‘ประมงนครศรีธรรมราช’ขยายผลใช้ปลาหมอคางดำเลี้ยงปูขาวอินทรีย์ ลดต้นทุน สร้างรายได้มั่นคง

‘ประมงนครศรีธรรมราช’ขยายผลใช้ปลาหมอคางดำเลี้ยงปูขาวอินทรีย์ ลดต้นทุน สร้างรายได้มั่นคง

‘ประมงนครศรีธรรมราช’ขยายผลใช้ปลาหมอคางดำเลี้ยงปูขาวอินทรีย์ ลดต้นทุน สร้างรายได้มั่นคง

วันศุกร์ ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 19.07 น.

‘ประมงนครศรีธรรมราช’ขยายผลใช้ปลาหมอคางดำเลี้ยงปูขาวอินทรีย์ ลดต้นทุน สร้างรายได้มั่นคง

ประมงจังหวัดนครศรีธรรมราชส่งต่อความมั่นคงในอาชีพ สนับสนุนเกษตรกรเลี้ยง “ปูขาวอินทรีย์” ใช้ปลาหมอคางดำเป็นวัตถุดิบอาหาร ช่วยลดต้นทุนการผลิต เป็นส่งเสริมให้นำปลาหมอคางดำไปใช้ประโยชน์ให้กว้างขวางขึ้น เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญตามมาตรการของกรมประมงในการควบคุมจำนวนประชากรปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างเป็นรูปธรรม

นายกอบศักดิ์ เกตุเหมือน ประมงจังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า สำนักงานประมงจังหวัดยังคงดำเนินมาตรการกำจัดและควบคุมปลาหมอคางดำตามแนวนโยบายของกรมประมงอย่างต่อเนื่อง โดยหนึ่งในมาตรการสำคัญ คือ การสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนนำปลาหมอคางดำมาใช้ประโยชน์ในหลากหลายรูปแบบเพื่อให้เหมาะสมกับบริบทและความต้องการของท้องถิ่น

การนำปลาหมอคางดำมาทำน้ำหมักชีวภาพบำรุงดิน การแปรรูปเป็นเมนูอาหาร และการทำเหยื่อตกปลาแล้ว ยังสามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบอาหารเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เช่น ปลากะพง และปูทะเล ซึ่งช่วยลดต้นทุนค่าอาหารสัตว์ได้เป็นอย่างดี และเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการลดจำนวนประชากรปลาหมอคางดำในระบบนิเวศ

ประมงจังหวัดนครศรีธรรมราชจึงได้ริเริ่ม “โครงการเลี้ยงปูทะเล พลิกวิกฤตพิชิตปลาหมอคางดำ” ส่งเสริมเกษตรกรเลี้ยงปูขาว หรือปูทองหลาง โดยใช้ปลาหมอคางดำเป็นอาหารเลี้ยงปู ให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ของกรมประมงในการส่งเสริมอาชีพเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ตอบโจทย์ทั้งเกษตรกรรายย่อยผลิตสินค้าที่ตลาดต้องการสูง เพราะปูมีรสชาติอร่อยและหวาน และจำหน่ายได้ในราคาที่ดี และการนำปลาหมอคางดำมาใช้เป็นวัตถุดิบอาหารปูช่วยบริหารจัดการต้นทุนอาหาร ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นและมั่นคงมากขึ้น ขณะเดียวกันการใช้ปลาหมอคางดำเป็นอาหารเลี้ยงปู พบว่าช่วยลดต้นทุนการผลิต  เป็นไปตามมาตรการของกรมประมงในการลดจำนวนประชากรปลาหมอคางดำและหยุดยั้งการแพร่ระบาดอย่างเป็นระบบ

“โครงการนี้มุ่งเน้นให้เกษตรกรได้รับประโยชน์โดยตรง ทั้งในด้านการมีพันธุ์ปูขาวเริ่มต้นเลี้ยงโดยไม่ต้องลงทุนเอง และการสร้างแรงจูงใจผ่านการนำปลาหมอคางดำมาใช้ประโยชน์ และสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยการแปรสภาพเป็นอาหารปู เกษตรกรได้ลดภาระต้นทุน และช่วยควบคุมประชากรปลาหมอคางดำในระยะยาว” นายกอบศักดิ์ กล่าว

