สลด นร.วัย 15 ปี ใช้มีดก่อเหตุในรร.กรุงมอสโก ของรัสเซีย เด็ก 10 ขวบเสียชีวิต ตร.เร่งสอบแรงจูงใจ

สลด นร.วัย 15 ปี ใช้มีดก่อเหตุในรร.กรุงมอสโก ของรัสเซีย เด็ก 10 ขวบเสียชีวิต ตร.เร่งสอบแรงจูงใจ

17 ธ.ค. 2568 08:38 น.

สลด นร.วัย 15 ปี ใช้มีดก่อเหตุในรร.กรุงมอสโก ของรัสเซีย เด็ก 10 ขวบเสียชีวิต ตร.เร่งสอบแรงจูงใจ

เกิดเหตุสะเทือนขวัญ นักเรียนวัย 15 ปี ใช้มีดแทงเด็ก 10 ขวบเสียชีวิต บาดเจ็บอีกอย่างน้อย 2 ราย ในโรงเรียนย่านตะวันตกของกรุงมอสโก รัสเซีย ทางการรัสเซียเร่งสอบแรงจูงใจ

วันที่ 16 ธันวาคม 2568 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธมีดไล่แทงผู้คนภายในโรงเรียนแห่งหนึ่งในพื้นที่โอดินต์โซโว ชานกรุงมอสโก ของรัสเซีย ส่งผลให้เด็กชายวัย 10 ปี เสียชีวิต และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 2 ราย

คณะกรรมการสอบสวนรัสเซียระบุว่า ผู้ก่อเหตุเป็นนักเรียนชายวัย 15 ปี ของโรงเรียนแห่งนี้ โดยเริ่มจากการทำร้ายเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่บริเวณทางเดิน ก่อนใช้อาวุธมีดแทงเด็กชายวัย 10 ปี บริเวณลำคอจนเสียชีวิต และทำร้ายพนักงานโรงเรียนอีกราย ก่อนเกิดเหตุ ผู้ต้องสงสัยยังถูกระบุว่าได้ส่งข้อความลักษณะเป็นแถลงการณ์ไปยังเพื่อนร่วมชั้น มีเนื้อหาแสดงความเกลียดชังต่อชนกลุ่มต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ทางการยังไม่ยืนยันข้อมูลนี้อย่างเป็นทางการ

เจ้าหน้าที่เผยว่า ผู้ต้องสงสัยให้การรับสารภาพแล้ว และถูกควบคุมตัวเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย ขณะที่สื่อท้องถิ่น รายงานว่า ผู้ก่อเหตุอาจได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุกราดยิงในโรงเรียนโคลัมไบน์ ของสหรัฐฯ เมื่อปี 2542

ทั้งนี้ รัสเซียเคยเผชิญเหตุรุนแรงในโรงเรียนหลายครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยหลังเหตุกราดยิงในเมืองคาซาน เมื่อปี 2564 ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ได้สั่งเข้มงวดกฎหมายควบคุมอาวุธปืน และปราบปรามขบวนการเลียนแบบเหตุรุนแรงในสถานศึกษาอย่างจริงจัง.

ที่มา The New York Times

คนวัยหนุ่มสาวเกาหลีใต้ลดเหลือกว่า 10 ล้านคน เหตุสังคมสูงวัย-อัตราเกิดต่ำเรื้อรัง

คนวัยหนุ่มสาวเกาหลีใต้ลดเหลือกว่า 10 ล้านคน เหตุสังคมสูงวัย-อัตราเกิดต่ำเรื้อรัง

17 ธ.ค. 2568 08:25 น.

คนวัยหนุ่มสาวเกาหลีใต้ลดเหลือกว่า 10 ล้านคน เหตุสังคมสูงวัย-อัตราเกิดต่ำเรื้อรัง

ประชากรวัยหนุ่มสาวของเกาหลีใต้ลดลงต่อเนื่องตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ท่ามกลางจำนวนประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้นและอัตราการเกิดที่อยู่ในระดับต่ำเรื้อรัง 

กระทรวงข้อมูลและสถิติของเกาหลีใต้เปิดเผยว่าสัดส่วนประชากรวัยหนุ่มสาวของเกาหลีใต้ลดลงต่อเนื่องตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ท่ามกลางจำนวนประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้นและอัตราการเกิดที่อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง โดยจำนวนประชากรอายุ 19-34 ปี อยู่ที่ 10,404,000 คน ในปี 2024 คิดเป็นร้อยละ 20.1 ของประชากรทั้งหมด

สัดส่วนของกลุ่มประชากรวัยหนุ่มสาวต่อประชากรทั้งหมดลดลงอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ 28.0 ในปี 2000 เหลือร้อยละ 22.9 ในปี 2010 และร้อยละ 21.1 ในปี 2020

สัดส่วนผู้ชายอายุ 30-34 ปีที่ยังไม่แต่งงานพุ่งสูงจากร้อยละ 28.1 ในปี 2000 เป็นร้อยละ 74.7 ในปี 2024 ขณะที่สัดส่วนผู้หญิงในช่วงอายุเดียวกันที่ยังไม่แต่งงาน เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10.7 เป็นร้อยละ 58.0 ส่วนกลุ่มผู้ชายอายุ 25-29 ปีที่ยังไม่แต่งงานเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 71.0 เป็นร้อยละ 95.0 และผู้หญิงอายุ 25-29 ปีที่ยังไม่แต่งงาน เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 40.1 เป็นร้อยละ 89.2

