กยท.รุดเยียวยา! ‘ชาวสวนยาง’ ชายแดนบุรีรัมย์-หลังได้รับผลกระทบสู้รบ

กยท.รุดเยียวยา! ‘ชาวสวนยาง’ ชายแดนบุรีรัมย์-หลังได้รับผลกระทบสู้รบ

กยท.รุดเยียวยา! ‘ชาวสวนยาง’ ชายแดนบุรีรัมย์-หลังได้รับผลกระทบสู้รบ

วันศุกร์ ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 14.53 น.

กยท.รุดเยียวยา! ชาวสวนยางชายแดนบุรีรัมย์ จ่ายรายละ 3,000 บ. เผยสู้รบทำผลผลิตหาย 1.5 หมื่นตันต่อวัน

วันที่ 19 ธันวาคม 2568 ที่ศูนย์พักพิงชั่วคราว อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ดร.เพิก เลิศวังพง รักษาการแทนผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) พร้อมคณะ มอบถุงยังชีพ 1,000 ชุด ให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางที่ลี้ภัยจากการสู้รบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมี นายปิยะ ปิจนำ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นผู้แทนรับมอบ

ดร.เพิก เปิดเผยว่า กยท. เตรียมงบประมาณช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ ดังนี้ 1.เงินชดเชยขาดรายได้ รายละ 3,000 บาท ระหว่างที่ไม่สามารถเข้าพื้นที่ทำกินได้ 2.กรณีเสียชีวิต ซึ่งช่วยเหลือค่าทำศพรายละ 30,000 บาท และ 3.การฟื้นฟู โดยสนับสนุนปุ๋ยและอุปกรณ์การเกษตรเพื่อลดต้นทุนในพื้นที่ที่สวนยางได้รับความเสียหายจากการโดนระเบิด

ปัจจุบันพื้นที่สวนยางใน 9 จังหวัดชายแดนได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะ จ.บุรีรัมย์ เสียหายกว่า 1 แสนไร่ และภาพรวมทั้งแนวชายแดนเสียหายกว่า 1 ล้านไร่ ส่งผลให้ผลผลิตยางพาราหายไปจากระบบประมาณ 10,000 – 15,000 ตันต่อวัน

สำหรับสถานการณ์ราคายาง ดร.เพิก ระบุว่า หลังจากผ่านพ้นช่วงขาลงจากปัจจัยน้ำท่วมหาดใหญ่และค่าเงินบาทแข็งค่า ขณะนี้ราคายางได้หยุดการลดลงและเริ่มขยับเป็นขาขึ้นในช่วง 2 วันที่ผ่านมา เนื่องจากซัพพลายในตลาดหายไปจากเหตุสู้รบ โดย กยท. ได้เตรียมเงินหมุนเวียนกว่า 2,000 ล้านบาท เพื่อบริหารจัดการและรักษาเสถียรภาพราคา มั่นใจว่าราคายางเฉลี่ยทั้งปีจะไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมาแน่นอน

///////-026

รมช.เกษตรฯติดตามโครงการฯแก้ปัญหาน้ำ

รมช.เกษตรฯติดตามโครงการฯแก้ปัญหาน้ำ

รมช.เกษตรฯติดตามโครงการฯแก้ปัญหาน้ำ

วันพฤหัสบดี ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 17.07 น.

รมช.เกษตรฯ ติดตามโครงการ อ่างเก็บน้ำคลองสะพานเต่า หนุนแก้ปัญหาน้ำสุราษฎร์ฯ

วันนี้ (18 ธ.ค.) นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจติดตามโครงการอ่างเก็บน้ำคลองสะพานเต่า ต.คลองศก อ.พนม จ.สุราษฎร์ธานี ว่า โครงการดังกล่าวเป็นโครงการสำคัญในการพัฒนาและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ง และลดปัญหาน้ำท่วมในช่วงฤดูฝน ซึ่งส่งผลกระทบต่อพื้นที่ทำการเกษตรและที่อยู่อาศัยของประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง

สำหรับโครงการอ่างเก็บน้ำคลองสะพานเต่า มีลักษณะเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง ความจุประมาณ 8.60 ล้านลูกบาศก์เมตร พร้อมก่อสร้างระบบส่งน้ำระยะทางรวมประมาณ 35 กิโลเมตร สามารถรองรับและกระจายน้ำเพื่อการเกษตรและการอุปโภคบริโภคได้อย่างทั่วถึง ครอบคลุมพื้นที่รับประโยชน์ประมาณ 9,500 ไร่ โดยใช้งบประมาณดำเนินการทั้งโครงการประมาณ 600 ล้านบาท กำหนดระยะเวลาดำเนินงาน 4 ปี ระหว่างปี พ.ศ. 2573–2576