ในปีแรก โครงการฯ ได้นำร่องสนับสนุนพันธุ์ปูขาวให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ รายละ 500 ตัว รวมทั้งสิ้น 20,000 ตัว โดยจัดซื้อพันธุ์ปูจากกลุ่มเกษตรกรลุ่มน้ำปากพนัง กลุ่มเกษตรกรเลี้ยงปูขาวอินทรีย์แปลงใหญ่ต้นแบบแห่งแรกของประเทศไทย ที่จะมาช่วยให้คำปรึกษาแก่เกษตรกรรายใหม่ กระบวนการเลี้ยงแบบธรรมชาติ ใช้ปลาคางดำมาบดหรือตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ผสมกับจุลินทรีย์ ไม่ใช้สารเคมี ช่วยเนื้อปูมีรสชาติหวานขึ้น ปลอดภัย รวมถึงเทคนิคการป้องกันการแพร่พันธุ์เพิ่มเติม

ปลาหมอคางดำที่นำมาใช้เป็นอาหารต้องถูกแช่แข็งในอุณหภูมิติดลบ 20 องศาเซลเซียสนานเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ก่อนนำมาบดใช้ เพื่อให้มั่นใจว่าไข่และตัวอ่อนจะไม่สามารถฟักตัวและแพร่พันธุ์ได้อีก

โครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแนวนโยบายส่งเสริมอาชีพประมงเชิงคุณภาพของกรมประมง ช่วยยกระดับความมั่นคงของอาชีพเกษตรกรเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในจังหวัดนครศรีธรรมราชอย่างยั่งยืน และต่อยอดให้เกิดความต้องการใช้ปลาหมอคางดำอย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุมจำนวนปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติของชุมชนอย่างมีระบบ

‘กรมชลประทาน’เปิดรับจ้างแรงงานทั่วประเทศ 8.4 หมื่นอัตรา เสริมรายได้ต้อนรับปีใหม่2569

‘กรมชลประทาน’เปิดรับจ้างแรงงานทั่วประเทศ 8.4 หมื่นอัตรา เสริมรายได้ต้อนรับปีใหม่2569

‘กรมชลประทาน’เปิดรับจ้างแรงงานทั่วประเทศ 8.4 หมื่นอัตรา เสริมรายได้ต้อนรับปีใหม่2569

วันศุกร์ ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 11.01 น.

กรมชลประทาน เดินหน้าจ้างแรงงานช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรต้อนรับปีใหม่ ปี 2569  หวังให้เกษตรกรมีรายได้เสริม ตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้งเป้าจ้างแรงงานกว่า 8.4 หมื่นคน

นายสุริยพล นุชองนงค์ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายช่วยเหลือเกษตรกรทั่วประเทศ ให้มีรายได้เสริมด้วยการจ้างแรงงานในระบบชลประทาน ในปีงบประมาณ 2569 โดยในปีนี้มีเป้าหมายการจ้างแรงงานกว่า 84,000 คน ปัจจุบันมีการจ้างแรงงานทั่วประเทศไปแล้วกว่า 5,800 คน หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 7 ของแผนฯ จังหวัดที่มีผลการจ้างแรงงานมากที่สุด 3 ลำดับ ได้แก่ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 638 คน จังหวัดกาฬสินธุ์ 616 คน และจังหวัดเชียงใหม่ 411 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2568)

ทั้งนี้ กรมชลประทาน ยังคงเดินหน้ารับสมัครจ้างแรงงานอย่างต่อเนื่องให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ จึงขอเชิญชวนเกษตรกรหรือประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ โดยสามารถติดต่อสอบถามหรือสมัครได้ที่โครงการชลประทานใกล้บ้าน หรือทางสายด่วนกรมชลประทาน 1460 ในวันและเวลาราชการ

กรมชลฯเตรียมพร้อมรับมือฝนตกหนักภาคใต้

กรมชลฯเตรียมพร้อมรับมือฝนตกหนักภาคใต้

กรมชลฯเตรียมพร้อมรับมือฝนตกหนักภาคใต้

วันพฤหัสบดี ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 17.09 น.

