชิงเก้าอี้ผู้นำ นับตั้งแต่จอร์จ วอชิงตัน ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนแรกในปี 2332 หลังสหรัฐฯประกาศเอกราชจากอังกฤษเมื่อ 4 ก.ค. 2319 ถ้าเธอชนะจะเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐฯด้วย

ก่อนหน้านี้ สตรีที่เคยเข้าใกล้เก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯที่สุดแต่ไปไม่ถึงฝันคือนางซาราห์ เพ-ลิน ผู้ว่าการรัฐอลาสกา ที่นายจอห์น แมคเคน ตัวแทนพรรครีพับลิกันเลือกเป็น “คู่หู” ชิงเก้าอี้รองประธานาธิบดีในปี 2551 และนางเจอราลดีน เฟอร์ราโร ซึ่งนายวอลเตอร์ มอนเดล ตัวแทนพรรคเดโมแครตเลือกเป็นคู่หูชิงรองประธานาธิบดีปี 2527

การเลือกตั้งประธานาธิบดีหนนี้ ยังจะมีการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่อีกหลายประการ!

ถ้าโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะมีอายุครบ 70 ปีใน 14 มิ.ย.นี้ชนะ จะเป็นประธานาธิบดีอายุมากที่สุดแทนโรนัลด์ เรแกน ซึ่งมีอายุ 69 ปี ในวันรับตำแหน่งในปี 2524 แต่ถ้าคลินตัน ซึ่งจะมีอายุครบ 69 ปีใน 26 ต.ค.นี้ชนะ จะเป็นประธานาธิบดีที่อายุมากที่สุดอันดับ 2 แทนวิลเลียม เฮนรี แฮร์ริสัน ประธานาธิบดีคนที่ 9 ในปี 2384

ทั้งคลินตันและทรัมป์ยังเป็น “ชาวนิวยอร์ก” คู่แรกที่เข้าชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีกันเอง ตั้งแต่โธมัส อี. ดิวอี้ ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กคนที่ 47 ชิงกับแฟรงกลิน ดี.รูสเวลต์ ประธานาธิบดีคนที่ 32 ในปี 2487 และไม่ว่าทรัมป์หรือคลินตันชนะ จะเป็นชาวนิวยอร์กคนแรกในรอบ 71 ปี ที่ได้เป็นประธานาธิบดี

ส่วนเรื่อง “เงินทุนหาเสียง” ทรัมป์ก็ใช้น้อยมากเป็นประวัติการณ์ จนถึงสิ้นเดือน เม.ย.เขาใช้เงินไปแค่ 49 ล้านดอลลาร์ โดย 36 ล้านดอลลาร์เป็นเงินตัวเอง ซึ่งยังไม่มีใครใช้น้อยกว่านี้นับตั้งแต่อัล กอร์ ในปี 2543 ที่ใช้เงินไป 126 ล้านดอลลาร์ แม้ในช่วงหาเสียงที่เหลืออีก 5 เดือน ทรัมป์ต้องใช้เงินอีกเยอะ แต่คงห่างไกลกับที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ใช้หาเสียงเลือกตั้งปี 2555 เกือบ 556 ล้านดอลลาร์

ส่วนคลินตัน ใช้เงินหาเสียงไปแล้วประมาณ 187 ล้านดอลลาร์ มากกว่าทรัมป์เกือบ 4 เท่า!

ประวัติศาสตร์อีกบทหนึ่งก็คือ ทรัมป์ไม่เคยมีประสบการณ์เล่นการเมือง ซึ่งในรอบกว่า 60 ปี ยังไม่มีใครได้เป็นประธานาธิบดีโดยที่ไม่เคยเป็นสมาชิกสภาคองเกรสหรือผู้ว่าการรัฐมาก่อน โดยประธานาธิบดีคนล่าสุดที่ไม่เคยมีประสบการณ์ทางการเมืองคือ ดไวท์ ไอเซนฮาวร์ อดีตแม่ทัพกองทัพพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งชนะเลือกตั้งในปี 2496 ก่อนหน้านั้น เฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์ ประธานาธิบดีคนที่ 31 ช่วงปี 2472 – 2476 ก็ไม่เคยมีประสบการณ์ทางการเมือง โดยเป็นอดีตวิศวกรเหมืองแร่ นักเขียน และนักมนุษยธรรม

นอกจากนี้ ยังไม่เคยมีผู้สมัครชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯคนใดเป็นเจ้าของธุรกิจโรงแรมและบ่อนกาสิโนอย่างทรัมป์มาก่อน ซึ่งทรัมป์ยกมาเป็นจุดขาย คุยโวว่าตนมีประสบการณ์ด้านธุรกิจโชกโชน จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจและการว่างงานได้ดีกว่า อีกทั้งไม่มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพวกนักการ เมืองกระแสหลักในวอชิงตันมากเกินไป จึงมีอิสระในการบริหารประเทศมากกว่าคลินตัน ซึ่งเล่นการเมืองสไตล์น้ำเน่ามานานกว่า 30 ปี!