อัตราการเผชิญภาวะหมดไฟ (burnout) ในกลุ่มประชากรวัยหนุ่มสาวซึ่งรู้สึกอ่อนล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจ ลดลงเล็กน้อยจากร้อยละ 33.9 ในปี 2022 เหลือร้อยละ 32.2 ในปี 2024 ขณะที่อัตราการฆ่าตัวตายในกลุ่มคนวัยหนุ่มสาวอยู่ที่ 24.4 ราย ต่อประชากร 100,000 คน ในปี 2024 โดยยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นปีที่สองติดต่อกัน จาก 22.0 ในปี 2022

สำหรับกลุ่มอายุ 15-29 ปี ผู้ชายมีอัตราการมีงานทำร้อยละ 43.7 และผู้หญิงร้อยละ 48.4 ในปี 2024 ขณะที่กลุ่มอายุ 30-34 ปี ผู้ชายมีอัตราการมีงานทำร้อยละ 86.6 และผู้หญิงร้อยละ 73.5

ส่วนอัตราการว่างงานแบบกว้าง (expanded jobless rate) ซึ่งหมายถึงสัดส่วนของผู้ที่ทำงานน้อยกว่า 36 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ที่ต้องการทำงานเพิ่ม ผู้ที่ไม่พร้อมทำงานในช่วงระยะเวลาสำรวจ และผู้ที่ไม่ได้หางานอย่างจริงจังแต่พร้อมที่จะทำงาน ในกลุ่มอายุ 15-29 ปี พุ่งสูงสุดที่ร้อยละ 25.1 ในปี 2020 ก่อนจะลดลงอย่างต่อเนื่องจนเหลือร้อยละ 23.1 ในปี 2021 ร้อยละ 19.0 ในปี 2022 ร้อยละ 16.6 ในปี 2023 และร้อยละ 15.6 ในปี 2024.

ที่มา: ซินหัว

คลิกอ่านข่าวเกี่ยวกับ เกาหลีใต้

ฮือฮา อิตาลีพบรอยเท้าไดโนเสาร์หลายพันรอย อายุ 210 ล้านปี

ฮือฮา อิตาลีพบรอยเท้าไดโนเสาร์หลายพันรอย อายุ 210 ล้านปี

17 ธ.ค. 2568 05:50 น.

ฮือฮา อิตาลีพบรอยเท้าไดโนเสาร์หลายพันรอย อายุ 210 ล้านปี

เจ้าหน้าที่ในอิตาลีพบกลุ่มรอยเท้าไดโนเสาร์จำนวนหลายพันรอย ภายในอุทยานแห่งชาติทางตอนเหนือของประเทศ โดยผู้เชี่ยวชาญระบุว่า รอยที่พบแสดงให้เห็นพฤติกรรมหลายอย่าง

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า มีการค้นพบรอยเท้าไดโนเสาร์จำนวนหลายพันรอย ซึ่งมีอายุย้อนกลับไปถึง 210 ล้านปี ในอุทยานแห่งชาติทางตอนเหนือของอิตาลี ซึ่งบางรอยมีเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 40 ซม. เรียงตัวเป็นแนวขนานกัน และหลายรอยแสดงให้เห็นร่องรอยของนิ้วเท้าและเล็บที่ชัดเจน

เชื่อกันว่าไดโนเสาร์เหล่านี้เป็นกลุ่มโปรซอโรพอด (prosauropods) ซึ่งเป็นสัตว์กินพืชที่มีคอยาว หัวเล็ก และมีเล็บที่แหลมคม มีความยาวได้ถึง 10 เมตร เดินด้วยสองขา แต่รอยเท้าที่พบบางจุด ปรากฏรอยมืออยู่ด้านหน้ารอยเท้า บ่งชี้ว่าพวกมันอาจหยุดพักและวางขาหน้าลงบนพื้น

นายคริสเตียโน ดาล แซสโซ นักบรรพชีวินวิทยาจากเมืองมิลานกล่าวว่า “ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เจอกับการค้นพบที่น่าตื่นตาตื่นใจเช่นนี้ในภูมิภาคที่ผมอาศัยอยู่”

เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ช่างภาพคนหนึ่งได้สังเกตเห็นรอยเท้าเหล่านี้ทอดยาวหลายร้อยเมตรบนหน้าผา ทอดตัวในแนวตั้ง ภายในอุทยานแห่งชาติสเตลวิโอ (Stelvio National Park) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองมิลาน

ในช่วงยุคไทรแอสซิก (Triassic period) ซึ่งอยู่ระหว่างประมาณ 250 ถึง 201 ล้านปีที่แล้ว หน้าผาแห่งนี้เคยเป็นที่ราบน้ำขึ้นน้ำลง ก่อนที่ต่อมาได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาแอลป์

“สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยไดโนเสาร์ มันคือสมบัติทางวิทยาศาสตร์อันมหาศาล” นาย ดาล แซสโซ กล่าว และเสริมว่า ฝูงไดโนเสาร์เคลื่อนที่อย่างสอดคล้องกัน และยังมีร่องรอยของพฤติกรรมที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น กลุ่มสัตว์รวมตัวกันเป็นวงกลม ซึ่งอาจเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการป้องกันตัว

