จากนาเสริมเป็นรายได้หลัก! พลิกผืนดิน ‘ปลูกผัก-เมล่อน’ ขายได้เงินทุกวัน

จากนาเสริมเป็นรายได้หลัก! พลิกผืนดิน ‘ปลูกผัก-เมล่อน’ ขายได้เงินทุกวัน

จากนาเสริมเป็นรายได้หลัก! พลิกผืนดิน ‘ปลูกผัก-เมล่อน’ ขายได้เงินทุกวัน

วันพฤหัสบดี ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 11.34 น.

จากนาเสริมเป็นรายได้หลัก! ชาวบ้านเขว้า ต.โคกขมิ้น อ.พลับพลาชัย จ.บุรีรัมย์ พลิกผืนดินรอบหนองตูม  ‘ปลูกผักอินทรีย์-เมล่อนโกลเด้นควีน’ ขายได้เงินทุกวัน

วันที่ 4 ธันวาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานความสำเร็จของ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนปลูกผักหนองตูม บ้านเขว้า หมู่ที่ 4 ต.โคกขมิ้น อ.พลับพลาชัย จ.บุรีรัมย์ ในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน โดยเฉพาะการสร้างอาชีพที่มั่นคงจนชาวบ้านไม่ต้องทิ้งถิ่นฐานไปทำงานรับจ้างยังต่างจังหวัดอีกต่อไป

นายดุสิต ประประโคน ผู้ใหญ่บ้านเขว้า และประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนปลูกผักหนองตูม กล่าวว่า จุดเริ่มต้นมาจากการพัฒนาและบริหารจัดการแหล่งน้ำสาธารณะ ‘หนองตูม’ เนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ เมื่อประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา จากเดิมที่ชาวบ้านต้องอพยพไปทำงานต่างถิ่นหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าว

ต่อมาในปี พ.ศ.2561 ได้รวมกลุ่มกันเป็นวิสาหกิจชุมชนฯ โดยมีสมาชิก 35 คน เพื่อขอรับการสนับสนุนจากภาครัฐ ทั้งด้านปัจจัยการผลิต ระบบน้ำ และตลาดรองรับ จนกลุ่มฯ เกิดความเข้มแข็ง สามารถพึ่งพาตนเองได้

นอกจากพืชผักสวนครัวตามฤดูกาลที่ปลูกแบบอินทรีย์ปลอดสารพิษ 100% แล้ว กลุ่มฯยังได้รับการแนะนำสนับสนุนจาก นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ในการจัดสรรพื้นที่สำหรับโรงเรือนปลูก เมล่อนญี่ปุ่น สายพันธุ์ โกลเด้นควีน ไม่น้อยกว่า 10 โรงเรือน

โดยจุดเด่นของเมล่อนที่นี่คือ เปลือกสีเหลืองทองเรียบ เนื้อสีส้ม รสหวานกรอบ มีความหวานกำลังดี  ซึ่งเมื่อก่อนส่งขายที่ จิม ทอมสัน ปัจจุบันจัดส่งขายให้กับโรงพยาบาลต่างๆ และมีร้านมารับซื้อถึงที่ โดยรายได้ต่อ 1 โรงเรือนต่อครั้ง มีรายได้เฉลี่ยประมาณ 13,000–15,000 บาท

นายดุสิต กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ผลผลิตเมล่อนกำลังผลิดอกออกผล และคาดว่าจะโตทันได้เก็บเกี่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 ที่จะถึงนี้

ด้าน นางสมอางค์ กางรัมย์ อายุ 54 ปี สมาชิกกลุ่มฯ เล่าว่า เมื่อก่อนต้องหอบครอบครัวไปทำงานรับจ้างยังต่างจังหวัดหลังเก็บเกี่ยวข้าว แต่ตั้งแต่มาร่วมปลูกเมล่อนและปลูกผัก ทำให้มีรายได้เข้ามาทุกวัน ชีวิตความเป็นอยู่ในครอบครัวดีขึ้น และทำให้ อาชีพทำนาแทบจะเป็นอาชีพเสริมไปแล้ว เพราะการปลูกผักสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี

เช่นเดียวกับ นางทองใบ แป้นประโคน อายุ 64 ปี สมาชิกอีกราย ที่บอกว่ารายได้จากการปลูกผักตอนนี้ได้เปลี่ยนจากรายได้เสริมเป็น รายได้หลัก ไปแล้ว โดยมีรายได้เข้าเฉลี่ยวันละไม่ต่ำกว่า 100-200 บาท หรือหลายร้อยบาท เนื่องจากมีตลาดรองรับชัดเจน ทั้งพ่อค้าแม่ค้าในหมู่บ้าน นายทุน และพ่อค้ารถเร่ที่เข้ามารับซื้อถึงแปลง

////////-026

‘อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร’พร้อมคณะ ร่วมเข้าเฝ้าฯในพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ’สมเด็จพระพันปีหลวง’

'อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร'พร้อมคณะ ร่วมเข้าเฝ้าฯในพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ'สมเด็จพระพันปีหลวง'

‘อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร’พร้อมคณะ ร่วมเข้าเฝ้าฯในพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ’สมเด็จพระพันปีหลวง’

วันพุธ ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 21.36 น.

วันที่ 3 ธันวาคม 2568 นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกรมส่งเสริมการเกษตร ร่วมเข้าเฝ้าฯ ในพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร

– 006

เลขาธิการ ส.ป.ก.พร้อมคณะ ตรวจเยี่ยมศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพเสริมนอกภาคการเกษตร

เลขาธิการ ส.ป.ก.พร้อมคณะ ตรวจเยี่ยมศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพเสริมนอกภาคการเกษตร

เลขาธิการ ส.ป.ก.พร้อมคณะ ตรวจเยี่ยมศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพเสริมนอกภาคการเกษตร

วันพุธ ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 21.10 น.

เลขาธิการ ส.ป.ก.พร้อมคณะ ตรวจเยี่ยมศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพเสริมนอกภาคการเกษตร ในการเตรียมความพร้อมการจัดงานโครงการ”สืบสานพระราชปณิธาน งานศิลปาชีพบางไทร ครบรอบ 41 ปี”

วันที่ 3 ธันวาคม 2568 นายเศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์ เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) พร้อมด้วย นายธเนตร พารา ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี, นายเกียรติยศ ทรงสง่า ผู้อำนวยการสำนักวิชาการและแผนงาน, นายชำนาญ บุญประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักบริหารกองทุน, นายสุพัฒ มูลพฤกษ์ ปฏิรูปที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา, นางสาวอาภาพรรณ พัฒนพันธุ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการปฏิรูปที่ดิน, นางสาวสุรัติวดี ภาคอุทัย ผู้อำนวยการกลุ่มความร่วมมือระหว่างประเทศ และคณะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โดยมี นางสาวสิริมา แจ้งกระจ่าง ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพเสริมนอกภาคการเกษตร และเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับและรายงานความพร้อมในการจัดงานโครงการ “สืบสานพระราชปณิธาน งานศิลปาชีพบางไทร ครบรอบ 41 ปี” ณ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพเสริมนอกภาคการเกษตร (ศูนย์ศิลปาชีพ บางไทร เดิม) อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

– 006
 

‘อธิบดีกรมการข้าว’เป็น ปธ.ประชุม เตรียมจัดทำคำของบประมาณปี 70 วงเงินกว่า 5 พันล้านบาท

'อธิบดีกรมการข้าว'เป็น ปธ.ประชุม เตรียมจัดทำคำของบประมาณปี 70 วงเงินกว่า 5 พันล้านบาท

‘อธิบดีกรมการข้าว’เป็น ปธ.ประชุม เตรียมจัดทำคำของบประมาณปี 70 วงเงินกว่า 5 พันล้านบาท

วันพุธ ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 19.52 น.