กรมชลฯ สั่งเฝ้าระวังและเตรียมเครื่องจักรรับมือฝนหนักภาคใต้ 11–15 ธ.ค. นี้

วันนี้ (11 ธ.ค.) ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) กรมชลประทาน เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำว่า ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ 9 ธ.ค.68) อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำรวมกันประมาณ 69,198 ล้าน ลบ.ม. (90% ของความจุอ่างฯ รวมกัน) เฉพาะ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวม 24,350 ล้าน ลบ.ม. (98% ของความจุอ่างฯ รวมกัน)

จากการติดตามคาดการณ์สภาพอากาศร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พบว่า ช่วงวันที่ 11 – 15 ธันวาคม 2568 มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือจะพัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันต่อเนื่อง ส่งผลให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจังหวัด นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ตรัง ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส อาจมีฝนตกหนักบางแห่ง สถานการณ์ดังกล่าวอาจทำให้เกิด น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม รวมถึงน้ำท่วมขังในเขตชุมชนเมืองจากการระบายน้ำไม่ทัน และระดับน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ลุ่มต่ำได้

ทั้งนี้ อธิบดีกรมชลประทาน ได้สั่งการให้โครงการชลประทานในพื้นที่ภาคใต้ ติดตามสถานการณ์น้ำฝน–น้ำท่า และข้อมูลสภาพอากาศอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งตรวจสอบและเตรียมความพร้อมเครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ และเครื่องจักรกลสาธารณภัยทุกชนิด ให้สามารถปฏิบัติงานได้ทันที นอกจากนี้ ยังได้บูรณาการข้อมูลร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนการแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงอย่างรวดเร็ว รวมถึงจัดเตรียมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ เพื่อให้ความช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที หากเกิดเหตุฉุกเฉิน

015

กรมประมงเร่งฟื้นฟูปลายี่สกไทย

กรมประมงเร่งฟื้นฟูปลายี่สกไทย

กรมประมงเร่งฟื้นฟูปลายี่สกไทย

วันพฤหัสบดี ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 17.03 น.

อธิบดีกรมประมง ขานรับนโยบาย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.เกษตรและสหกรณ์  เดินหน้าเร่งฟื้นฟู “ปลายี่สกไทย” หลังเสี่ยงจัดเป็นสัตว์น้ำใกล้สูญพันธุ์ตามบัญชีไซเตส (CITES) เตรียมเพิ่มกำลังการผลิตลูกพันธุ์ในปี 2569 จำนวนกว่า 500,000 ตัว เพื่อปล่อยคืนสู่แหล่งน้ำธรรมชาติทั่วประเทศ และจำหน่ายให้เกษตรกรนำไปเพาะเลี้ยงขยายผลทางเศรษฐกิจต่อไป

วันนี้ (11 ธ.ค.) นางฐิติพร หลาวประเสริฐ อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า “ปลายี่สก” (Probarbus jullieni) เป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ที่พบในแม่น้ำสายสำคัญของประเทศไทย อาทิ แม่น้ำโขง เจ้าพระยา ท่าจีน แม่กลอง และน่าน  ถือเป็นปลาที่มีรสชาติดี เป็นที่นิยมของผู้บริโภค ราคาจำหน่ายสูงถึงกิโลกรัมละ 200–250 บาท นอกจากนี้ ยังเป็นที่ต้องการของตลาดปลาสวยงามทั้งในประเทศและต่างประเทศ  โดยปลาขนาด 30 เซนติเมตร สามารถจำหน่ายเป็นปลาสวยงาม ที่มีมูลค่าตัวละหลายร้อยบาท  ด้วยความต้องการของตลาดรวมถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมในแหล่งน้ำ จึงส่งผลให้ประชากรปลายี่สกในธรรมชาติลดลงอย่างต่อเนื่องจนอยู่ในภาวะเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์ ตามบัญชีแนบท้ายอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธ์ (CITES)

ที่ผ่านมากรมประมงได้ดำเนินการเพาะขยายพันธุ์เพื่อเป็นการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรปลายี่สกในธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการเพาะขยายพันธุ์ด้วยเทคนิคการผสมเทียมพ่อแม่พันธุ์จากธรรมชาติเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2517  ด้วยการใช้พ่อแม่พันธุ์ทั้งที่ได้จากแม่น้ำโขงและพ่อแม่พันธุ์ที่มีการเลี้ยงไว้ในหน่วยงานของกรมประมง นอกจากนี้ยังมีการจัดทีมเฉพาะกิจเพื่อตั้งแคมป์ริมฝั่งแม่น้ำโขงร่วมกับชุมชนประมงในการเฝ้าสังเกตการณ์และรวบรวมพ่อแม่พันธุ์ปลายี่สกที่ขึ้นมาวางไข่ในช่วงฤดูผสมพันธุ์ระหว่างเดือนพฤศจิกายน – กุมภาพันธ์ ของทุกปี โดยจะนำแม่พันธุ์ปลาที่มีความพร้อมมาฉีดกระตุ้นการวางไข่และเก็บน้ำเชื้อพ่อพันธุ์ปลาไว้สำหรับการผสมเทียม เพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิตลูกพันธุ์ปลายี่สกในธรรมชาติเป็นประจำทุกปี