ด้านนาย เอลิโอ เดลลา แฟร์เรรา ช่างภาพผู้ค้นพบสถานที่ดังกล่าวเผยว่า เขาหวังว่าการค้นพบนี้จะกระตุ้นให้เราทุกคนได้ตระหนักว่าเรารู้จักสถานที่ที่เราอาศัยอยู่ บ้านของเรา ดาวเคราะห์ของเรา น้อยเพียงใด

ทั้งนี้ ตามข่าวประชาสัมพันธ์จากกระทรวงวัฒนธรรมของอิตาลี พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ห่างไกลและไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยเส้นทางเดินเท้า ดังนั้นจะมีการใช้โดรนและเทคโนโลยีสำรวจระยะไกลแทน

อุทยานแห่งชาติสเตลวิโอตั้งอยู่ในหุบเขาฟราเอเล (Fraele valley) ใกล้พรมแดนอิตาลี-สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นบริเวณใกล้เคียงกับสถานที่จัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวในปีหน้า

กระทรวงวัฒนธรรมของอิตาลีระบุว่า “มันราวกับว่าประวัติศาสตร์ต้องการแสดงความเคารพต่อการแข่งขันกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก โดยการรวมอดีตและปัจจุบันเข้าไว้ด้วยกัน ในการส่งไม้ต่อเชิงสัญลักษณ์ระหว่างธรรมชาติกับกีฬา”

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : bbc

สหรัฐฯ ยืนยัน ลูกชาย “ร็อบ ไรเนอร์” ถูกตั้งข้อหา ฆาตกรรมพ่อแม่ตัวเอง

สหรัฐฯ ยืนยัน ลูกชาย “ร็อบ ไรเนอร์” ถูกตั้งข้อหา ฆาตกรรมพ่อแม่ตัวเอง

17 ธ.ค. 2568 04:58 น.

สหรัฐฯ ยืนยัน ลูกชาย “ร็อบ ไรเนอร์” ถูกตั้งข้อหา ฆาตกรรมพ่อแม่ตัวเอง

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ยืนยันว่า นิก ไรเนอร์ ลูกชายของ ร็อบ ไรเนอร์ ผู้กำกับชื่อดัง ถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมระดับ 1 จำนวน 2 กระทง ฐานสังหารพ่อและแม่ของตัวเอง

เมื่อ 16 ธ.ค. 2568 อัยการสหรัฐฯ เปิดเผยว่า นิก ไรเนอร์ ลูกชายของ ร็อบ ไรเนอร์ ผู้กำกับภาพยนตร์ระดับตำนานของฮอลลีวูด และ มิเชล ซิงเกอร์ ไรเนอร์ จะถูกตั้งข้อหา ฆาตกรรมระดับ 1 ภายใต้สถานการณ์พิเศษจำนวน 2 กระทง หลังจากที่พ่อกับแม่ของเขาถูกพบเป็นศพที่บ้านพักในนครลอสแอนเจลิส ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (14 ธ.ค.)

นายนาธาน ฮอคแมน อัยการเขตลอสแอนเจลิส เคาน์ตี เป็นผู้ประกาศเรื่องข้อหาดังกล่าว ระหว่างการแถลงข่าวในวันอังคาร โดยย้ำว่า ข้อหาฆาตกรรมที่ นิก ไรเนอร์ วัย 32 ปี เผชิญนั้น มีโทษสูงสุดคือจำคุกตลอดชีวิตโดยไม่มีสิทธิ์ได้รับการทำทัณฑ์บนเพื่อขอปล่อยตัวก่อนกำหนด และอาจมีโทษประหารชีวิตด้วย

ร็อบ ไรเนอร์ กับ มิเชล ภรรยา
ร็อบ ไรเนอร์ กับ มิเชล ภรรยา

อัยการรายนี้ระบุว่า เจ้าหน้าที่เชื่อว่านี่เป็นอาชญากรรมที่ใช้มีดเป็นอาวุธ และการดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับสมาชิกในครอบครัวเป็น “หนึ่งในคดีที่ท้าทายและสะเทือนใจที่สุด” ที่สำนักงานของเขาเคยเผชิญ

นายฮอคแมนย้ำด้วยว่า ประชาชนควรรับทราบข่าวสารเกี่ยวกับคดีนี้จากแหล่งข้อมูลที่เป็นทางการเท่านั้น “โปรดอย่าอาศัยการคาดเดา ข่าวลือ หรือฟังมา เพื่อคิดว่าคุณเข้าใจสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นในคดีนี้”

จากนั้น จิม แมคดอนเนลล์ ผู้บัญชาการตำรวจนครลอสแอนเจลิส (LAPD) ขึ้นแถลงข่าวต่อและประกาศว่า ได้มีการยื่นฟ้องนาย นิก ไรเนอร์ แล้วและกล่าวแสดงความเสียใจต่อทุกคนที่ได้รับผลกระทบ

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ไม่เปิดเผยว่าพวกเขาจับกุมตัวนาย นิก ไรเนอร์ ได้อย่างไร โดยระบุว่าจะไม่เปิดเผยรายละเอียดที่อาจ “ทำให้การสืบสวนเสียหาย” และไม่ตอบคำถามเรื่องความเป็นไปได้ที่จะมีการใช้ยาเสพติดด้วย ขณะที่หลักฐานใด ๆ ที่อาจบ่งชี้ถึงความเจ็บป่วยทางจิตจะถูกนำเสนอต่อศาลด้วยวิธีการที่เหมาะสม

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : bbc

EU ผ่อนคลายแผนยุติขายรถใช้น้ำมันภายในปี 2578 เหลือยุติแค่ 90%

EU ผ่อนคลายแผนยุติขายรถใช้น้ำมันภายในปี 2578 เหลือยุติแค่ 90%

17 ธ.ค. 2568 04:29 น.

