สุดมึน ชาวเลบานอนสับสนกับเวลา หลังรัฐบาลประกาศปรับเวลาไม่ตรงกับโบสถ์คริสต์

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

https://www.thairath.co.th/news/foreign/2664593

สุดมึน ชาวเลบานอนสับสนกับเวลา หลังรัฐบาลประกาศปรับเวลาไม่ตรงกับโบสถ์คริสต์

27 มี.ค. 2566 09:31 น.

สุดมึน ชาวเลบานอนสับสนกับเวลา หลังรัฐบาลประกาศปรับเวลาไม่ตรงกับโบสถ์คริสต์

ชาวเลบานอนตื่นมาพบว่าประเทศตัวเองมี 2 ไทม์โซน หลังจากเกิดการงัดข้อกันระหว่างรัฐบาลอิสลามกับองค์กรศาสนาคริสต์ ที่ประกาศช่วงเวลาที่จะต้องปรับเวลาให้ช้าลงไม่ตรงกัน

สำนักข่าว BBC รายงานว่า เช้าวันจันทร์ที่ 27 มีนาคม ประชาชนชาวเลบานอนต่างรู้สึกสับสนกับเรื่องเวลาว่า พวกเขาจะต้องตั้งนาฬิกาอย่างไร และจะต้องยึดการปรับเวลาออมแสง (Daylight Saving) ประจำปี ตามฝ่ายไหนดี หลังจากรัฐบาลสายมุสลิมนิกายสุหนี่ ของนายกรัฐมนตรีรักษาการ นายนาจิบ มิคาตี ประกาศเลื่อนการปรับเวลาให้ช้าลง จนกว่าจะถึงสิ้นสุดเดือนรอมฎอน แต่ทาง “โบสถ์คริสเตียน มาโรไนต์” องค์กรศาสนาคริสต์ที่ใหญ่ที่สุดของเลบานอน ได้ออกมาประกาศคัดค้าน ขอให้กลุ่มผู้สนับสนุนตั้งเวลาใหม่ได้เลยตามกำหนดเดิมที่เคยทำมา คือตั้งแต่เมื่อวันอาทิตย์ 26 มีนาคมที่ผ่านมา

โดยเมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 16 มี.ค. นายกรัฐมนตรีมิคาตี ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม นิกายสุหนี่ ประกาศว่าเขาตัดสินใจที่จะชะลอการปรับเวลาไปจนถึงเที่ยงคืนของวันที่ 20 เมษายน โดยไม่ได้กล่าวถึงเหตุผลประกอบ แต่หลายฝ่ายเชื่อว่ามาจากความพยายามสร้างความนิยมในกลุ่มชาวมุสลิมในประเทศ เนื่องจากเดือนรอมฎอน ที่เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 22 มีนาคม จะสิ้นสุดลงในวันที่ 21 เมษายน ซึ่งหากโซนเวลายังดำเนินไปตามเดิม จะทำให้ชาวมุสลิมสามารถละช่วงเวลาถือศีลอดได้เร็วขึ้น มาเป็น 18.00 น. จากเดิมคือ 19.00 น. เวลาพระอาทิตย์ตก

ทางด้านผู้แทนโบสถ์คริสเตียน มาโรไนต์ กล่าวว่า ประกาศของรัฐบาลเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ และทางโบสถ์จะไม่ยึดถือตาม 

ขณะที่เกิดความแตกแยกฝังลึกในเลบานอนมายาวนาน ระหว่างกลุ่มศาสนาคริสต์และอิสลามในประเทศ นับตั้งแต่เกิดสงครามกลางเมืองในยุคปี ค.ศ.1970-1980 และที่ผ่านมาอำนาจทางการเมืองถูกเปลี่ยนมือไปมาระหว่างสองกลุ่มศาสนา

รายงานข่าวระบุว่า ภาคธุรกิจส่วนใหญ่รวมไปถึงองค์กรมุสลิมในเลบานอนต่างยึดถือตามแนวทางของรัฐบาล ขณะที่องค์กรคริสต์ศาสนิกชน และบางธุรกิจต่างประกาศยึดตามแนวทางของโบสถ์คริสต์ อย่างสถานีโทรทัศน์ 2 ช่องได้แก่ LBCI และ MTV ได้ปรับเวลาไปแล้วตั้งแต่เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา 

ทางด้านสายการบินมิดเดิล อีสต์ แอร์ไลน์ ประกาศว่า ทางบริษัทตัดสินใจประนีประนอมกับสองฝ่าย โดยนาฬิกาและอุปกรณ์ในสนามบินจะยังคงอยู่ในช่วงเวลาฤดูหนาว ส่วนเที่ยวบินต่างๆ จะยึดตามการปรับเวลาใหม่ เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนของตารางบินระหว่างประเทศ

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การตัดสินใจของรัฐบาลที่จะให้การปรับเวลาล่าช้าออกไป ส่งผลกระทบต่อกำหนดการเดินทาง การนัดหมายประชุมผ่านทาง Zoom และการอัปเดตเวลาอัตโนมัติในโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ.