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการแก้ไขปัญหาด้านน้ำแล้ว โครงการดังกล่าวยังมีบทบาทสำคัญในด้านการเป็นแหล่งเพาะและอนุบาลพันธุ์สัตว์น้ำ ซึ่งช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศ สร้างความยั่งยืนให้ทรัพยากรธรรมชาติ ช่วยสร้างรายได้เสริมให้แก่ประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งสามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวและพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจของชุมชนในอนาคต

ทั้งนี้ ปัจจุบันโครงการอยู่ระหว่างการวางแผนศึกษารายงานความเหมาะสม (FS) และการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด ควบคู่กับการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างรอบคอบ โปร่งใส และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและการพัฒนาทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน

015

เปิดคลินิกเกษตรฯบูรณาการให้บริการเกษตรกร

เปิดคลินิกเกษตรฯบูรณาการให้บริการเกษตรกร

เปิดคลินิกเกษตรฯบูรณาการให้บริการเกษตรกร

วันพฤหัสบดี ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 16.24 น.

รมช.เกษตรฯ เปิดโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ฯ ไตรมาส 1 ปี 2569 บูรณาการทุกภาคส่วน ยกระดับบริการเกษตรกรถึงพื้นที่

วันนี้ (18 ธ.ค.) นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยในโอกาสเป็นประธานเปิดงานโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร ไตรมาสที่ 1 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ณ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุราษฎร์ธานี อำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ว่า โครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ฯ เป็นหนึ่งในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่มุ่งเน้นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร โดยเป็นการน้อมนำแนวพระราชดำริในการพัฒนาเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนมาปฏิบัติ ผ่านการให้บริการด้านการเกษตรเชิงรุกที่สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการของเกษตรกร พร้อมทั้งถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมให้เกษตรกร ซึ่งช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ภาคการเกษตรในระยะยาว  

ทั้งนี้ โครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ฯ เป็นการบูรณาการความร่วมมือของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ลงพื้นที่ให้บริการในลักษณะครบวงจรในจุดเดียว อาทิ การวิเคราะห์และปรับปรุงคุณภาพดิน การวินิจฉัยและป้องกันโรคพืช โรคสัตว์ และโรคสัตว์น้ำ การให้คำปรึกษาด้านการผลิต การใช้ปัจจัยการผลิตอย่างเหมาะสม การให้บริการวัคซีนสัตว์ช่วยป้องกันโรค ตลอดจนการฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการเกษตรที่เหมาะสมกับบริบทพื้นที่  

นายนเรศ กล่าวอีกว่า สำหรับการจัดงานในครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่งจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมถึงหน่วยงานจากกระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพลังงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงแรงงาน ตลอดจนส่วนราชการในระดับจังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมจัดกิจกรรมและนิทรรศการให้บริการความรู้และคำปรึกษา เพื่อให้สามารถเข้าถึงการแก้ไขปัญหาด้านการเกษตรได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และทั่วถึง  ขณะเดียวกันได้กำชับให้ทุกภาคส่วนดำเนินงานด้วยความเสียสละ มีจิตอาสา และให้บริการอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อให้โครงการบรรลุวัตถุประสงค์และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อเกษตรกรในพื้นที่

015

สศก.เผยGDPภาคเกษตรโตร้อยละ3.3

สศก.เผยGDPภาคเกษตรโตร้อยละ3.3

สศก.เผยGDPภาคเกษตรโตร้อยละ3.3

วันพฤหัสบดี ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 16.17 น.

สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เปิดเผย GDP ภาคการเกษตรของไทยปี 2568 ขยายตัวร้อยละ 3.3 พร้อมคาดการ GDP ภาคการเกษตรปี 2569 เติบโตกว่าร้อยละ 2

วันนี้ (18 ธ.ค.) นายพีรพันธ์ คอทอง รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า จากภาพรวมเศรษฐกิจและความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรของไทยที่ต้องเผชิญกับ 5 ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ , มาตรการการกีดกันทางการค้าและมาตรฐานสินค้ารูปแบบใหม่ , สภาพอากาศแปรปรวนและภัยพิบัติธรรมชาติการ , เติบโตสีเขียว และโครงสร้างประชากรสูงวัยที่มีมากขึ้นซึ่งส่งผลต่อปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ขับเคลื่อนการพัฒนาภาคการเกษตรด้วยนโยบาย ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ ผ่านกลไกลการสร้างรายได้ สร้างตลาด และสร้างโอกาส เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและผลักดันให้ภาคการเกษตรไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยภาวะเศรษฐกิจการเกษตรปี 2568  ของไทย(GDP)ในภาพรวม มีการขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 3.3 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา (2567) ซึ่งในภาพรวมมีปัจจัยสนับสนุนจาก ปริมาณฝนที่ตกอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีน้ำเพียงพอต่อการเพาะปลูก ประกอบกับสภาพอากาศเอื้ออำนวย ไม่ประสบภัยแล้งรุนแรง

นอกจากนี้ยังมีการบริหารจัดการฟาร์มที่ดีขึ้น รวมถึงนโยบายจากภาครัฐที่ได้มีการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีการส่งเสริม และบริหารจัดการได้ดีขึ้น ทำให้ความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันประเทศไทยยังต้องเผชิญกับภัยพิบัติในหลายช่วง ไม่ว่าจะเป็นพายุวิภา และ คาจิกิ ทำให้ผลผลิตเกษตรได้รับความเสียหายในหลายพื้นที่ อีกทั้งยังได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่เข้มงวด นโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และเงินบาทแข็งค่าซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน โดยในสาขาพืช สาขาปศุสัตว์ สาขาการบริการทางการเกษตร และสาขาป่าไม้มีการขยายตัว ในขณะที่ สาขาการประมงที่ยังคงหดตัว

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรในปี 2569 สศก.คาดว่าจะมีการขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 2-3 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากปริมาณน้ำต้นทุนที่เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับนโยบายภาครัฐที่มีความต่อเนื่อง และความต้องการสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นจากประเด็นความมั่นคงทางอาหาร ทั้งนี้ยังคงต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ และเศรษฐกิจโลกที่มีการชะลอตัว รวมถึงมาตรการกีดกันทางการค้า และความขัดแย้งระหว่างประเทศด้วย

‘กรมชลประทาน’เร่งระบายน้ำลดผลกระทบภาคกลาง-เดินหน้าส่งน้ำให้เกษตรกรช่วงฤดูแล้ง

‘กรมชลประทาน’เร่งระบายน้ำลดผลกระทบภาคกลาง-เดินหน้าส่งน้ำให้เกษตรกรช่วงฤดูแล้ง

‘กรมชลประทาน’เร่งระบายน้ำลดผลกระทบภาคกลาง-เดินหน้าส่งน้ำให้เกษตรกรช่วงฤดูแล้ง

วันพุธ ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 17.22 น.

‘กรมชลประทาน’เร่งระบายน้ำลดผลกระทบภาคกลาง-เดินหน้าส่งน้ำให้เกษตรกรช่วงฤดูแล้ง

17 ธันวาคม 2568 ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) กรมชลประทาน อัปเดตสถานการณ์ว่าอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำรวม 68,584 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) คิดเป็น 90% ของความจุอ่างฯ รวม เฉพาะ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวม 24,036 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 97% ของความจุอ่างฯ รวมกัน  ขณะนี้ทั้งประเทศมีการจัดสรรน้ำไปแล้ว 7,255 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 25% ของแผนฯ เฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยาจัดสรรน้ำไปแล้ว 2,674 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 29% ของแผนฯ

ทางด้านสถานการณ์น้ำลุ่มเจ้าพระยา เมื่อเวลา 06.00 น. ที่สถานีวัดน้ำ C.2 อ.เมือง จ.นครสวรรค์ มีปริมาณไหลผ่านอัตรา 1,145 ลบ.ม./วินาที ระดับน้ำทรงตัว เนื่องจากปริมาณน้ำที่ค้างในทุ่งลุ่มต่ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาเริ่มทยอยไหลลงสู่ลำน้ำเจ้าพระยา ทำให้ระดับน้ำหน้าเขื่อนยกตัวสูงขึ้น ปัจจุบันเขื่อนเจ้าพระยายังคงการระบายน้ำท้ายเขื่อนอยู่ที่ 770 ลบ.ม./วินาที ทั้งนี้ ในช่วงวันที่ 18 – 28 ธ.ค. 68 น้ำทะเลจะหนุนสูงอีกรอบ ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น อาจเกิดน้ำเอ่อล้นเข้าท่วมบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำแม่กลอง รวมไปถึงชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำ และแนวเขื่อนชั่วคราวบริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร (แนวฟันหลอ) บริเวณจังหวัดสมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร นครปฐม และสมุทรสงคราม

