สกู๊ปแนวหน้า : อพท.เปิดโฮมสเตย์ระดับอาเซียนกลางป่าภูกระดึง ท่องเที่ยวชุมชนรูปหัวใจ ฉ่ำไปด้วยมิตรภาพของคนพื้นที่

สกู๊ปแนวหน้า : อพท.เปิดโฮมสเตย์ระดับอาเซียนกลางป่าภูกระดึง ท่องเที่ยวชุมชนรูปหัวใจ ฉ่ำไปด้วยมิตรภาพของคนพื้นที่

สกู๊ปแนวหน้า : อพท.เปิดโฮมสเตย์ระดับอาเซียนกลางป่าภูกระดึง ท่องเที่ยวชุมชนรูปหัวใจ ฉ่ำไปด้วยมิตรภาพของคนพื้นที่

วันอังคาร ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568, 06.00 น.

พองหนีบ เป็นหมู่บ้านใจกลางหัวใจภูกระดึง” หมู่บ้านที่อยู่กับธรรมชาติ ให้ธรรมชาติบำบัดสภาพจิตใจจากความวุ่นวายจากการทำงาน ที่นี่สามารถดื่มด่ำกับธรรมชาติในอ้อมกอดของภูกระดึง ที่พักผ่อนที่เงียบสงบ ห่างไกลจากความวุ่นวาย มีวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของคนท้องถิ่นบ้านพองหนีบ ในอำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย

หมู่บ้านพองหนีบนี้ปกติจะเป็นหมู่บ้านเกษตรกรรม โดยมีการทำการท่องเที่ยวเสริมควบคู่ โดยเป็นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เรียนรู้วิถีคนอยู่ร่วมกับธรรมชาติกับป่าภูกระดึง ที่มีลำน้ำสำคัญคือลำน้ำพอง อีกทั้งยังมีจุดแหล่งโบราณคดี เป็นเสมาหินทราย อายุประมาณ 1,500 ปี ถึงแม้หมู่บ้านพองหนีบนี้จะอยู่ห่างไกลมาก แต่ไม่เคยจะห่างหายจากการเยี่ยมเยือนจากผู้คนข้างนอก นักท่องเที่ยว หน่วยงานต่างๆ เข้ามาพัฒนา ซึ่งไม่นานมานี้เป็นหมู่บ้านพองหนีบเพิ่งได้รับการรับรองมาตรฐานโฮมสเตย์ไทย ไว้พร้อมที่จะรับนักท่องเที่ยวที่จะมาเยี่ยมเยือน

นายธรรมนูญ ภาคธูปผู้จัดการสำนักงานพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเลย กล่าวว่าจากข้อมูลพื้นฐานด้านการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยว ของสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเลย “มาตรฐานโฮมสเตย์ไทย ที่จะทำให้สายท่องเที่ยวท้องถิ่นวิถีชีวิต เที่ยวไทยได้อย่างมั่นใจ” ที่พักสัมผัสวัฒนธรรมชนบท หรือโฮมสเตย์ เป็นที่พักที่นักท่องเที่ยวจะต้องพักค้างแรมภายใต้ชายคาบ้านเดียวกันกับเจ้าของบ้าน และมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรมและวิถีชีวิตระหว่างกัน พร้อมทั้งถ่ายทอดประเพณี วัฒนธรรมอันดีงามของท้องถิ่นแก่นักท่องเที่ยว และพานักท่องเที่ยวชมแหล่งท่องเที่ยว และทำกิจกรรมต่างๆ เช่น เล่นน้ำตก ขี่จักรยาน นั่งเรือ เดินป่า ศึกษาธรรมชาติ

ซึ่งกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการท่องเที่ยวรูปแบบ โฮมสเตย์จัดทำมาตรฐานที่พักสัมผัสวัฒนธรรมชนบท หรือมาตรฐานโฮมสเตย์ไทย (Home Stay Standard) เพื่อเป็นเครื่องมือในการยกระดับ และเป็นแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวรูปแบบโฮมสเตย์ให้แก่นักท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบและครบวงจร ผ่านการตรวจประเมินและรับรองมาตรฐาน โดยมีเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ 10 ด้าน 31 ตัวชี้วัด ได้แก่ ด้านที่พัก อาหาร ความปลอดภัย อัธยาศัยไมตรีของเจ้าของบ้าน รายการนำเที่ยว ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม ผลิตภัณฑ์ชุมชน การบริหารจัดการ และประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยว

จังหวัดเลย โดยสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเลย สำนักงานพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเลย อพท. เลย ดำเนินงานร่วมบูรณาการกับภาคี
เครือข่าย ดำเนินการพัฒนาส่งเสริมโฮมสเตย์ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน สนับสนุนส่งเสริมให้ความรู้ด้านมาตรฐานการท่องเที่ยวและประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ผู้ประกอบการ ที่พัก เข้ารับสมัครเพื่อขอมาตรฐานที่พักโฮมสเตย์ และโฮมลอดจ์ และมาตรฐานชุมชนท่องเที่ยวตามเกณฑ์ของ กรมการท่องเที่ยว กระทรวงตลอดทุกปี

ซึ่งในปี พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา จังหวัดเลยมีโฮมสเตย์ ได้รับรองมาตรฐานจากกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจำนวน 1 แห่ง คือ โฮมสเตย์บ้านพองหนีบ อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย จำนวน 4 หลัง โดยมีอายุการรับรองมาตรฐาน จำนวน 3 ปี ระหว่างปี 2567 – 2569 โดยชุมชนบ้านพองหนีบเข้ารับรางวัล เครื่องหมายรับรองมาตรฐานการท่องเที่ยว ประจำปี พ.ศ. 2567 ของกรมการท่องเที่ยว เมื่อ 2 กรกฎาคม 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ที่ผ่านมา

ล่าสุดในปี 2568 โฮมสเตย์บ้านพองหนีบ อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย ได้รับเชิญจากกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้เข้าร่วมพิธีมอบรางวัลท่องเที่ยวอาเซียน (ASEAN Tourism AwardCeremony) ในวันที่ 20 มกราคม 2568 ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติ Persada Johor เมืองยะโฮร์บาห์รู สหพันธ์มาเลเซีย เนื่องจากได้ผ่าน การประเมินมาตรฐานโฮมสเตย์อาเซียน (แต่ชุมชนไม่ได้เดินทางไปเข้าร่วมรับรางวัล เนื่องจากการเดินทางไกลต้องใช้ทุนทรัพย์ ถ้านักท่องเที่ยวที่มาพักแรมนอกจากโฮมสเตย์ นักท่องเที่ยวสามารถกางเต็นท์แคมป์ปิ้งได้อีกด้วย

ติดต่อเพิ่มเติม โทรศัพท์ : 098-1054341 // Facebook : ท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านพองหนีบ หรือ สอบถาม ขอคำแนะนำเพิ่มเติม ได้ที่ ติดต่อกลุ่มส่งเสริมและพัฒนาด้านการท่องเที่ยว สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเลย โทรศัพท์ 042-813086 หรือ อพท.เลย โทรศัพท์ 042-861116

อัมรินทร์ ชูฤทธิ์

สกู๊ปแนวหน้า : ‘ยื่นแบบภาษี-ย้ายเข้าที่เอกชน’ เกณฑ์ใหม่คุม‘แผงลอยเมืองกรุง’ทำได้จริง?

SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/810856

สกู๊ปแนวหน้า : ‘ยื่นแบบภาษี-ย้ายเข้าที่เอกชน’  เกณฑ์ใหม่คุม‘แผงลอยเมืองกรุง’ทำได้จริง?

สกู๊ปแนวหน้า : ‘ยื่นแบบภาษี-ย้ายเข้าที่เอกชน’ เกณฑ์ใหม่คุม‘แผงลอยเมืองกรุง’ทำได้จริง?

วันจันทร์ ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2567, 06.00 น.

“ผ้าขี้ริ้วห่อทอง” เป็นสำนวนไทยหมายถึง“คนที่ภายนอกดูธรรมดาๆ หรืออาจดูเหมือนคนยากจน แต่แท้จริงแล้วกลับมีฐานะร่ำรวยมั่งคั่ง” ซึ่งด้านหนึ่งต้องการสอนว่าอย่าเพิ่งตัดสินคนจากเครื่องแต่งกายหรือสิ่งของต่างๆที่คนคนนั้นใช้สอยในชีวิตประจำวัน แต่อีกด้านหนึ่ง ในสังคมสมัยใหม่ที่รัฐเข้ามามีบทบาทในการจัดบริการสาธารณะและสวัสดิการสังคมต่างๆ โดยใช้งบประมาณจาก “ภาษี” ที่เก็บจากคนทุกคนในประเทศ คนที่เข้าตำราผ้าขี้ริ้วห่อทอง บางครั้งก็ถูกมองในแง่ไม่ค่อยดีนัก เพราะอาศัยภาพลักษณ์ภายนอกช่วยให้จ่ายภาษีน้อยกว่าที่ควรจะเป็น