“คามาลา แฮร์ริส” รองปธน.สหรัฐฯถึงกานา เปิดฉากเยือน 3 ประเทศแถบแอฟริกา

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

https://www.thairath.co.th/news/foreign/2664556

"คามาลา แฮร์ริส" รองปธน.สหรัฐฯถึงกานา เปิดฉากเยือน 3 ประเทศแถบแอฟริกา

27 มี.ค. 2566 08:43 น.

“คามาลา แฮร์ริส” รองปธน.สหรัฐฯถึงกานา เปิดฉากเยือน 3 ประเทศแถบแอฟริกา

คามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เดินทางถึงกานา จุดหมายแรกตามกำหนดการเยือน 3 ประเทศแอฟริกา ได้แก่ กานา แทนซาเนีย และแซมเบีย เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ถ่วงดุลอำนาจกับจีน

สำนักข่าว CNN รายงานว่า  เมื่อวันที่ 26 มี.ค. คามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติกรุงอักกรา เมืองหลวงของประเทศกานา ซึ่งเป็นประเทศแรกใน 3 ประเทศแอฟริกาตามแผนการเยือนของรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งมีเป้าหมายในการพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์ในบริบทใหม่ที่ลึกซึ้งขึ้นระหว่างรัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน กับรัฐบาลกานา

รองประธานาธิบดีแฮร์ริส เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงสุดของรัฐบาลโจ ไบเดน ที่เดินทางเยือนกานา เพื่อคานอำนาจรัฐบาลจีนที่มีอิทธิพลมากขึ้นกับหลายประเทศในแอฟริกา โดยแฮร์ริส มีกำหนดเยือนทวีปแอฟริกา 1 สัปดาห์ ตั้งแต่กานา แทนซาเนีย และแซมเบีย ประเด็นที่รัฐบาลไบเดนให้ความสำคัญคือการพัฒนาเศรษฐกิจ ความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ความมั่นคงด้านอาหารและการเพิ่มขึ้นของประชากรวัยคนหนุ่มสาว

ตามกำหนดการรองประธานาธิบดีแฮร์ริสจะกล่าวสุนทรพจน์ในกรุงอักกรา และเดินทางไปเยือนปราสาทเคปโคสต์ หนึ่งในสี่สิบ ปราสาททาส หรือป้อมเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ ซึ่งถูกใช้เป็นสถานีใหญ่สำหรับพักรอขนส่งทาสแอฟริกันลงเรือไปยังอเมริกา นอกจากนี้ยังเข้าพบหารือกับประธานาธิบดีและบุคคลสำคัญของกานา

ทั้งนี้ กานา เป็นหนึ่งในประเทศที่มีประชาธิปไตยเข้มแข็งที่สุดในบรรดาประเทศแถบแอฟริกา ขณะที่การเยือนครั้งนี้มีขึ้นท่ามกลางความท้าทายใหญ่หลวงจากการแผ่ขยายอิทธิพลของจีนในแอฟริกา นอกจากนี้ ยังเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจขยายตัวรวดเร็วที่สุดในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่ต้องเผชิญกับวิกฤติหนี้ และเงินเฟ้อพุ่งสูง ทำให้อาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นอื่นๆ มีราคาแพงขึ้น.

สิงคโปร์เตือนภัยไข้เดงกี พบระบาด 39 คลัสเตอร์

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

https://www.thairath.co.th/news/foreign/2664571

สิงคโปร์เตือนภัยไข้เดงกี พบระบาด 39 คลัสเตอร์

27 มี.ค. 2566 06:57 น.

สิงคโปร์เตือนภัยไข้เดงกี พบระบาด 39 คลัสเตอร์

สำนักงานสิ่งแวดล้อมแห่งชาติสิงคโปร์ (NEA) ออกแถลงการณ์ชี้แจงสถิติผู้ป่วยไข้เลือดออกเดงกีในสิงคโปร์ โดยระบุว่าตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 24 มี.ค. ตรวจพบผู้ป่วยไข้เลือดออกเดงกีในสิงคโปร์เป็นจำนวนกว่า 2,000 คน และเฉลี่ยแล้วอัตราการติดเชื้อยังคงอยู่ที่ระดับเกิน 100 คนต่อสัปดาห์ ถือว่าระดับความเสี่ยงยังคงอยู่ในระดับสูง จากการตรวจสอบพบว่า มีการแพร่ระบาดเป็นจำนวนอย่างน้อย 39 คลัสเตอร์ในสิงคโปร์

ทั้งนี้ สำนักงานสิ่งแวดล้อมแห่งชาติสิงคโปร์ ยังเปิดเผยด้วยว่า สาเหตุของการแพร่ระบาดในขณะนี้ เป็นผลมาจากจำนวนยุงลายในสิงคโปร์มีปริมาณเพิ่มขึ้นกว่า 16% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2565 อย่างไรก็ตาม หากไม่รีบดำเนินการควบคุม อาจส่งผลให้เกิดการแพร่ระบาดรุนแรงในปีนี้ พร้อมเชื่อว่ายอดผู้ติดเชื้อจะเพิ่มสูงขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เนื่องด้วยฤดูการระบาดของไข้เลือดออกเดงกีจะอยู่ในช่วงเดือน มิ.ย. ถึง ต.ค.สถิติของเอ็นอีเอ ยังระบุว่า มีผู้ติดเชื้อไข้เลือดออกเดงกีเป็นจำนวน 32,173 คนเมื่อปี 2565 ขณะที่สถิติสูงเกิดขึ้นเมื่อปี 2563 อยู่ที่ 35,266 คน.

