เครื่องบินเล็กตกขณะลงจอดที่นอร์ทแคโรไลนา ดับยกลำ 6 ศพ

เครื่องบินเล็กตกขณะลงจอดที่นอร์ทแคโรไลนา ดับยกลำ 6 ศพ

19 ธ.ค. 2568 03:52 น.

เครื่องบินเล็กตกขณะลงจอดที่นอร์ทแคโรไลนา ดับยกลำ 6 ศพ

เครื่องบินเล็กตกในนอร์ทแคโรไลนา ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายราย โดยสมาชิกสภาสหรัฐฯ ยืนยันว่า รวมถึงนาย เกร็ก บิฟเฟิล อดีตนักแข่งรถแนสคาร์กับครอบครัวของเขาด้วย

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เกิดเหตุเครื่องบินเล็กรุ่น เซสนา ซี550 (Cessna C550) ซึ่งมีผู้โดยสารทั้งหมด 6 คน ตกขณะลงจอดที่สนามบินภูมิภาค สเตตส์วิลล์ (Statesville) รัฐนอร์ทแคโรไลนา เมื่อเวลาประมาณ 10.20 น. วันพฤหัสบดีที่ 18 ธ.ค. 2568 ตามเวลาท้องถิ่น

ดาร์เรน แคมป์เบลล์ นายอำเภอเขตไอเดรลล์ เคาน์ตี ยืนยันกับสำนักข่าว Associated Press ว่ามีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้จริง แต่ยังปฏิเสธที่จะระบุจำนวนตัวเลขที่แน่นอน แต่สำนักข่าว CNN รายงานอ้างการเปิดเผยของแหล่งข่าวว่า ทั้ง 6 คนบนเครื่องซึ่งประกอบด้วย นักบิน 1 คน กับผู้โดยสาร 5 คน เสียชีวิตทั้งหมด

ส่วนสถานีโทรทัศน์ WBTV รายงานว่า ข้อมูลการจดทะเบียนของเครื่องบินระบุว่าเครื่องบินลำนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่มีความเชื่อมโยงกับ เกร็ก บิฟเฟิล อดีตนักแข่งรถแนสคาร์ (NASCAR) ผู้เกษียณอายุแล้ว

นายริชาร์ด ฮัดสัน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ยืนยันว่า เกร็ก บิฟเฟิล พร้อมด้วยภรรยาและบุตรอีกสองคน เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้

ข่าวระบุว่า เครื่องเล็กลำนี้ขึ้นบินจากรันเวย์เมื่อเวลาประมาณ 10:06 น. ตามเวลาท้องถิ่น และลอยตัวอยู่ในอากาศได้เพียงชั่วครู่ก่อนจะพยายามลงจอดและประสบอุบัติเหตุตก บริเวณสุดปลายรันเวย์ฝั่งตะวันออก โดยทางเจ้าหน้าที่ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุการตกแต่อย่างใด

จอห์น เฟอร์กูสัน ผู้อำนวยการสนามบินสเตตส์วิลล์ บอกกับผู้สื่อข่าวว่า สนามบินสเตตส์วิลล์จะยังคงปิดทำการจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการเก็บกวาดเศษซากปรักหักพังออกจากรันเวย์

ด้านคณะกรรมการความปลอดภัยการขนส่งแห่งชาติ (NTSB) ซึ่งเป็นผู้นำในการสืบสวนระบุว่า กำลังส่งทีมเจ้าหน้าที่เข้ามาสืบสวนอุบัติเหตุร้ายแรงในครั้งนี้ โดยคาดว่าทีมงานจะเดินทางถึงที่เกิดเหตุภายในคืนวันพฤหัสบดีตามเวลาสหรัฐฯ

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : bbc , cnn , NYpost

ไฟไหม้ซาวน่าญี่ปุ่น สามีภรรยาติดในห้อง เสียชีวิตสลด

ไฟไหม้ซาวน่าญี่ปุ่น สามีภรรยาติดในห้อง เสียชีวิตสลด

19 ธ.ค. 2568 00:58 น.

ไฟไหม้ซาวน่าญี่ปุ่น สามีภรรยาติดในห้อง เสียชีวิตสลด

(ภาพประกอบข่าว)

สามีภรรยาคู่หนึ่งในญี่ปุ่น ติดอยู่ในห้องซาวน่าที่เกิดไฟลุกไหม้และไม่สามารถออกมาได้ สุดท้ายทั้งคู่เสียชีวิต ขณะเจ้าหน้าที่ตรวจพบว่า กลอนประตูหลุดอยู่บนพื้น และสัญญาณแจ้งเหตุฉุกเฉินก็ไม่ทำงาน

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สามีภรรยาคู่หนึ่งเสียชีวิตหลังติดอยู่ภายในห้องซาวน่าส่วนตัวที่เกิดเพลิงไหม้ในเขตอากาซากะ ของกรุงโตเกียว เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (15 ธ.ค.) โดยตำรวจกำลังเร่งสืบสวนว่า ลูกบิดประตูที่ชำรุดเป็นสาเหตุที่ทำให้ทั้งคู่ติดอยู่ภายในห้องของสถานบริการ “ซาวน่า ไทเกอร์” (Sauna Tiger) หรือไม่