ส่วนโพลสำรวจ “คะแนนนิยม” โดยเฉลี่ย ใน 10 เดือนหลัง คลินตันนำทรัมป์มาตลอด โดยเคยมีคะแนนนิยมสูงสุดในเดือน ก.ค.2558 ถึง 53.3% และต่ำสุดในเดือน ม.ค.ปีนี้ที่ 44.0% ขณะที่ทรัมป์เคยมีคะแนนต่ำสุดในเดือน ก.ค.2558 ที่ 33.7% และสูงสุดในเดือน ธ.ค.2558 ที่ 44.3%

โพลล่าสุดสัปดาห์ที่แล้ว เฉลี่ยคลินตันนำทรัมป์อยู่ที่ 46.7% ต่อ 40.5% หรือราว 6 จุด ทรัมป์จึงดูเหมือนเป็นรอง เขายังมีปัญหาเรื่องการสร้าง “เอกภาพ” ภายในพรรคที่แตกแยกมากกว่าคลินตัน ทั้งเคยปากเสียดูหมิ่นสตรี ต่อต้านชาวมุสลิมและผู้อพยพ รวมทั้งชาวฮิสแปนิก (ผู้ใช้ภาษาสเปน) ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญยิ่ง

แต่เวลาที่เหลืออีก 5 เดือน อะไรก็เกิดขึ้นได้ คนอเมริกันอาจทั้งเบื่อและโกรธนักการเมืองเก่าๆ ที่ไม่ทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น หันมาเลือกสิ่งใหม่ๆ ซึ่งทรัมป์เสนอขายอยู่อย่างเข้มข้น

แม้จะเป็นแค่ความหวังที่เลื่อนลอย แต่ดีกว่าไม่มีอะไรให้คว้าจับ!

บวร โทศรีแก้ว

 

ศึกยึดฟัลลูจาห์ กุมชะตาไอเอส

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/631679

โดย บวร โทศรีแก้ว 5 มิ.ย. 2559 05:01

 

เร่งยึดเมือง-ทหารรัฐบาลอิรักและ พันธมิตร “กองกำลังประชาชนเคลื่อนที่เร็ว” (พีเอ็มเอฟ) ระดมยิงปืนครกใส่ที่มั่นของกลุ่ม ไอเอสอย่างหนัก ที่เมืองซาคลาวิยาห์ ใกล้เมืองฟัลลูจาห์ (เอพี)

สงครามกวาดล้าง “กองกำลังรัฐอิสลาม” (ไอเอส) ในอิรักและซีเรีย ทวีความดุเดือดเลือดพล่านถึงขีดสุดอีกครั้งตั้งแต่สัปดาห์ก่อน!

เมื่อกองกำลังผสมฝ่ายรัฐบาลอิรัก ทั้งกองทัพบก ตำรวจ จ.อันบาร์ กองกำลังพันธมิตรชาวชีอะห์และสุหนี่ และกองกำลังต่อต้านการก่อการร้าย (ซีทีเอส) ชั้นหัวกะทิ รุกคืบเข้าเมือง “ฟัลลูจาห์” ทางภาคตะวันตก ห่างกรุงแบกแดดแค่ 65 กม. หวังยึดเมืองคืนจากไอเอสขั้นแตกหัก ภายใต้ยุทธการ “ทำลายการก่อการร้าย” (Break Terrorism)

ส่วนที่ซีเรีย ทั้งกองทัพรัฐบาลซีเรีย และ “กองกำลังประชาธิปไตยซีเรีย” (เอสดีเอฟ) พันธมิตรฝ่ายกบฏที่ต่อสู้กับรัฐบาลประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ร่วมกับกองกำลังชาวเคิร์ดและอาหรับที่มีสหรัฐฯหนุนหลัง ก็ตีวงล้อมรุกคืบเข้าใกล้เมืองรักกา เมืองหลวงของกลุ่มไอเอสเช่นกัน

ยุทธการถล่มไอเอสทั้งในอิรักและซีเรีย มีกองทัพพันธมิตรนำโดยสหรัฐฯช่วยโจมตีทางอากาศอย่างหนักตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ขณะที่ “อิหร่าน” ซึ่งเป็นชาวชีอะห์เช่นเดียวกับแกนนำรัฐบาลอิรักในปัจจุบัน ก็ส่งทหารเข้าไปช่วยแบบลับๆ ทำให้ไอเอสถูก “รุมกินโต๊ะ” อ่อนเปลี้ยลงเรื่อยๆ จนบางส่วนถอยร่นเข้าไปในลิเบีย

ไอเอส ซึ่งเดิมชื่อว่ากลุ่ม “รัฐอิสลามในอิรัก” (ไอเอสไอ) และ “รัฐอิสลามแห่งอิรักและลีแวนต์” (ไอซิล) บุกยึดฟัลลูจาห์ได้ตั้งแต่เดือน ม.ค.2557 ก่อนยึดเมืองรอมาดีใน จ.อันบาร์เช่นกัน จากนั้นก็ยึดเมือง “โมซูล” เมืองใหญ่อันดับ 2 ทางภาคเหนือ และประกาศตั้ง “รัฐอิสลาม” (คอลีฟะห์) ขึ้นในดินแดนที่ตนยึดได้ในอิรักและซีเรีย และเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็นกลุ่ม “ไอเอส” ก่อนยึดพื้นที่มากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งเมือง “ทิกริต” บ้านเกิดของอดีตประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน

แต่ปีที่แล้ว กองทัพรัฐบาลอิรักและพันธมิตรซึ่งได้รับการสนับสนุนการโจมตีทางอากาศจากสหรัฐฯ เริ่มตีโต้ยึดเมืองต่างๆคืนจากไอเอสได้อย่างช้าๆ รวมทั้งเมืองทิกริต ไบจี ซินจาร์ ฮีต รัตบา รอมาดี และตั้งเป้าว่าในปีนี้ จะต้องยึดเมือง “ฟัลลูจาห์” และ “โมซูล” ซึ่งเป็น 2 เมืองใหญ่ ที่มั่นสุดท้ายของกลุ่มไอเอสให้จงได้

ถ้ายึดฟัลลูจาห์ได้ การยึดเมืองโมซูลจะง่ายขึ้น นั่นอาจหมายถึงจุดจบของกลุ่มไอเอสในอิรัก!