อิสราเอลปลดรัฐมนตรีกลาโหม แข็งข้อต้านกฎหมายจำกัดอำนาจตุลาการ

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

https://www.thairath.co.th/news/foreign/2664513

อิสราเอลปลดรัฐมนตรีกลาโหม แข็งข้อต้านกฎหมายจำกัดอำนาจตุลาการ

27 มี.ค. 2566 05:30 น.

อิสราเอลปลดรัฐมนตรีกลาโหม แข็งข้อต้านกฎหมายจำกัดอำนาจตุลาการ

นายกฯ อิสราเอลปลดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หลังออกมาเรียกร้องให้ยกเลิกแผนปฏิรูประบบยุติธรรมอันอื้อฉาว ซึ่งทำให้คนจำนวนมากออกมาชุมนุมประท้วง

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู แห่งประเทศอิสราเอล สั่งปลดนายโยอาฟ กัลแลนต์ ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแล้วเมื่อวันเสาร์ที่ 25 มี.ค. 2566 หลังจากเขาออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลยุติแผนปฏิรูประบบยุติธรรม จำกัดอำนาจตุลาการ ซึ่งทำให้เกิดการประท้วงต่อต้านมานานหลายเดือนแล้ว

นายกัลแลนต์เรียกแผนดังกล่าวของรัฐบาลว่า เป็นแผนที่อันตรายต่อความมั่นคงของรัฐอย่างแท้จริง ก่อนที่ในคืนวันเสาร์เขาจะออกแถลงการณ์สั้นๆ ผ่านทางโทรทัศน์ว่า สมาชิกกองทัพอิสราเอลรู้สึกไม่พอใจและผิดหวังอย่างรุนแรงแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

ต่อมาในวันอาทิตย์ นายกัลแลนต์ก็ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ว่า ความมั่นคงของรัฐอิสลามเป็นภารกิจตลอดชีวิตของเขาเสมอ และจะเป็นตลอดไป

นายกัลแลนด์ได้รับเสียงสนับสนุนในการต่อต้านแผนปฏิรูปจำนวนหนึ่งจากสมาชิกพรรคลิคุด (Likud) ของเนทันยาฮู แต่พรรคฝ่ายขวาจัดอื่นๆ ต่างเรียกร้องให้เขาลาออก

ด้านการประท้วงยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในคืนวันอาทิตย์ โดยผู้ชุมนุมร่วมกันปิดถนนสายใหญ่ของเมืองเทลอาวีฟเอาไว้

ทั้งนี้ แผนการปฏิรูปจำกัดอำนาจตุลาการของรัฐบาลผสมพรรคฝ่ายขวารวมถึง อนุญาตให้รัฐสภาลบล้างการตัดสินใจของศาลสูงสุดได้ ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่ถูกโจมตีอย่างหนัก ว่าบ่อนทำลายเสรีภาพของฝ่ายตุลาการ และอาจถูกนำไปใช้เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง แต่นายเนทันยาฮูระบุว่า การปฏิรูปมีเพื่อไม่ให้ศาลใช้อำนาจเกินไป

ขณะที่นายยาอีร์ ลาพิด ผู้นำฝ่ายค้านของอิสราเอลกล่าวว่า การปลดนายกัลแลนต์ถือเป็นจุดต่ำสุดใหม่จองรัฐบาลเนทันยาฮู “เนทันยาฮูสามารถไล่กัลแลนต์ออกได้ แต่ไล่ความจริง หรือไล่ประชาชนของอิสราเอลไม่ได้ เรากำลังอยู่แนวหน้าของการขัดขืนความบ้าคลั่งของรัฐบาลผสมชุดนี้”

ที่มา : bbc

ตร.นิวยอร์กจับกุม ‘โจนาธาน เมเจอร์ส’ นักแสดงชื่อดัง ข้อหาทำร้ายร่างกาย

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

https://www.thairath.co.th/news/foreign/2664500

ตร.นิวยอร์กจับกุม ‘โจนาธาน เมเจอร์ส’ นักแสดงชื่อดัง ข้อหาทำร้ายร่างกาย

27 มี.ค. 2566 04:05 น.