สื่อท้องถิ่นของญี่ปุ่นระบุว่าผู้เสียชีวิตคือนาง โยโกะ มัตสึดะ ช่างทำเล็บอายุ 37 ปี และนาย มาซานาริ สามีวัย 36 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของร้านเสริมสวย

หน่วยดับเพลิงได้รับแจ้งเหตุเมื่อเวลาประมาณ 12:25 น. ของวันจันทร์ตามเวลาท้องถิ่น เมื่อสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ของอาคารดังขึ้น โดยพนักงานสอบสวนให้ข้อมูลกับสื่อญี่ปุ่นว่า เมื่อเจ้าหน้าที่ดับเพลิงไปถึงก็พบว่าลูกบิดประตูห้องซาวน่าตกอยู่ที่พื้นแล้ว

จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็พบร่างของสามีภรรยาคู่นี้นอนล้มทับกันอยู่บนพื้น โดยศีรษะอยู่ใกล้กับประตู ซึ่งทั้งคู่ถูกเร่งนำตัวส่งโรงพยาบาล แต่เสียชีวิตในเวลาต่อมา

ตำรวจระบุด้วยว่า พบผ้าขนหนูที่มีรอยไหม้อยู่ภายในห้องซาวน่า ซึ่งบ่งชี้ว่าสาเหตุของเพลิงไหม้อาจเกิดจากการที่ผ้าขนหนูไปสัมผัสกับหินร้อนในเตาซาวน่า

ภายในห้องซาวน่ามีสัญญาณเตือนฉุกเฉินติดตั้งไว้ที่ผนังเพื่อให้พนักงานทราบหากต้องการความช่วยเหลือ แต่พนักงานสอบสวนพบว่ามันถูกปิดใช้งานอยู่ อย่างไรก็ตาม กองบัญชาการตำรวจนครบาลระบุว่า ฝาครอบสัญญาณเตือนถูกถอดออก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคู่สามีภรรยาน่าจะพยายามกดปุ่มเพื่อขอความช่วยเหลือแล้ว

นอกจากนี้ สื่อท้องถิ่นรายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อเจ้าหน้าที่สอบปากคำพนักงานเกี่ยวกับระบบเตือนภัยดังกล่าว พนักงานอ้างว่าระบบนี้ไม่ได้ถูกเปิดใช้งานมาตั้งแต่ช่วงปี 2566

ศูนย์สาธารณสุขเขตมินาโตะให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์อาซาฮี ชิมบุน ว่าสถานบริการซาวน่าแห่งนี้เปิดดำเนินกิจการมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2565 และได้รับการตรวจสอบครั้งล่าสุดเมื่อเดือนเมษายน 2566 ซึ่งในขณะนั้นไม่พบข้อบกพร่องร้ายแรงในส่วนของอุปกรณ์

หลังเกิดเหตุ ซาวน่า ไทเกอร์ ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อผู้เสียชีวิต โดยยืนยันว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “อย่างจริงจังที่สุด” และกำลังให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ โดยพวกเขาจะปิดทำการชั่วคราว และคืนเงินให้กับลูกค้าที่จองไว้ล่วงหน้าทั้งหมด

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : bbc

หวัง อี้ คุยไทย-กัมพูชา อ้าง 2 ฝ่ายพร้อมลดตึงเครียด-หยุดยิง

หวัง อี้ คุยไทย-กัมพูชา อ้าง 2 ฝ่ายพร้อมลดตึงเครียด-หยุดยิง

18 ธ.ค. 2568 22:55 น.

หวัง อี้ คุยไทย-กัมพูชา อ้าง 2 ฝ่ายพร้อมลดตึงเครียด-หยุดยิง

นายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีนเผย คุยกับรัฐมนตรีไทยกับกัมพูชาแล้ว และทั้งสองฝ่ายแสดงความเต็มใจที่จะลดความตึงเครียด และบังคับใช้การหยุดยิง

เมื่อ 18 ธ.ค. 2568 นายกั๊ว เจี่ยคุน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊กอย่างเป็นทางการของตนเองว่า นายหวัง อี้ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของจีน ได้ต่อสายโทรศัพท์พูดคุยแยกกันกับ นายปรัก สุคน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา และนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยแล้ว

นายหวัง อี้ ระบุว่า ทั้งฝ่ายกัมพูชาและไทยต่างแสดงความเต็มใจที่จะลดระดับความตึงเครียดและบังคับใช้การหยุดยิง

รัฐมนตรีต่างประเทศของจีนบอกอีกว่า ในประเด็นชายแดนกัมพูชา-ไทยนั้น จีนสนับสนุนการเจรจาอย่างสันติมาโดยตลอด และยังคงรักษาจุดยืนที่ยุติธรรมและเป็นกลาง พร้อมทั้งสนับสนุนความพยายามในการเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยของอาเซียน (ASEAN)

กระทรวงการต่างประเทศของจีนได้ส่งทูตพิเศษด้านกิจการเอเชียเดินทางไปยังกัมพูชาและไทยเพื่อดำเนิน “การทูตแบบไปกลับ” (Shuttle Diplomacy) โดยจีนจะยังคงทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมและใช้ความพยายามอย่างสร้างสรรค์เพื่อเกื้อหนุนให้เกิดการฟื้นฟูสันติภาพระหว่างทั้งสองประเทศต่อไป

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : facebook

สภาบราซิลผ่านกฎหมาย ลดโทษจำคุก อดีต ปธน.โบลโซนาโร

สภาบราซิลผ่านกฎหมาย ลดโทษจำคุก อดีต ปธน.โบลโซนาโร

18 ธ.ค. 2568 22:21 น.