ล่าสุดได้รับรายงานจากทีมชุดเฉพาะกิจว่า ขณะนี้สามารถรวบรวมพ่อแม่พันธุ์จากธรรมชาติใช้ผสมเทียมเพื่อฟื้นฟูทรัพยากรปลายี่สกในพื้นที่แม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขาในปี 2568 ดำเนินการใน 2 พื้นที่ คือบ้านสองคอน จังหวัดมุกดาหาร และ บ้านไคสี จังหวัดบึงกาฬ  และปัจจุบันสามารถผสมเทียมปลายี่สกได้แล้ว 7 คู่ โดยปลายี่สกที่ได้จากแม่น้ำโขงคู่แรกที่เพาะพันธุ์ในปีนี้ ผสมเทียมเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 โดยปลาเพศเมีย น้ำหนัก 13 กิโลกรัม ความยาว 102 เซนติเมตร  และปลาเพศผู้ น้ำหนัก 10 กิโลกรัม ความยาว 90 เซนติเมตร สามารถรีดไข่ปลาได้ 500 กรัม คิดเป็นจำนวนไข่ปลาประมาณ 120,000 ฟอง โดยลูกปลายี่สกจากธรรมชาติรุ่นแรกของปี ได้ฟักออกจากไข่ในวันที่ 5 ธันวาคม 2568 เวลา 05.00 น. ได้ลูกปลาแรกฟักประมาณ 60,000 ตัว สำหรับอีก 6 คู่ ยังอยู่ระหว่างดำเนินการเพาะพันธุ์และนำไปอนุบาลในหน่วยงานของกรมประมง และจะทยอยปล่อยคืนแม่น้ำโขงและลำน้ำสาขา ปริมาณไม่น้อยกว่า 100,000 ตัว ต่อไป

อธิบดีกรมประมง กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อสั่งการของร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ให้กรมประมงเร่งปล่อยปลายี่สกลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติในจังหวัดราชบุรี หลังได้รับรายงานว่า ปลายี่สกเป็นปลาประจำถิ่นที่มีความเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์ และยังเป็นสัตว์น้ำประจำจังหวัดราชบุรีด้วย จึงทำให้มีความห่วงใยต่อทรัพยากรปลายี่สกในจังหวัดราชบุรี  ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2568 ที่ผ่านมา ทางศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดราชบุรี สามารถผลิตปลายี่สกได้กว่า 320,000 ตัว นำไปปล่อยลงในแหล่งน้ำธรรมชาติสำคัญ เช่น แม่น้ำแม่กลอง และอ่างเก็บน้ำห้วยสำนักไม้เต็ง ฯลฯ รวมถึงจำหน่ายให้เกษตรกรเพื่อนำไปเพาะเลี้ยงอีกด้วย
สำหรับปี 2569 กรมประมงมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตลูกพันธุ์ปลายี่สกทั่วประเทศให้มากขึ้น โดยตั้งเป้าผลิตไว้ไม่น้อยกว่า 500,000 ตัว เพื่อปล่อยคืนสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ ช่วยฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำประจำถิ่นและสัตว์น้ำหายากใกล้สูญพันธุ์ และจำหน่ายลูกพันธุ์ให้เกษตรกรได้นำไปเพาะเลี้ยงต่อยอดทั้งในด้านการผลิตเพื่อบริโภค และการเพาะเลี้ยงเป็นปลาสวยงามเพื่อเพิ่มมูลค่า ซึ่งปัจจุบันหน่วยงานของกรมประมงหลายแห่งได้รับการรับรองจาก CITES ให้ขึ้นทะเบียนเป็นสถานเพาะพันธุ์ปลายี่สกเพื่อการค้าระหว่างประเทศ เกษตรกรสามารถซื้อลูกพันธุ์จากกรมประมงไปอนุบาลและส่งออกได้อย่างถูกต้องตามระเบียบ ซึ่งช่วยสร้างอาชีพ เพิ่มรายได้ และยกระดับมูลค่าสินค้าสัตว์น้ำของไทย อีกทั้งยังลดการจับจากธรรมชาติ อันจะช่วยรักษาสมดุลของระบบนิเวศในระยะยาวอย่างยั่งยืนต่อไป

015

ก.เกษตรฯถกศูนย์ฯบริการพัฒนาแอปฯพิรุณราช

ก.เกษตรฯถกศูนย์ฯบริการพัฒนาแอปฯพิรุณราช

ก.เกษตรฯถกศูนย์ฯบริการพัฒนาแอปฯพิรุณราช

วันพฤหัสบดี ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 16.54 น.