หนึ่งในอาชีพที่อาจเข้าข่ายผ้าขี้ริ้วห่อทองก็คือ “หาบเร่แผงลอย” หรือพ่อค้า-แม่ค้าที่อาศัยทางเท้าเป็นสถานที่ประกอบอาชีพ ซึ่งถือเป็นอาชีพที่ถูกกฎหมายหากขายในพื้นที่ที่รัฐประกาศเป็นจุดผ่อนผัน แต่ก็ถูกตั้งคำถามจากคนทำงานอื่นๆ ในสังคมว่า แม้หาบเร่แผงลอยจะมีภาพลักษณ์ในภาพรวมว่าเป็นอาชีพของคนฐานราก แต่จริงๆ แล้วเป็นเช่นนั้นทุกรายหรือไม่?เช่น หลายคนมีรถยนต์ขับ สามารถส่งลูกเรียนมหาวิทยาลัยเอกชน มีเงินไปซื้อที่ดินในต่างจังหวัด เป็นต้น แต่เพราะมีภาพเป็นคนยากจน จึงไม่ถูกตรวจสอบการจ่ายภาษีอย่างเต็มที่

อย่างไรก็ตาม เริ่มมีการ “โยนหินถามทาง”จากบางหน่วยงาน เช่น กรุงเทพมหานคร (กทม.) ตามที่สื่อมวลชนได้รายงานข่าวเมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2567 อ้างการเปิดเผยของ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ถึงการประชุมคณะกรรมการรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 3/2567 ว่า เป็นการหารือเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การอนุญาตให้ทำการค้าในจุดผ่อนผันหาบเร่แผงลอย ว่าด้วย “เกณฑ์รายได้” โดยมีสาระสำคัญคือ “ผู้ค้าทุกรายมีหน้าที่ยื่นแบบประเมินภาษี” แม้จะมีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ต้องจ่ายภาษีก็ตาม เพื่อนำมาพิจารณาอนุญาต

“ผู้ค้าที่อยู่ในจุดผ่อนผันหลังจาก 1 ปีต้องมีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายแล้วไม่เกิน 25,000 บาทต่อเดือน หากเกินกว่านี้คิดว่าผู้ค้าน่าจะพอขยับขยายไปหาที่เช่าอื่นได้ และหลังจากประชาพิจารณ์และปรับปรุงตามความเห็นต่างๆ ในเรื่องอื่นเพิ่มเติมแล้วนั้น ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจะลงนามและรอประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป” ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าว

ในมุมของกลุ่มผู้ค้า เรวัตร ชอบธรรม ประธานเครือข่ายแผงลอยไทยเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ตั้งคำถามว่า “จะใช้อะไรเป็นเกณฑ์วัดรายได้” อย่างตนเคยพูดคุยกับฝ่ายเทศกิจของ กทม. ทางเจ้าหน้าที่เองก็มองว่า “ต้องนับหลังหักค่าใช้จ่ายทุกอย่างหมดแล้ว” และหากทำเช่นนั้นจริง เชื่อได้ว่าน่าจะหาผู้ที่มีรายได้เกิน25,000 บาทต่อเดือนได้ยาก “อาจมีบางพื้นที่หาได้..แต่ไม่ใช่ภาพรวม” หลายคนอาจเห็นผู้ค้าขายของได้มาก แต่รายได้ที่เหลือเข้ากระเป๋าจริงๆ ไม่ได้มากแต่อย่างใด เพราะต้องหักออก เช่น ต้นทุนวัตถุดิบ ค่าเดินทาง ค่าจ้างแรงงานลูกมือ

อาทิ ร้านก๋วยเตี๋ยว โดยมากจะจ้างแรงงานเฉลี่ย 2 คน เป็นคนเสิร์ฟ 1 คน และคนล้างจานอีก 1 คน ค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 300 บาทต่อวัน แต่ก็ยอมรับว่า“ผู้ค้าจำนวนมากไม่ได้ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ทำให้ไม่เห็นรายละเอียดว่าต้นทุนแต่ละอย่างในแต่ละวันอยู่ที่เท่าไรบ้าง” แต่หากในอนาคต กทม. บังคับให้ผู้ค้าต้องยื่นแบบประเมินภาษี ก็จะต้องให้ความสำคัญมากขึ้น และผู้ค้าพร้อมปฏิบัติตามกฎหมาย หากมีหลักเกณฑ์ประเมินที่ชัดเจน โปร่งใสและอยู่ในวิสัยที่ผู้ค้าพอรับได้

แต่อีกเรื่องหนึ่ง “การตั้งเกณฑ์ว่าหากรายได้เกิน 25,000 บาทต่อเดือนต้องย้ายออก”เรวัตร ฟันธงเลยว่า “ทำไม่ได้แน่นอน” เพราะเรื่องของการขอพื้นที่เอกชน ก็พยายามทำกันมาตั้งแต่ผู้ว่าฯ กทม. คนก่อน (พล.ต.อ.อัศวินขวัญเมือง) ท้ายที่สุดก็ไม่สำเร็จ เพราะ “เอกชนย่อมต้องมองผลประโยชน์เป็นหลัก” เอกชนมีพื้นที่ก็ต้องการได้ผลประโยชน์จากพื้นที่ “เป็นไปไม่ได้เลยที่เอกชนจะเก็บค่าเช่าถูกๆ” อย่างตลาดแห่งหนึ่งในย่านพระราม 9 ค่าเช่าวันละ 600 บาท 1 เดือนก็ 18,000 บาท ต้องจ่ายล่วงหน้า จ่ายช้าแม้แต่นิดเดียวก็โดนยึดล็อกคืน

“ผมยังไม่เห็นเลย เวลาเข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นรองผู้ว่าฯ ท่านไหน หรือแม้แต่ผู้ว่าฯ หรือสำนักงานเขต เขาบอกไปหาพื้นที่มาเดี๋ยวจะไปเจรจาให้ แต่ไม่รู้จะได้ผลมาก-น้อยแค่ไหนนะ เพราะเอกชนพื้นที่เขาก็มีราคา อันนี้คือความจริงที่เราไปประสาน แต่คนที่เสนอข่าวออกนโยบายก็พูดไปอีกแบบหนึ่ง” ประธานเครือข่ายแผงลอยไทยเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ระบุ

เรวัตรยังกล่าวอีกว่า ตนเคยไปเจรจากับเจ้าของตลาดซึ่งบรรยากาศดูเงียบๆ ตนขอให้ขายฟรี 3 เดือน โดยเก็บเงินมัดจำผู้ค้าไว้ หากใครเลิกขายก่อน 3 เดือนก็ยึดเงินมัดจำไป ก็ยังได้รับการปฏิเสธ อ้างว่าตลาดก็มีค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ “ตลาดเอกชนจำนวนมากเจ้าของที่ดินไม่ได้บริหารเอง แต่ปล่อยให้บริษัทออร์แกไนเซอร์เข้ามาจัดการ” โดยบริษัทจะเข้าไปหาพื้นที่เพื่อขอเช่ามาจัดเป็นตลาด รัฐจึงไม่สามารถไปกำกับดูแลเรื่องค่าเช่าได้ แต่หากจะให้ผู้ค้าไปขายในสถานที่ราชการ ในความเป็นจริงสถานที่เหล่านั้นก็ไม่ได้อยู่ในทำเลที่เหมาะสมกับการค้าขาย

ในมุมของนักวิชาการ บวร ทรัพย์สิงห์ นักวิจัยประจำสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า จากข้อมูลที่ทราบมา ผู้ค้าต้องหักต้นทุนถึงร้อยละ 60 ที่เหลือจึงเป็นกำไรหรือรายได้จริง แต่การไปกำหนดเพดานว่าผู้ค้าในจุดผ่อนผันต้องมีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาทต่อเดือน หรือคิดเป็นรายวันคือห้ามมีกำไรถึง 1,000 บาท จะทำให้ผู้ค้าสามารถขายสินค้าได้เพียงไม่กี่อย่าง

ซึ่งตนเห็นว่า ควรกำหนดเงื่อนไขอย่างอื่นที่ทำให้ผู้ค้าสามารถพัฒนาตนเองได้ เพราะเงื่อนไขผู้ค้าในจุดผ่อนผันต้องมีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาทต่อเดือน เป็นการกำหนดว่ามีแต่คนจนเท่านั้นที่สามารถเป็นผู้ค้าหาบเร่แผงลอยได้แต่อีกด้านหนึ่ง หาบเร่แผงลอยกลับถูกคาดหวังอย่างมากว่าต้องปฏิบัติตามมาตรฐานทั้งเรื่องคุณภาพอาหาร เรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อม เมื่อเทียบกับผู้ค้าในตลาดที่มีกฎระเบียบคุมเข้มน้อยกว่า

“สมมุติเอกชนเปิดพื้นที่ ก็จะมีเงื่อนไขที่แตกต่างจากประกาศของ กทม. เรื่องของการตรวจคุณภาพ เรื่องของการเว้นระยะ มันก็ไม่ได้อยู่ภายใต้เงื่อนไขแบบที่เอกชนกำหนด ดังนั้นสิ่งที่ กทม. กำหนด ถ้าคุณคิดว่าเขาเป็นคนจน แล้วคุณยังคาดหวังให้เขาต้องเป็นโน่นเป็นนี่เรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อม เรื่องของจัดแผง เรื่องทำแอปพลิเคชั่น พอเวลาจ่ายเงินผ่านแอปฯ ก็แปลว่าผู้ค้าเรียกได้ว่าต้องออนไลน์ตลอด ต้องจ่ายค่าอินเตอร์เนตเพิ่ม” บวร กล่าว