ตร.นิวยอร์กจับกุม ‘โจนาธาน เมเจอร์ส’ นักแสดงชื่อดัง ข้อหาทำร้ายร่างกาย

โจนาธาน เมเจอร์ส นักแสดงชื่อดังจากภาพยนตร์ Creed 3 และอีกมากมาย ถูกตำรวจจับกุมในข้อหาทำร้ายหญิงวัย 30 ปี แต่ทนายอ้างมีหลักฐานนักแสดงหนุ่มไม่ผิด

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานในวันอาทิตย์ที่ 26 มี.ค. 2566 ว่า นายโจนาธาน เมเจอร์ส ผู้รับบทนำประกบคู่กับนักแสดงดังอย่าง ไมเคิล บี จอร์แดน ในภาพยนตร์เรื่อง Creed 3 ซึ่งเพิ่งเข้าฉายในโรงภาพยนตร์เมื่อไม่นานมานี้ ถูกจับกุมตัวในคดีความรุนแรงในครอบครัว โดยเขาถูกกล่าวหาว่า บีบคอ, ทำร้ายร่างกาย และข่มขู่หญิงวัย 30 ปีคนหนึ่ง

ตามการเปิดเผยของสำนักงานตำรวจนิวยอร์ก พวกเขาได้รับแจ้งจากผู้เสียหายเมื่อวันเสาร์ (25 มี.ค.) ว่าเธอถูกทำร้ายร่างกาย ตำรวจจึงรีบเดินทางไปยังที่เกิดเหตุซึ่งเป็นอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในเขตเชลซี ของเมืองแมนฮัตตัน ในเวลา 11.14 น. ตามเวลาท้องถิ่น โดยพบหญิงสาวบาดเจ็บเล็กน้อยที่ศีรษะและลำคอ ก่อนจะนำตัวเธอส่งโรงพยาบาล

ตำรวจยังดำเนินการจับกุมตัวนายเมเจอร์สและควบคุมตัวเขาเอาไว้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยนักแสดงวัย 33 ปีรายนี้ปฏิเสธการกระทำผิดใดๆ ก่อนที่ตำรวจจะตัดสินใจปล่อยตัวเขาในคืนวันเดียวกัน

ด้านนายปรียา ชอดรี ทนายความของนายเมเจอร์สระบุว่า นักแสดงหนุ่มรายนี้เป็นผู้บริสุทธิ์อย่างสิ้นเชิง และเมเจอร์สตกเป็นเหยื่อของการทะเลาะวิวาทซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งที่เขารู้จักมีส่วนร่วมด้วย “เรากำลังรวบรวมและนำเสนอหลักฐานต่อสำนักงานอัยการแขวง โดยคาดว่าข้อกล่าวหาทั้งหมดจะถูกเพิกถอนในทันที”

“หลักฐานเหล่านี้รวมถึงวิดีโอจากรถยนต์ในจุดที่เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้น, คำให้การของพยานตั้งแต่คนขับรถไปจนถึงผู้ที่เห็นและได้ยินเหตุการณ์ และที่สำคัญที่สุด แถลงการณ์ลายลักษณ์อักษร 2 ฉบับจากหญิงคนนั้นที่กลับคำให้การเกี่ยวกับข้อกล่าวหานี้” ชอดรีกล่าว “หลักฐานทั้งหมดพิสูจน์แล้วว่า นายเมเจอร์สเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างสิ้นเชิง และไม่ได้ทำร้ายเธอเลย”

ทั้งนี้ การจับกุมนายเมเจอร์สเกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากเขาไปเป็นผู้มอบรางวัลในงานออสการ์ โดยเมเจอร์สมีชื่อเสียงจากภาพยนตร์เรื่อง ‘The Last Black Man in San Francisco’ ในปี 2562 และพักการแสดงไป ก่อนจะกลับมาอีกครั้งภาพยนตร์บนเน็ตฟลิกซ์เรื่อง ‘The Harder They Fall’ และใน ‘Ant-Man and The Wasp: Quantumania’

ที่มา : bbc

เรืออพยพล่มไม่พัก จมอีก 2 นอกฝั่งตูนิเซีย ดับ 29 ศพ ลำที่ 7 ในรอบ 4 วัน

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

https://www.thairath.co.th/news/foreign/2664498

เรืออพยพล่มไม่พัก จมอีก 2 นอกฝั่งตูนิเซีย ดับ 29 ศพ ลำที่ 7 ในรอบ 4 วัน

27 มี.ค. 2566 03:20 น.

เรืออพยพล่มไม่พัก จมอีก 2 นอกฝั่งตูนิเซีย ดับ 29 ศพ ลำที่ 7 ในรอบ 4 วัน

เกิดเหตุเรือขนผู้อพยพอับปางนอกชายฝั่งประเทศตูนิเซียหลายลำในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ล่าสุดในวันอาทิตย์ล่มเพิ่มอีก 2 ลำ ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 29 ศพ

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 มี.ค. 2566 เจ้าหน้าที่ของประเทศตูนิเซียเปิดเผยว่า เรือขนผู้อพยพอย่างน้อย 2 ลำ อับปางที่นอกชายฝั่งของประเทศภายในระยะเวลาห่างกันไม่กี่ชั่วโมง ขณะพยายามเดินทางข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปยังอิตาลี เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 29 ศพ

นี่นับเป็นเหตุเรือขนผู้อพยพล่มนอกชายฝั่งตูนิเซียครั้งล่าสุด แม้ตูนิเซียจะพยายามจัดแคมเปญรับมือกับผู้อพยพผิดกฎหมายชาวแอฟริกัน โดยตลอดช่วง 4 วันที่ผ่านมา มีเรืออพยพลำอื่นอับปางไปแล้ว 5 ลำ