ปลัดกระทรวงเกษตรฯ เรียกประชุมโครงการศูนย์บริการประชาชนภาคการเกษตร เล็งพัฒนาแอปพลิเคชัน “พิรุณราช” มุ่งยกระดับการบริการภาครัฐ เน้นการเข้าถึงประชาชน

(วันนี้ 11 ธ.ค.) นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายสร้างวิธีการทำงานสู่การปฏิบัติ โครงการศูนย์บริการประชาชนภาคการเกษตร ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ครั้งที่ 1/2568 โดยมีผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ไชยยงค์ ชูชาติ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.)

นายวิณะโรจน์ กล่าวว่า ศูนย์บริการเกษตรพิรุณราช ก่อตั้งครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2566 ซึ่งจากรายงานสรุปภาพรวมการให้บริการสะสมตั้งแต่วันที่ 18 ตุลาคม 2566 – 30 พฤศจิกายน 2568 พบว่า มีการให้บริการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรกว่า 23,873 เรื่อง โดยได้ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน 23,750 เรื่อง อีกทั้ง พบว่าประเภทเรื่องที่มีการขอรับบริการสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) ด้านพืช 2) ด้านหนี้สิน 3) ด้านดินและการปรับปรุงบำรุงดิน 4) ด้านปศุสัตว์ และ 5) ด้านการช่วยเหลือและสนับสนุนที่ดินทำกิน ทั้งนี้ ได้เน้นย้ำกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนให้เร่งรัดดำเนินการในส่วนงานบริการที่เหลืออยู่ให้แล้วเสร็จตามระบบ พร้อมทั้ง ให้ดำเนินการชี้แจงขั้นตอนการปฏิบัติงานแก่พี่น้องเกษตรกร เพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกันอีกด้วย

นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อยู่ระหว่างการพัฒนาระบบศูนย์บริการเกษตรพิรุณราชใหม่ ทั้งในรูปแบบ Web Application และ Mobile Application ที่สามารถรองรับระบบปฏิบัติการ iOS และ Android ภายใต้ชื่อ “พิรุณราช” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน โดยการเชื่อมโยงข้อมูลอย่างเป็นระบบ และการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและเกษตรกรในการเข้าถึงบริการมากยิ่งขึ้น คาดว่าจะพัฒนาระบบเสร็จสิ้นและพร้อมใช้งานต้นปี 2569

015

‘อธิบดีกรมฝนหลวง’ร่วมพิธีบำเพ็ญกุศลปัญญาสมวาร (ครบ 50 วัน) เพื่ออุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่’สมเด็จพระพันปีหลวง’

'อธิบดีกรมฝนหลวง'ร่วมพิธีบำเพ็ญกุศลปัญญาสมวาร (ครบ 50 วัน) เพื่ออุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่'สมเด็จพระพันปีหลวง'

‘อธิบดีกรมฝนหลวง’ร่วมพิธีบำเพ็ญกุศลปัญญาสมวาร (ครบ 50 วัน) เพื่ออุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่’สมเด็จพระพันปีหลวง’

วันพฤหัสบดี ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 15.09 น.

เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 เวลา 10.00 น.กรมฝนหลวงและการบินเกษตร นำโดย นายราเชน ศิลปะรายะ อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร จัดพิธีบำเพ็ญกุศลปัญญาสมวาร (ครบ 50 วัน) เพื่ออุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยมี นายไพจิตร เค้ากล้า รองอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ด้านวิชาการ นายปราบพล โล่ห์วีระ รองอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ด้านปฏิบัติการ คณะผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงานราชการ และเจ้าหน้าที่ ในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ณ ห้องประชุมหยาดพิรุณ ชั้น 3 กรมฝนหลวงและการบินเกษตร และผ่านระบบ VDO Conference

– 006

กรมปศุสัตว์เร่งส่งอาหารสัตว์-ทีมสัตวแพทย์ ช่วยเกษตรกรชายแดนไทย–กัมพูชา

กรมปศุสัตว์เร่งส่งอาหารสัตว์-ทีมสัตวแพทย์ ช่วยเกษตรกรชายแดนไทย–กัมพูชา

กรมปศุสัตว์เร่งส่งอาหารสัตว์-ทีมสัตวแพทย์ ช่วยเกษตรกรชายแดนไทย–กัมพูชา

วันพุธ ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 14.09 น.