ในส่วนของปริมาณน้ำที่ยังค้างอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำต่างๆ กรมชลประทาน ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งระบายน้ำออกจากทุ่งภาคกลางอย่างต่อเนื่อง โดยจะคงเหลือน้ำส่วนหนึ่งไว้ในทุ่งให้เกษตรกรได้เตรียมเพาะปลูกข้าวนาปรังหรือพืชฤดูแล้งอื่นๆ รวมทั้ง เร่งกำจัดวัชพืชและผักตบชวาที่กีดขวางทางน้ำในลำคลองและแหล่งน้ำต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการส่งน้ำในช่วงฤดูแล้ง พร้อมยืนยันว่า น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคมีเพียงพอ ไม่ขาดแคลน และได้เตรียมแผนจัดสรรน้ำรองรับสถานการณ์ไว้อย่างเป็นระบบ

ติดตามข้อมูลสถานการณ์น้ำเพิ่มเติมได้ที่ https://www2.rid.go.th/th/main และ wmsc.rid.go.th

‘อธิบดีกรมฝนหลวง’เป็นปธ.เปิดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ จิตอาสาช่วยพระบิดาปฏิบัติการฝนหลวง

'อธิบดีกรมฝนหลวง'เป็นปธ.เปิดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ จิตอาสาช่วยพระบิดาปฏิบัติการฝนหลวง

‘อธิบดีกรมฝนหลวง’เป็นปธ.เปิดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ จิตอาสาช่วยพระบิดาปฏิบัติการฝนหลวง

วันอังคาร ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 14.13 น.

เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2568 นายราเชน ศิลปะรายะ อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เป็นประธานในการเปิดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ จิตอาสาช่วยพระบิดาปฏิบัติการฝนหลวง ระหว่างวันที่ 15 – 17 ธันวาคม 2568 โดยมี นางสาวปราณี วงศ์บุตร รองผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด นายแทนไทร์ พลหาญ ผู้อำนวยการกองปฏิบัติการฝนหลวง กล่าวต้อนรับ โดยมีนายสุรพันธุ์ สุวรรณไพบูลย์ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ตอนบน) นางสาวหนึ่งหทัย ตันติพลับทอง ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ตอนล่าง) และหน่วยงานในพื้นที่ ร่วมต้อนรับด้วย

โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ จิตอาสาช่วยพระบิดาปฏิบัติการฝนหลวงจัดขึ้นเพื่อเพิ่มเครือข่ายอาสาสมัครฝนหลวงภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้ครอบคลุม 20 จังหวัด ในพื้นที่รับผิดชอบ โดยให้อาสาสมัครฝนหลวงและผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับการพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับภารกิจการปฏิบัติงานฝนหลวงของกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ด้านอุตุนิยมวิทยาและวิทยาการด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ณ โรงแรมเพชรรัชต์การ์เด้น อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด

– 006

หยุดปล่อย‘ปลาสวยงาม’ลงแหล่งน้ำ ปิดทางระบาดเอเลี่ยนสปีชีส์

หยุดปล่อย‘ปลาสวยงาม’ลงแหล่งน้ำ ปิดทางระบาดเอเลี่ยนสปีชีส์

หยุดปล่อย‘ปลาสวยงาม’ลงแหล่งน้ำ ปิดทางระบาดเอเลี่ยนสปีชีส์

วันจันทร์ ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 18.00 น.