EU ผ่อนคลายแผนยุติขายรถใช้น้ำมันภายในปี 2578 เหลือยุติแค่ 90%

สหภาพยุโรปผ่อนคลายแผนหยุดขายรถยนต์ใช้น้ำมันของตัวเอง จากจะหยุด 100% ภายในปี 2578 เหลือหยุดเพียง 90% หลังผู้ผลิตรถยนต์ล็อบบี้อย่างหนัก

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อวันอังคารที่ 16 ธ.ค. 2568 สหภาพยุโรปตัดสินใจลดความเข้มข้นของแผนการที่จะสั่งห้ามการจำหน่ายรถยนต์ใช้น้ำมันเบนซินและดีเซลคันใหม่ตั้งแต่ปี 2578 จากเดิมจะยุติทั้งหมด 100% เหลือยุติเพียง 90% แทน หลังจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์เยอรมนีพยายามล็อบบี้อย่างหนัก

ตามแผนการเดิมของสหภาพยุโรป รถยนต์ใหม่ที่จำหน่ายตั้งแต่ปี 2578 จะต้องเป็นรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ เช่น รถยนต์พลังงานไฟฟ้าทั้งหมด 100% แต่แผนการล่าสุด พวกเขาจะขายรถยนต์ดังกล่าวเป็นจำนวน 90% ส่วนที่เหลืออีก 10% ยังคงเป็นรถยนต์เบนซินหรือดีเซลแบบดั้งเดิม รวมถึงรถยนต์ไฮบริด

ตามข้อมูลของสมาคมผู้ผลิตรถยนต์ยุโรป (ACEA) อุปสงค์ของตลาดสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันยังต่ำเกินไป และหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ ผู้ผลิตจะเสี่ยงต่อการถูกลงโทษปรับเป็นมูลค่า “หลายพันล้านยูโร”

ก่อนหน้านี้ น.ส.ซิกริด เดอ วรีส์ ผู้อำนวยการทั่วไปของ ACEA กล่าวว่า “ความยืดหยุ่น” สำหรับผู้ผลิตเป็นเรื่อง “เร่งด่วน” เนื่องจากปี 2030 กำลังจะมาถึงในไม่ช้า และความต้องการของตลาดต่ำเกินไปในการหลีกเลี่ยงค่าปรับ ทั้งยังต้องใช้เวลาในการสร้างจุดชาร์จ และนำมาตรการจูงใจทางการเงินและการซื้อมาใช้เพื่อให้ตลาดเดินหน้าได้

“ผู้กำหนดนโยบายต้องให้เวลาผู้ผลิตได้หายใจเพื่อรักษางาน นวัตกรรม และการลงทุนไว้” น.ส.เดอ วรีส์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการผ่อนคลายแผนการ คณะกรรมาธิการยุโรปยังคาดหวังว่าจะมีการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ (biofuels) และสิ่งที่เรียกว่าเชื้อเพลิงอิเล็กทรอนิกส์ (e-fuels) ซึ่งสังเคราะห์จากคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดักจับได้ เพิ่มมากขึ้น เพื่อชดเชยการปล่อยมลพิษที่เพิ่มขึ้นจากรถยนต์เบนซินและดีเซล

ผู้ผลิตรถยนต์คาดว่าจะต้องใช้เหล็กกล้าคาร์บอนต่ำที่ผลิตในสหภาพยุโรปในการผลิตยานพาหนะของตนด้วย

การผ่อนคลายแผนการครั้งนี้ทำให้กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมออกมาแสดงความไม่เห็นด้วย โดยชี้ว่าการผ่อนปรนดังกล่าวอาจบั่นทอนการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า และทำให้สหภาพยุโรปเผชิญกับความเสี่ยงจากการแข่งขันจากต่างประเทศ

องค์กรการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (T&E) เตือนสหราชอาณาจักรว่า ไม่ควรทำตามแนวทางของสหภาพยุโรปด้วยการลดความเข้มงวดของแผนการเลิกจำหน่ายรถยนต์แบบดั้งเดิม ภายใต้คำสั่งยานยนต์ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (ZEV) ของตนเอง

“สหราชอาณาจักรต้องยืนหยัดอย่างมั่นคง คำสั่ง ZEV ของเรากำลังผลักดันการจ้างงาน การลงทุน และนวัตกรรมเข้าสู่สหราชอาณาจักร ในฐานะผู้ส่งออกรายใหญ่ เราไม่สามารถแข่งขันได้หากเราไม่สร้างสรรค์นวัตกรรม และตลาดโลกกำลังเปลี่ยนไปใช้ระบบไฟฟ้าอย่างรวดเร็ว” แอนนา คราจินสกา ผู้อำนวยการ T&E UK กล่าว

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : bbc

BBC ลั่น สู้คดีทรัมป์ฟ้องเรียกค่าเสียหาย 5 พันล้านดอลลาร์

BBC ลั่น สู้คดีทรัมป์ฟ้องเรียกค่าเสียหาย 5 พันล้านดอลลาร์

17 ธ.ค. 2568 01:47 น.