สภาบราซิลผ่านกฎหมาย ลดโทษจำคุก อดีต ปธน.โบลโซนาโร

รัฐสภาบราซิลผ่านร่างกฎหมายลดโทษจำคุกของอดีตประธานาธิบดี ชาอีร์ โบลโซนาโร แล้ว เหลือเพียงให้ประธานาธิบดี ลูลา ดา ซิลวา ลงนามบังคับใช้

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อ 18 ธ.ค. 2568 รัฐสภาของประเทศบราซิลลงมติผ่านร่างกฎหมายเพื่อลดโทษจำคุกของนายชาอีร์ โบลโซนาโร อดีตประธานาธิบดีผู้ถูกตัดสินจำคุกนานถึง 27 ปี ในข้อหาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความพยายามก่อรัฐประหารเพื่อพลิกผลการเลือกตั้งปี 2565 แล้ว

ร่างกฎหมายดังกล่าวผ่านการรับรองจากสภาผู้แทนราษฎรเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาเมื่อช่วงดึกของวันพุธที่ผ่านมา (17 ธ.ค.) และขณะนี้ร่างกฎหมายถูกส่งต่อไปยังประธานาธิบดี ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ซึ่งมีเวลา 15 วันทำงาน เพื่อเลือกว่าจะลงนามบังคับใช้หรือใช้สิทธิยับยั้ง (Veto)

อย่างไรก็ตาม นายลูลา ดา ซิลวา ซึ่งตกเป็นเป้าหมายของแผนการลอบสังหาร อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการรัฐประหารดังกล่าว ส่งสัญญาณแล้วว่า เขาจะยับยั้งร่างกฎหมายฉบับนี้ แต่การตัดสินใจของเขาอาจถูกรัฐสภาซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอนุรักษ์นิยมตีกลับและยกเลิกในภายหลังได้เช่นกัน

ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายคาดการณ์ว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้จะช่วยลดระยะเวลาการจำคุกของนายโบลโซนาโร ซึ่งปัจจุบันกำหนดไว้ขั้นต่ำที่ 6 ปี ให้เหลือเพียง 2 ปีเศษเท่านั้น ไม่รวมกลไกการลดหย่อนโทษอื่นๆ เช่น ความประพฤติดี หรือการอ่านหนังสือที่ทางการยอมรับ

ขณะนี้นายโบลโซนาโร อดีตผู้นำขวาจัดของบราซิล กำลังรับโทษจำคุกอยู่ในห้องขังพิเศษ ณ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางในกรุงบราซีเลีย โดยทีมทนายความของเขากำลังขออนุมัติจากศาลฎีกาเพื่อให้เขาได้เข้ารับการผ่าตัดไส้เลื่อน

แม้ว่าข้อกฎหมายนี้จะยังห่างไกลจาก “การนิรโทษกรรมทั้งหมด” ตามที่โบลโซนาโรและบุตรชายเรียกร้องมาโดยตลอด แต่การที่ร่างกฎหมายนี้ผ่านการอนุมัติก็เป็นสิ่งที่ครอบครัวของอดีตประธานาธิบดีต่างร่วมยินดี

นายฟลาวิโอ โบลโซนาโร บุตรชายผู้เป็นวุฒิสมาชิกของบราซิล และเป็นตัวเลือกที่จะลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีกับนายลูลา ดา ซิลวา ในการเลือกตั้งปี 2569 โพสต์ข้อความว่า “มันอาจไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการเสียทีเดียว… แต่มันคือสิ่งที่เป็นไปได้ในขณะนี้”

ร่างกฎหมายฉบับนี้จะลดระยะเวลาจำคุกโดยใช้วิธีรวมโทษจากความผิดสองกระทงที่แตกต่างกัน เช่น “ความพยายามก่อรัฐประหาร” และ “การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยด้วยความรุนแรง” ทว่าให้นับเฉพาะโทษจากกระทงความผิดที่มีบทลงโทษสูงสุดเพียงกระทงเดียวเท่านั้น

ร่างกฎหมายนี้ไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อโบลโซนาโรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกลุ่มคนสนิททั้งหมดของเขา เช่น นายทหารระดับสูงที่ถูกตัดสินความผิดฐานพยายามก่อรัฐประหารในบราซิลเป็นครั้งแรก ตลอดจนคนอื่นๆ อีกหลายร้อยคนที่ร่วมกันบุกรุกทำลายทรัพย์สินในกรุงบราซีเลียเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2566

ด้วยเหตุนี้ การอนุมัติร่างกฎหมายดังกล่าวจึงถูกมองว่าเป็นความถดถอยครั้งสำคัญสำหรับกลุ่มคนที่เคยร่วมยินดีกับการพิพากษาลงโทษ ซึ่งถูกมองว่าเป็นสัญญาณของความก้าวหน้าทางประชาธิปไตยในบราซิล ขณะที่ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดระบุว่า ชาวบราซิลส่วนใหญ่คัดค้านการลดหย่อนโทษในครั้งนี้

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : the guardian

ไทม์ไลน์เลือกตั้ง 69 เช็กวันใช้สิทธิ-ประกาศผล

ไทม์ไลน์เลือกตั้ง 69 เช็กวันใช้สิทธิ-ประกาศผล

18 ธ.ค. 2568 17:51 น.