ฟัลลูจาห์ได้รับฉายา “เมืองแห่งสุเหร่า” เพราะมีสุเหร่าหรือมัสยิดทั้งในและรอบเมืองกว่า 200 แห่ง เคยมีประชากรกว่า 300,000 คน ก่อนถูกยึดครองโดยกลุ่ม “อัล เคดาในอิรัก” (เอคิวไอ) และกลุ่มไอเอส

ฟัลลูจาห์ยังเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ควบคุมถนนสายหลักเชื่อมกรุงแบกแดดกับจอร์แดนและซีเรีย เคยเป็นแหล่งซ่องสุมของทั้งกลุ่มอัล เคดา กลุ่มที่จงรักภักดีต่อซัดดัม ฮุสเซน และกลุ่มนักรบญีฮัดชาวสุหนี่หัวรุนแรงที่ต่อต้านการยึดครอง หลังสหรัฐฯ บุกยึดอิรักในปี 2546 จนเกิดสงครามใหญ่ 2 ครั้งซ้อนกับสหรัฐฯ ในปี 2547

ระหว่างสงคราม พลเรือนชาวอเมริกันของบริษัท “แบล็กวอเทอร์” ผู้รับสัมปทานธุรกิจรักษาความปลอดภัยในอิรัก 4 คน ถูกฆ่าทิ้งอย่างโหดเหี้ยม ศพถูกหั่นและเผา ศพหนึ่งถูกแขวนจากสะพานเหนือแม่น้ำยูเฟรตีส และฝ่ายต่อต้านเผยแพร่วีดิโอนี้สร้างความสยดสยองไปทั่วโลก

รัฐบาลประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ถูกบีบให้ระดมทหารสหรัฐฯกว่า 12,000 นาย นำโดยหน่วยนาวิกโยธิน บวกกับทหารอิรักอีกกว่า 2,500 นาย เข้าไปบดขยี้กบฏในฟัลลูจาห์กว่า 4,000 คน กลุ่มสิทธิมนุษยชนยังกล่าวหาว่าสหรัฐฯใช้กำลังเกินกว่าเหตุ รวมทั้งใช้ “ระเบิดฟอสฟอรัสขาว” ด้วย แต่สหรัฐฯอ้างว่าไม่ผิดกฎหมายเพราะไม่ได้มุ่งเป้าโจมตีพลเรือน แม้ต่อมาจะมีรายงานเด็กทารกเกิดมาพิกลพิการจากพิษอาวุธเคมีดังกล่าว

สงครามนองเลือดครั้งนั้น มีผู้เสียชีวิตหลายพันคน รวมทั้งทหารสหรัฐฯกว่า 80 นาย และฝ่ายต่อต้านสหรัฐฯกว่า 2,000 คน อาคารบ้านเรือนหลายพันหลัง สุเหร่าเกือบ 60 แห่ง ถูกทำลาย ประชาชนส่วนใหญ่จากทั้งหมดราว 300,000 คนต้องอพยพลี้ภัย

แม้ศึกฟัลลูจาห์จะสงบลงได้ แต่เมื่อสหรัฐฯ ถอนทหารหน่วยรบทั้งหมดจากอิรักในปี 2554 ทำให้กลุ่ม “รัฐอิสลามในอิรัก” (ไอเอสไอ) ซึ่งเป็นทายาทของกลุ่มอัล เคดาในอิรัก (เอคิวไอ) ฟื้นตัวกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง ก่อนกลายมาเป็นกลุ่มไอซิลและไอเอสในที่สุด ดังนั้น คงไม่ผิด ถ้าจะพูดว่าฟัลลูจาห์คือหนึ่งในจุดกำเนิดกลุ่มไอเอส

ห้วงเพลานี้ แม้กลุ่มไอเอสกำลังเพลี่ยงพล้ำย่ำแย่ จากเดิมที่เคยยึดครองดินแดนอิรักถึง 40% ตอนนี้เหลือแค่ 14% แต่ก็ใช่ว่าจะสยบได้ง่ายๆ คาดว่าการบุกยึดฟัลลูจาห์ให้ได้โดยสิ้นเชิง อาจใช้เวลาอีกอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ เพราะถึงแม้ไอเอสมีนักรบแค่ราว 1,200 คน แต่ก็สู้ยิบตา วางพลซุ่มยิงและกับระเบิดไว้เต็มไปหมด

นอกจากนี้ ไอเอสอาจใช้พลเรือนที่ติดค้างอยู่ในฟัลลูจาห์กว่า 50,000 คน รวมทั้งเด็กกว่า 20,000 คน เป็น “โล่มนุษย์” ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมครั้งใหญ่ ไอเอสและสาขาแนวร่วมในต่างแดนยังอาจตอบโต้ด้วยการ “ก่อการร้าย” ในประเทศต่างๆ เหมือนการโจมตีกรุงปารีสในฝรั่งเศส และกรุงบรัสเซลส์ในเบลเยียมปีที่แล้ว

การที่สหรัฐฯแถลงเตือนให้ระวังผู้ก่อการร้ายอาจโจมตียุโรปในช่วงนี้ รวมทั้งสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร ระบบคมนาคม ไปจนถึงการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2016 ที่ฝรั่งเศส ใน 10 มิ.ย.-10 ก.ค.นี้ จึงไม่ควรมองข้าม

เพราะยามใดที่เข้าตาจน กลุ่มไอเอสมักตอบโต้ด้วยการก่อการร้ายตามวิถีที่ตนถนัด!