BBC ลั่น สู้คดีทรัมป์ฟ้องเรียกค่าเสียหาย 5 พันล้านดอลลาร์

บีบีซี ยืนยันว่าจะต่อสู้คดีที่โดนัลด์ ทรัมป์ ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากพวกเขาเป็นเงินกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากกรณีที่ บีบีซี ตัดต่อคำพูดของนายทรัมป์จนทำให้เกิดความเข้าใจผิด

สำนักข่าว บีบีซี ประกาศในวันอังคารที่ 16 ธ.ค. 2568 ว่า จะต่อสู้คดีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยื่นฟ้องร้องพวกเขาและเรียกร้องค่าเสียหายเป็นเงินกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากกรณีที่ บีบีซี ตัดต่อสุนทรพจน์ของนายทรัมป์เมื่อ 6 ม.ค. 2564 ที่เอาไปลงในรายการสารคดี “พาโนรามา”

ตามเอกสารของศาลที่ยื่นฟ้องในรัฐฟลอริดา ทรัมป์กล่าวหาสำนักข่าว บีบีซี ว่า หมิ่นประมาทและละเมิดกฎหมายการค้า โดยทีมกฎหมายของทรัมป์กล่าวหาบีบีซีว่าหมิ่นประมาทเขาด้วยการ “จงใจ มุ่งร้าย และบิดเบือนสุนทรพจน์ของเขาอย่างไม่เป็นความจริง”

เมื่อเดือนพฤศจิกายน บีบีซีออกมาขอโทษต่อกรณีดังกล่าว แต่ปฏิเสธการเรียกค่าเสียหายของนายทรัมป์ และไม่เห็นด้วยว่าการกระทำของพวกเขามีมูลฐานเพียงพอในการฟ้องร้องข้อหาหมิ่นประมาท

โฆษกของบีบีซียืนยันว่า พวกเขาจะสู้คดีอย่างเต็มที่ แต่ “เราจะไม่แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดำเนินคดีทางกฎหมายที่กำลังดำเนินอยู่”

ทั้งนี้ ในสุนทรพจน์ของนายทรัมป์เมื่อ 6 ม.ค. 2564 ก่อนเกิดเหตุจลาจลที่อาคารรัฐสภาสหรัฐฯ นายทรัมป์บอกกับผู้สนับสนุนของเขาว่า “เราจะเดินไปที่แคปิตอล และเราจะเชียร์วุฒิสมาชิกและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชายหญิงผู้กล้าหาญของเรา”

และว่า 50 นาทีต่อมาในการกล่าวสุนทรพจน์เดียวกัน นายทรัมป์พูดว่า “และเราจะสู้ เราจะสู้สุดกำลัง”

อย่างไรก็ตามในรายการพาโนรามา สารคดีที่จัดทำโดย บีบีซี นำคำพูดทั้ง 2 ส่วนมาต่อกันทันทีกลายเป็น “เราจะเดินไปที่แคปิตอล… และผมจะอยู่ตรงนั้นกับพวกคุณ และเราจะสู้ เราจะสู้สุดกำลัง” จนดูคล้ายกับว่า นายทรัมป์สนับสนุนให้มีการใช้ความรุนแรงที่อาคารรัฐสภา

กรณีนี้นำไปสู่การลาออกของนาย ทิม เดวี ผู้อำนวยการใหญ่ของ บีบีซี และ เดโบราห์ เทิร์นเนส หัวหน้าฝ่ายข่าว

บีบีซีพยายามอ้างว่า พวกเขาไม่มีเจตนาร้ายในการตัดต่อคำพูดดังกล่าว และนายทรัมป์ก็ไม่ได้รับความเสียหายจากสารคดีนี้ เพราะนายทรัมป์ได้รับเลือกจากประชาชนให้มาเป็นประธานาธิบดีของประเทศเป็นสมัยที่ 2 หลังจากรายการออกอากาศไปแล้ว

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : bbc

สามี-ภรรยาสูงวัย พยายามสู้มือปืนหาดบอนได สุดท้ายถูกยิงดับสลด

สามี-ภรรยาสูงวัย พยายามสู้มือปืนหาดบอนได สุดท้ายถูกยิงดับสลด

17 ธ.ค. 2568 00:03 น.

สามี-ภรรยาสูงวัย พยายามสู้มือปืนหาดบอนได สุดท้ายถูกยิงดับสลด

คลิปจากกล้องหน้ารถเผย สามีภรรยาสูงวัยพยายามหยุดยิงมือปืนผู้ก่อเหตุกราดยิงที่หาดบอนได แต่สุดท้ายทั้งคู่กลับถูกยิงเสียชีวิตด้วยกันอย่างน่าสลด

เมื่อวันอังคารที่ 16 ธ.ค. 2568 มีคลิปวิดีโอใหม่จากเหตุกราดยิงที่หาดบอนได ของออสเตรเลีย ได้รับการเผยแพร่ออกมาบนโลกออนไลน์ โดยเป็นคลิปจากกล้องติดหน้ารถที่แสดงให้เห็นว่า สามีภรรยาสูงวัยคู่หนึ่งเข้าเผชิญหน้ากับหนึ่งในมือปืน ก่อนที่ทั้งคู่จะถูกยิงเสียชีวิต