ไทม์ไลน์เลือกตั้ง 69 เช็กวันใช้สิทธิ-ประกาศผล

เปิดไทม์ไลน์เลือกตั้ง 2569 เช็กวันใช้สิทธิล่วงหน้าทั้งในและนอกเขตเลือกตั้ง ก่อนเข้าคูหาเลือก สส.ในพื้นที่วันที่ 8 ก.พ. 2569 พร้อมลุ้นวันที่ กกต. ประกาศผลเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ

หลังนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ ประกาศยุบสภาอย่างเป็นทางการ จากนั้นคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ได้ประกาศวันในการจัดการเลือกตั้ง และกำหนดวันต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องดังนี้

20 ธ.ค. 68 – 5 ม.ค. 69

ลงทะเบียน ขอใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า

27-31 ธ.ค. 68

รับสมัคร สส.แบบแบ่งเขต

28-31 ธ.ค. 68

– ส่งรายชื่อ ผู้สมัคร สส. แบบบัญชีรายชื่อ

– แจ้งรายชื่อ แคนดิเดต นายกฯ

1 ก.พ. 69

– วันลงคะแนน เลือกตั้งล่วงหน้า ในเขต / นอกเขตเลือกตั้ง

– วันลงคะแนน ณ ที่เลือกตั้ง สำหรับคนพิการ ทุพพลภาพ ผู้สูงอายุ

1-7 ก.พ. 69

แจ้งเหตุ ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง

8 ก.พ. 69

วันเลือกตั้ง สส.

9-15 ก.พ. 69

แจ้งเหตุ ไม่ไปใช้สิทธิหลังเลือกตั้ง

9 เม.ย. 69

วันสุดท้าย กกต. ประกาศผลการเลือกตั้ง

ข้อมูล กกต.

จำคุกตลอดชีวิต อดีตวิสัญญีแพทย์ฝรั่งเศส วางยาคนไข้ 30 ราย ดับ 12 ศพ

จำคุกตลอดชีวิต อดีตวิสัญญีแพทย์ฝรั่งเศส วางยาคนไข้ 30 ราย ดับ 12 ศพ

18 ธ.ค. 2568 16:36 น.

จำคุกตลอดชีวิต อดีตวิสัญญีแพทย์ฝรั่งเศส วางยาคนไข้ 30 ราย ดับ 12 ศพ

ศาลในเมืองเบอซ็องซง จังหวัดดูส์ ประเทศฝรั่งเศส ได้มีคำพิพากษาตัดสินลงโทษจำคุกตลอดชีวิต นายเฟรเดริก เปชิเยร์ อดีตวิสัญญีแพทย์วัย 53 ปี ในข้อหาฆาตกรรมโดยการแอบใส่สารพิษในถุงน้ำเกลือหวังสร้างสถานการณ์ฉุกเฉินให้คนไข้หัวใจหยุดเต้นจำนวน 30 ราย ซึ่งในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิตถึง 12 ราย เหตุการณ์เกิดขึ้นระหว่างปี 2008 ถึง 2017

ศาลระบุว่านายเปชิเยร์มีความผิดจริงในการแอบใส่สารพิษลงในถุงน้ำเกลือหรือถุงให้สารน้ำสำหรับคนไข้ที่กำลังรอการผ่าตัด สารที่เขาใช้มีทั้ง โพแทสเซียม, ยาชาเฉพาะที่, อะดรีนาลีน และเฮพาริน เป้าหมายของเขาคือการจงใจทำให้คนไข้เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นหรือเลือดออกไม่หยุดในระหว่างที่แพทย์คนอื่นกำลังดูแลอยู่ เพื่อที่เขาจะได้เข้าไปมีบทบาทในการกู้ชีพและแสดงความสามารถเหนือเพื่อนร่วมงาน หรือสร้างภาพว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการคลี่คลายสถานการณ์วิกฤต

อัยการผู้ฟ้องคดีระบุว่านายเปชิเยร์คือ “หนึ่งในอาชญากรที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์” โดยใช้ความรู้ทางการแพทย์มาเป็นเครื่องมือในการฆ่าคน คริสติน เดอ กูแรซ อัยการโจทก์กล่าวในศาลว่า “คุณพยายามวางตัวเป็นเหยื่อมาตลอด แต่คุณไม่คู่ควรกับตำแหน่งนายแพทย์ คุณคือหมอมรณะ” 