บวร โทศรีแก้ว

จากอภิศัตรูสู่มหามิตร ขยับขั้น “ปักหมุดเอเชีย”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/627104

โดย บวร โทศรีแก้ว 29 พ.ค. 2559 05:01

 

ขยับสัมพันธ์-ประธานาธิบดีบารัค โอบามา และประธานาธิบดีเจิ่น ได่ กว่าง เดินเข้าห้องประชุมในทำเนียบประธานาธิบดีที่กรุงฮานอย ก่อนโอบามาประกาศยกเลิกการห้ามขายอาวุธร้ายแรงทั้งหมดให้เวียดนาม ท่ามกลางการจับตามองจากจีน (เอพี)

สงครามเวียดนามยุติลงในปี 2518 หรือ 41 ปีก่อน โดยสหรัฐฯ และเวียดนามใต้พ่ายแพ้ต่อกองทัพคอมมิวนิสต์เวียดนามเหนือและเวียดกง สหรัฐฯต้องถอนทัพหนีสุดอัปยศ สงครามโหดครั้งนั้นทำให้คนเวียดนาม ลาว กัมพูชา ทั้งทหารและพลเรือนเสียชีวิตหลายล้านคน ส่วนทหารอเมริกันสิ้นชีพกว่า 58,000 นาย

เมื่อบาดแผลสงครามเริ่มจางหายตามกาลเวลา สหรัฐฯในสมัยประธานาธิบดีบิล คลินตัน ก็ประกาศฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตกับเวียดนามเมื่อ 11 ก.ค.2538 หรือ 21 ปีก่อน จากนั้นประธานาธิบดีคลินตันและจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ก็เดินทางเยือนเวียดนามในปี 2543 และ 2549 ตามลำดับ

และเมื่อ 23-25 พ.ค.ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้ประกาศนโยบาย “ปักหมุดเอเชีย” ในปี 2554 หลังสหรัฐฯละทิ้งภูมิภาคนี้ไปนาน ก็เป็นผู้นำสหรัฐฯ คนที่ 3 ที่ไปเยือนเวียดนาม ขณะที่ “จีน” ผงาดแผ่ขยายอิทธิพลอย่างรวดเร็วน่าสะพรึงกลัว

การเยือนของโอบามายังมีขึ้นในช่วงที่ความขัดแย้งใน “ทะเลจีนใต้” ซึ่งจีนแย่งชิงกรรมสิทธิ์กับอีก 5 ชาติ คือ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย บรูไน และไต้หวัน ทวีความตึงเครียด หลังจีนชิงรุกคืบ ถมสร้างเกาะเทียมและสร้างระบบสาธารณูปโภคต่างๆ รวมทั้งลานบินในทะเลจีนใต้

การเยือนของโอบามาจึงถูก “จีน” จับตามองเขม็ง ยิ่งโอบามาใช้โอกาสนี้ประกาศยกเลิกมาตรการห้ามขายอาวุธร้ายแรงทั้งหมดต่อเวียดนาม โดยอ้างว่าเป็นไปตามกระบวนการรื้อฟื้นความสัมพันธ์สู่ระดับปกติขั้นสุดท้าย ไม่เกี่ยวกับจีนหรือสาเหตุอื่นใด

โอบามายังเรียกร้องให้แก้ไขกรณีพิพาทในทะเลจีนใต้โดยสันติ และแขวะจีนแทนเวียดนามว่า “ประเทศใหญ่ไม่ควรรังแกประเทศเล็ก” พร้อมทั้งยืนยันว่าสหรัฐฯจะใช้เสรีภาพในการเดินเรือและการบินในทุกที่ที่กฎหมายสากลอนุญาต และจะสนับสนุนสิทธิของชาติอื่นให้ทำเช่นเดียวกัน หลังสหรัฐฯส่งเรือรบและเครื่องบินสอดแนมเข้าไปลองของจีนในทะเลจีนใต้แล้วหลายรอบ ซึ่งจีนชี้ว่าเป็นการท้าทายและละเมิดอธิปไตยของตน

รักโอบามา-สตรีและเด็กๆเวียดนาม ชูธงชาติเวียดนามและสหรัฐฯ พร้อมทั้งรูปประธานาธิบดีบารัค โอบามา ขณะฝูงชนเข้าคิวยาวเหยียดริมถนน รอยลโฉมผู้นำสหรัฐฯ ขณะเดินทางไปสนามบินนครโฮจิมินห์ ซิตี (เอเอฟพี)

แม้รัฐบาลจีนจะแสดงความยินดีอย่างเป็นทางการที่สหรัฐฯยกเลิกการห้ามขายอาวุธและยกระดับความสัมพันธ์กับเวียดนาม แต่สื่อของรัฐบาลจีนกลับโจมตีว่าสหรัฐฯฉวยโอกาสใช้เวียดนามปลุกปั่นให้ความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ทวีขึ้น สหรัฐฯ คิดควบคุมจีนและแผ่ขยายอำนาจ เสี่ยงทำให้ภูมิภาคนี้กลายเป็น “กล่องจุดไฟสงคราม”

ไปเวียดนามและญี่ปุ่นเที่ยวนี้ โอบามายังมุ่งผลักดัน “ความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก” (ทีพีพี) ซึ่งมี 12 ชาติร่วมลงนามแล้ว คือ สหรัฐฯ เวียดนาม ญี่ปุ่น แคนาดา เม็กซิโก สิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน ชิลี เปรู ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ โดยที่ไม่มีจีนร่วมด้วย

ทีพีพี ซึ่งจะเป็นเขตการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีประชากรรวมกันกว่า 800 ล้านคน มีมูลค่าการค้าถึง 40% ของการค้าโลก คิดเป็นมูลค่าจีดีพีกว่า 28,000 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ใหญ่กว่าตลาดร่วมสหภาพยุโรป (อียู) เป็นหนึ่งในความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะขับเคี่ยวในเชิงเศรษฐกิจกับจีนที่ได้ตั้ง “ธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย” (เอไอไอบี) ซึ่งไม่มีสหรัฐฯ และพันธมิตรญี่ปุ่นร่วมด้วยเช่นกัน

จีนคงหวั่นเกรงทีพีพีไม่น้อย เห็นได้จากหนังสือพิมพ์ “โกลบอล ไทม์ส” สื่อของพรรคคอมมิวนิสต์จีนระบุว่าทีพีพีเป็น 1 ใน 3 ตาข่ายที่สหรัฐฯกำลังถักทอล้อมกรอบจีน ทั้งในเชิงลัทธิ ความมั่นคง เศรษฐกิจและการค้า