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ของอิตาลีบนเกาะลัมเปดูซา ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดหมายหลักของผู้อพยพ ระบุว่า มีผู้อพยพเดินทางมาถึงเกาะแห่งนี้มากกว่า 2,500 คนในช่วง 24 ชั่วโมงจนถึงวันอาทิตย์ ด้านนายกรัฐมนตรี จอร์เจีย เมโลนี กล่าวเตือนว่า ยุโรปกำลังเสี่ยงเผชิญคลื่นผู้อพยพครั้งใหญ่

ทั้งนี้ ตูนิเซียกลายเป็นจุดรวมตัวของผู้อพยพที่ปรารถนาเดินทางไปยุโรป โดยข้อมูลจากสหประชาชาติชี้ว่า ในปี 2566 นี้ซึ่งผ่านไปเพียง 3 เดือน มีผู้อพยพเดินทางจากตูนิเซียขึ้นฝั่งอิตาลีแล้วไม่น้อยกว่า 12,000 คน เพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่จำนวนเพียง 1,300 คน

ที่มา : bbc

ฮอนดูรัสสถาปนาความสัมพันธ์กับจีน หลังตัดสัมพันธ์ 80 ปีกับไต้หวัน

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

https://www.thairath.co.th/news/foreign/2664495

ฮอนดูรัสสถาปนาความสัมพันธ์กับจีน หลังตัดสัมพันธ์ 80 ปีกับไต้หวัน

27 มี.ค. 2566 02:01 น.

ฮอนดูรัสสถาปนาความสัมพันธ์กับจีน หลังตัดสัมพันธ์ 80 ปีกับไต้หวัน

ฮอนดูรัสสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนอย่างเป็นทางการแล้ว หลังจากชาติอเมริกากลางแห่งนี้ ยุติความสัมพันธ์กับไต้หวันที่มีมานานร่วม 80 ปี

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 มี.ค. 2566 รัฐบาลจีนออกแถลงการณ์ระบุว่า นายฉิน กัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของพวกเขา กับนายเอดูอาร์โด เอ็นริเก เรนา รัฐมนตรีต่างประเทศของฮอนดูรัส ลงนามข้อตกลงรับรองความสัมพันธ์ทางการทูตร่วมกันที่กรุงปักกิ่ง ยุติความสัมพันธ์ระหว่างฮอนดูรัสกับไต้หวันที่ดำเนินมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1940

ในแถลงการณ์สั้นๆ ของที่เผยแพร่เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา กระทรวงต่างประเทศฮอนดูรัสระบุว่า พวกเขารับรองว่ารัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นรัฐบาลอย่างชอบธรรมเพียงแห่งเดียว ที่เป็นตัวแทนประเทศจีนทั้งหมด และไต้หวันเป็นดินแดนของจีนที่ไม่อาจแบ่งแยกได้

ทั้งนี้ จีนอ้างว่า ไต้หวันเป็นดินแดนของพวกเขาและไม่มีสิทธิ์ผูกสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆ แบบรัฐต่อรัฐ ซึ่งเป็นสถานะที่ไต้หวันคัดค้านมาตลอด โดยจีนเรียกร้องให้ประเทศใดๆ ที่ต้องการผูกสัมพันธ์ทางการทูตกับพวกเขา ต้องยอมรับในจุดยืนนี้

หลังจีนกับฮอนดูรัสประกาศสถาปนาความสัมพันธ์ไม่นาน กระทรวงต่างประเทศของไต้หวันก็เผยแพร่แถลงการณ์ของนายโจเซฟ อู่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ระบุว่า นางเซียวมารา คาสโตร ประธานาธิบดีฮอนดูรัส กับรัฐบาลของเธอ มีความเชื่อแบบผิดๆ เกี่ยวกับจีนมาตลอด และจีนก็ไม่เคยหยุดล่อลวงประเทศอื่น

รัฐมนตรีไต้หวันอ้างด้วยว่า พวกเขาพยายามจัดการความสัมพันธ์อย่างระมัดระวังมาตลอด แต่ “รัฐบาลคาสโตรเรียกร้องเงินช่วยเหลือทางเศรษฐกิจก้อนใหญ่ มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์จากเรา และเปรียบเทียบระหว่างโครงการช่วยเหลือของไต้หวันกับจีนด้วย”

นายอู่เสริมอีกว่า กระทรวงต่างประเทศของฮอนดูรัสส่งจดหมายถึงไต้หวันเมื่อ 13 มี.ค. หรือ 1 วันก่อนที่คาสโตรจะประกาศสานความสัมพันธ์กับจีน เพื่อเรียกร้องเงินช่วยเหลือจำนวน 2.45 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรวมถึงงบประมาณในการก่อสร้างโรงพยาบาลและเขื่อนอย่างละ 1 แห่ง รวมทั้งขอล้างหนี้สินด้วย

“มันรู้สึกเหมือนกับว่า สิ่งที่พวกเขาต้องการคือเงิน ไม่ใช่โรงพยาบาล” นายอู่กล่าว

ด้านนายเอ็นริเก เรนา บอกกับสำนักข่าวรอยเตอร์เมื่อสัปดาห์ก่อนว่า เงิน 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ดังกล่าวไม่ใช่การขอเงินบริจาค แต่เป็นการเจรจากลไกการรีไฟแนนซ์

ที่มา : cna

ยูเครนโวยรัสเซียจ่อขนนิวเคลียร์เชิงยุทธวิธีไปเบลารุส จี้ UN ประชุมฉุกเฉิน

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

https://www.thairath.co.th/news/foreign/2664481

ยูเครนโวยรัสเซียจ่อขนนิวเคลียร์เชิงยุทธวิธีไปเบลารุส จี้ UN ประชุมฉุกเฉิน

27 มี.ค. 2566 00:31 น.