นายเปชิเยร์ซึ่งเข้ารับฟังการพิจารณาคดีโดยไม่ได้ถูกคุมขังมาก่อนหน้านี้ ถูกนำตัวเข้าสู่เรือนจำทันทีหลังสิ้นสุดคำพิพากษา อย่างไรก็ตาม เขายังสามารถยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวในอนาคตผ่านทนายความได้ตามกฎหมาย

ด้านนายแรนดัล ชแวร์ดอร์เฟอร์ ทนายความส่วนตัวซึ่งยืนยันว่าลูกความของเขาคือ “แพะรับบาป” ที่ถูกชุมชนการแพทย์รุมทำลาย ได้ประกาศเตรียมยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดีในชั้นถัดไป โดยระบุว่าจะดึงตัวทนายความระดับแถวหน้าของประเทศมาร่วมทีมสู้คดีครั้งใหม่

คดีนี้ถือเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องทางการแพทย์ที่เขย่าขวัญชาวฝรั่งเศสมากที่สุดในรอบหลายสิบปี เนื่องจากเหยื่อมีจำนวนมากและผู้ก่อเหตุเป็นแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญสูง.

ที่มา France Info

ออสเตรเลียลั่นปราบปราม “เฮทสปีช” หลังร่วมอำลา “มาทิลดา” เหยื่อเด็กเหตุยิงหาดบอนได

ออสเตรเลียลั่นปราบปราม "เฮทสปีช" หลังร่วมอำลา "มาทิลดา" เหยื่อเด็กเหตุยิงหาดบอนได

18 ธ.ค. 2568 13:11 น.

ออสเตรเลียลั่นปราบปราม “เฮทสปีช” หลังร่วมอำลา “มาทิลดา” เหยื่อเด็กเหตุยิงหาดบอนได

นายกรัฐมนตรีแอนโทนี อัลบาเนซี ของออสเตรเลีย ให้คำมั่นว่าจะเดินหน้าปราบปรามอาชญากรรมจากความเกลียดชังอย่างจริงจัง ขณะที่ชาวออสเตรเลียจำนวนมากได้ร่วมพิธีไว้อาลัยและส่งดวงวิญญาณของ “มาทิลดา” เด็กหญิงวัย 10 ปี ซึ่งเป็นเหยื่อที่อายุน้อยที่สุดจากเหตุการณ์กราดยิงกลางงานเทศกาลฮานุกกะห์ ที่ชายหาดบอนได ท่ามกลางกระแสความโกรธแค้นของประชาชนต่อปัญหาการเหยียดเชื้อชาติชาวยิวที่พุ่งสูงขึ้น

ชาวออสเตรเลียจำนวนมากได้ร่วมพิธีไว้อาลัยและส่งดวงวิญญาณของ “มาทิลดา” เด็กหญิงวัย 10 ปี ซึ่งเป็นเหยื่อที่อายุน้อยที่สุดจากเหตุการณ์กราดยิงสะเทือนขวัญกลางงานเทศกาลฮานุกกะห์ ที่ชายหาดบอนได โดยบรรยากาศภายในงานศพที่จัดขึ้นทางตะวันออกของนครซิดนีย์เต็มไปด้วยความโศกเศร้า หีบศพสีขาวขนาดเล็กของมาทิลดาถูกประดับด้วยตุ๊กตาผึ้งสีเหลือง ซึ่งมาจากชื่อกลางของเธอคือ “Bee” โดยผู้มาร่วมงานต่างพากันติดสติกเกอร์รูปผึ้งและนำลูกโป่งสีเหลืองมาเพื่อระลึกถึงเด็กหญิงผู้ถูกจดจำในฐานะ “รังสีแห่งแสงอาทิตย์” ผู้รักสัตว์และการเต้นรำ

นายกรัฐมนตรีแอนโธนี อัลบาเนซี ได้แถลงข่าวแสดงความเสียใจและยืนยันว่ารัฐบาลเตรียมเสนอมาตราการทางกฎหมายที่เข้มงวดขึ้น เพื่อจัดการกับ Hate Speech และความรุนแรง โดยมีประเด็นหลักคือการเพิ่มโทษทางอาญาสำหรับผู้ที่ส่งเสริมความเกลียดชังและความรุนแรง การปรับปรุงกฎหมายให้สามารถยกเลิกหรือปฏิเสธวีซ่าบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคมได้ง่ายขึ้น และการกวาดล้างองค์กรสุดโต่ง ที่มุ่งเป้าไปที่กลุ่มที่มีผู้นำเกี่ยวข้องกับการสร้างความเกลียดชัง

“ชาวออสเตรเลียกำลังโกรธแค้น ผมเองก็โกรธแค้นเช่นกัน ชัดเจนว่าเราต้องทำมากกว่านี้เพื่อกำจัดสิ่งชั่วร้ายนี้ให้หมดไป” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ในส่วนของคดีตำรวจระบุว่าผู้ก่อเหตุคือ นายซาจิด อัคราม วัย 50 ปี ซึ่งถูกวิสามัญในที่เกิดเหตุ และนายนาวีด อัคราม อายุ 24 ปี บุตรชาย ซึ่งขณะนี้ถูกตั้งข้อหาหนักถึง 59 กระทง รวมถึงข้อหาฆาตกรรมและก่อการร้าย โดยศาลได้เลื่อนการพิจารณาคดีไปจนถึงเดือนเมษายน 2026