สำหรับข้อเสนอแนะถึง กทม. ในช่วงที่ยังเปิดรับความคิดเห็นประกาศกำหนดหลักเกณฑ์หาบเร่แผงลอยฉบับใหม่ บวร ระบุว่า ในพื้นที่ที่ยังมีการทำการค้าอยู่ เกณฑ์รายได้ไม่ควรเป็นปัจจัยหลัก เมื่อเทียบกับการเน้นการกำกับดูแลควบคู่ไปกับการส่งเสริมเรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อม การกำจัดขยะ การเว้นระยะให้ผู้เดินเท้าสามารถสัญจรได้ แต่เรื่องเหล่านี้ต้องใช้กระบวนการพูดคุยหาทางออกร่วมกันมากกว่าการใช้กฎเข้าไปควบคุม

นอกจากนั้นยังมีข้อสังเกตด้วยว่า “การกำหนดให้ประเมินผู้ค้าทุกๆ 1-2 ปี ทำให้องค์กรของผู้ค้าอ่อนแอลง” เพราะผู้ค้าจะเปลี่ยนหน้าใหม่เข้า-ออกเป็นระยะๆ ขณะเดียวกัน คนที่เข้ามาสู่อาชีพค้าขายไม่ได้หมายความว่าจะมีทักษะตั้งแต่วันแรกที่เริ่มประกอบอาชีพ เพราะต้องเริ่มตั้งแต่ทำความเข้าใจพื้นที่ก่อนว่าเหมาะสมกับการขายสินค้าอะไร ต้องไปซื้อวัตถุดิบหรือสินค้านั้นที่ไหน รวมถึงความอดทนต่อสภาพอากาศแดดร้อน-ฝนตก ส่วนแนวคิดหาพื้นที่เอกชนให้ทำการค้าแทนการอยู่บนทางเท้า แม้ในช่วงต้นอาจมีโปรโมชั่น แต่หลังจากนั้นผู้ค้าจะอยู่ได้หรือไม่

“มีเงื่อนไขตัวหนึ่งที่ประกาศ กทม. ไม่ได้พูดถึง แต่ตัวผังเมือง กทม. พูดถึง คือ FAR Bonus คือจะให้โบนัสกับเอกชนที่สนับสนุนกิจกรรมแบบนี้ กิจกรรมแผงลอยที่ขายอยู่บนที่เปิดพื้นที่ให้ผู้ค้าเข้ามาขาย ก็จะได้ที่เรียกว่า FAR Bonus ตอนนี้ก็ยังไม่ได้มีรายละเอียด ก็ไม่แน่ใจว่า เอาแบบคุยกันเองแล้วประมาณว่ามันจะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนหรือเปล่า” บวร ระบุ

ด้าน กฤษฎา ธีระโกศลพงศ์ อาจารย์คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นไว้ 4 ส่วน คือ 1.การค้ามีความละเอียดอ่อนและหลากหลาย รัฐไม่สามารถใช้เกณฑ์เดียวกับทุกสิ่งทุกอย่างได้ เช่น เห็นรถเข็นขนาดเดียวกัน ตั้งอยู่ข้างๆ กัน ใช้พื้นที่เท่ากัน ใช้เวลาขายเท่ากัน แต่ขายอาหารคนละชนิดกัน คันหนึ่งขายข้าวแกง อีกคันขายโรตี รายได้ของผู้ค้าก็ย่อมแตกต่างกัน

หรืออย่างสถานที่ขาย อย่างตนเคยเดินสำรวจ 3 พื้นที่ คือสีลม พระนคร และบางกะปิ สินค้าที่ขายและลูกค้าในย่านเหล่านี้ก็แตกต่างกันไปอีก ดังนั้นหาบเร่แผงลอยจึงมีความซับซ้อนมากหรือตนพักอาศัยอยู่แถวบางแค ซึ่งคนแถบนั้นพึ่งพิงแหล่งอาหารจากตลาดบางแคอย่างมาก หากถูกยกเลิกไปคงไม่พ้นต้องเข้าไปซื้อในห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อ ที่สำคัญคือต้องเข้าใจว่า “หาบเร่แผงลอยเกิดขึ้นบริเวณทางสัญจรหลัก..เพราะตอบโจทย์การบริโภคของคนทำงานในเมือง” โดยเฉพาะอาหารที่สามารถซื้อติดไม้ติดมือไปรับประทานในสถานที่ทำงานได้

2.การส่งเสริมให้เข้าไปขายในพื้นที่เอกชน ในบริบทของไทยเป็นเรื่องยากมากที่จะทำได้จริง มีตัวอย่างในย่านสีลม ทาง กทม. ให้คำมั่นว่าจะหาพื้นที่ทดแทนผู้ค้าที่ถูกห้ามขายบริเวณซอย 1-ซอย 2 แต่สุดท้ายก็หาให้ไม่ได้ เพราะที่ดินย่านสีลมเป็นพื้นที่ของเอกชนทั้งหมด ซึ่งต้องยอมรับว่า “รัฐไม่สามารถคุมราคาค่าเช่าพื้นที่ได้” อย่างตลาดเอกชนแห่งหนึ่งในย่านบางแค ซึ่งอยู่ริมถนนเพชรเกษม เคยมีผู้ค้าที่ได้รับผลกระทบจากการห้ามขายบนทางเท้าพยายามเข้าไปอยู่ แต่สุดท้ายก็อยู่ไม่ไหวเพราะไม่สามารถแบกรับภาระค่าเช่าได้

3.มุมมองคนไทยต่อหาบเร่แผงลอยโดยเฉพาะ “ชนชั้นกลาง” ดูจะมีความ “ย้อนแย้ง”อยู่ในตัวเอง โดยจากที่ลงพื้นที่แจกแบบสอบถามสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับหาบเร่แผงลอยใน กทม. พบกลุ่มตัวอย่างจำนวนไม่น้อยที่ตอบว่า “ด้านหนึ่งยอมรับว่าบริโภคสินค้าจากหาบเร่แผงลอย แต่อีกด้านหนึ่งก็ไม่อยากให้มีหาบเร่แผงลอย” ซึ่งปรากฏการณ์นี้น่าสนใจสำหรับการทำวิจัยต่อในอนาคต แต่เท่าที่สันนิษฐานในเบื้องต้นตนเข้าใจว่าคนเหล่านั้นถูกหล่อหลอมด้วยชุดความคิดหรือวาทกรรมบางอย่าง อาทิ แผงลอยสกปรก แผงลอยกีดขวาง ตามที่ปรากฏผ่านสื่อ

“เท่าที่ผมจำได้ คนหนึ่งบอกประมาณว่า ถ้าแผงลอยไม่มีเขาก็อาจจะพอเดินไปหาอย่างอื่นซื้อไกลกว่านี้หน่อยก็ได้ คือมันเป็นวิธีคิดที่ปัจเจกมากเลย ประมาณว่าไม่มีฉันก็ยังไปหาที่อื่นซื้อต่อได้ แต่ถ้ามันมีฉันก็ซื้อ แต่ฉันก็ไม่เห็นด้วยนะ อะไรแบบนี้ ก็พยายามทำความเข้าใจกับเรื่องพวกนี้อยู่ ซึ่งมันก็มีวิธีคิดของชนชั้นกลาง ในประเทศที่พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ เขาก็คงมองว่าการมีพวกนี้มันคือความไม่อารยะ มันก็เป็นลักษณะแบบนี้ เพราะประเทศที่พัฒนามันก็ไม่มีพวกนี้” อาจารย์กฤษฎา กล่าว

และ 4.คนไทยไม่เชื่อมั่นในกลไกภาครัฐ จึงไม่อยากเสียภาษีและพยายามหลีกเลี่ยงหากทำได้ ซึ่งเรื่องนี้เป็น “ความท้าทายอย่างที่สุด” ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหรือจากการรัฐประหาร และไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลกลางหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เมื่อมีข่าวว่าจะมีการเก็บภาษีหรือขึ้นภาษี เสียงสะท้อนที่ได้ยินบ่อยๆ จากประชาชนโดยรวมคือ “เก็บไปแล้วเอาไปทำอะไร”, “เก็บไปแล้วใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าหรือไม่” หรือก็คือประชาชนไม่เห็นประโยชน์จากการจ่ายภาษี

เมื่อประชาชนขาดความเชื่อมั่นต่อรัฐ จึงไม่มีแรงจูงใจที่จะแสดงเจตจำนงเพื่อเสียภาษี ซึ่งสะท้อนผ่านการยื่นแบบประเมินการเสียภาษีน้อยมากทั้งที่ถือเป็นหน้าที่ของทุกคนที่ทำงานมีรายได้ ในทางกลับกัน ผู้ถืออำนาจรัฐก็ไม่ค่อยกล้าบังคับอย่างจริงจังด้วยเพราะไม่อยากสุ่มเสี่ยงเจอแรงต้านจากประชาชนซึ่งส่งผลกระทบทางการเมือง แม้เงินภาษีจะมีความจำเป็นต้องการจัดบริการสาธารณะและสวัสดิการสังคมก็ตาม แต่หากรัฐสามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ว่าเงินภาษีจะย้อนกลับไปเป็นประโยชน์ต่อประชาชนจริงๆ ก็เชื่อว่าประชาชนพร้อมจ่ายด้วยความยินดี

“เราปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้ว ก็ต้องขับเคลื่อนเรื่องนี้ไป เรื่องภาษี แต่ภาษีกับเกณฑ์ก็คนละเรื่องนะ จะให้จ่ายภาษีเพื่อมานั่งดูว่าเกินเกณฑ์ไหม? อันนี้คนละเรื่องแล้ว ฉะนั้นเกณฑ์ก็ต้องไป Review (ทบทวน) กันใหม่เลย ต้องกำหนดเกณฑ์อย่างไรถ้าจะกำหนด แต่ถามว่าควรกำหนดไหม? ก็ควรกำหนด ในเมื่อกำหนดเกณฑ์แล้วมันเหมือนการ Register(ลงทะเบียน) กับรัฐ ฉะนั้นรัฐก็ต้องอำนวยความสะดวกให้กับผู้ค้า

เช่น มีจุดระบายน้ำ จุดทิ้งขยะ มีห้องน้ำ อะไรอย่างนี้ แล้วผมคิดว่านะ ถ้าคุณทำให้มันถูกกฎหมายขึ้นมา ให้มันสีขาวขึ้น แล้วมีการเก็บค่าเช่าหรืออะไรก็ตามแต่ ผมคิดว่าผู้ค้าหลายๆ คนอาจยอมด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้มันอยู่ในสีเทาๆ ผมเคยถามผู้ค้า เดือนหนึ่งจ่าย 2,000 อ้าว! ถ้าจ่าย 2,000 แล้วโดนเอาข้าวเอาขนมเอาของกิน ฉะนั้นเดือนหนึ่งไม่รู้เสียไปเท่าไร ฉะนั้นก็ทำให้มันขาวสะอาดขึ้นมันดีกว่าไหม? ผู้ค้าไม่แน่ยอมจ่ายด้วย” อาจารย์กฤษฎา ฝากทิ้งท้าย

สำหรับจำนวนผู้ค้าหาบเร่แผงลอยใน กทม. อ้างอิงจากรายงานการประชุมคณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ผู้บริหารสำนักเทศกิจและหัวหน้าฝ่ายเทศกิจสำนักงานเขต ครั้งที่ 2/2567(เผยแพร่วันที่ 29 ก.พ. 2567) ระบุว่า มีพื้นที่ทำการค้าจุดผ่อนผัน 86 จุด ผู้ค้า 4,541 ราย ประกาศเป็นพื้นที่ทำการค้าแล้ว 55 จุด ผู้ค้า 3,440 ราย อยู่ระหว่างพิจารณาประกาศ 31 จุด ผู้ค้า 1,101 ราย ขณะที่รายงานข่าวเมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2567 โดยสำนักข่าว The Active ในเครือ ThiaPBS อ้างว่า หาบเร่แผงลอยในจุดและนอกจุดผ่อนผัน มีรวมกันทั้งสิ้น 681 จุด 19,414 ราย

ส่วนข้อมูลจากรายงาน การสำรวจแรงงานนอกระบบ พ.ศ.2566 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ในปี 2566 แรงงานนอกระบบมีจำนวนมากกว่าแรงงานในระบบประมาณ 2.2 แสนคน ซึ่งจากผู้มีงานทำทั้งสิ้น 40.1 ล้านคน เป็นแรงงานนอกระบบ 21 ล้านคน (ร้อยละ 52.3) และเป็นแรงงานในระบบ 19.1 ล้านคน (ร้อยละ 47.7) โดยแรงงานนอกระบบ อยู่ในภาคเกษตร (รวมป่าไม้และประมง) มากที่สุด ร้อยละ 52.7 แต่รองลงมาคืออยู่ในภาคบริการและจำหน่ายสินค้า ร้อยละ 23.1 ซึ่งเป็นสถิติที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงมากนักหากเทียบกับรายงานฉบับปีก่อนๆ

และเช่นเดียวกับข้อมูลการยื่นแบบประเมินภาษี (แบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา) โดยกรมสรรพากร ในปี 2565 (ข้อมูลล่าสุดเท่าที่พอหาได้) มีผู้ยื่น 11.52 ล้านคน ก็แทบไม่ต่างจากช่วงก่อนหน้า เช่น ปี 2564 มี 10.3 ล้านคนปี 2563 มี 10.6 ล้านคน ปี 2562 มี 11.8 ล้านคนและเมื่อดูจำนวนคนที่ต้องจ่ายภาษี (ข้อมูลที่พอหาได้คือช่วงปี 2562-2564) พบว่า จะอยู่ที่เฉลี่ย 4 ล้านคนต่อปี (4.02, 3.95 และ 4.17 ล้านคนตามลำดับ

ในวันที่ 27 พ.ค. 2567 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) เปิดเผยผลสำรวจว่าด้วยทัศนคติของประชาชนต่อหน้าที่การยื่นแบบฯ และการจ่ายภาษีในกลุ่มประชาชนอายุ 25 ปีขึ้นไป ซึ่งพบว่า “คนไทยมีความเข้าใจเรื่องภาษีน้อยมาก” เช่น เกือบ 2 ใน 3 (ร้อยละ 65.6) ไม่รู้ว่าการยื่นแบบฯ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องจ่ายภาษีเสมอไปราวครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 50.5) ไม่ได้ยื่นแบบฯ แม้ว่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องยื่น ส่วนใหญ่มีการศึกษาไม่เกินระดับ ม.ปลาย เป็นแรงงานนอกระบบอีกทั้งบางส่วนไม่รู้ว่าการยื่นแบบฯ และเสียภาษีเป็นหน้าที่ตามกฎหมาย

โดยสรุปแล้ว..จะเรื่องให้ประชาชนทุกคนต้องยื่นแบบประเมินภาษี (และจ่ายภาษีหากรายได้ถึงเกณฑ์) ก็ดี หรือเรื่องการให้ผู้ค้าขายรายย่อยย้ายออกจากการเป็นหาบเร่แผงลอยเข้าไปอยู่ในตลาดพื้นที่เอกชนก็ตาม ในบริบทของสังคมไทย ดูจะมีข้อจำกัดเต็มไปหมด นี่จึงเป็นความท้าทายภาครัฐของไทยทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น ว่าหากต้องการทำให้ได้ จะดำเนินการให้เป็นจริงได้อย่างไร?

บัญชา จันทร์สมบูรณ์

(สัมภาษณ์/เรียบเรียง)

สกู๊ปแนวหน้า : มองรายงาน‘สถานบันเทิงครบวงจร’ 2ด้าน‘บวก-ลบ’หากไทยจะมี‘กาสิโน’

SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/802903

สกู๊ปแนวหน้า : มองรายงาน‘สถานบันเทิงครบวงจร’ 2ด้าน‘บวก-ลบ’หากไทยจะมี‘กาสิโน’

สกู๊ปแนวหน้า : มองรายงาน‘สถานบันเทิงครบวงจร’ 2ด้าน‘บวก-ลบ’หากไทยจะมี‘กาสิโน’

วันจันทร์ ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2567, 07.00 น.

“ความเห็นไม่ตรงกัน..การพนันจึงเกิดขึ้น” เป็นคำพูดเชิงตลกขบขันว่าด้วยสังคมไทยที่อะไรๆ ก็สามารถหยิบยกถึงมาเล่นการพนันเดิมพันทรัพย์สินกันได้ อีกทั้งกิตติศัพท์ความเป็นนักพนันของชนชาติไทยก็ขึ้นชื่อมาตั้งแต่โบราณ อาทิ บันทึกของ ลาลูแบร์ ทูตฝรั่งเศสที่เข้ามาเยือนอาณาจักรอยุธยาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้บรรยายไว้ตอนหนึ่งว่า “ชาวสยามรักเล่นการพนันเสียเหลือเกิน จนกระทั่งฉิบหายขายตนเองหรือไม่ก็ลูกเมียให้เป็นทาส” สะท้อนอุปนิสัยของชาวไทย (หรือสยาม) ในเวลานั้นได้เป็นอย่างดี

และแม้ในเวลาต่อมา รัฐไทยสมัยใหม่ (นับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) จะยกเลิกการอนุญาตให้เปิดบ่อนการพนันอันเป็นหนึ่งในรายได้สำคัญของรัฐมาตลอดผ่านกลไก “นายอากรบ่อนเบี้ย” โดยทยอยลดจำนวนบ่อนลงตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเชื่อมโยงกับนโยบายเลิกระบบทาส กระทั่งบ่อนทั้งหมดถูกยกเลิกได้อย่างสมบูรณ์ในสมัยรัชกาลที่ 6 รวมถึงภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รัฐบาลก็ได้มีการออก พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 มาบังคับใช้