ตั้งแต่สหรัฐฯเริ่มฟื้นฟูความสัมพันธ์กับเวียดนาม การค้าทวิภาคีขยายตัวมหาศาล จากเดิมปีละ 450 ล้าน เป็น 45,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีที่แล้ว ยิ่งถ้าทีพีพีมีผลบังคับ เวียดนามซึ่งเน้นภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกเป็นหลักจะเป็นหนึ่งในชาติที่ได้ประโยชน์มากที่สุด โดยสหรัฐฯเป็นผู้ซื้อสินค้าประเภทโทรทัศน์ สมาร์ทโฟน เสื้อผ้า และอาหารทะเลรายใหญ่จากเวียดนาม

เมื่อมีผลประโยชน์ร่วมกันมหาศาลทั้งเชิงยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจการค้า อดีตศัตรูจึงกลายเป็นมหามิตรได้อย่างง่ายดาย โดยมีจีนเฝ้ามองอย่างหวาดระแวง

จีนและเวียดนามเคยทำสงครามพรมแดนกันในปี 2522 มีผู้เสียชีวิตนับพันคน ในปี 2531 ก็สู้รบกันเพราะกรณีพิพาทในทะเลจีนใต้ มีผู้เสียชีวิตหลายสิบคน ความตึงเครียดปะทุขึ้นอีกในปี 2557 เมื่อจีนไปวางแท่นขุดเจาะน้ำมันในทะเลจีนใต้ที่เวียดนามอ้างกรรมสิทธิ์ ทำให้เกิดการเผชิญหน้าและกระแสต่อต้านจีนครั้งใหญ่

ก่อนที่สหรัฐฯจะยกเลิกการห้ามขายอาวุธ เวียดนามซื้ออาวุธจาก “รัสเซีย” เป็นหลัก ในช่วงปี 2547-2556 งบประมาณด้านกลาโหมของเวียดนามเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า ปัจจุบันเวียดนามเป็นชาติที่นำเข้าอาวุธรายใหญ่อันดับ 8 ของโลก และยังขยายความสัมพันธ์ด้านการทหารกับอีกหลายประเทศ ทั้งอิสราเอล สเปน เนเธอร์แลนด์ สาเหตุหนึ่งเพราะความตึงเครียดกับจีนนั่นเอง

ที่จริงแล้ว สหรัฐฯเริ่มยกเลิกการขายอาวุธบางส่วนให้เวียดนามตั้งแต่ปี 2557 แล้ว แต่หลังการยกเลิกทั้งหมดครั้งนี้ เวียดนามคงยังไม่รีบเร่งซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ เพราะข้อจำกัดด้านงบประมาณ และการซื้ออาวุธยังมีเงื่อนไขด้านสิทธิมนุษยชนพ่วงด้วย อีกทั้งไม่อยากไปแหย่จีนให้ขุ่นเคืองมากไปกว่านี้

ใครที่เชียร์เวียดนามให้รีบซื้ออาวุธจากสหรัฐฯมากๆไว้ซัดกับจีน คงต้องรอไปก่อน ในช่วงแรกๆสหรัฐฯอาจแค่ฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการทหารล้ำยุคให้เวียดนาม ก่อนทยอยขายอาวุธให้ในระยะยาว

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การยกเลิกห้ามขายอาวุธร้ายแรงทั้งหมดให้เวียดนาม คือสัญญาณบ่งชี้ว่าสหรัฐฯกำลังรุกคืบยึดหัวหาดในภูมิภาคนี้อยู่อย่างเข้มข้นเช่นกัน โดยไม่ปล่อยให้จีนรุกง่ายๆฝ่ายเดียวอีกต่อไป

และเป็นการยกระดับนโยบาย “ปักหมุดเอเชีย” ขึ้นไปอีกขั้น!

บวร โทศรีแก้ว

แก้ รธน.เพื่อเป็นผู้นำตลอดชีพ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/623619

โดย บวร โทศรีแก้ว 22 พ.ค. 2559 05:01

 

จากพ่อสู่ลูก-ประธานาธิบดีเอมอมาลี ราห์มอน ประธานาธิบดีทาจิกิสถาน 4 สมัย (ซ้าย) ผู้จัดการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ หวังครองอำนาจตลอดชีพ หรือปูทางให้นายรัสตัม (รูปเล็ก) ลูกชาย ขึ้นมาเป็นทายาทอำนาจ.

ประเทศไทยมีกำหนดลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญใหม่ใน 7 ส.ค.นี้ ส่วนวันนี้ (22 พ.ค.) “สาธารณรัฐทาจิกิสถาน” ก็จัดการลงประชามติ “แก้ไขรัฐธรรมนูญ” ซึ่งจะตัดสินว่าประธานาธิบดี “เอมอมาลี ราห์มอน” วัย 63 ปี จะครองอำนาจได้ “ตลอดชีวิต” หรือไม่

ราห์มอน หรือราห์มานอฟ ครองอำนาจมายาวนาน 24 ปี ตั้งแต่ปี 2535 หรือ 1 ปีหลังทาจิกิสถานแยกเอกราชจาก “สหภาพโซเวียต” ที่ล่มสลายในปี 2534 ต่อมาเขาชนะเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีถึง 4 สมัย สมัยแรกในปี 2537 สมัยล่าสุดปี 2556 ทั้งที่เดิมทีรัฐธรรมนูญกำหนดให้ประธานาธิบดีกุมอำนาจได้สูงสุดแค่ 2 สมัย แต่เขาก็แก้ไขรัฐธรรมนูญต่ออายุให้ตัวเองนั่งบัลลังก์ผู้นำมาได้เรื่อยๆ