ผลการสืบสวนเบื้องต้นพบว่า สองพ่อลูกคู่นี้อาจได้รับแรงบันดาลใจจากกลุ่มรัฐอิสลาม และมีการตรวจสอบความเชื่อมโยงกับกลุ่มติดอาวุธในประเทศฟิลิปปินส์ หลังจากพบข้อมูลว่าทั้งคู่เคยเดินทางไปยังฟิลิปปินส์เป็นเวลาหนึ่งเดือนเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ทางสภาความมั่นคงแห่งชาติของฟิลิปปินส์ยืนยันว่ายังไม่พบหลักฐานว่าทั้งคู่ได้รับการฝึกอาวุธในประเทศ

แม้รัฐบาลจะพยายามควบคุมสถานการณ์ แต่เหตุการณ์เหยียดเชื้อชาติยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดตำรวจซิดนีย์เพิ่งจับกุมชายวัย 19 ปีที่ข่มขู่และทำสัญลักษณ์รุนแรงใส่ชาวยิวบนเครื่องบินระหว่างเดินทางจากบาหลีมายังซิดนีย์ ซึ่งตอกย้ำถึงความเปราะบางของความขัดแย้งทางเชื้อชาติในออสเตรเลียที่พุ่งสูงขึ้นนับตั้งแต่เกิดสงครามในฉนวนกาซา.

ที่มา Reuters

ทรัมป์โวเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังพุ่ง โยนความผิดค่าครองชีพสูงให้ไบเดน

ทรัมป์โวเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังพุ่ง โยนความผิดค่าครองชีพสูงให้ไบเดน

18 ธ.ค. 2568 11:56 น.

ทรัมป์โวเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังพุ่ง โยนความผิดค่าครองชีพสูงให้ไบเดน

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวสุนทรพจน์ถึงชาวอเมริกัน ให้คำมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังมุ่งสู่การขยายตัวครั้งใหญ่ พร้อมกล่าวโทษนายโจ ไบเดน อดีตประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาราคาสินค้าที่พุ่งสูง พร้อมประกาศแจกเช็คโบนัส “Warrior Dividend” ให้ทหารคนละ 1,776 ดอลลาร์ ท่ามกลางคะแนนนิยมที่ดิ่งเหวจากปัญหาสินค้าราคาแพง

ทรัมป์ วัย 79 ปี กล่าวจากทำเนียบขาวในโอกาสครบหนึ่งปีของการกลับมาดำรงตำแหน่งว่า เขา “รับช่วงปัญหามหาศาลมาแก้ไข” และยืนยันว่าราคาน้ำมันและสินค้าอุปโภคบริโภคที่ประชาชนกังวลนั้น “กำลังลดลงอย่างรวดเร็ว” แม้จะยอมรับว่ายังไม่จบสิ้น แต่ย้ำว่าความคืบหน้ามีให้เห็นชัดเจน

ท่ามกลางความประหลาดใจ ทรัมป์ประกาศมอบ “เงินปันผลนักรบ” ให้กำลังพลสหรัฐ 1.45 ล้านนาย คนละ 1,776 ดอลลาร์สหรัฐ  (ราว 55,909 บาท) ก่อนเทศกาลคริสต์มาส โดยใช้งบจากรายได้ภาษีศุลกากร พร้อมระบุว่าตัวเลขดังกล่าวเป็นการยกย่องปี ค.ศ.1776 ซึ่งเป็นปีสถาปนาประเทศ และสหรัฐฯ จะฉลองครบรอบ 250 ปีในปีหน้า

ผู้นำสหรัฐยังย้ำว่า ปี 2026 สหรัฐจะเผชิญ “การเติบโตทางเศรษฐกิจที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อน” ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่สหรัฐร่วมเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกกับแคนาดาและเม็กซิโก อย่างไรก็ดี แม้ทำเนียบขาวจะโปรโมตสุนทรพจน์นี้ว่าเป็นการวางทิศทางเศรษฐกิจตลอดวาระที่สอง แต่เนื้อหาส่วนใหญ่ยังคงมุ่งโจมตีคู่ขัดแย้งทางการเมือง โดยเฉพาะนายโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต และผู้อพยพ ที่ทรัมป์กล่าวหาว่าแย่งงานชาวอเมริกัน

ฝ่ายเดโมแครตตอบโต้ทันที โดยวุฒิสมาชิกชัค ชูเมอร์ ระบุว่า ทรัมป์ “อยู่ในโลกที่ตัดขาดจากความเป็นจริงของคนอเมริกัน” พร้อมชี้ว่าข้อเท็จจริงคือราคาสินค้ายังเพิ่มขึ้น อัตราว่างงานสูงขึ้น และไม่เห็นสัญญาณยุติ

สุนทรพจน์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังปีที่ทรัมป์ใช้อำนาจประธานาธิบดีอย่างเข้มข้น ตั้งแต่การปราบปรามผู้อพยพ ไปจนถึงการเล่นงานฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง

ผลสำรวจหลายสำนักสะท้อนว่า ประเด็นที่ชาวอเมริกันกังวลมากที่สุดคือค่าครองชีพที่สูงขึ้น ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่ามีส่วนมาจากนโยบายภาษีศุลกากรต่อคู่ค้าทั่วโลกของทรัมป์ ผลโพล PBS News/NPR/Marist ที่เผยแพร่วันเดียวกัน ระบุว่าทรัมป์ได้คะแนนนิยมด้านการจัดการเศรษฐกิจต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ โดย 57% ไม่เห็นด้วย และกังวลค่าครองชีพ ขณะที่โพล YouGov ชี้ว่า 52% มองว่าเศรษฐกิจแย่ลงภายใต้การนำของเขา

ทรัมป์ยังเผชิญเสียงวิจารณ์จากฐานเสียง MAGA ว่าให้ความสำคัญกับการทูตต่างประเทศ เช่น ยูเครน กาซา และความตึงเครียดกับเวเนซุเอลา มากกว่าปัญหาในประเทศ แม้สุนทรพจน์ครั้งนี้จะไม่กล่าวถึงยูเครนหรือเวเนซุเอลา แต่เขาอ้างผลงานเรื่องการหยุดยิงในกาซา การโจมตีโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน และการทำสงครามกับเครือข่ายค้ายาเสพติด

สัญญาณการปรับยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจเริ่มชัดขึ้น เมื่อการเลือกตั้งกลางเทอมปีหน้าใกล้เข้ามา หลังรีพับลิกันพ่ายแพ้หนักในการเลือกตั้งท้องถิ่นสำคัญเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ขณะที่ทรัมป์เร่งเดินสายภายในประเทศเพื่อสื่อสารนโยบายเศรษฐกิจ โดยสัปดาห์ก่อนเขาสัญญาที่เพนซิลเวเนียว่าจะ “ทำให้อเมริกามีค่าครองชีพที่เอื้อมถึงอีกครั้ง” และมีกำหนดจัดเวทีปราศรัยในนอร์ทแคโรไลนาในวันศุกร์นี้

ด้านรองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ ซึ่งถูกจับตาในฐานะผู้สืบทอดทางการเมืองในปี 2028 ก็ออกมาเรียกร้องให้ประชาชนอดทนต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในช่วงเปลี่ยนผ่าน.

ที่มา AFP

สหรัฐฯ อนุมัติขายอาวุธให้ไต้หวัน ล็อตใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ มูลค่ากว่า 3.49 แสนล้านบาท

สหรัฐฯ อนุมัติขายอาวุธให้ไต้หวัน ล็อตใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ มูลค่ากว่า 3.49 แสนล้านบาท

18 ธ.ค. 2568 11:06 น.

สหรัฐฯ อนุมัติขายอาวุธให้ไต้หวัน ล็อตใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ มูลค่ากว่า 3.49 แสนล้านบาท

รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศอนุมัติการขายอาวุธให้แก่ไต้หวันอย่างเป็นทางการ โดยมีมูลค่ารวมสูงถึง 1.11 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.49 แสนล้านบาท) ซึ่งถือเป็นแพ็กเกจความช่วยเหลือทางทหารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่สหรัฐฯ เคยมีมา เพื่อตอบโต้การขยายอิทธิพลและการกดดันทางทหารจากจีน

กระทรวงกลาโหมไต้หวันระบุว่า อาวุธสำคัญในรายการจัดซื้อครั้งนี้มีทั้งหมด 8 รายการหลัก ที่มุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพในการป้องปราม และการทำสงครามอสมมาตร (Asymmetric Warfare) ได้แก่ ระบบจรวดหลายลำกล้อง HIMARS ซึ่งพิสูจน์ประสิทธิภาพมาแล้วในสมรภูมิยูเครน, ปืนใหญ่ขับเคลื่อนด้วยตัวเอง, ขีปนาวุธต่อต้านรถถัง Javelin, โดรนกามิกาเซ่ รุ่น Altius, อะไหล่และอุปกรณ์สนับสนุนอื่นๆ สำหรับยุทโธปกรณ์เดิมที่มีอยู่

เพนตากอนระบุในแถลงการณ์ว่า การขายอาวุธครั้งนี้เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของสหรัฐฯ โดยจะช่วยให้ไต้หวันสามารถปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัย และสร้าง “ขีดความสามารถในการป้องกันตนเองที่น่าเชื่อถือ”

ขณะที่โฆษกสำนักประธานาธิบดีไต้หวัน แถลงขอบคุณสหรัฐฯ พร้อมย้ำว่าไต้หวันจะเดินหน้าปฏิรูปกองทัพและเสริมสร้างความเข้มแข็งของสังคมในการป้องกันตนเอง เพื่อปกป้องสันติภาพผ่านความแข็งแกร่ง 

การประกาศครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่นายหลิน เจียหลง รัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวัน เดินทางเยือนสหรัฐฯอย่างลับๆ เมื่อสัปดาห์ก่อน และสอดคล้องกับนโยบายของประธานาธิบดีไล่ ชิงเต๋อ ที่เพิ่งประกาศงบประมาณป้องกันประเทศเพิ่มเติมสูงถึง 4 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยยืนยันว่า “เรื่องความมั่นคงของชาติไม่มีพื้นที่สำหรับการประนีประนอม”