แต่ในทางปฏิบัติจวบจนถึงปัจจุบัน เป็นที่ทราบกันดีว่าบ่อนการพนันยังคงดำรงอยู่ในสังคมไทย ข่าวการบุกทลายบ่อนใหญ่บ้างเล็กบ้างมักมาพร้อมกับข้อสังเกตว่าบ่อนเหล่านี้เปิดและดำรงอยู่มาเป็นเวลานานพอสมควรได้อย่างไรทั้งที่ผิดกฎหมาย ซึ่งก็หนีไม่พ้นข้อครหาเรื่อง “ส่วย”ที่คนทำบ่อนจ่ายให้เจ้าหน้าที่รัฐแลกกับการเอาหูไปนา-เอาตาไปไร่ นอกจากนั้นเมื่อการเดินทางสะดวกขึ้น ประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องการพัฒนาเศรษฐกิจ ก็ใช้บ่อนการพนัน หรือ “กาสิโน” ดึงดูดเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยว ทำให้มีชาวไทยขนเงินข้ามแดนไปเล่นการพนันกันเป็นจำนวนมาก

จากสถานการณ์ข้างต้น จึงมีความพยายามฟื้นการเปิดบ่อนการพนันถูกกฎหมายขึ้นมาในประเทศไทยอีกครั้ง แต่ไม่ใช่เน้นไปที่ตัวบ่อนหรือกาสิโนโดยตรง หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของ“เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ (EntertainmentComplex)” หรือสถานบันเทิงครบวงจร ที่ล่าสุดช่วงก่อนปิดสมัยประชุมรัฐสภาสมัยสามัญประจําปีครั้งที่สอง รายงานผลการศึกษาเรื่องนี้ได้ผ่านการรับรองจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 28 มี.ค. 2567 และคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบรายงานฉบับดังกล่าว ในวันที่ 9 เม.ย. 2567

รายงานฉบับนี้ซึ่งมีชื่อเต็มว่า “รายงานผลการพิจารณาศึกษา เรื่อง ศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) เพื่อแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมายและเพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจของประเทศ” จัดทำโดยคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร มีสาระสำคัญ ดังนี้ 1.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ไม่ได้มีแต่กาสิโน โดยกาสิโนจะเป็นพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งสถานบันเทิงครบวงจรที่ว่านี้ ยังมีในส่วนของโรงแรมระดับ 5 ดาว ศูนย์การประชุม ศูนย์จัดแสดงสินค้า สวนสนุก ร้านอาหาร เป็นต้น

“เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในรูปแบบใหม่และเพิ่มเติมรายได้เข้าประเทศ ในขณะเดียวกัน สถานบันเทิงครบวงจรจะเป็นการนำธุรกิจกาสิโนเข้ามาอยู่ในระบบอย่างมีมาตรฐานภายใต้การควบคุมของกฎหมาย และมีการจัดเก็บรายได้และภาษีอย่างถูกต้องรัฐยังสามารถใช้รายได้ที่จัดเก็บจากสถานบันเทิงครบวงจรเพื่อเยียวยาปัญหาการเสพติดการพนัน พัฒนาสังคมและชุมชนที่ได้รับผลกระทบ และปราบปรามการพนันผิดกฎหมายที่กระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน” รายงานระบุ

2.ตัวอย่างที่น่าสนใจจากหลายประเทศ หนึ่งในต้นแบบที่สำคัญคือ “สิงคโปร์” ที่พบว่าการมีสถานบันเทิงครบวงจรช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ อาทิ สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของประเทศประมาณร้อยละ 2 คิดเป็นมูลค่ากว่า 240,000 ล้านบาท นอกจากนั้นยังดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้กว่า 300,000 ล้านบาท มีการจ้างงานที่มีรายได้สูงมากกว่า 20,000 ตำแหน่ง และการเพิ่มรายได้ภาคการท่องเที่ยวมากกว่าร้อยละ 47 เมื่อเทียบกับช่วงที่ยังไม่มีสถานบันเทิงครบวงจร

เช่นเดียวกับการแก้ไขปัญหาธุรกิจผิดกฎหมายและปัญหาสังคมที่เกี่ยวข้อง การมีสถานบันเทิงครบวงจรในสิงคโปร์ ทำให้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการพนันมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง เช่น การพนันผิดกฎหมายได้ลดลงจากร้อยละ 2.1 ในปี 2548 เป็นร้อยละ 1.4 ในปี 2554 และเหลือเพียงร้อยละ 0.2 ในปี 2563 รวมถึงปัญหาการเสพติดการพนัน (Gambling Addiction) ก็ลดลงด้วยเช่นกัน ซึ่งการนำธุรกิจกาสิโนเข้าระบบอย่างมีมาตรฐานภายใต้การควบคุมของกฎหมาย ทำให้รัฐบาลสิงคโปร์สามารถจัดเก็บภาษีและนำเงินเข้ากองทุนเพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบได้

สิงคโปร์มีการตั้งหน่วยงาน Gambling Regulatory Authority of Singapore (GRA) มีอำนาจออกใบอนุญาตประกอบกิจการกาสิโนกำหนดหรือเปลี่ยนแปลงพื้นที่ที่อนุญาตให้ประกอบกิจการกาสิโน รวมไปถึงการกำกับดูแลเช่น ตรวจสอบผู้ได้รับใบอนุญาตว่ายังคงสามารถดำเนินกิจการได้ต่อไปหรือไม่ กำหนดให้คนที่จะเข้าไปทำงานบางตำแหน่งในกาสิโนต้องได้รับใบอนุญาตและห้ามผู้ประกอบการจ้างบุคคลที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานในบางตำแหน่งที่กำหนดไว้ดังกล่าว การห้ามผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเข้าไปใช้บริการ การแก้ไขปัญหาเสพติดการพนัน เป็นต้น

นอกจากสิงคโปร์แล้ว รายงานยังกล่าวถึงอีกหลายตัวอย่าง เช่น “มาเลเซีย” โดยมี The Genting Highlands of Pahang เป็นกาสิโนเพียงแห่งเดียวที่รัฐบาลมาเลเซียอนุญาตให้เปิดมีกฎระเบียบที่เข้มงวด คือ ผู้เล่นต้องมีอายุ 21 ปีขึ้นไป ซึ่งไม่อนุญาตให้ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามเข้าไปเล่นการพนัน ทั้งนี้ ธุรกิจการพนันในมาเลเซียดำเนินการ บริหารโดยบริษัทเอกชน ภายใต้กฎหมายการพนัน 8 ฉบับ โดยกาสิโนเกนติ้ง มีการเปิดบริการในรูปแบบของ Integrated Resort เป็นรีสอร์ทแบบครบวงจร มีโรงแรม สวนสนุก ห้างสรรพสินค้า โรงหนัง และกาสิโน

“สปป.ลาว” อนุญาตให้เปิดกาสิโนได้เฉพาะในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษเท่านั้น สถานกาสิโนที่เปิดบนพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษทั้งหมด เป็นรูปแบบ Integrated Resort หรือเป็นสถานบริการครบวงจร มีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวใน สปป.ลาว อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตว่า แม้จะมีกฎหมายห้ามชาวลาวเข้าไปเล่นการพนัน แต่ในทางปฏิบัติมีปัญหาด้านประสิทธิภาพการบังคับใช้ “เขตบริหารพิเศษมาเก๊า (จีน)” เศรษฐกิจพึ่งพาท่องเที่ยวและกาสิโนโดยมีสัดส่วนประมานร้อยละ 50 ของ GDPโดยรัฐจะใช้วิธีการให้สัมปทานแก่ผู้ประกอบการ

“ญี่ปุ่น” มีการออกกฎหมาย 2 ฉบับ คือกฎหมาย Act on Promotion of Development of Specified Integrated Resort Districts (Act No. 115 of December 26, 2016) ในปี 2559 เพื่อกำหนดหลักการพื้นฐานในการส่งเสริมนโยบายการพัฒนาพื้นที่สำหรับจัดตั้งสถานบันเทิงครบวงจร ประกอบไปด้วย กาสิโนศูนย์ประชุม สถานที่สันทนาการ สถานที่จัดการแสดง ที่อยู่อาศัย และสถานที่อื่นใดที่มีผลต่อการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยว ซึ่งทั้งหมดนี้ดำเนินการโดยภาคเอกชน แต่ในส่วนของการกำหนดสถานที่ตั้งนั้นจะเป็นอำนาจของภาครัฐ

โดยต้องคำนึงถึงหลักการพื้นฐานของการส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ ศักยภาพการแข่งขันในอุตสาหกรรมตลาดการท่องเที่ยวความเข้มแข็งของภาคเอกชน รวมถึงประโยชน์ในทางเศรษฐกิจที่ภูมิภาคนั้นจะได้รับ ตลอดจนการจัดสรรผลกำไรจากธุรกิจกาสิโนที่จะตอบแทนสู่สังคม และที่สำคัญการประกอบธุรกิจกาสิโนจะต้องอยู่ในการควบคุมและกำกับดูแลโดยรัฐ ภายใต้การกำหนดมาตรการที่เหมาะสม และกฎหมาย Act on Development of Specified Integrated Resort Districts (Act No. 80 of July 27, 2018) ในปี 2561 แยกออกเป็น 2 ส่วน