กรมปศุสัตว์เร่งส่งหญ้าแห้ง อาหารสัตว์ เวชภัณฑ์ และทีมสัตวแพทย์ช่วยเกษตรกรชายแดนไทย–กัมพูชา ต่อเนื่อง

10 ธันวาคม 2568 นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่าจากปัญหาการสู้รบไทย–กัมพูชาเขมร ล่าสุดกรมปศุสัตว์เร่งให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา หลังเกิดสถานการณ์สู้รบที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน เกษตรกร ตลอดจนปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยงจำนวนมากในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ครอบคลุม 6 จังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ ตราด และสระแก้ว จำนวน 20 อำเภอ 196 ตำบล 1,704 หมู่บ้าน จากการสำรวจ

ทั้งนีัเบื้องต้น ณ.วันที่ 9 ธันวาคม 2568  พบว่าประชากรสัตว์ที่อยู่ในพื้นที่ได้รับผลกระทบมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 5,599,993 ตัว ประกอบด้วย โค 432,585 ตัว กระบือ 90,672 ตัว สุกร 122,716 ตัว แพะและแกะ 23,959 ตัว สัตว์ปีกกว่า 4.7 ล้านตัว รวมถึงสุนัข 148,647 ตัว และแมวอีก 65,139 ตัว โดยขณะนี้ได้รับรายงานสัตว์ตายหรือสูญหายแล้ว 432 ตัว ในจังหวัดอุบลราชธานีและสุรินทร์ โดยส่วนใหญ่เป็นสัตว์ปีก โค และกระบือ

สำหรับการส่งความช่วยเหลือในระยะเร่งด่วน กรมปศุสัตว์ได้แจกจ่ายหญ้าอาหารสัตว์ไปแล้ว 11,000 กิโลกรัม อาหารสุนัข–แมว 8,000 กิโลกรัม อาหารโค 1,000 กิโลกรัม สนับสนุนกรงสุนัข-แมว ชุดส่งเสริมสุขภาพสัตว์ (แร่ธาตุ ยาปฏิชีวนะ วิตามิน) อพยพสัตว์ออกจากพื้นที่เสี่ยงแล้ว 30 ตัว และจัดทีมสัตวแพทย์เคลื่อนที่เข้าดูแลต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนหญ้าฟ่อนแห้งจากกรมการสัตว์ทหารบก และมีแผนจัดส่งเสบียงอาหารสัตว์เพิ่มเติมอีก 111,000 กิโลกรัม เพื่อช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องโดยกรมปศุสัตว์ได้ประชุมคณะกรรมการอำนวยการศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจฯทุกวันเพื่อติดตามสถานการณ์และให้การสนับสนุนได้อย่างรวดเร็วในระยะเผชิญเหตุรวมถึงในระยะหลังเหตุการณ์สงบอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

นายสัตวแพทย์สมชวนบอกอีกว่าเกษตรกรที่ต้องการแจ้งข้อมูลหรือความช่วยเหลือสามารถติดต่อได้ที่ สำนักงานปศุสัตว์อำเภอ / จังหวัด หรือผ่าน แอปพลิเคชัน DLD 4.0 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเบอร์ติดต่อด่วน: อุบลราชธานี: 064-295-5989 , ศรีสะเกษ: 045-612-928 , สุรินทร์: 044-511-488 , บุรีรัมย์: 044-611-988 , สระแก้ว: 037-258-039 , จันทบุรี: 039-312-601 , ตราด: 081-831-6590

กรมปศุสัตว์ สนับสนุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้านปศุสัตว์ จากผลกระทบการสู้รบชายแดนไทย–กัมพูชา

กรมปศุสัตว์ สนับสนุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้านปศุสัตว์ จากผลกระทบการสู้รบชายแดนไทย–กัมพูชา

กรมปศุสัตว์ สนับสนุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้านปศุสัตว์ จากผลกระทบการสู้รบชายแดนไทย–กัมพูชา

วันอังคาร ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 15.48 น.