แม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะมีแผนเดินทางไปเยือนประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนในปีหน้า จนทำให้เกิดความกังวลว่าความสัมพันธ์สหรัฐฯ-ไต้หวันอาจสั่นคลอน แต่การอนุมัติอาวุธล็อตใหญ่นี้สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลทรัมป์สมัยที่ 2 ตั้งเป้าที่จะรักษาสมดุลอำนาจในภูมิภาค และกดดันให้พันธมิตรต้องพึ่งพาตนเองมากขึ้นตามนโยบายเดิมของเขา

ปัจจุบัน แผนการขายอาวุธนี้อยู่ในขั้นตอนการแจ้งต่อสภาคองเกรส ซึ่งคาดว่าจะผ่านความเห็นชอบได้อย่างราบรื่น เนื่องจากไต้หวันได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากทั้งสองพรรครัฐบาลในสหรัฐฯ.

ที่มา Reuters

รัฐบาลทหารเมียนมาปฏิเสธข่าว “อองซาน ซูจี เสียชีวิต” ย้ำยังมีชีวิต แต่ไร้หลักฐานยืนยัน

รัฐบาลทหารเมียนมาปฏิเสธข่าว “อองซาน ซูจี เสียชีวิต” ย้ำยังมีชีวิต แต่ไร้หลักฐานยืนยัน

18 ธ.ค. 2568 10:58 น.

รัฐบาลทหารเมียนมาปฏิเสธข่าว “อองซาน ซูจี เสียชีวิต” ย้ำยังมีชีวิต แต่ไร้หลักฐานยืนยัน

รัฐบาลทหารเมียนมาปฏิเสธกระแสข่าว “อองซาน ซูจี” อาจเสียชีวิต ยืนยันยังมีสุขภาพดี ท่ามกลางเสียงกังขาจากนักสิทธิมนุษยชนและฝ่ายค้าน ชี้ถูกกักขังตัดขาดโลกภายนอกกว่า 2 ปี ไร้หลักฐานพิสูจน์

วันที่ 17 ธันวาคม 2568 รัฐบาลทหารเมียนมาออกแถลงการณ์ปฏิเสธกระแสข่าวนางอองซาน ซูจี อดีตผู้นำรัฐบาลพลเรือนและเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ อาจเสียชีวิตในระหว่างถูกควบคุมตัว โดยยืนยันว่าเธอยังมีชีวิตและมีสุขภาพดี  อย่างไรก็ตามแถลงการณ์ฉบับนี้ไม่ได้แสดงหลักฐานหรือข้อมูลใดๆ ประกอบคำกล่าวอ้าง

คำชี้แจงของรัฐบาลทหารมีขึ้นหลังนายคิม แอริส บุตรชายของนางซูจี แสดงความหวั่นวิตกว่า มารดาอาจเสียชีวิตไปแล้ว เนื่องจากครอบครัวไม่ได้รับการติดต่อหรือพบตัวเธอมานานกว่า 2 ปี โดยระบุว่า ซูจีมีปัญหาสุขภาพเรื้อรังหลายด้าน ทั้งหัวใจ กระดูก และเหงือก และที่ผ่านมาไม่เคยได้รับอนุญาตให้ติดต่อกับทีมกฎหมายหรือสมาชิกครอบครัวเลย พร้อมย้ำว่าตราบใดที่ไม่มีใครได้เห็นตัวเธอจริงๆ ก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่

ทางด้านองค์กรสิทธิมนุษยชนและฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารตั้งคำถามว่า หากซูจียังมีสุขภาพดีจริง รัฐบาลควรอนุญาตให้ครอบครัว หรือบุคคลที่น่าเชื่อถือ เช่น เจ้าหน้าที่สิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ เข้าพบเพื่อคลายความกังวลของสาธารณชน

ขณะเดียวกันนายอู ตุน เมียะ แกนนำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือเอ็นแอลดี ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา ไม่มีหลักฐานที่ตรวจสอบได้เกี่ยวกับสถานที่ควบคุมตัวหรือสภาพของซูจี โดยกล่าวหาว่ารัฐบาลทหารใช้เพียงการโฆษณาชวนเชื่อ ปล่อยให้ข่าวลือแพร่สะพัด และควรออกมาแสดงความจริงอย่างชัดเจน

โดยที่ผ่านมา ภาพสาธารณะล่าสุดของซูจี คือภาพกล้องวงจรปิดเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2565 ระหว่างถูกนำตัวขึ้นศาล ส่วนการพบปะครั้งล่าสุดที่มีการยืนยัน คือการพบกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศไทย เมื่อเดือนกรกฎาคม 2566 เป็นเวลาราว 90 นาที

ทั้งนี้ นางอองซาน ซูจี ถูกควบคุมตัวตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 และถูกพิพากษาจำคุกรวม 33 ปี จาก 19 ข้อหา ซึ่งนานาชาติมองว่ามีแรงจูงใจทางการเมือง โดยนับตั้งแต่นั้น เธอถูกควบคุมตัวโดยไม่ให้ติดต่อกับโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง.

ที่มา Irrawaddy