คือ ส่วนแรกเกี่ยวข้องกับการจัดตั้งสถานบันเทิงครบวงจร (Specified Integrated Resort) และอีกส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดตั้งและกำกับดูแลสถานกาสิโน ซึ่งในส่วนของกาสิโน ได้ขยายความหมายของ Specified Integrated Resort ว่าให้หมายความรวมถึงกลุ่มของสถานที่ที่ประกอบด้วยกาสิโนและสถานที่อื่นๆ ซึ่งก่อตั้งและดำเนินการเช่นเดียวกันโดยผู้ประกอบธุรกิจเอกชน เช่น สถานที่จัดประชุมนานาชาติ สถานที่จัดงานแสดงสินค้า สถานที่ซึ่งใช้ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวและใช้ในการแสดงศิลปะ วัฒนธรรมประเพณี และสถานที่อื่นๆ ตามคณะรัฐมนตรีกำหนด เป็นต้น

3.ผลที่อาจเกิดขึ้นหากอนุญาตให้มีสถานที่เล่นการพนันถูกกฎหมายในประเทศไทย ซึ่งมีทั้ง 2 ด้าน แบ่งเป็น “ผลประโยชน์เชิงบวก” ที่คาดว่าจะได้รับ อาทิ ทำให้สามารถควบคุมหรือกำกับดูแลการประกอบธุรกิจบางประเภทที่มีผลกระทบต่อประชาชนในภาพรวมได้ดีขึ้น เช่น ธุรกิจกาสิโน หรือการเล่นพนันถูกกฎหมาย ทำให้ประชาชนหันไปพึ่งพาการพนันที่ผิดกฎหมายน้อยลง เป็นการลดภาระของเจ้าหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามตามกฎหมาย

การช่วยลดปัญหาผู้มีอิทธิพล และลดปัญหาเงินตรารั่วไหลจากการที่ประชาชนนำเงินออกไปเล่นการพนันนอกประเทศ รวมถึงช่วยลดภาระด้านงบประมาณของประเทศที่ใช้ในการป้องกันแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วย กระตุ้นให้เกิดการลงทุนในประเทศ ทำให้อัตราการว่างงานของคนในพื้นที่ลดน้อยลง มีการเพิ่มอัตราการจ้างงาน ส่งผลให้ในภาพรวมประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นและมีความสามารถในการใช้จ่ายมากขึ้นทั้งในด้านการอุปโภค-บริโภค

รวมทั้งทำให้เกิดการสร้างงานสร้างอาชีพจากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อรองรับการเข้ามาของนักท่องเที่ยว ทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจจากทรัพยากรในพื้นที่ อันเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ส่งผลให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี และรัฐมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีได้มากขึ้น ทั้งจากค่าธรรมเนียม ค่าการอนุมัติ อนุญาต และภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการพัฒนาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศให้เติบโตได้ต่อไป

ประชาชนกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ ที่มีการจัดตั้งสถานบันเทิงครบวงจร อันได้แก่ กลุ่มเด็กและเยาวชน ในแง่ของผลดีจะเกิดการจ้างงานชั่วคราว (Part-time) ให้กับเด็กและเยาวชนในครอบครัวยากจนและขาดโอกาสให้มีงานทำ รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุและคนพิการ ในกรณีเป็นสถานบันเทิงขนาดใหญ่สามารถเกิดการจ้างงานคนพิการตามกฎหมาย ซึ่งถือเป็นการส่งเสริมอาชีพให้กับกลุ่มเปราะบางดังกล่าวได้ ตลอดจนเกิดการสร้างงานสร้างอาชีพในพื้นที่

ซึ่งย่อมส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ของบุคคลในครอบครัว ที่สมาชิกไม่จำเป็นต้องเคลื่อนย้ายออกไปหางานทำในพื้นที่อื่นๆ ช่วยให้ลดปัญหาการทะเลาะเบาะแว้งและการใช้ความรุนแรงในครอบครัวลงได้ในระดับหนึ่ง เกิดการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมทักษะเฉพาะด้านในโรงเรียนหรือสถานศึกษา เพื่อรองรับตลาดแรงงานฝีมือที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจในสถานบันเทิงครบวงจร อาทิ หลักสูตรการบริหารจัดการในธุรกิจเฉพาะด้าน หลักสูตรการเป็นผู้ปฏิบัติงานในธุรกิจกาสิโน หรือในธุรกิจบริการด้านอื่นๆ ในสถานบันเทิงนั้น เป็นต้น

แต่ก็มี “ผลกระทบเชิงลบ” ที่ต้องระมัดระวัง อาทิ อาจเป็นแหล่งฟอกเงินของธุรกิจที่ผิดกฎหมาย การกู้ยืมเงินนอกระบบ การค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์โดยการแสวงหาประโยชน์ทั้งทางแรงงานและทางเพศ ตลอดจนการค้าสินค้าหนีภาษี และเป็นบ่อเกิดของการคอร์รัปชั่น รวมถึงทำให้สุขภาพกาย สุขภาพจิตของประชาชนเสื่อมโทรม ทำให้รัฐต้องเสียประโยชน์ในการจัดเก็บรายได้จากการกระทำผิดกฎหมายดังกล่าวรวมถึงสูญเสียงบประมาณจำนวนมากในการแก้ไขฟื้นฟูและเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้น

หากรัฐไม่มีมาตรการควบคุมการเข้าใช้สถานบันเทิงครบวงจร และสถานกาสิโนอย่างเข้มงวดรัดกุมพอ อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสังคม เช่น ปัญหาการฉ้อโกง ปล้น ลักทรัพย์ รวมถึงการก่ออาชญากรรมประเภทต่างๆ ตลอดจนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาความรุนแรงในสถาบันครอบครัว และความเสื่อมทรามทางศีลธรรม ตามมาได้ หรือหากประชาชนเข้าไปใช้บริการในสถานบันเทิงแบบครบวงจรจนติดเป็นนิสัย อาจทำให้ไม่มีเงินหลงเหลือพอที่จะเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิต

หรือทรัพย์สินร่อยหลอลงจนเกิดเป็นปัญหาทางการเงินและการประกอบอาชีพ ซึ่งส่งผลสะท้อนกลับมายังภาครัฐในการแสวงหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา หรือกำหนดนโยบายด้านเศรษฐกิจเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน นอกจากนั้น การสร้างสถานบันเทิงแบบครบวงจร (และ/หรือกาสิโน) จะต้องมีการใช้พื้นที่ขนาดใหญ่ เพราะต้องประกอบไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ จึงอาจมีผลกระทบต่อระบบนิเวศจากการปรับปรุงสภาพแวดล้อมของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ที่จะก่อสร้าง เช่น การตัดไม้ทำลายป่า มลภาวะจากฝุ่นละออง

รวมถึงมลพิษตามแหล่งน้ำจากสิ่งปฏิกูลมูลฝอย และสารเคมีที่ก่อให้เกิดการปนเปื้อนในแหล่งน้ำ สำหรับใช้อุปโภคและบริโภค ส่วนการเปิดใช้สถานบันเทิงครบวงจรหรือกาสิโนดังกล่าว อาจมีปัญหาเรื่องมลภาวะทางเสียงรบกวนและการสั่นสะเทือนจากการแสดงดนตรี การเปิดเพลงเสียงดังของสถานบันเทิง การรวมกลุ่มมั่วสุม การดื่มสุรา ซึ่งเหล่านี้ย่อมส่งผลกระทบต่อการพักผ่อนและความปลอดภัยของประชาชนหรือผู้สูงอายุและ กลุ่มผู้เปราะบาง เช่น ผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ที่ต่างอาศัยในเขตพื้นที่ใกล้เคียงกับสถานบันเทิงครบวงจร

สถานบันเทิงครบวงจรอาจกลายเป็นศูนย์รวมอบายมุขและแหล่งอาชญากรรม โดยเฉพาะผลกระทบที่จะเกิดกับเด็กและเยาวชนที่อยู่ในวัยของการศึกษาเล่าเรียน เช่น ทำให้ไม่สนใจการเรียน ขาดเรียนบ่อย และผลการเรียนตกต่ำ รวมถึงปัญหาเรื่องสุขภาพของเด็กวัยเรียนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเสพติด เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพจิตตามมา

รวมถึงผลกระทบทางอ้อมอันเนื่องจากพ่อแม่ผู้ปกครองไม่มีเวลาเอาใจใส่หรือส่งเสริมสนับสนุนด้านการศึกษาและการเรียนรู้ของเด็ก ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการด้านความคิด อารมณ์ และการเรียนรู้ ของเด็กและเยาวชนได้ ไปจนถึงอาจเป็นการสร้างค่านิยมที่ผิดให้กับประชาชน จากการเห็นคนที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขในสถานบันเทิงครบวงจร หรือเล่นการพนันในกาสิโนได้ มีเงินใช้จ่ายใช้สอยอย่างฟุ่มเฟือย จนเกิดการเอาอย่างขึ้น รวมถึงสร้างนิสัยเกียจคร้านในกิจการงานอย่างอื่น ไม่สนใจจะประกอบอาชีพตามอย่างที่สุจริตชนทั่วไปพึงทำ

ทั้งนี้ ในวันที่ 9 เม.ย. 2567 ที่ ครม. รับทราบคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร ยังมีข้อสรุปให้กระทรวงการคลังไปศึกษาความเป็นไปได้ และนำกลับมาเสนอต่อ ครม. ภายใน 30 วัน (คาดว่าประมาณวันที่ 9 พ.ค. 2567)!!!