วาระสมัยที่ 4 จะสิ้นสุดลงในปี 2563 หรือ 4 ปีข้างหน้า แต่ราห์มอนยังไม่คิดวางมือ เสนอให้ประชาชนลงประชามติอีกว่าประธานาธิบดีจะกุมอำนาจได้ไม่จำกัดสมัยหรือไม่ หวังให้ตัวเองเป็นผู้นำได้ตลอดชีวิต ซึ่งดูตามรูปการณ์แล้วน่าจะสมหวัง เพราะยังมีคะแนนนิยมสูง อีกทั้งกุมกำอำนาจรัฐไว้ในมือเหนียวแน่น

ตั้งแต่แยกตัวจากโซเวียต ทาจิกิสถานเกิดสงครามกลางเมือง 5 ปี หลายกลุ่มแย่งชิงอำนาจกัน มีผู้เสียชีวิตกว่า 1 แสนคน และราห์มอนมีบทบาทสำคัญช่วยฝ่ายคอมมิวนิสต์ขับไล่กบฏอิสลามจากกรุงดูชานเบได้สำเร็จ ต่อมาพันธมิตร “สหฝ่ายค้านทาจิก” (ยูทีโอ) ประกอบด้วยเหล่าพรรคการเมืองที่ชูประชาธิปไตย และกลุ่มผู้นำท้องถิ่นที่มี “พรรคฟื้นฟูอิสลาม” (ไออาร์พี) ฝ่ายค้าน หลักเป็นแกนนำ ยอมลงนามข้อตกลงสันติภาพกับราห์มอน บ้านเมืองจึงเริ่มสงบ ทำให้ราห์มอนถูกยกย่องเยี่ยง “วีรบุรุษ”

ตามข้อตกลง ไออาร์พีและพรรคฝ่ายค้านอื่นๆ ต้องแชร์อำนาจกับราห์มอน โดยมีที่นั่งในคณะรัฐมนตรี 1 ใน 3 แต่เอาเข้าจริงๆ กลุ่มยูทีโอกลับถูกขับไม่ให้ร่วมรัฐบาล ราห์มอนยังกระชับอำนาจให้ตัวเองด้วยการกวาดล้างฝ่ายค้าน ปิดกั้นสื่อและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

บรรดาแกนนำฝ่ายค้าน รวมทั้งนายมูฮิดดิน คาบิรี ผู้นำพรรคไออาร์พี หนีไปลี้ภัยในต่างแดน แต่หลายคนถูกไล่ล่า คนหนึ่งถูกฉกตัวกลับจากรัสเซียและยัดข้อหาก่อการร้าย อีกคนถูกยิงตายในตุรกี ส่วนนายซายิด ไซดอฟ อดีต รมว.อุตสาหกรรม หนึ่งในผู้ร่ำรวยที่สุดของทาจิกิสถาน ก็ถูกจับหลังประกาศตั้งพรรคฝ่ายค้านพรรคใหม่ก่อนการเลือกตั้งในปี 2556 เขาถูกศาลตัดสินจำคุก 26 ปี ในหลายข้อหา

ราห์มอนยังควบคุมสื่อฯอย่างเข้มงวด ทั้งสั่งปิดเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียเป็นประจำ รวมทั้งเฟซบุ๊ก ยูทูบ และอ็อดโนคลาสนิกี้ของรัสเซีย เขายังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและศาล โดยศาลรัฐธรรมนูญเคยตัดสินว่าการแก้รัฐธรรมนูญให้ประธานาธิบดีกุมอำนาจได้ตลอดชีพไม่ผิดรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด

แม้ราห์มอนจะทำให้บ้านเมืองสงบลงและยังมีคะแนนนิยมสูง แต่ทาจิกิสถานยังเป็นชาติยากจนที่สุดในหมู่ประเทศที่แยกตัวจากโซเวียต โดย 1 ใน 3 ของประชากรมีชีวิตอยู่ใต้เส้นความยากจน ชาวทาจิกมากมายต้องไปหางานทำในประเทศอื่น โดยเฉพาะรัสเซีย และส่งเงินกลับบ้านสูงถึง 50% ของจีดีพี

ยังยากจน-ชายชาวทาจิกเหวี่ยงเบ็ดตกปลาหาเลี้ยงชีพ ที่ริมเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำที่ภูมิภาคคาร์ลตัน ขณะที่ทาจิกิสถานยังเป็นชาติ ยากจนที่สุดในหมู่ประเทศที่แยกตัวออกมาจากอดีตสหภาพโซเวียต (รอยเตอร์)

แต่ตรงข้าม สมาชิกครอบครัวและญาติสนิทของราห์มอนต่างอยู่ในกลุ่มคนร่ำรวยที่สุด ของประเทศ ทั้งควบคุมธุรกิจสำคัญและมีตำแหน่งสูงในรัฐบาล เช่น “โอซาดา” ลูกสาวของราห์มอน เป็นหัวหน้าสำนักงานประธานาธิบดี ส่วน “รัสตัม เอมอมาลี” ลูกชายวัย 29 ปี ก็ได้เป็นผู้อำนวยการสำนักงานปราบปรามคอร์รัปชัน

เชื่อว่ารัสตัมถูกวางตัวให้เป็น “ทายาทอำนาจ” ของบิดา เพราะหนึ่งในข้อเสนอลงประชามติรวม 41 ข้อครั้งนี้ คือจะให้แก้กฎหมายเดิมที่ระบุว่าผู้ลงสมัครชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีต้องมีอายุ 35 ปีขึ้นไป ให้เหลือแค่ 30 ปี ซึ่งจะทำให้รัสตัมลงชิงเก้าอี้ผู้นำสมัยหน้าในปี 2563 ได้ถ้าจำเป็น กรณีที่ราห์มอนวางมือหรือลงชิงไม่ได้