9 ธันวาคม 2568 นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ ส่งทีมเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ ร่วมกันลำเลียงอาหารสุนัข-แมว จำนวน 8,000 กิโลกรัม อาหารโค จำนวน 1,000 กิโลกรัม กรงสุนัข-แมว จำนวน 50 กรง เพื่อส่งต่อให้กับผู้ประสบภัยด้านปศุสัตว์ จากผลกระทบการสู้รบชายแดนไทย–กัมพูชา ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี สุรินทร์ และสระแก้ว ทั้งนี้ กรมปศุสัตว์จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพื่อให้การสนับสนุนและตัดสินใจแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที ตามแผนเผชิญเหตุอุบัติภัยด้านปศุสัตว์ ที่กรมปศุสัตว์กำหนดไว้ เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อเกษตรกรและผู้เลี้ยงสัตว์ให้ได้มากที่สุด

กรมปศุสัตว์ขอขอบคุณภาคเอกชนที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือครั้งนี้ และขอส่งกำลังใจไปยังพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบชายแดนไทย–กัมพูชา ขอให้ทุกครอบครัวปลอดภัย ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง และหวังว่าทุกคนจะสามารถผ่านพ้นเหตุการณ์ครั้งนี้ไปได้โดยเร็ววัน

หากเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ที่ต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อสำนักงานปศุสัตว์อำเภอ สำนักงานปศุสัตว์จังหวัด หรือขอความช่วยเหลือผ่านแอปพลิเคชั่น DLD 4.0 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

-(016)

โฆษก ก.เกษตรฯ เป็นประธานในพิธีเปิดอบรมสัมนาทางวิชาการ กลุ่มโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์

โฆษก ก.เกษตรฯ เป็นประธานในพิธีเปิดอบรมสัมนาทางวิชาการ กลุ่มโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์

โฆษก ก.เกษตรฯ เป็นประธานในพิธีเปิดอบรมสัมนาทางวิชาการ กลุ่มโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์

วันอังคาร ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 15.18 น.

นายเอกภาพ พลซื่อ โฆษกกระทรวงเกษตรฯ เป็นประธานในพิธีเปิดอบรมสัมนาทางวิชาการ กลุ่มโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ ณ โรงแรมเพชรรัตน์ จ.ร้อยเอ็ด ซี่งมีโรงเรียนในกลุ่มทั่วประเทศ 12 แห่งเข้าร่วม ระหว่างวันที่ 8-9 ธันวาคม 2568 เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การดำเนินงานในกลุ่มโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ และเสริมสร้างศักยภาพของครู ยกระดับคุณภาพของครูสู่มาตรฐานสากลอย่างต่อเนื่อง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีนโยบายขับเคลื่อนการดำเนินงานน้อมนำพระบรมราโชบายของในหลวงรัชกาลที่ 10 ลงสู่การปฏิบัติ ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้ผู้บริหาร ครู บุคลากรทางการศึกษาและผู้เรียน มีทัศนคติที่ดีต่อบ้านเมือง มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง มีคุณธรรม มีงานทำ มีอาชีพเป็นพลเมืองที่ดีโดยมีการน้อมนำพระบรมราโชบายมาเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนสู่สถานศึกษา

-(016)

‘อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร’ ร่วมประชุมสถานะทางเศรษฐกิจไทย ปี 2568

‘อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร’ ร่วมประชุมสถานะทางเศรษฐกิจไทย ปี 2568

‘อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร’ ร่วมประชุมสถานะทางเศรษฐกิจไทย ปี 2568

วันจันทร์ ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 15.33 น.

8 ธันวาคม 2568 นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เข้าร่วมการจัดประชุมหารือระดับสูงและเผยแพร่รายงานสำรวจและประเมินสถานะทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ปี 2568 (Thailand’s Economic Survey 2025) โดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งมี นางสาวศุภมาศ อิศรภักดี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ณ ห้อง Ballroom 1 และ 2 โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ ทั้งนี้ การจัดประชุมดังกล่าวเพื่อเผยแพร่รายงานการสำรวจและประเมินสถานะทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ปี 2568 (Thailand’s Economic Survey 2025) และหารือแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เชิงเทคนิคระหว่าง OECD และหน่วยงานของไทยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างโอกาสในการบรรลุเป้าหมายการเข้าเป็นสมาชิก OECD ของประเทศไทย

-(016)