กรมการข้าวเตรียมจัดทำคำของบประมาณปี พ.ศ.2570 วงเงินกว่า 5 พันล้านบาท ยึดหลักมีประสิทธิภาพ คุ้มค่า เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกรและประเทศชาติ

วันที่ 3 ธันวาคม 2568 นายอานนท์ นนทรีย์ อธิบดีกรมการข้าว เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนงานโครงการและงบประมาณของกรมการข้าวภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ครั้ง 1/2568 โดยมีคณะกรรมการตามคำสั่งกรมการข้าว ที่ 629/2568 ลงวันที่ 24 พ.ย.2568 เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียงกัน ทั้งนี้ สาระสำคัญของการประชุมเป็นการพิจารณาข้อเสนอโครงการ และงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2570 ของกรมการข้าว เป็นรายโครงการ/กิจกรรม เพื่อนำเสนอกระทรวงเกษตรและสหกรณ์สำหรับการจัดทำคำของบประมาณ โดยในส่วนของกรมการข้าววงเงินกว่า 5 พันล้านบาท จำนวน 6 แผนงาน 1 ผลผลิต 21 โครงการ โดยเป็นโครงการต่อเนื่อง จำนวน 1 ผลผลิต 16 โครงการ เป็นโครงการใหม่จำนวน 5 โครงการ และเป็นการดำเนินกิจกรรมใหม่ภายใต้โครงการเดิม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ในที่ประชุมได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นหลากหลาย ซึ่งที่ประชุมได้มีมติมอบหมายให้สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ข้าว ได้หารือร่วมกับหน่วยงานเจ้าของโครงการปรับแก้ไขตามความเห็นของคณะกรรมการให้สอดคล้องกับเป้าหมาย ตัวชี้วัดของยุทธศาสตร์ชาติ แผนระดับ 2 และแผนระดับ 3 นโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นโยบายของคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวแห่งชาติ (นบข.) และแผนอื่นๆ ที่เกี่ยวช้อง โดยมีแนวทางการขับเคลื่อนโครงการให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ คุ้มค่า เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกรและประเทศชาติโดยส่วนรวม

– 006

‘กรมฝนหลวง’ kick off สู้ฝุ่น PM 2.5 เริ่มปฏิบัติการช่วยพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล 3 ธ.ค.นี้!

‘กรมฝนหลวง’ kick off สู้ฝุ่น PM 2.5 เริ่มปฏิบัติการช่วยพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล 3 ธ.ค.นี้!

‘กรมฝนหลวง’ kick off สู้ฝุ่น PM 2.5 เริ่มปฏิบัติการช่วยพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล 3 ธ.ค.นี้!

วันพุธ ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 15.06 น.

3 ธันวาคม 2568 เวลา 10.00 น. นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธี Kick off ภารกิจบรรเทาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ประจำปีงบประมาณ 2569 ของกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ณ หน่วยดัดแปรสภาพอากาศ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยมีนายราเชน ศิลปะรายะ อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร นายสิทธิชัย สวัสดิ์แสน ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ผู้บริหารในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หน่วยงานในพื้นที่ ร่วมต้อนรับ นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในช่วงเดือนธันวาคม – มีนาคมของทุกปี ประเทศไทยมักประสบกับสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เกินเกณฑ์มาตรฐานและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากสาเหตุการเผาป่า การก่อสร้าง การคมนาคม การทำอุตสาหกรรม จึงทำให้ส่งผลผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนโดยเฉพาะบริเวณพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล พื้นที่ภาคเหนือ และ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก โดยได้กำหนดให้การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองเป็นวาระแห่งชาติ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันบูรณาการแก้ไขปัญหาดังกล่าว อีกทั้งภายใต้นโยบายของ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้คำนึงผลกระทบจากปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอันดับต้น ๆ จึงได้มีมาตรการป้องกันไม่ให้ส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน ซึ่งเน้นย้ำว่าการปฏิบัติการเพื่อลดฝุ่น PM 2.5 มุ่งดูแลสุขภาพของประชาชนให้ดีขึ้น และยังเป็นการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคเหนือและพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศอีกด้วย ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้สั่งการให้ตั้งหน่วยดัดแปรสภาพอากาศเพื่อบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ภาคเหนือ และพื้นที่เป้าหมายอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบจาก PM 2.5 โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคมนี้ เป็นต้นไป