สื่อออสเตรเลียหลายสำนักระบุชื่อสามีภรรยาคู่นี้ว่า บอริส เกอร์แมน อายุ 69 ปี กับ โซเฟีย เกอร์แมน อายุ 61 ปี เป็นชาวยิวเชื้อสายรัสเซีย ผู้อาศัยอยู่ในย่านบอนได และมีลูกชายอายุในช่วง 30 ปี 1 คน

วิดีโอจากกล้องติดหน้ารถที่ขับผ่านมา แสดงให้เห็นบอริสกำลังเข้าต่อสู้กับมือปืนวัย 50 ปี ซึ่งตำรวจระบุชื่อว่า ซาจิด อัคราม ในขณะที่คนร้ายรายนี้กำลังก้าวลงจากรถพร้อมกับปืนไรเฟิลในมือ โดยมีสิ่งที่ดูคล้ายกับธงของกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลามคลุมอยู่บนกระจกหน้ารถ

***ชมคลิปที่นี่***

ผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่า บอริสพยายามแย่งปืนไรเฟิลจากมือของนายอัครามขณะที่ทั้งคู่ล้มลงบนถนน โดยชายสูงอายุดูได้เปรียบอยู่ชั่วขณะหนึ่งเมื่อเขาสามารถหยิบปืนไรเฟิลขึ้นมาได้ จากนั้นสามีภรรยาก็เข้าเผชิญหน้ากับนายอัคราม ก่อนที่นายบอริสล้มลงข้างรถของคนร้าย

“ชายสูงอายุที่อยู่ข้างถนนไม่ได้วิ่งหนี แต่เขากลับพุ่งตรงเข้าหาอันตราย ใช้พละกำลังทั้งหมดพยายามต่อสู้แย่งปืนและสู้จนตัวตาย” เจนนี เจ้าของกล้องติดหน้ารถซึ่งแบ่งปันวิดีโอดังกล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์กล่าว

“ฉันเห็นจากกล้องของฉันว่า ในที่สุดชายสูงอายุคนนั้นก็ถูกยิงและล้มลง ช่วงเวลานั้นทำให้ฉันใจสลาย” เธอกล่าวเสริม

ตามรายงานของสำนักข่าว ซิดนีย์ มอร์นิง เฮอรัลด์ ซึ่งเผยแพร่ภาพวิดีโอมุมกว้างแสดงให้เห็นว่า นายอัครามสามารถลุกขึ้นได้ในเวลาต่อมาและหันอาวุธไปทางคู่สามีภรรยา ก่อนจะยิงไปอย่างน้อย 2 นัด จากนั้น ภาพจากโดรนลำหนึ่งก็ฉายให้เห็นว่า สามีภรรยาคู่นี้นอนเสียชีวิตอยู่ด้วยกันบนทางเท้า

“เราเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการสูญเสีย บอริสและโซเฟีย เกอร์แมน อันเป็นที่รัก อย่างกะทันหันและไร้เหตุผล” ครอบครัวเกอร์แมนระบุในแถลงการณ์เมื่อบ่ายวันอังคารตามเวลาท้องถิ่น “แม้ว่าจะไม่มีสิ่งใดสามารถลดความเจ็บปวดจากการสูญเสียบอริสและโซเฟียได้ แต่เรารู้สึกภาคภูมิใจอย่างท่วมท้นในความกล้าหาญและความไม่เห็นแก่ตัวของพวกเขา”

“นี่คือสิ่งที่สรุปได้ว่าบอริสและโซเฟียเป็นคนอย่างไร – ผู้คนที่พยายามช่วยเหลือผู้อื่นด้วยสัญชาตญาณและไม่เห็นแก่ตัว”

ทั้งนี้ นอกจากสามีภรรยาเกอร์แมนแล้วมีชายอีกคนที่เสียชีวิตขณะพยายามหยุดยั้งคนร้ายเช่นกัน คือนาย รูเวน มอร์ริสัน อายุ 62 ปี โดย เชนา กัตนิค ลูกสาวของเขา บอกกับสำนักข่าว ซีบีเอส นิวส์ ว่า “เขากระโดดเข้าใส่ทันทีที่เสียงปืนเริ่มขึ้น เขาปาอิฐ ตะโกนใส่คนร้าย และปกป้องชุมชนของเขา”

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : cna

มือปืนยิงหาดบอนได ได้แรงบันดาลใจจากไอซิส ไปฟิลิปปินส์ก่อนลงมือ

มือปืนยิงหาดบอนได ได้แรงบันดาลใจจากไอซิส ไปฟิลิปปินส์ก่อนลงมือ

16 ธ.ค. 2568 22:35 น.