ข้อเสนอสำคัญในประชามติอีกข้อคือจะให้พรรคที่มีฐานทางศาสนาเป็นพรรคนอกกฎหมายต่อไปหรือไม่ ซึ่งเชื่อว่ามุ่งกำจัดพรรคไออาร์พีคู่อริ ซึ่งเป็นพรรคอิสลามที่ถูกตีตราเป็นพรรคนอกกฎหมายในปี 2558

ทาจิกิสถานตั้งอยู่ในเอเชียกลาง ไม่มีทางออกทะเล มีพรมแดนติดกับจีน อัฟกานิสถาน คีร์กีซสถาน และอุซเบกิสถาน มีพื้นที่ 143,100 ตร.กม. มีประชากรประมาณ 8 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นชาวทาจิก นับถือศาสนาอิสลามนิกายสุหนี่ ใช้ภาษาทาจิกเป็นภาษาราชการ เมืองหลวงคือกรุงดูชานเบ

ทุกวันนี้ ทาจิกิสถานยังคงพึ่งพา “รัสเซีย” ลูกพี่เก่าอย่างมาก ทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง โดยให้รัสเซียช่วยต่อสู้ขบวนการค้ายาเสพติดจากอัฟกานิสถานเพื่อนบ้าน และปราบปรามกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง

ยุคหลังๆ ทาจิกิสถานยังขยายความสัมพันธ์กับจีนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยจีนทั้งให้เงินกู้ ช่วยสร้างถนนหนทาง อุโมงค์ และระบบไฟฟ้า บริษัทของจีนยังเข้าไปลงทุนสำรวจน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และเหมืองทองคำ

การลงประชามติครั้งนี้ ถ้าไม่พลิกล็อกครั้งใหญ่ ผลคงออกมาตามที่ราห์มอนต้องการ และทาจิกิสถานจะเข้าสู่ระบบผู้นำตลอดชีพ หรือสืบทอดอำนาจในตระกูลเดียว!

บวร โทศรีแก้ว

เทียบฟอร์ม “ทรัมป์-คลินตัน” รอบ “แบทเทิล” ชิงเก้าอี้ผู้นำ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/620190

โดย บวร โทศรีแก้ว 15 พ.ค. 2559 05:01

 

เปิดใจ-โดนัลด์ ทรัมป์ ออกท่าทางขณะให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอพี ที่สำนักงานใหญ่ในอาคาร “ทรัมป์ ทาวเวอร์” ในมหานครนิวยอร์ก หลังค่อนข้างแน่ชัดว่าจะได้เป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันไปชิงเก้าอี้ผู้นำ (เอพี)

อีกไม่ถึง 6 เดือน จะถึงวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา (8 พ.ย.) ซึ่งค่อนข้างแน่นอนแล้วว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ มหาเศรษฐีปากจัด ผู้ไม่เคยนั่งเก้าอี้ที่มาจากการเลือกตั้งใดๆ จะได้เป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันไปชิงกับนางฮิลลารี คลินตัน แห่งพรรคเดโมแครต ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมาโชกโชนกว่า 25 ปี

ทรัมป์ประกาศตัวลงชิงเป็นตัวแทนพรรค “ตราช้าง” เมื่อเดือน มิ.ย.2558 แรกๆแทบไม่มีใครคิดว่าจะมาไกลปานนี้ แม้แต่คู่แข่งอีก 16 คน ก็เห็นเขาเป็น “ตัวโจ๊ก” เลยไม่โจมตีอะไรมาก แต่ด้วยบุคลิกภาพและโวหารดุเดือดแหวกแนวเร้าใจ ทำให้สื่อฯแห่ตามทำข่าวทรัมป์มากที่สุด ส่งให้กลายเป็น “ตัวเต็ง” ในที่สุด

ปลุกเร้า- ฮิลลารี คลินตัน ตัวเก็งที่จะได้เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ปลุกเร้าฝูงชนบนเวทีหาเสียงที่เมืองแบล็กวูด รัฐนิวเจอร์ซีย์ (รอยเตอร์)

ทรัมป์เป็นนักการตลาดชั้นเยี่ยม ชูจุดขายโดนใจสาวกชาวรีพับลิกัน โดยเฉพาะผู้เบื่อหน่ายการเมืองแบบเก่าๆ ชนชั้นผู้ใช้แรงงานที่ได้ค่าแรงต่ำ ส่วนนโยบายต่อต้านผู้อพยพผิดกฎหมายและการก่อการร้ายก็โดนใจผู้คน แม้คำพูด “ปากหมาน” ดูหมิ่นสตรี หรือข้อเสนอให้สร้างกำแพงกั้นพรมแดนสหรัฐฯกับเม็กซิโก และห้ามชาวมุสลิมเดินทางเข้าสหรัฐฯ จะถูกก่นด่าอื้ออึงไปทั้งโลก แต่ก็หยุดทรัมป์ไม่อยู่

ส่วนคลินตัน ลงชิงเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตเป็นครั้งที่ 2 ครั้งแรกในปี 2551 พ่ายแพ้นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน แต่ครั้งนี้น่าจะลอยลำ แม้นายเบอร์นี แซนเดอร์ส ส.ว.รัฐเวอร์มอนต์ คู่แข่งที่เหลือคนเดียวยังฮึดสู้ต่อ ทั้งที่เสียง “คณะผู้แทน” (Delegates) ในการเลือกตั้งขั้นต้นทิ้งห่างกันยากไล่ทัน

คลินตันเป็น รมว.ต่างประเทศในรัฐบาลโอบามาสมัยแรก เป็นผู้ออกแบบยุทธศาสตร์ “ปักหมุดเอเชีย” และดึงอิหร่านกลับสู่โต๊ะเจรจาควบคุมนิวเคลียร์ จนบรรลุข้อตกลงกับมหาอำนาจตะวันตกได้ในที่สุด