ด้านนายราเชน ศิลปะรายะ อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ในฐานะหน่วยงานที่ปฏิบัติภารกิจด้านการดัดแปรสภาพอากาศ ซึ่งนอกเหนือจากการปฏิบัติการฝนหลวงช่วยบรรเทาปัญหาภัยแล้งและการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนแล้ว ภารกิจการบรรเทาปัญหาหมอกควัน ไฟป่า และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงพื้นที่ภาคเหนือ ที่ประสบปัญหาเป็นประจำทุกปีด้วย ในปีงบประมาณ 2569 กรมฯ ขานรับนโยบายของรัฐบาล และข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้จัดทำแผนการดัดแปรสภาพอากาศ ประจำปี 2569

เพื่อปฏิบัติการดัดแปรสภาพอากาศบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก โดยมีแผนการตั้งหน่วยดัดแปรสภาพอากาศ ประกอบด้วย ตั้งหน่วยฯ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และหน่วยฯ จ.ระยอง วางแผนปฏิบัติการบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ใช้เครื่องบินรวมจำนวน 5 ลำ ตั้งหน่วยฯ จ.ขอนแก่น วางแผนปฏิบัติการบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใช้เครื่องบินรวมจำนวน 2 ลำ ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2569 เป็นต้นไป และตั้งหน่วยฯ จ.ตาก และหน่วยฯ จ.พิษณุโลก วางแผนปฏิบัติการบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 พื้นที่ภาคเหนือ ใช้เครื่องบินรวมจำนวน 2 ลำ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2569 เป็นต้นไป โดยการปฏิบัติการดัดแปรสภาพอากาศจะมีการวางแผนการทำงานร่วมกับ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด เพื่อกำหนดขอบเขตพื้นที่การบิน ระดับความสูง และช่วงเวลาการบินตามกฎการบินสากล

สำหรับการดัดแปรสภาพอากาศ จะดำเนินการโดยใช้ 3 เทคนิค ได้แก่ 1. การปฏิบัติการฝนหลวงในขั้นตอนการก่อกวน โดยใช้สารฝนหลวงสูตร 1 (โซเดียมคลอไรด์) ปฏิบัติการบริเวณต้นลม และโดยรอบมวลของฝุ่นบริเวณพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อก่อเมฆและเพิ่มปริมาณเมฆในพื้นที่เป้าหมาย 2. การปฏิบัติการฝนหลวงในขั้นตอนการเลี้ยงให้อ้วน โดยใช้สารฝนหลวงสูตร 8 แคลเซียมออกไซด์ หรือสูตร 6 แคลเซียมคลอไรด์ ปฏิบัติการบริเวณต้นลม และโดยรอบมวลของฝุ่นบริเวณพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลมากที่สุด เพื่อเลี้ยงเมฆให้มีขนาดใหญ่ขึ้นและมีแรงดูดซับฝุ่นละออง และ 3. การปฏิบัติการเทคนิคการลดอุณหภูมิชั้นบรรยากาศผกผันโดยการโปรยน้ำแข็งแห้ง เพื่อระบายฝุ่นละอองบริเวณระดับ inversion (ชั้นอุณหภูมิผกผัน) หรือสูงกว่าระดับ inversion (ชั้นอุณหภูมิผกผัน) เพื่อทำให้เกิดช่องระบายฝุ่นละอองขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศด้านบนซึ่งกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจว่ากรมฝนหลวงและการบินเกษตร พร้อมปฏิบัติภารกิจทุกวันอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยบรรเทาสถานการณ์ฝุ่นละอองตามนโยบายจากรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพของประชาชนและส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อให้ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่จะถึงนี้ ประชาชนมีคุณภาพอากาศที่ดี ท่องเที่ยวอย่างปลอดภัยและมีความสุข นายราเชน กล่าวทิ้งท้าย