มือปืนยิงหาดบอนได ได้แรงบันดาลใจจากไอซิส ไปฟิลิปปินส์ก่อนลงมือ

ตำรวจออสเตรเลียเผย มือปืนกราดยิงหาดบอนไดไปอยู่ฟิลิปปินส์นานเกือบ 1 เดือนก่อนก่อเหตุ และการลงมือของพวกเขาดูเหมือนจะได้แรงบันดาลใจจากกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม

เมื่อวันอังคารที่ 16 ธ.ค. 2568 ตำรวจออสเตรเลียเปิดเผยว่า มือปืน 2 คนผู้ก่อเหตุกราดยิงเทศกาล “ฮานุกกะห์” ที่หาดบอนได ในนครซิดนีย์ ซึ่งสังหารผู้บริสุทธิ์ไป 15 ศพ เดินทางไปยังฟิลิปปินส์ไม่นานก่อนกลับมาลงมือก่อเหตุ และดูเหมือนจะได้รับแรงบันดาลใจจากกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอซิส)

การโจมตีดังกล่าวซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (14 ธ.ค.) ถือเป็นเหตุกราดยิงครั้งเลวร้ายที่สุดของออสเตรเลียในรอบเกือบ 30 ปี และกำลังอยู่ระหว่างการสืบสวนในฐานะคดีก่อการร้ายที่มุ่งเป้าหมายไปที่ชุมชนชาวยิว

จำนวนผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ยังคงอยู่ที่ 15 ศพ ไม่รวม 1 ใน 2 มือปืนที่ถูกตำรวจวิสามัญฆาตกรรมในที่เกิดเหตุ โดยตำรวจระบุว่าเขาชื่อ ซาจิด อัคราม อายุ 50 ปี ขณะที่ลูกชายวัย 24 ปี ชื่อว่า นาวีด ซึ่งร่วมก่อเหตุในคดีนี้ ถูกยิงได้รับบาดเจ็บอาการอยู่ในขั้นวิกฤต และกำลังรักษาตัวในโรงพยาบาล

ตำรวจระบุว่า พ่อลูกอัครามเดินทางไปยังฟิลิปปินส์ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังสืบสวนวัตถุประสงค์ของการเดินทาง

ด้านเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองฟิลิปปินส์กล่าวว่า ทั้งสองคนเดินทางไปยังกรุงมะนิลาและเดินทางต่อไปยังเมืองดาเวาทางตอนใต้ของประเทศเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน และเดินทางออกจากประเทศเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน ไม่กี่สัปดาห์ก่อนเกิดเหตุกราดยิงที่หาดบอนได

เจ้าหน้าที่ระบุอีกว่า ผู้เป็นพ่อเดินทางด้วยหนังสือเดินทางอินเดีย ส่วนลูกชายใช้หนังสือเดินทางออสเตรเลีย และเสริมว่ายังไม่มีข้อสรุปว่าพวกเขาเชื่อมโยงกับกลุ่มก่อการร้ายใด ๆ หรือได้รับการฝึกฝนในประเทศดังกล่าวหรือไม่

อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบกันว่าเครือข่ายที่เชื่อมโยงกับกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม มีการเคลื่อนไหวในฟิลิปปินส์และมีอิทธิพลในบางพื้นที่ของเกาะมินดาเนาตอนใต้ของประเทศ อย่างไรก็ตามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เครือข่ายเหล่านี้มีขนาดเล็กลงมากแล้ว

คริสซี บาร์เร็ตต์ ผู้บัญชาการตำรวจสหพันธ์ออสเตรเลีย กล่าวในการแถลงข่าวว่า ข้อบ่งชี้เบื้องต้นชี้ไปยังการโจมตีก่อการร้ายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากกลุ่มรัฐอิสลาม และย้ำว่า นี่คือการกระทำของผู้ที่เข้าร่วมกับองค์กรก่อการร้าย ไม่ใช่ศาสนา

ตำรวจยังกล่าวด้วยว่า ในรถยนต์ที่ลงทะเบียนในชื่อของ นาวีด อัคราม มีวัตถุระเบิดแสวงเครื่อง (IEDs) และธงทำมือ 2 ผืนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มไอซิส ซึ่งตอนนี้ทางการยังคงพยายามรวบรวมข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจว่าเขาก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งความรุนแรงได้อย่างไร

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : reuters

ญี่ปุ่นยกเลิกเตือนภัย “อภิมหาแผ่นดินไหว” ครั้งล่าสุดแล้ว

ญี่ปุ่นยกเลิกเตือนภัย "อภิมหาแผ่นดินไหว" ครั้งล่าสุดแล้ว

16 ธ.ค. 2568 12:12 น.

ญี่ปุ่นยกเลิกเตือนภัย “อภิมหาแผ่นดินไหว” ครั้งล่าสุดแล้ว

ญี่ปุ่นประกาศยกเลิกคำเตือนความเสี่ยงที่จะเกิดอภิมหาแผ่นดินไหว หรือ Megaquake แล้ว หลังเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.5 นอกชายฝั่งทางตอนเหนือของประเทศเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา 

ญี่ปุ่นประกาศยกเลิกการเตือนภัยแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในวันนี้ หลังจากที่กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นแจ้งเตือนประชาชนเกี่ยวกับการเกิดอภิมหาแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น หลังการเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.5 แมกนิจูดนอกชายฝั่งทางตอนเหนือของประเทศเมื่อวันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา ทำให้เกิดคลื่นสึนามิสูงสุดราว 70 เซนติเมตร และมีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 40 คน อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายงานความเสียหายรุนแรงต่ออาคารหรือโครงสร้างพื้นฐาน ตามข้อมูลจาก JMA และสำนักงานจัดการอัคคีภัยและภัยพิบัติของญี่ปุ่น (FDMA)

หลังเกิดแรงสั่นสะเทือนดังกล่าว เจ้าหน้าที่ JMA ได้ออก คำเตือนพิเศษที่พบได้ไม่บ่อย โดยระบุว่า มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะเกิด Megaquake ซึ่งหมายถึงแผ่นดินไหวขนาด 8.0 หรือมากกว่า บริเวณทางตอนเหนือของประเทศ