ยูเครนโวยรัสเซียจ่อขนนิวเคลียร์เชิงยุทธวิธีไปเบลารุส จี้ UN ประชุมฉุกเฉิน

ยูเครนออกแถลงการณ์ประณามรัสเซีย หลังปูตินประกาศแผนส่งอาวุธนิวเคลียร์เชิงยุทธวิธีไปประจำการในเบลารุส และขอให้คณะมนตรีความมั่นคง UN จัดประชุมฉุกเฉิน

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 มี.ค. 2566 ทางการยูเครนออกมาประณามอย่างรุนแรงหลังจาก ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ประกาศแผนจะขนอาวุธนิวเคลียร์เชิงยุทธวิธี (tactical nuclear weapon) ไปประจำการในประเทศเบลารุส โดยเคียฟเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเปิดประชุมฉุกเฉินเพื่อหาทางรับมือเรื่องนี้

ปูตินประกาศแผนดังกล่าวเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยอ้างว่า พวกเขาไม่ได้ละเมิดสนธิสัญญา ‘สนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์’ (NPT) และรัสเซียไม่ได้ส่งต่ออำนาจการควบคุมอาวุธเหล่านั้นให้แก่เบลารุส

อย่างไรก็ตามในวันอาทิตย์ กระทรวงต่างประเทศของยูเครนออกแถลงการณ์ประณามแผนของปูตินอย่างรุนแรง ระบุว่านี่เป็นขั้นตอนการยั่วยุอีกครั้งของรัสเซีย ที่จะบ่อนทำลายระบบความมั่นคงระหว่างประเทศทั้งหมด

“เป็นอีกครั้งที่รัสเซียยืนยันความไร้ความสามารถเรื้อรังของตัวเอง ต่อความรับผิดชอบในการใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อการป้องปรามและป้องกันสงคราม ไม่ใช่เครื่องมือในการข่มขู่กรรโชก” แถลงการณ์ของกระทรวงต่างประเทศยูเครนระบุ

เคียฟยังเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคง UN จัดประชุมวาระฉุกเฉิน และขอให้กลุ่ม G7 และสหภาพยุโรปเตือนเบลารุสถึงผลที่ตามมาซึ่งจะแผ่ขยายไปทั่ว หากพวกเขาตัดสินใจรับอาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซียมาประจำการ

ทั้งนี้ ปูตินอ้างในถ้อยแถลงของเขาเมื่อวันเสาร์ว่า ประธานาธิบดี อเล็กซานเดอร์ ลูคาเชนโก แห่งเบลารุส เป็นผู้ขอให้รัสเซียประจำการอาวุธนิวเคลียร์ในดินแดนของพวกเขาเอง แต่รัฐบาลเบลารุสยังไม่ได้ออกมาแสดงความเห็นใดๆ ต่อประกาศของผู้นำรัสเซีย

ปัจจุบัน กองทัพของเบลารุสไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ในยูเครนอย่างเป็นทางการ แต่รัฐบาลของพวกเขาอนุญาตให้มอสโกใช้ดินแดนของเบลารุสเป็นฐานสำหรับส่งทหารเข้าสู่ยูเครนเมื่อปีก่อน เนื่องจากทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ทางทหารอย่างใกล้ชิด

แถลงการณ์ของยูเครนยังเรียกร้องให้ประชาคมนานาชาติทั้งหมดร่วมประณามรัฐบาลปูติน ต่อการยั่วยุทางนิวเคลียร์ที่ไม่อาจยอมรับได้อย่างแท้จริงของรัสเซีย และขอให้มีการตัดสินใจใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดที่มีประสิทธิภาพ เพื่อขัดขวางและป้องกันความเป็นไปได้ใดๆ ที่ชาติผู้รุกรานจะใช้อาวุธนิวเคลียร์

อนึ่ง อาวุธนิวเคลียร์เชิงยุทธวิธี คือหัวรบนิวเคลียร์ขนาดเล็กที่สามารถถูกลำเลียงไปใช้ในสนามรบและโจมตีเป้าหมายในพื้นที่จำกัด โดยไม่ทำให้เกิดการกระจายของกัมมันตภาพรังสีในวงกว้าง โดยขนาดเล็กที่สุดมีขนาดไม่เกิน 1 กิโลตัน และใหญ่ที่สุดไม่เกิน 100 กิโลตัน ต่างจากอาวุธนิวเคลียร์เชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Nuclear Weapon) ที่มีการทำลายล้างมากกว่า 1,000 กิโลตัน.