-(016)

‘อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร’ร่วมลงนาม MOU ‘เจียไต๋’ ส่งเสริมเกษตรกรไทยด้วยโซลูชันเกษตรอัจฉริยะ

'อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร'ร่วมลงนาม MOU 'เจียไต๋' ส่งเสริมเกษตรกรไทยด้วยโซลูชันเกษตรอัจฉริยะ

‘อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร’ร่วมลงนาม MOU ‘เจียไต๋’ ส่งเสริมเกษตรกรไทยด้วยโซลูชันเกษตรอัจฉริยะ

วันอังคาร ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 21.00 น.

วันที่ 2 ธันวาคม 2568 นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร พร้อมด้วย นายมนัส เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจียไต๋ จำกัด ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) การส่งเสริมเกษตรกรไทยด้วยโซลูชันเกษตรอัจฉริยะเพื่อยกระดับภาคการเกษตร ณ ห้องออดิทอเรียม ชั้น 8 บริษัท เจียไต๋ จำกัด (สำนักงานใหญ่) สุขุมวิท 60 กรุงเทพมหานคร

สำหรับการลงนามบันทึกความร่วมมือครั้งนี้ เน้นย้ำการพัฒนาเพื่อพัฒนาวิชาการเกษตรและยกระดับกระบวนการผลิตของเกษตรกรไทยให้ก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้ MOU ฉบับนี้ ทั้ง 2 หน่วยงานจะร่วมกันความร่วมมือครั้งนี้มุ่งเน้น 4 เป้าหมายสำคัญ ได้แก่

1.ความร่วมมือด้านวิชาการเกษตรอัจฉริยะ ส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกร กลุ่มเกษตรกร กลุ่มแปลงใหญ่ และวิสาหกิจชุมชน ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลด้านการเกษตร อาทิแพลตฟอร์ม Big Data ด้านเกษตร เพื่อการบริหารจัดการและการติดตามตรวจสอบย้อนกลับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เทคโนโลยีระบบบริหารจัดการอัจฉริยะด้านการเกษตร IoT (Internet of Things) เทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับเพื่อการเกษตร (Agriculture Drone) และอื่นๆ

2.การพัฒนากระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ โดยเครือข่ายและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการเกษตร อุตสาหกรรมการเกษตร ผลิตภัณฑ์การเกษตร ผลิตภัณฑ์อาหาร รวมถึงการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างเครือข่าย

3.การสร้างโอกาสใหม่ให้เกษตรกรไทยในอนาคต ส่งเสริมและสนับสนุนการบูรณาการฐานข้อมูลด้านการเกษตร เพื่อใช้ในการพัฒนาการจัดการ และการติดตามตรวจสอบย้อนกลับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรรวมถึงสนับสนุนให้ผู้ประกอบการนำสินค้า เทคโนโลยี และนวัตกรรมดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร ผลิตภัณฑ์การเกษตร ผลิตภัณฑ์อาหาร และวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหาร เข้าร่วมการขึ้นทะเบียนบัญชีบริการดิจิทัล (Thailand Digital Catalog) รวมถึง

4.เสริมพลังความร่วมมือรัฐและเอกชน ยกระดับการเกษตรไทยด้วยข้อมูล วิชาการ และนวัตกรรม สร้างความเชื่อมั่นให้เกษตรกรว่าเมื่อภาครัฐจับมือผู้เชี่ยวชาญด้านพืช จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืน

– 006

‘อธิบดีกรมฝนหลวง’ประชุมเตรียมพร้อมภารกิจ’ดัดแปรสภาพอากาศ’ บรรเทาปัญหาฝุ่น PM 2.5

'อธิบดีกรมฝนหลวง'ประชุมเตรียมพร้อมภารกิจ'ดัดแปรสภาพอากาศ' บรรเทาปัญหาฝุ่น PM 2.5

‘อธิบดีกรมฝนหลวง’ประชุมเตรียมพร้อมภารกิจ’ดัดแปรสภาพอากาศ’ บรรเทาปัญหาฝุ่น PM 2.5

วันอังคาร ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 18.16 น.

เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 นายราเชน ศิลปะรายะ อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เป็นประธานการประชุมติดตามการเตรียมความพร้อมภารกิจการดัดแปรสภาพอากาศบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ณ ห้องประชุมศูนย์ฝนหลวงหัวหิน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งจะเริ่มปฏิบัติการตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป เพื่อช่วยเหลือในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงติดตามสภาพอากาศเพื่อเตรียมช่วยเหลือพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีกด้วย

– 006

‘อธิบดีกรมการข้าว’เฝ้ารับเสด็จฯ’ในหลวง-พระราชินี’ทรงเปิดอาคารเรียนรู้เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา และทรงเปิดงาน’โครงการหลวง 2568’

'อธิบดีกรมการข้าว'เฝ้ารับเสด็จฯ'ในหลวง-พระราชินี'ทรงเปิดอาคารเรียนรู้เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา และทรงเปิดงาน'โครงการหลวง 2568'

‘อธิบดีกรมการข้าว’เฝ้ารับเสด็จฯ’ในหลวง-พระราชินี’ทรงเปิดอาคารเรียนรู้เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา และทรงเปิดงาน’โครงการหลวง 2568’

วันอังคาร ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 14.51 น.

“อธิบดีกรมการข้าว”เฝ้ารับเสด็จฯ”พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี”เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดอาคารเรียนรู้เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา และทรงเปิดงาน”โครงการหลวง 2568″ที่จังหวัดเชียงใหม่

เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2568 เวลา 18.40 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปยัง ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรโครงการหลวง ชนกาธิเบศรดำริ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อทรงเปิด “อาคารเรียนรู้เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา” และทรงเปิดงาน “โครงการหลวง 2568” โดยมี พลเอก กัมปนาท รุดดิษฐ์ องคมนตรี ในฐานะเลขาธิการและประธานกรรมการบริหารมูลนิธิโครงการหลวง นายวิรัตน์ ปราบทุกข์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) นายอานนท์ นนทรีย์ อธิบดีกรมการข้าว ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยข้าวและศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวเชียงใหม่ พร้อมคณะกรรมการจัดงาน และข้าราชการ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับเสด็จ

ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระดำเนินไปยังแท่นพิธี ทรงกดปุ่มไฟฟ้าเปิดแพรคลุมป้ายอาคารเรียนรู้เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา (พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา) แล้วเสด็จเข้าพลับพลาพิธี ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมถวายพระสงฆ์ ทรงหลั่งทักษิโณทก พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก

“อาคารเรียนรู้เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา” จัดสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระผู้ทรงก่อตั้งโครงการหลวง และทรงวางรากฐานการพัฒนาทางเลือกบนที่สูงอย่างยั่งยืน เพื่อเป็นอาคารเรียนรู้ของสถาบันการเรียนรู้มูลนิธิโครงการหลวง ในการสนองพระบรมราโชบายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการทรงสืบสาน รักษา และต่อยอดโครงการหลวง ที่ประสบผลสำเร็จจนเป็นที่ประจักษ์อย่างกว้างขวาง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 เป็นอาคาร 3 ชั้น ประกอบด้วยห้องต่างๆ อาทิ ห้องปฏิบัติการเรียนรู้ ห้องอบรมประชุมสัมมนา ห้องนิทรรศการถ่ายทอดประวัติศาสตร์โครงการหลวง และห้องการเรียนการสอนหลักสูตรต่างๆ อีกทั้งเป็นต้นแบบอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน

– 006

‘อธิบดีกรมปศุสัตว์’เดินหน้าช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ภาคใต้ต่อเนื่อง ภายหลังน้ำลด

'อธิบดีกรมปศุสัตว์'เดินหน้าช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ภาคใต้ต่อเนื่อง ภายหลังน้ำลด

‘อธิบดีกรมปศุสัตว์’เดินหน้าช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ภาคใต้ต่อเนื่อง ภายหลังน้ำลด

วันจันทร์ ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 19.20 น.