ถ้าคลินตันได้เป็นผู้นำ นโยบายต่างประเทศโดยรวมคงไม่ต่างจากรัฐบาลโอบามานัก แม้ถูกมองว่าแข็งกร้าวกว่าโอบามาซึ่งถูกโจมตีว่าอ่อนแอเกินไป จนปล่อยให้ “จีน” และ “รัสเซีย” ผงาดขึ้นมาท้าทายอำนาจสหรัฐ ฯได้ ส่วนนโยบายตะวันออกกลางก็ผิดพลาด ทำให้ความรุนแรงลุกลามจนคุมไม่อยู่

แต่ที่แตกต่างกันชัดเจนคือนโยบายด้านการค้า ซึ่งคลินตันต่อต้าน “ความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก” (ทีพีพี) ที่โอบามาผลักดันสุดตัว แม้นางเคยสนับสนุนเรื่องนี้ตอนเป็น รมว.ต่างประเทศ

ส่วนทรัมป์ นโยบายต่างประเทศที่เสนอแต่ละอย่างทำเอาผู้คนปากอ้าตาค้าง ไม่ว่าการขู่เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนที่เขาชี้ว่าข่มขืนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งถ้าทำจริงมีหวังเกิดสงครามการค้าใหญ่โต

ทรัมป์ยังชี้ว่าทีพีพีคือหายนะ แถมตั้งข้อกังขาเรื่องพันธมิตรระหว่างสหรัฐฯกับเอเชียและยุโรปที่มีมายาวนาน โดยชี้ว่าญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ควรจ่ายค่าคุ้มครองให้สหรัฐฯมากกว่านี้ และอาจให้มีอาวุธนิวเคลียร์เองเพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ ส่วนองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ก็ล้าสมัยสุดๆ จะยุบไปก็ไม่มีปัญหา

ช่วงการเลือกตั้งขั้นต้น ทรัมป์ใช้น้ำลายกำจัดคู่แข่งมาแล้วหลายราย ทั้งเจ๊บ บุช ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา ที่เขาดูถูกว่า “เฉื่อยแฉะ” ส่วนเท็ด ครูซ ส.ว.รัฐเท็กซัส คู่แข่งที่ถอนตัวคนสุดท้ายก็ถูกทรัมป์โจมตีว่า “ไอ้ขี้โกหก” แถมยังใส่ร้ายว่าบิดาของครูซอาจพัวพันคดีลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีจอห์น เอฟ.เคนเนดี เพราะเคยถ่ายรูปร่วมกับมือปืน คือนายลี ฮาร์วีย์ออสวอลด์ ในปี 2506

ส่วนคลินตัน ก็ถูกทรัมป์ข้ามเวทีไปต่อยชิมลางแล้วหลายหมัด เช่น กล่าวหาว่าอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน สามีของนาง เป็น “เสือผู้หญิง” ทรัมป์ยังแขวะว่าที่คลินตันแพ้โอบามาในปี 2551 เพราะถูก “ไอ้จ้อน” เข้าให้ซะก่อน และเมื่อเธอไปเข้าห้องน้ำในช่วงพักการดีเบต แต่กลับมาขึ้นเวทีล่าช้า ทรัมป์ก็พูดว่ารู้นะว่าเธอแอบไปทำอะไร แต่ขยะแขยงไม่อยากพูด

ทรัมป์ปรามาสด้วยว่าที่คลินตันได้คะแนน เสียงขนาดนี้เพราะเป็น “ผู้หญิง” ถ้าเป็นผู้ชายจะได้คะแนนไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ แถมยังว่าเธอไร้ความแข็งแกร่งทรหด แม้ขณะเป็น รมว.ต่างประเทศ เธอตระเวนเดินทางทั่วโลกระยะทางเกือบ 1 ล้านไมล์!

เมื่อขึ้นสู้ตัวต่อตัวกับคลินตันบนเวทีระดับชาติ ทรัมป์อาจปรับท่าทีให้อ่อนลง แต่คงยากทิ้งนิสัยพ่นน้ำลายที่ถนัด ส่วนคลินตัน เท่าที่ผ่านมา แค่สวนหมัดพอท้วมๆ หาว่าทรัมป์ขี้โม้ บ้าระห่ำ อันธพาล และว่าคำพูดต่อต้านชาวมุสลิมของทรัมป์ช่วยเกณฑ์สมาชิกให้กองกำลังรัฐอิสลาม (ไอเอส) อย่างดีที่สุด

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ชี้ว่าคลินตันได้เปรียบ มีโอกาสชนะสูงกว่า เพราะปากของทรัมป์ไปสร้างศัตรูไว้เยอะ โดยเฉพาะในหมู่สตรีและพวกฮิสแปนิก ขณะที่โพลล่าสุดของ “เอพี-จีเอฟเค” ก็ระบุว่า ชาวอเมริกันมีทัศนคติเชิงลบต่อทรัมป์ถึง 69% เทียบกับคลินตันที่ 55%

ทรัมป์ยังมีปัญหาในการผนึกพรรครีพับลิกันให้สนับสนุนตนเองเป็นหนึ่งเดียว แกนนำพรรคหลายคนชี้ว่าเขาไม่ใช่พวก “อนุรักษนิยม” ของแท้ และเป็นคนหลุดโลกอันตราย ส่วนในรัฐ “สวิง สเตตส์” ราว 12 รัฐ ที่ยากคาดเดาว่าจะเลือกใคร ในการเลือกตั้ง 2 ครั้งหลังก็เทคะแนนให้ฝ่ายเดโมแครตมากกว่า

แต่อะไรก็อาจเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เพราะในการเลือกตั้งขั้นต้น แรกๆก็แทบไม่มีใครให้ราคาว่า โดนัลด์ ทรัมป์ “ม้านอกสายตา” ตัวนี้ จะมาแรงแซงโค้งเข้าวิน!
บวร โทศรีแก้ว