ที่มา : cna

ระเบิดสนั่นโรงงานช็อกโกแลตสหรัฐฯ ดับ 2 สูญหาย 5

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

https://www.thairath.co.th/news/foreign/2663906

ระเบิดสนั่นโรงงานช็อกโกแลตสหรัฐฯ ดับ 2 สูญหาย 5

26 มี.ค. 2566 07:06 น.

ระเบิดสนั่นโรงงานช็อกโกแลตสหรัฐฯ ดับ 2 สูญหาย 5

มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 2 คน และสูญหายอีก 5 คน จากเหตุระเบิดที่โรงงานลูกกวาดช็อกโกแลตทางตะวันออกของรัฐเพนซิลเวเนียของสหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์

เจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดเผยว่า เกิดเหตุระเบิดที่โรงงาน อาร์เอ็ม พาล์เมอร์ ในเมืองเวสต์ รีดดิง ก่อนเวลา 17.00 น. ของวันศุกร์ ตามเวลาท้องถิ่น แต่ยังคงไม่ทราบสาเหตุของการระเบิดและยังคงอยู่ระหว่างการสอบสวน

เจ้าหน้าที่ระบุว่า ไม่มีอันตรายใดๆ ต่อพื้นที่โดยรอบในขณะนี้ แต่ทางเมืองได้ร้องขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงพื้นที่ดังกล่าว และปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายและหน่วยฉุกเฉิน เนื่องจากอาคารโรงงานได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง โฆษกของโรงพยาบาลรีดดิงกล่าวเมื่อวันเสาร์ว่า มีผู้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอย่างน้อย 8 รายหลังเหตุระเบิด ในจำนวนนั้น ผู้ป่วย 1 รายถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลอื่น 2 รายอยู่ในสภาพปกติ และ 5 รายออกจากโรงพยาบาลแล้ว

บริษัท อาร์เอ็ม พาล์เมอร์กล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันเสาร์ว่า “ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์โศกนาฏกรรม เราได้สูญเสียเพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมงาน และขอส่งความคิดและคำอธิษฐานของเราไปยังครอบครัวและเพื่อนๆ ของทุกคนที่ได้รับผลกระทบ”

อาร์เอ็ม พาล์เมอร์ กล่าวว่า ระบบอีเมล โทรศัพท์ และระบบสื่อสารอื่นๆ ของบริษัทล่ม ทำให้ต้องขอความช่วยเหลือจากหน่วยกู้ภัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ข้อมูลที่มีอยู่แก่ครอบครัวที่ได้รับผลกระทบ บริษัทจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมและติดต่อกับพนักงาน ครอบครัวที่ได้รับผลกระทบ และชุมชนโดยเร็วที่สุด”

ซาแมนธา คาก นายกเทศมนตรีเมืองเวสต์ รีดดิง กล่าวว่า ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อรวบรวมทรัพยากรในการช่วยเหลือสำหรับเหตุโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้าถึงทรัพยากรสำหรับบริการฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่ความพยายามในการค้นหาและกู้ภัยยังคงดำเนินต่อไป

คากยังขอความร่วมมือจากประชาชนเพื่อหลีกเลี่ยงพื้นที่ดังกล่าว เนื่องจากเจ้าหน้าที่ยังคงปฏิบัติภารกิจในการกู้ภัยและประเมินความเสียหายที่จะดำเนินต่อไปตลอดสุดสัปดาห์

ด้านชาวเมืองคนหนึ่งกล่าวว่า ได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นคล้ายเกิดแผ่นดินไหว หรือคล้ายกับมีคนขับรถชนบ้าน ทำให้บ้านสั่นและหน้าต่างสั่น

ตามข้อมูลจากเว็บไซต์ บริษัท อาร์เอ็ม พาล์เมอร์ เปิดทำการมาตั้งแต่ปี 2491 และตั้งอยู่ ณ ที่ตั้งปัจจุบันตั้งแต่ปี 2502 โดยบริษัทผลิตช็อกโกแลตและลูกกวาดที่มีความแปลกใหม่ตามเทศกาลต่างๆ เช่น กระต่ายช็อกโกแลตสำหรับเทศกาลอีสเตอร์.

พายุทอร์นาโดถล่มรัฐมิสซิสซิปปี เสียชีวิตอย่างน้อย 23 ศพ

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

https://www.thairath.co.th/news/foreign/2663883

พายุทอร์นาโดถล่มรัฐมิสซิสซิปปี เสียชีวิตอย่างน้อย 23 ศพ

26 มี.ค. 2566 06:46 น.