อธิบดีกรมปศุสัตว์ เดินหน้าช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ภาคใต้ต่อเนื่อง ภายหลังน้ำลด เร่งจัดการซากสัตว์ตามหลักสุขาภิบาล ป้องกันโรคระบาด

เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2568 นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า กรมปศุสัตว์ยังคงเดินหน้าช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ภาคใต้ที่ประสบอุทกภัยอย่างต่อเนื่อง โดยได้จัดส่งหน่วยสัตวแพทย์เคลื่อนที่ลงพื้นที่ดูแลสุขภาพปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยงต่อเนื่องจากช่วงเผชิญเหตุ รวมถึงยังคงแจกจ่ายหญ้าอาหารสัตว์พระราชทานและอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นไปตามข้อสั่งการของ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่กำชับให้หน่วยงานในสังกัดเร่งบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ และฟื้นฟูอาชีพเกษตรกรให้กลับมาโดยเร็ว

ก่อนหน้านี้ ในระยะเผชิญเหตุกรมปศุสัตว์ช่วยเหลือเกษตรกรใน 10 จังหวัดภาคใต้ได้แก่ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สตูล ปัตตานี สงขลา ตรัง นราธิวาส และยะลา ครอบคลุมพื้นที่ 97 อำเภอ 610 ตำบล 3,822 หมู่บ้าน ด้วยการมอบหญ้าอาหารสัตว์พระราชทาน 809,230 กิโลกรัม อพยพสัตว์ออกจากพื้นที่เสี่ยง 271,203 ตัว สนับสนุนชุดส่งเสริมสุขภาพสัตว์ (แร่ธาตุ ยาปฏิชีวนะ วิตามิน) 552 ชุด และแจกจ่ายถุงยังชีพสัตว์ โดยได้กำชับให้เจ้าหน้าที่เข้าสำรวจความเสียหายเพื่อเตรียมจ่ายค่าชดเชยตามระเบียบราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2568 ตลอดจนตามแผนฟื้นฟูอาชีพของเกษตรกรผู้เลี้ยงปศุสัตว์

จากการสำรวจเบื้องต้นพบเกษตรกรได้รับผลกระทบรวม 209,923 ราย สัตว์ได้รับผลกระทบรวมทั้งสิ้น 13,889,488 ตัว ประกอบด้วย โค กระบือ สุกร แพะ แกะ และสัตว์ปีก พบสัตว์ตายและสูญหาย ทั้งสิ้น 88,712 ตัว ใน 9 จังหวัด ได้แก่ พัทลุง ตรัง นครศรีธรรมราช ปัตตานี สตูล สุราษฎร์ธานี นราธิวาส สงขลา และยะลาโดยในจำนวนนี้เป็นโค 576 ตัว กระบือ 39 ตัว สุกร 61 ตัว แพะ 82 ตัว แกะ 33 ตัว และสัตว์ปีก 87,921 ตัว

มาตรการที่สำคัญอีกประการคือ การกำจัดซากสัตว์อย่างเร่งด่วนเพื่อป้องกันโรคระบาดในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งระดับน้ำลดลงแล้ว กรมปศุสัตว์ได้จัดชุดปฏิบัติการพิเศษจากหลายหน่วยงาน ลงพื้นที่ตรวจสอบและจัดการเหตุการณ์ที่ได้รับแจ้ง โดยสามารถกำจัดซากสัตว์ตามหลักสุขาภิบาลได้ รวมทั้งสิ้น 314 ซาก ได้แก่ ไก่ 30 ตัว หมู 27 ตัว แพะ 157 ตัว โค 86 ตัว สุนัข 7 ตัว แมว 6 ตัว และกระต่าย 1 ตัว พร้อมฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อในพื้นที่เสี่ยงอย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อโรค และรักษาสุขอนามัยของชุมชน