หมายเหตุ : อ่าน “รายงานผลการพิจารณาศึกษา เรื่อง ศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) เพื่อแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมายและเพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจของประเทศ” ฉบับเต็ม ได้ที่ https://pis.parliament.go.th/PARFileDownloadProxy/download?s=2oD9r1NHOHqSHgwDMDUS8vNwfdU3U5NMZlYAVizbBcn7e1EiU13vPJRT0ATtRnYc11HrVKL_0B0XBuKPan25Dx_1H7rrP9m0ZAVOeJ6HDHDj1GsJDFMIourKHUTFeJdRJdAutiAuyfY5tdiOWZn7ai6ppMo8urgS4gw=&ref=4997762&n=1

สกู๊ปแนวหน้า : จาก‘คลองเตยสตรีท’ถึง‘สลัมยิม’ ใช้‘กีฬามวย’เปลี่ยนภาพจำ‘ชุมชนแออัด’

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/792707

สกู๊ปแนวหน้า : จาก‘คลองเตยสตรีท’ถึง‘สลัมยิม’ ใช้‘กีฬามวย’เปลี่ยนภาพจำ‘ชุมชนแออัด’

สกู๊ปแนวหน้า : จาก‘คลองเตยสตรีท’ถึง‘สลัมยิม’ ใช้‘กีฬามวย’เปลี่ยนภาพจำ‘ชุมชนแออัด’

วันพุธ ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2567, 07.15 น.

“ผมมาทำค่ายมวย ก็อยากส่งเสริมเด็กที่ยากจนหรือที่ชอบ จะได้มีอาชีพ ได้ทำตามความฝันลดภาระพ่อแม่ หลีกไกลยาเสพติดอะไรแบบนี้ที่มันเป็นพื้นฐานของคนสลัมที่เขามองไม่ดี คำว่าคลองเตยส่วนมากเขาจะพูดในแง่ลบ “มาจากไหน? จากคลองเตยหรอ? โห!..ไม่อยากรับทำงานเลย เคยติดคุกมาหรือเปล่า? ติดยาหรือเปล่า?” อะไรแบบนี้ มันถูกมองในมุมไม่ดีผมเลยใช้คำว่า “สลัมยิม” มันจะได้ครอบคลุม เหมือนคนจนทุกชุมชนที่โดนเหยียด สลัมยิมมันก็คือยิมของคนจนๆ ในชุมชนแออัดอยู่แล้ว เพื่อจะให้ต่อยอดเด็กๆ ได้”

อดิศร ทองสุกใส หรือที่หลายคนรู้จักในฉายา “ตั้ม สลัม” ชายวัย 43 ปี บอกเล่ากับผู้สื่อข่าวด้วยน้ำเสียงที่ด้านหนึ่งฟังแล้วดู “ตัดพ้อ” กับสิ่งที่คนภายนอกมองเข้ามายัง “ชาวสลัม” ชุมชนแออัด ซึ่ง “ภาพจำ” ล้วนมีแต่ “แง่ลบ” เต็มไปด้วยความรู้สึก “หวาดกลัว – หวาดระแวง” ไม่ไว้วางใจ แต่อีกด้านหนึ่ง น้ำเสียงเดียวกันนี้ก็สัมผัสได้ถึง “ความหวัง” และ “ความมุ่งมั่น”ของชายผู้นี้ที่ตั้งใจจะ “เปลี่ยนภาพลักษณ์” ของชุมชนแออัด ว่าที่นี่ก็สามารถเป็น “พื้นที่สร้างสรรค์” ได้เช่นกัน โดยใช้ “กีฬามวยไทย” สร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กและเยาวชนในชุมชน

แต่ก่อนจะมาถึงการก่อตั้ง “สลัมยิม” ค่ายมวยเล็กๆ ในพื้นที่แห่งหนึ่งของ “ชุมชนคลองเตย” ชุมชนแออัดที่ใหญ่โตและเก่าแก่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทย “ตั้ม – อดิศร” พร้อมกับพรรคพวก ได้จัดกิจกรรมหนึ่งขึ้นมาคือ “คลองเตย สตรีท (Khlong Toei Street)” เพื่อให้คนที่ต้องการ “วัดฝีมือ – วัดเชิงมวย”ได้มาปลดปล่อยระบายกันบนสังเวียนซึ่งผู้สื่อข่าวติดตามกิจกรรมนี้มาสักพักแล้ว ดังนั้น เมื่อทราบว่ามีการต่อยอดสร้างค่ายมวยขึ้น จึงไม่ลังเลที่จะติดต่อผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Khlong Toei Street” เพื่อขอสัมภาษณ์

ช่วงเย็นของวันอาทิตย์ที่ 10 มี.ค. 2567 ผู้สื่อข่าวเดินทางจากสำนักงานย่านหลักสี่ ไปพบกับคุณตั้มที่ค่ายสลัมยิม หรือเดิมคือ “ค่าย 96 ปีนังยิม (96 Penang Gym)” ซึ่งตั้งอยู่บริเวณถนนท่าเรือ 1แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพฯค่ายมวยแห่งนี้ตั้งอยู่ใต้ทางด่วนเส้นทางพิเศษเฉลิมมหานคร หรืออยู่ด้านหลังสนาม PAT Stadiumรังเหย้าของสโมสรฟุตบอลการท่าเรือแห่งประเทศไทย ทีมกีฬาที่ว่ากันว่าเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวคลองเตยมาช้านาน

คุณตั้มเล่าว่า กิจกรรมคลองเตยสตรีท เกิดจากการได้ติดตามกิจกรรมแบบเดียวกันที่จัดขึ้นมาก่อนหน้าอย่าง “ไฟท์คลับ ไทยแลนด์ (Fight Club Thailand)” และ “สตรีทไฟท์ ไทยแลนด์ (Street Fight Thailand)” ซึ่งรายการหลังนี้ยังมีโอกาสได้ร่วมขึ้นสังเวียนด้วยตนเองถึง 2 ครั้ง อย่างไรก็ตาม ลูกชายของตนมองว่าตนก็อายุมากแล้วไม่อยากให้ชกมวยอีก บวกกับเริ่มรู้จักกับทีมงาน ก็เปรยๆ กันว่า “อยู่คลองเตยก็อยากมีกีฬาแบบนี้บ้าง ไม่เคยมีใครมาจัดแถวนี้เลย” นำไปสู่การจัดกิจกรรมคลองเตยสตรีทขึ้น

อย่างไรก็ตาม คุณตั้มยอมรับว่า “กิจกรรมคลองเตยสตรีทครั้งแรกล้มเหลวไม่เป็นท่า” ครั้งนั้นจัดขึ้นที่โดมของแฟลต 16 แต่ด้วยความที่ตนไม่มีความรู้เรื่องการจัดมวยมาก่อนประกอบกับคลองเตยสตรีทครั้งแรกก็ได้รับความสนใจอย่างมากแล้ว ด้วยจำนวนผู้ที่สมัครขึ้นชกราว60-70 คู่ หรือร้อยกว่าคน ยังไม่นับบรรดากองเชียร์หรือผู้เข้าชมที่มากกว่าพันคน นำไปสู่เหตุกระทบกระทั่งกันจนต้องยุติกิจกรรมในครั้งนั้นลงแบบไม่สามารถจัดชกได้ครบทุกคู่

“พอเกิดเรื่อง ผมไม่สามารถไปขอสถานที่ในชุมชนจัดได้เลย เพราะเขากลัวมีเรื่อง ก็เลยต้องอาศัยยิมของเพื่อนที่รู้จักกัน อย่างย่านอ่อนนุช เขาก็อนุเคราะห์ให้ แล้วก็ขอจัดรอบนอกๆ ก่อน จนผู้หลักผู้ใหญ่เริ่มเชื่อใจแล้วก็เลยก็เขยิบเข้ามาจัดในคลองเตยเหมือนเดิม น่าจะประมาณครั้งที่ 5 หรือ 6 กระแสตอบรับดีมากและมีความเรียบร้อยมากขึ้น ได้ทีมงานของพวกเราในคลองเตยช่วยกันดูแล เหมือนหัวโจกตามชุมชน ก่อนจัดเราก็ได้ไปคุยกับเขาขอความร่วมมือเขา “พี่ครับ!..มาดูแลน้องๆ หน่อยนะ” ขอความอนุเคราะห์เขามาช่วยดูแลน้องๆ” คุณตั้ม กล่าว

หลังจากที่ต้องไปจัดภายนอกชุมชนอยู่พักใหญ่ มีทั้งไปขอใช้พื้นที่วัดที่ห่างไกลจากย่านคลองเตยพอสมควร รวมถึงไปจัดในย่านศูนย์กลางวัยรุ่นไทยอย่างสยามสแควร์ก็เคยมาแล้ว ในที่สุดคลองเตยสตรีทก็ได้กลับมาลงหลักปักฐานในย่านคลองเตยเช่นเดิม อย่างไรก็ตาม ช่วงแรกๆ ที่กิจกรรมถูกจัดขึ้น คลองเตยสตรีท ก็ไม่ต่างจาก 2 กิจกรรมที่เป็นแรงบันดาลใจอย่างไฟท์คลับไทยแลนด์และสตรีทไฟท์ไทยแลนด์ ที่จะต้อง “ตอบคำถามจากสังคม” ที่มองเข้ามาใน 2 ประเด็น คือ