หยุดปล่อย‘ปลาสวยงาม’ลงแหล่งน้ำ ปิดทางระบาดเอเลี่ยนสปีชีส์

แหล่งน้ำหลายแหล่งกำลังเผชิญหน้ากับการรุกรานของสิ่งมีชีวิตต่างถิ่น หรือที่รู้จักกันในนาม “เอเลียนสปีชีส์” (Alien Species) กระแสข่าวการแพร่ระบาดของปลาสวยงามจากต่างประเทศในแหล่งน้ำธรรมชาติทั่วไทย ไม่ว่าจะเป็น ปลาซัคเกอร์ ผู้ทนทาน ปลาหมอสีคางดำ ผู้ขยายพันธุ์เร็ว ปลาหมอมายัน และ ปลาหมอบัตเตอร์ กำลังเป็นสัญญาณเตือนภัยที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ

ปลาเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นแขกไม่ได้รับเชิญ แต่พวกมันคือผู้แย่งชิงทรัพยากรตัวฉกาจ เข้ามายึดพื้นที่ ขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว และแย่งแหล่งอาหารจากสัตว์น้ำพื้นถิ่นดั้งเดิมของไทยอย่างถึงรากถึงโคน ผลลัพธ์ที่ตามมาคือความสูญเสียครั้งใหญ่ของความหลากหลายทางชีวภาพ และการทำลายห่วงโซ่อาหารในระบบนิเวศน้ำจืดในวงกว้างอย่างยากจะเยียวยา

ดร.สรณัฏฐ์ ศิริสวย หัวหน้าศูนย์บริหารงานวิจัยและสนับสนุนวิชาการ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ชี้ให้เห็นถึงที่มาของปลาเหล่านี้ว่า แท้จริงแล้วพวกมันเคยเป็นเพียงปลาสวยงามจากต่างประเทศที่ถูกนำเข้ามาเลี้ยงในบ้านเรานานก่อนที่กรมประมงจะออกประกาศห้ามนำเข้าและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ 13 ชนิดเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 เพื่อปกป้องพันธุ์สัตว์น้ำหายากและระบบนิเวศ

คำถามคือ ปลาเหล่านี้ “หลุดรอด” ออกสู่ธรรมชาติได้อย่างไร? ดร.สรณัฏฐ์ ให้ความกระจ่างว่า สาเหตุมีหลากหลาย ทั้งจากเหตุสุดวิสัยอย่าง ภาวะน้ำท่วม ที่พัดพาปลาหลุดไปตามกระแสน้ำ และที่น่าเศร้ากว่าคือ ความตั้งใจของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เลี้ยงที่เบื่อ ไม่อาจแบกรับภาระค่าเลี้ยงดูเมื่อปลาเติบโตขึ้น หรือด้วยนิสัยใจบุญที่ไม่กล้าฆ่า จึงเลือกที่จะ “ปล่อยปลา” ลงในแม่น้ำลำคลอง โดยมองข้ามผลกระทบมหาศาลที่จะตามมา อย่างเช่นกรณีของปลาหมอบัตเตอร์ที่พบในเขื่อนเขาแหลม ก็ถูกสันนิษฐานว่ามีผู้ลักลอบนำไปปล่อยไว้

ในกลุ่มเอเลียนสปีชีส์นี้ ปลาซัคเกอร์ถือเป็นตัวอย่างของสายพันธุ์ที่น่ากังวลเป็นพิเศษ ด้วยความสามารถในการปรับตัวที่สูงลิ่ว มันสามารถกินอาหารได้ทุกชนิดและอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำได้ทุกรูปแบบ แม้แต่ในน้ำเสียที่มีปริมาณออกซิเจนต่ำจนปลาชนิดอื่นอยู่ไม่รอด ความทนทานเช่นนี้ทำให้มันสามารถขยายพันธุ์ได้อย่างไร้ขีดจำกัด

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่ปลาต่างถิ่นสร้างขึ้นก็ขึ้นอยู่กับชนิดสายพันธุ์ ดร.สรณัฏฐ์ ยกตัวอย่างปลาหางนกยูง ซึ่งเป็นปลาตัวเล็กที่แพร่พันธุ์ง่าย แต่ปัจจุบันกลายเป็นประโยชน์ในฐานะปลากินยุง หรือกรณีของปลาหมอเทศที่การแพร่ระบาดลดลงหลังชาวบ้านหันมาจับไปทำอาหารมากขึ้น นี่แสดงให้เห็นว่าแนวทางการแก้ไขปัญหาต้องอาศัยการศึกษาและทำความเข้าใจในแต่ละสายพันธุ์

สำหรับปัญหาปลาหมอคางดำ ซึ่งแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็วและส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในหลายจังหวัด กรมประมงกำลังดำเนินการอย่างจริงจัง เช่น การวิจัยพัฒนาปลาหมอคางดำ 4n เพื่อผสมพันธุ์ให้ลูกเป็นหมัน ซึ่งต้องใช้เวลาในการทดลองเพื่อให้มั่นใจ 100% ว่าจะไม่มีปัญหาตามมา แต่การแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำและเอเลียนสปีชีส์ทั้งหมดนี้ จะไม่หมดไปง่าย ๆ หากไม่มีความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