โดยนักวิทยาศาสตร์ระบุว่า หลังเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.0 ขึ้นไป จะมีโอกาสประมาณ 1% ที่จะเกิดอภิมหาแผ่นดินไหว ภายในระยะเวลา 7 วัน จึงมีคำเตือนให้ประชาชนเตรียมกระเป๋าฉุกเฉินไว้ล่วงหน้า เผื่อจำเป็นต้องอพยพอย่างเร่งด่วน

อย่างไรก็ตาม อิซเซอิ ซูกานุมะ เจ้าหน้าที่ของ JMA ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว AFP ว่า แม้ช่วงเวลาการเตือนพิเศษสำหรับประชาชนได้สิ้นสุดลงแล้วตั้งแต่เที่ยงคืน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะไม่เกิดแผ่นดินไหวอีก จึงขอให้ประชาชนยังคงเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมอยู่เสมอ

JMA ระบุเพิ่มเติมว่า ความเสี่ยงในการเกิดอภิมหาแผ่นดินไหว บริเวณนอกชายฝั่งทางตอนเหนือของญี่ปุ่น ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าปกติ แต่จะค่อย ๆ ลดลงตามกาลเวลา

ทั้งนี้ ตามแนวทางการป้องกันภัยพิบัติของรัฐบาลญี่ปุ่นที่ประกาศเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา หากเกิด Megaquake กลางทะเลในภูมิภาคฮอกไกโด–ซันริคุ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ภายใต้คำเตือนล่าสุด อาจทำให้เกิดคลื่นสึนามิสูงถึง 30 เมตร โดยสถานการณ์เลวร้ายที่สุดอาจทำให้มีผู้เสียชีวิตสูงถึง 199,000 คน บ้านเรือนและอาคารถูกทำลายมากกว่า 220,000 หลัง และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงถึง 31 ล้านล้านเยน หรือราว 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ.

ที่มา : channelnewsasia

คลิกอ่านข่าวเกี่ยวกับ อภิมหาแผ่นดินไหว

ศาลพนมเปญฟ้อง “ธี โสวันทา” อินฟลูเอนเซอร์ดัง โพสต์โซเชียลกระทบความมั่นคง

ศาลพนมเปญฟ้อง “ธี โสวันทา” อินฟลูเอนเซอร์ดัง โพสต์โซเชียลกระทบความมั่นคง

16 ธ.ค. 2568 11:14 น.

ศาลพนมเปญฟ้อง “ธี โสวันทา” อินฟลูเอนเซอร์ดัง โพสต์โซเชียลกระทบความมั่นคง

อินฟลูเอนเซอร์หญิงชื่อดังของกัมพูชาถูกดำเนินคดี หลังโพสต์ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ถูกมองเป็นข่าวปลอม สร้างความตื่นตระหนกและกระทบความปลอดภัยกองทัพ

วันที่ 16 ธันวาคม 2568 ศาลเทศบาลกรุงพนมเปญ รับคำฟ้อง นางธี โสวันทา อินฟลูเอนเซอร์และบุคคลมีชื่อเสียงบนโซเชียลมีเดีย จากกรณีโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ท่ามกลางสถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา

โดยนางโสวันทาโพสต์ข้อความระบุว่า ทหารแนวหน้าหลายรายมีปัญหาสุขภาพรุนแรง อาทิ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และโรคตับ–ไต โดยอ้างว่าเกี่ยวข้องกับการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งสมเด็จฮุน เซน ตอบโต้ว่า  ประเทศชาติไม่มีเวลามาสั่งสอนเจ้าหน้าที่ที่ไร้วินัย ขณะที่สถานการณ์บ้านเมืองต้องการความเร่งด่วน  พร้อมชี้ว่าโสวันทาโพสต์ข้อความไม่เหมาะสมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

สื่อของกัมพูชารายงานว่า นางโสวันทาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายความมั่นคงภายในเรียกสอบปากคำเมื่อวันที่ 10 และ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา ก่อนถูกควบคุมตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หลังจากโพสต์เนื้อหาเกี่ยวกับข้อพิพาทชายแดนและการปะทะทางทหาร ซึ่งหน่วยงานรัฐระบุว่าเป็นข้อมูลเท็จ สร้างความโกลาหล กระทบความสงบเรียบร้อย และบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศ

ทางด้านพลโทจวน นาริน ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลพนมเปญ เปิดเผยว่า คดีนี้อยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่เฉพาะด้าน แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดข้อกล่าวหาได้ เนื่องจากเป็นอำนาจการพิจารณาของอัยการ  ขณะที่คดีนี้ถูกจับตาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากสะท้อนถึงการควบคุมข้อมูลข่าวสารและบทบาทของโซเชียลมีเดีย ในช่วงที่ความตึงเครียดชายแดนไทย–กัมพูชาทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ นางธี โสวันทา เคยดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าการเมืองอารีย์กษัต จังหวัดกันดาล แต่ถูกปลดและขับออกจากพรรคประชาชนกัมพูชา เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม ตามคำสั่งของสมเด็จฮุน เซน หลังโพสต์ข้อความวิพากษ์การทำงานของกองทัพกัมพูชาตามแนวชายแดน.

ที่มา Khmer Times

ภาพ Facebook/ Thy Sovantha