1.ส่งเสริมความรุนแรงหรือไม่? ท่ามกลางกระแสที่ว่า การตัดสินกันด้วยกำลังไม่ใช่คำตอบของโลกสมัยใหม่ที่มีอารยะ เวทีทำนองนี้เท่ากับสวนกระแสหรือเปล่า? ซึ่งเรื่องนี้ ตั้ม-อดิศร กล่าวว่า เรื่องนี้มองได้หลายมุม หากคิดว่าส่งเสริมความรุนแรง กีฬามวยทั่วโลกก็ล้วนใช้ความรุนแรงกันอยู่แล้ว แต่ในอีกมุมหนึ่ง การส่งเสริมให้เด็กที่ไม่ได้ชกมวยเป็นอาชีพแต่อยากฝึกซ้อมมวย ได้มาชกกันในสถานที่ที่ถูกต้อง มีการสมัครและประกบคู่ มีกฎกติกา มีกรรมการตัดสิน มีทีมงานดูแลความปลอดภัย ตนมองว่ากิจกรรมนี้เป็นกีฬา ไม่ได้ส่งเสริมความรุนแรงแต่อย่างใด

กับ 2.เรื่องการดูแลความปลอดภัยผู้เข้าร่วมกิจกรรมในเมื่อไม่ใช่สนามมวยมาตรฐานแล้วมีความพร้อมจริงหรือ? เรื่องนี้ก็เป็นอีกมุมที่ยอมรับในข้อกังวล ทางทีมงานคลองเตยสตรีทจึงประสานทีมฉุกเฉิน ซึ่งก็จะเป็นทีมอาสากู้ชีพ-กู้ภัย จากมูลนิธิต่างๆ ที่มีความชำนาญ นอกจากนั้นยังมีทีม “เซฟแมน (Safeman)” ที่เป็นอดีตนักมวยหรือเป็นเทรนเนอร์มวย มาร่วมดูแลผู้สมัครขึ้นสังเวียน ทั้งหมดเป็นการ “ถอดบทเรียน” จากความผิดพลาดหรือปัญหาที่พบในการจัดกิจกรรมครั้งก่อนๆ แล้วค่อยๆ ปรับปรุงพัฒนามาตามลำดับ

“ตอนที่ผมจัดคลองเตยสตรีท ผมเหมือนกับช่วยลดความรุนแรง เพราะผมจะประกาศว่าใครมีเรื่องอะไรกันให้มาเคลียร์กันที่นี่ เดี๋ยวจัดการเป็นตัวกลางให้จะได้หยุดไปตีรันฟันแทง ให้มาต่อยกันแบบแมนๆ ลูกผู้ชาย แล้วก็ให้เด็กได้มาออกกำลังกาย เนื่องจากกัญชาก็เสรี น้ำกระท่อมเสรี ภาพที่เห็นก็คือต้มน้ำกระท่อม ไม่ได้ออกกำลังกาย กินกันเมากัน ก็ช่วยหยุดพวกนี้ได้ส่วนหนึ่ง”คุณตั้ม ระบุ

ตั้ม-อดิศร เล่าต่อไปว่า ส่วนการตัดสินใจตั้งค่ายมวยสลัมยิมเกิดจากเมื่อเริ่มจัดกิจกรรมคลองเตยสตรีท ก็มีเด็กบางคนเดินมาบอกตนว่าอยากเป็นนักมวยอาชีพ อยากฝึกซ้อมจริงๆ จังๆ แต่ขาดสถานที่ ตนจึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับ “ครูอ๊อด บัวใหญ่”ครูมวยท่านหนึ่งซึ่งเป็นชาว อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา และเคยทำค่ายมวยที่นี่ต่อจากค่าย 96 ปีนัง แต่ได้หยุดทำไปในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19

กระทั่งหลังจากพูดคุยกันทางโทรศัพท์ ครูอ๊อดก็ให้กำลังใจ บอกว่าสนับสนุนเต็มที่และให้ทำได้เลย เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้มีพื้นที่ออกกำลังกาย มีวิชามวยไว้ป้องกันตัวและห่างไกลจากการมั่วสุมเสพยาเสพติด เพราะต้องยอมรับว่าเด็กๆ ในชุมชนย่านคลองเตยโดยมากมาจากครอบครัวยากจน และหลายคนก็ไม่ได้เรียนหนังสือ การมีค่ายมวยอาจเป็นโอกาสให้เด็กและเยาวชนเหล่านี้ได้ต่อยอดเป็นอาชีพยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของตนเองและครอบครัวได้ในอนาคต ตนจึงเข้ามาทำให้ค่ายมวยแห่งนี้ที่เคยร้างไปในช่วงโควิด กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

“ช่วงนี้กระแสมวยบูม มีไอดอลอยากจะเป็นรถถัง (รถถัง จิตรเมืองนนท์) อยากจะเป็นตะวันฉาย (ตะวันฉาย พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม) ช่วงนี้เราก็พยายามไปขอสปอนเซอร์ ขอสนับสนุนนวมบ้าง ขอเป้าบ้าง เพราะผมก็เป็นพนักงานประจำ ทำงานประจำไม่ได้ร่ำรวยอะไร ก็ค่อยๆ พัฒนาปรับปรุงไปเรื่อยๆ ตอนนี้ก็มีของเพจลงนวมบอยส์ (LONG NUAMBOYZ) เขาก็สนับสนุนนวมมาให้ 10 คู่ ก็ได้นวมมา ตอนนี้กำลังติดต่อไปทางทวินส์ (Twins) เขาก็รับเรื่องแล้วแต่ยังไม่ทราบจะได้อุปกรณ์อะไรบ้าง ขอกลับไปเสนอก่อน” ตั้ม-อดิศร กล่าว

ระหว่างที่กำลังพูดคุยกับคุณตั้ม “ไตตั้น-องอาจ ทองสุกใส”ลูกชายวัย 22 ปี ของคุณตั้ม ซึ่งเคยชกมวยไทยอาชีพ และปัจจุบันได้มาช่วยคุณพ่อเป็นเทรนเนอร์มวยให้กับน้องๆ ในค่ายสลัมยิม ก็ได้มาร่วมพูดคุยด้วย โดยกล่าวเพิ่มเติมว่ารู้สึกดีกับการเปิดค่ายมวยแห่งนี้ขึ้นตนก็ได้ช่วยสอนเด็กๆ ชกมวย ซึ่งจริงๆ ตนก็อยากทำค่ายมวยอยู่แล้วพอคุณพ่อเริ่มโครงการจึงได้เข้ามาช่วย

ซึ่งก็ต้องบอกว่า พื้นที่แห่งนี้ก็เป็นค่ายมวยเปิดมานานแล้ว ตนก็เห็นมาตั้งแต่เด็กๆ ส่วนโครงการเข้ามาฟื้นฟูค่ายมวยที่คุณพ่อทำนั้น เพิ่งเริ่มต้นได้เพียงสัปดาห์เศษๆ เท่านั้น แต่ก็ได้รับเสียงตอบรับที่ดีอย่างมีวันหนึ่งมีเด็กๆ เข้ามาฝึกซ้อมมากถึง 26 คน โดยตนก็จะชวนเพื่อนๆ ที่เป็นนักมวยด้วยกันมาช่วยฝึกสอน ในเบื้องต้นคือให้เด็กมีกิจกรรมออกกำลังกาย ส่วนในอนาคตก็กำลังมองหาเด็กที่มีแววเพื่อส่งเข้าแข่งขันต่อไปเพื่อให้เด็กๆ มีรายได้

กลับมาที่คุณตั้ม ด้วยความที่บนเพจ Khlong Toei Street มีโพสต์หนึ่งระบุว่า “สลัมยิม (ค่าย96ปีนังเก่า) เปิดสอนมวยไทย เด็ก ผู้ใหญ่ สอนหมด ฟรี” ผู้สื่อข่าวจึงอดที่จะถามไม่ได้ว่า “จะบริหารจัดการค่ายกันไหวไหม?” เพราะเมื่อหันไปมองค่ายมวยทั้งแบบเปิดโล่งและติดแอร์ ไม่ว่าที่ใดก็ล้วนมีค่าใช้จ่ายที่ไม่น้อย ซึ่ง ตั้ม-อดิศร หรือ ตั้ม สลัม ได้ตอบคำถามนี้ว่า “ขอใช้ทุนตนเองทำไปก่อน” เผื่อวันหนึ่งจะมีผู้หลักผู้ใหญ่ที่ใจดีเห็นแล้วเข้ามาสนับสนุน

“ถ้าเราไม่เริ่มเลย โปรเจกท์นี้ยิมนี้ ค่ายนี้ ไม่มีวันเกิดแน่นอน ถ้าเรายังห่วงว่าต้องไปของบเขามาทำ หรือรอคนมาสนับสนุนคงไม่ได้ทำแน่นอน ผมก็ว่าทำด้วยใจรัก ทำไปก่อน ใครมาสนับสนุนถือว่าเป็นโชคดีของผม – ของค่าย”คุณตั้ม กล่าวทิ้งท้าย

หมายเหตุ : ชมคลิปวีดีโอได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=m_XEL1XObj0

บัญชา จันทร์สมบูรณ์ (เรื่อง/ภาพ)