กรมปศุสัตว์ขอให้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบมั่นใจว่า หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ โดยสามารถติดต่อขอรับบริการได้ที่ สำนักงานปศุสัตว์อำเภอ หรือ สำนักงานปศุสัตว์จังหวัด รวมถึง แอปพลิเคชัน DLD 4.0 ตลอด 24 ชั่วโมง

สำหรับประชาชนในพื้นที่หาดใหญ่ หากพบซากสัตว์ สามารถแจ้งได้ที่ สายด่วนด่านกักกันสัตว์สงขลา โทร. 089-598-1493 หรือ 080-713-8229

– 006

‘เลขาธิการ สปก.’ ลงพื้นที่ ‘หาดใหญ่’ ร่วม ‘บิ๊กคลีนนิ่ง’ หลังน้ำลด

‘เลขาธิการ สปก.’ ลงพื้นที่ ‘หาดใหญ่’ ร่วม ‘บิ๊กคลีนนิ่ง’ หลังน้ำลด

‘เลขาธิการ สปก.’ ลงพื้นที่ ‘หาดใหญ่’ ร่วม ‘บิ๊กคลีนนิ่ง’ หลังน้ำลด

วันจันทร์ ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 17.47 น.

 นายเศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์ เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (เลขาธิการ ส.ป.ก.) นายสุรชัย ยุทธชนะ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปฏิรูปที่ดินจังหวัด และเจ้าหน้าที่ ส.ป.ก. ติดตามคณะ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่กู้หาดใหญ่ หลังวิกฤตน้ำท่วมคลี่คลาย เร่งเก็บกวาด เคลียร์พื้นที่ ตั้งโรงครัวเติมพลัง พร้อมแจกแผงโซลาร์เซลล์แก้ปัญหาไฟเข้าไม่ถึง ส่งกำลังใจถึงมือทุกบ้าน

ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการน้ำในสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (ศนภ.) พร้อมด้วย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และคณะผู้บริหารข้าราชการทั้ง 4 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ผนึกกำลังลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงาน Big Cleaning หลังสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่คลี่คลาย

โดย ร้อยเอก ธรรมนัส ได้นำทีมจัดการยานพาหนะบนพื้นผิวจราจร เนื่องจากมีรถของประชาชนที่นำมาจอดเอาไว้และยังไม่สามารถขยับเคลื่อนออกได้ จากนั้นกรมชลประทานระดมเครื่องจักรเครื่องมือและรถบรรทุก เข้าดำเนินการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายบริเวณวงเวียนหน้าหมู่บ้านฉัตรทอง เขต 8 โดยเร่งทำความสะอาด เก็บขยะ และเคลียร์พื้นที่สาธารณะ เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด

นอกจากนี้ ร้อยเอก ธรรมนัส ยังได้ตั้งโรงครัวที่โรงเรียนนานาชาติ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน เนื่องจากถึงแม้ว่าน้ำจะลดลงแล้ว แต่ประชาชนยังได้รับความเดือดร้อนจากสภาพบ้านที่อยู่อาศัยเสียหายอย่างหนัก และในพื้นที่ยังหาอาหารรับประทานได้ยาก รวมถึงโครงสร้างไฟฟ้าภายในบ้านเรือนที่ถูกน้ำท่วมจนเสียหาย แม้การไฟฟ้าจะสามารถจ่ายไฟได้ประมาณ 80% แล้ว แต่ปลั๊กไฟ สายไฟ และตู้ไฟภายในบ้านหลายหลังยังใช้งานไม่ได้ ทำให้ประชาชนจำนวนมากยังไม่มีไฟฟ้าใช้ จึงได้นำแผงโซลาร์เซลล์มาแจกจ่ายให้กับประชาชน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเรื่องไฟฟ้า

ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาการลงพื้นที่ปฏิบัติภารกิจ ได้มีประชาชนกล่าวแสดงความชื่นชมและขอบคุณ พร้อมทั้งขอถ่ายรูปกับ ร้อยเอก ธรรมนัส เป็นจำนวนมาก

-(016)