ดร.สรณัฏฐ์ ทิ้งท้ายด้วยข้อคิดที่สำคัญยิ่งสำหรับคนรักปลาสวยงามทุกคนว่า “ปลาสวยงามทุกชนิดเลี้ยงได้แต่อย่าไปปล่อยสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ” การตัดสินใจเลี้ยงสัตว์น้ำขนาดใหญ่และมีอายุยืนยาวอย่างปลาช่อนอเมซอน ควรมาพร้อมกับการเตรียมความพร้อมทั้งด้านความรู้และจิตใจ เพื่อให้การเลี้ยงปลาเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ใช่การสร้างปัญหาให้กับระบบนิเวศในอนาคต การไม่ปล่อยปลาคือความรับผิดชอบขั้นพื้นฐานที่เราทุกคนสามารถทำได้เพื่อรักษาความหลากหลายทางชีวภาพของไทย

‘อธิบดีกรมฝนหลวง’ร่วมสังเกตการณ์โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ จิตอาสาช่วยพระบิดาปฏิบัติการฝนหลวง

'อธิบดีกรมฝนหลวง'ร่วมสังเกตการณ์โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ จิตอาสาช่วยพระบิดาปฏิบัติการฝนหลวง

‘อธิบดีกรมฝนหลวง’ร่วมสังเกตการณ์โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ จิตอาสาช่วยพระบิดาปฏิบัติการฝนหลวง

วันจันทร์ ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 17.09 น.

เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2568 นายราเชน ศิลปะรายะ อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ร่วมสังเกตการณ์โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ จิตอาสาช่วยพระบิดาปฏิบัติการฝนหลวง พร้อมด้วย นายสุรพันธุ์ สุวรรณไพบูลย์ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ตอนบน) นางสาวหนึ่งหทัย ตันติพลับทอง ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ตอนล่าง) เข้าร่วมในครั้งนี้ โดยมีอาสาสมัครฝนหลวงและผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับการพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับภารกิจการปฏิบัติงานฝนหลวงของกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ด้านอุตุนิยมวิทยาและวิทยาการด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ณ โรงแรมเพชรรัชต์การ์เด้น อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด

– 006

กรมชลฯkick off หนุน‘นาเปียกสลับแห้ง’สู่พื้นที่ชลประทาน แปลงต้นแบบ‘สุขเต็มนา RIo10@ทุ่งบางกุ่ม’

กรมชลฯkick off หนุน‘นาเปียกสลับแห้ง’สู่พื้นที่ชลประทาน แปลงต้นแบบ‘สุขเต็มนา RIo10@ทุ่งบางกุ่ม’

กรมชลฯkick off หนุน‘นาเปียกสลับแห้ง’สู่พื้นที่ชลประทาน แปลงต้นแบบ‘สุขเต็มนา RIo10@ทุ่งบางกุ่ม’

วันจันทร์ ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 15.53 น.

‘กรมชลประทาน’ kick off ส่งเสริม‘นาเปียกสลับแห้ง’ สู่การขยายผลพื้นที่ชลประทาน แปลงต้นแบบ‘สุขเต็มนา RIo10@ทุ่งบางกุ่ม’

15 ธันวาคม 2568 สำนักงานชลประทานที่ 10 กรมชลประทาน จัดกิจกรรม kick off ส่งเสริมนาเปียกสลับแห้งสู่การขยายผลพื้นที่ชลประทาน ตามนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อลดการใช้น้ำและเพิ่มผลผลิตเชื่อมโยงการลดภาวะโลกร้อน (Carbon Credit) นำสู่การเพิ่ม Water Productivity  โดยมี นายองอาจ แสนอุบล ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 10 พร้อมด้วย ดร.วัชระ เสือดี ที่ปรึกษากรมชลประทาน และประธาน INWEPF  นายไชยวัฒน์ คุณวัฒนานนท์ ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเริงราง  ผู้แทนจากหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  และภาคเอกชน  ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องและเกษตรกรในพื้นที่เข้าร่วมกิจกรรม  ณ แปลงต้นแบบ “สุขเต็มนา RIo10@ทุ่งบางกุ่ม” อำเภอดอนพุด จังหวัดสระบุรี