พายุทอร์นาโดถล่มรัฐมิสซิสซิปปี เสียชีวิตอย่างน้อย 23 ศพ

ทางการรัฐมิสซิสซิปปีของสหรัฐฯ กำลังเร่งดำเนินการค้นหาและกู้ภัยหลังจากเกิดพายุทอร์นาโดที่มีความรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งที่พัดถล่มรัฐมิสซิสซิปปีเมื่อวันที่ 24 มี.ค. ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น

มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 23 ศพ หลังจากพายุทอร์นาโดเมื่อคืนวันศุกร์ โดยคาดว่ามีประชาชนอีกจำนวนมากติดอยู่ใต้ซากอาคารบ้านเรือนที่พังเสียหาย หน่วยงานจัดการเหตุฉุกเฉินของรัฐกล่าวว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายสิบคนจากพายุ และขณะนี้มีรายงานผู้สูญหาย 4 คน พายุทอร์นาโดยังก่อให้เกิดความเสียหายในเมืองชนบทหลายแห่ง ทำให้ต้นไม้และสายไฟฟ้าหักโค่น ขณะที่รัฐทางตอนใต้หลายแห่งยังเตรียมพร้อมรับมือพายุที่รุนแรง

ระบบพายุที่พัดผ่านรัฐมิสซิสซิปปีส่งผลให้เกิดพายุทอร์นาโดที่สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อชุมชนทั่วทั้งรัฐ โดยทอร์นาโดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดได้ทำลายอาคารหลายสิบหลังในเมืองเล็กๆ หลายแห่ง ส่งผลให้รถยนต์พลิกตะแคงและเสาไฟฟ้าโค่นล้ม

พายุทอร์นาโดยังแผ่ขยายไปยังรัฐแอละแบมาที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งมีชายคนหนึ่งเสียชีวิตหลังจากติดอยู่ในบ้านเคลื่อนที่ ในขณะเดียวกัน นายกเทศมนตรี เอลดริจ วอล์คเกอร์ จากเมืองเล็กๆ ที่ชื่อ “โรลลิ่ง ฟอร์ก” ซึ่งตั้งอยู่ในเขตชาร์คีย์ เคาน์ตี ทางตะวันตกของรัฐมิสซิสซิปปี กล่าวว่า เมืองได้ถูกทำลายโดยสิ้นเชิง แต่แสดงความเชื่อมั่นว่าเมืองจะกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง เขาเสริมว่าหลายครอบครัวในชุมชน”ได้รับผลกระทบและเจ็บปวด” และสิ่งที่เขาเห็นคือ “ความหายนะ”

ภาพจากโดรนของเมืองโรลลิ่ง ฟอร์ก แสดงให้เห็นความหายนะที่เกิดขึ้นในเมือง โดยเป็นภาพของรถบรรทุกและต้นไม้ซ้อนกันบนยอดอาคาร โดยมีเศษซากสิ่งของต่างๆ กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้นที่ขนาดใหญ่

เทต รีฟส์ ผู้ว่าการรัฐมิสซิสซิปปี ได้เดินทางไปยังเมืองซิลเวอร์ซิตี้ และวิโนนา เพื่อพบปะกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบซึ่งถูกพายุทอร์นาโดพัดถล่ม รีฟส์ทวีตข้อความอธิบายว่าสถานการณ์ดังกล่าวเป็น “โศกนาฏกรรม” โดยเขียนว่า “ผู้เผชิญเหตุทุกคนมีความกล้าหาญ มีความสามารถ และขอให้ทุกคนร่วมสวดมนต์ภาวนาต่อไป”

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ กล่าวถึงเหตุการณ์ที่รัฐมิสซิสซิปปีว่า “น่าสะเทือนใจ” พร้อมเสริมว่ารัฐบาลกลางจะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อช่วยเหลือ เขากล่าวในแถลงการณ์ว่า “เราจะอยู่ที่นั่นตราบเท่าที่ต้องใช้เวลา เราจะทำงานร่วมกันเพื่อให้การสนับสนุนที่ประชาชนทุกคนต้องการในการฟื้นฟู” 

ยังไม่แน่ชัดว่ามีจำนวนพายุทอร์นาโดเพียงหนึ่งลูกหรือมากกว่านั้นที่พัดถล่มรัฐมิสซิสซิปปี แม้ว่าสำนักงานบริการสภาพอากาศแห่งชาติสหรัฐฯ จะเตือนว่าอาจเกิดพายุทอร์นาโดหลายลูก แต่เป็นไปได้ว่าการทำลายล้างครั้งนี้เกิดจาก “พายุทอร์นาโดที่เคลื่อนตัว” ซึ่งเป็นทอร์นาโดลูกเดียวที่ยกตัวขึ้นจากพื้นผิวและลงแตะพื้นอีกครั้ง

แซม เอ็มเมอร์สัน จากคณะอุตุนิยมวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยโอคลาโฮมา กล่าวว่า พายุทอร์นาโดดังกล่าวอยู่ในขนาด “สูงมาก” ได้พัดพาเศษซากต่างๆ ขึ้นสู่ท้องฟ้าในระดับความสูงกว่า 9,144 ม.

นอกจากนั้นยังมีรายงานว่า นักพยากรณ์อากาศในท้องถิ่นคนหนึ่งแสดงความกังวลเกี่ยวกับความแรงของพายุทอร์นาโดที่จะพัดถล่มเมืองอาโมรี จนต้องหยุดการพยากรณ์อากาศชั่วคราวชั่วขณะเพื่อสวดมนต์ให้กับชาวเมือง.