ภายในงานประกอบด้วยการบรรยาย การขับเคลื่อนโครงการฯ ในพื้นต้นแบบทุ่งบางกุ่ม การส่งเสริมนาเปียกสลับแห้งสู่การขยายผลพื้นที่ชลประทาน  การสาธิตการเพาะกล้า และความรู้เกี่ยวกับปุ๋ย Low Carbon  โดยได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมให้ความรู้เพื่อขับเคลื่อนโครงการฯ  และร่วมกิจกรรมปักดำกล้าและสาธิตการทำนาโดยใช้รถดำนา ภายในแปลงนาต้นแบบ “สุขเต็มนา RIo10@ทุ่งบางกุ่ม”

สำนักงานชลประทานที่ 10 มีพื้นที่ชลประทานประมาณ 2.5 ล้านไร่ มีแผนการเพาะปลูกนาปรังปีละประมาณ 1.43 ล้านไร่ ซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่อู่ข้าวอู่น้ำของลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง เกษตรกรส่วนใหญ่ยังทำนาน้ำขังรูปแบบเดิม การสร้างต้นแบบนาหว่านและนาดำ จำนวน 50 ไร่ ที่ตำบลบ้านหลวง อำเภอดอนพุด จังหวัดสระบุรี ภายใต้ชื่อแปลงต้นแบบ “สุขเต็มนา Rio10@ทุ่งบางกุ่ม” เพื่อใช้เป็นแหล่งสาธิตและเรียนรู้กระบวนการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง สู่การขยายผลพื้นที่ชลประทานของกลุ่มผู้ใช้น้ำทุ่งบางกุ่ม จำนวน 83,400 ไร่ รวมถึงพื้นที่ชลประทานในเขตสำนักงานชลประทานที่ 10  

ทั้งนี้ ตั้งเป้าหมายเพื่อผลิตข้าวคุณภาพ สร้างแบรนด์เฉพาะของกลุ่มผู้ใช้น้ำบางกุ่มสู่ตลาดสากล สร้างรายได้ให้เกษตรกรไม่น้อยกว่า 3 เท่าจากปัจจุบัน  โดยใช้ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ พลิกฟื้นการทำนาโดยใช้รูปแบบนาเปียกสลับแห้ง เพื่อมุ่งลดการใช้น้ำให้น้อยลง เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการชลประทานให้สูงขึ้นและเพิ่มผลผลิตต่อไร่จากกระบวนการเปียกสลับแห้งแกล้งข้าว สามารถเชื่อมโยงกับมาตรการแนวทางการลดโลกร้อน โดยการขายคาร์บอนเครดิต เพิ่มรายได้อีกช่องทางหนึ่งให้เกษตรกร นำมาซึ่งการเพิ่ม water productivity ให้สูงขึ้นอีกด้วย

ส.ป.ก.จัดโครงการงานรณรงค์หยุดเผาในเขตปฏิรูปที่ดิน ‘ฮักบ้านเฮา หยุดเผากันเน้อ’

ส.ป.ก.จัดโครงการงานรณรงค์หยุดเผาในเขตปฏิรูปที่ดิน 'ฮักบ้านเฮา หยุดเผากันเน้อ'

ส.ป.ก.จัดโครงการงานรณรงค์หยุดเผาในเขตปฏิรูปที่ดิน ‘ฮักบ้านเฮา หยุดเผากันเน้อ’

วันอาทิตย์ ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 19.31 น.

ส.ป.ก.จัดโครงการงานรณรงค์หยุดเผาในเขตปฏิรูปที่ดิน “ฮักบ้านเฮา หยุดเผากันเน้อ” พร้อมเชื่อมโยงกิจกรรม กับ ส.ป.ก.จังหวัดภาคเหนือ (16 จังหวัด) ผ่านระบบออนไลน์

รมช.เกษตรและสหกรณ์ เดินหน้ารณรงค์หยุดการเผาในเขตปฏิรูปที่ดิน “ฮักบ้านเฮา หยุดเผากันเน้อ” พร้อมตั้งศูนย์รณรงค์หยุดการเผาในเขตปฏิรูปที่ดินภาคเหนือ 17 จังหวัด ชูมาตรการเข้ม “ไม่เผาในพื้นที่เกษตร” แก้ปัญหาวิกฤต PM 2.5

เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2568 นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ รมช.เกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธีเปิดงานรณรงค์หยุดการเผาในเขตปฏิรูปที่ดิน “ฮักบ้านเฮา หยุดเผากันเน้อ” ณ ที่ว่าการอำเภอดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) ในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5

งานรณรงค์หยุดเผาในเขตปฏิรูปที่ดิน “ฮักบ้านเฮา หยุดเผากันเน้อ” จัดขึ้นโดยสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ร่วมกับหน่วยงานความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อกระตุ้นให้เกษตรกรตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการเผา และนำเสนอทางเลือกในการจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรทดแทนการเผา สร้างการมีส่วนร่วมของเกษตรกรในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเผา รวมทั้งสร้างต้นแบบในการทำการเกษตรปลอดการเผาเพื่อสนับสนุนการหยุดเผาในพื้นที่การเกษตรในระยะต่อไป

นายนเรศ ได้กล่าวเน้นย้ำถึงมาตรการสำคัญที่จะนำมาใช้ในช่วงฤดูกาลผลิตที่จะถึงนี้ว่ารัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 และได้กำหนดให้การลดการเผาในพื้นที่เกษตรกรรมเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญ ดังนั้น เพื่อให้เกิดการลดการเผาอย่างเป็นรูปธรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหา PM 2.5 ภาคการเกษตร พ.ศ. 2568 (ฉบับที่ 2) โดยเกษตรกรที่มีประวัติการเผาในพื้นที่การเกษตร ตั้งแต่ 1 เมษายน 2569 – 31 มีนาคม 2571 จะหมดสิทธิ์เข้าร่วมโครงการสนับสนุนจากรัฐทุกรายการ เป็นเวลา 2 ปี ยกเว้นการช่วยเหลือกรณีภัยพิบัติ รวมทั้งดำเนินโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อรณรงค์และส่งเสริมให้เกษตรกรหยุดการเผา และหันมาใช้เทคโนโลยี และวิธีการจัดการเศษวัสดุทางการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

“การเผาในพื้นที่เกษตรกรรมนับเป็นความท้าทายอย่างยิ่งในการแก้ไขปัญหา จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและพี่น้องเกษตรกรทุกคน ซึ่งการจัดตั้ง “ศูนย์รณรงค์หยุดการเผาในเขตปฏิรูปที่ดิน” ถือเป็นรูปแบบกิจกรรมที่เป็นการสร้างการมีส่วนร่วม และเพิ่มประสิทธิภาพกลไกการดำเนินงานในระดับพื้นที่ ให้มีความเท่าทันต่อสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งการไม่เผานอกจากจะช่วยลดต้นทุน สภาพดินอุดมสมบูรณ์แล้ว ยังดีต่อสุขภาพของเกษตรกรอีกด้วย และเชื่อมั่นว่ามาตรการต่าง ๆ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เดินหน้าขับเคลื่อนอย่างเข้มข้น รวมทั้งกิจกรรมในวันนี้นั้นจะสามารถทำให้การเผาและฝุ่น PM 2.5 ลดลงอย่างเป็นรูปธรรม” รมช.นเรศ กล่าว

ด้าน นายเศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์ เลขาธิการ ส.ป.ก.กล่าวเสริมว่า นอกจากมาตรการที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบให้เป็นแนวทางขับเคลื่อนงานแล้ว ในด้านของกฎหมาย ส.ป.ก.ยังมีมติคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ครั้งที่ 8/2566 เรื่องกำหนดหน้าที่เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดิน ห้ามกำจัดวัสดุทางการเกษตรโดยการเผามาดำเนินการและบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่ด้วย

ทั้งนี้ ส.ป.ก.ได้ร่วมมือกับเครือข่ายเกษตรกร เจ้าหน้าที่ภาครัฐ และภาคเอกชน ในการประกาศเจตนารมณ์ไม่เผาในพื้นที่เกษตรกรรมเพื่อหยุดปัญหาควันพิษและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 พร้อมกับเปิด “ศูนย์รณรงค์หยุดการเผาในเขตปฏิรูปที่ดิน” เพื่อเป็นกลไกการรณรงค์และขับเคลื่อนการหยุดเผาในพื้นที่เกษตรกรรม รวมทั้งขยายผลองค์ความรู้การบริหารจัดการทรัพยากรในภาคการเกษตรให้เกิดการใช้ประโยชน์และมีประสิทธิภาพตามแนวทางเกษตรกรรมยั่งยืนต่อไป