สหรัฐฯ อนุมัติขายอาวุธให้ไต้หวัน ล็อตใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ มูลค่ากว่า 3.49 แสนล้านบาท

สหรัฐฯ อนุมัติขายอาวุธให้ไต้หวัน ล็อตใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ มูลค่ากว่า 3.49 แสนล้านบาท

18 ธ.ค. 2568 11:06 น.

สหรัฐฯ อนุมัติขายอาวุธให้ไต้หวัน ล็อตใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ มูลค่ากว่า 3.49 แสนล้านบาท

รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศอนุมัติการขายอาวุธให้แก่ไต้หวันอย่างเป็นทางการ โดยมีมูลค่ารวมสูงถึง 1.11 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.49 แสนล้านบาท) ซึ่งถือเป็นแพ็กเกจความช่วยเหลือทางทหารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่สหรัฐฯ เคยมีมา เพื่อตอบโต้การขยายอิทธิพลและการกดดันทางทหารจากจีน

กระทรวงกลาโหมไต้หวันระบุว่า อาวุธสำคัญในรายการจัดซื้อครั้งนี้มีทั้งหมด 8 รายการหลัก ที่มุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพในการป้องปราม และการทำสงครามอสมมาตร (Asymmetric Warfare) ได้แก่ ระบบจรวดหลายลำกล้อง HIMARS ซึ่งพิสูจน์ประสิทธิภาพมาแล้วในสมรภูมิยูเครน, ปืนใหญ่ขับเคลื่อนด้วยตัวเอง, ขีปนาวุธต่อต้านรถถัง Javelin, โดรนกามิกาเซ่ รุ่น Altius, อะไหล่และอุปกรณ์สนับสนุนอื่นๆ สำหรับยุทโธปกรณ์เดิมที่มีอยู่

เพนตากอนระบุในแถลงการณ์ว่า การขายอาวุธครั้งนี้เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของสหรัฐฯ โดยจะช่วยให้ไต้หวันสามารถปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัย และสร้าง “ขีดความสามารถในการป้องกันตนเองที่น่าเชื่อถือ”

ขณะที่โฆษกสำนักประธานาธิบดีไต้หวัน แถลงขอบคุณสหรัฐฯ พร้อมย้ำว่าไต้หวันจะเดินหน้าปฏิรูปกองทัพและเสริมสร้างความเข้มแข็งของสังคมในการป้องกันตนเอง เพื่อปกป้องสันติภาพผ่านความแข็งแกร่ง 

การประกาศครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่นายหลิน เจียหลง รัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวัน เดินทางเยือนสหรัฐฯอย่างลับๆ เมื่อสัปดาห์ก่อน และสอดคล้องกับนโยบายของประธานาธิบดีไล่ ชิงเต๋อ ที่เพิ่งประกาศงบประมาณป้องกันประเทศเพิ่มเติมสูงถึง 4 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยยืนยันว่า “เรื่องความมั่นคงของชาติไม่มีพื้นที่สำหรับการประนีประนอม”

แม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะมีแผนเดินทางไปเยือนประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนในปีหน้า จนทำให้เกิดความกังวลว่าความสัมพันธ์สหรัฐฯ-ไต้หวันอาจสั่นคลอน แต่การอนุมัติอาวุธล็อตใหญ่นี้สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลทรัมป์สมัยที่ 2 ตั้งเป้าที่จะรักษาสมดุลอำนาจในภูมิภาค และกดดันให้พันธมิตรต้องพึ่งพาตนเองมากขึ้นตามนโยบายเดิมของเขา

ปัจจุบัน แผนการขายอาวุธนี้อยู่ในขั้นตอนการแจ้งต่อสภาคองเกรส ซึ่งคาดว่าจะผ่านความเห็นชอบได้อย่างราบรื่น เนื่องจากไต้หวันได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากทั้งสองพรรครัฐบาลในสหรัฐฯ.

ที่มา Reuters

รัฐบาลทหารเมียนมาปฏิเสธข่าว “อองซาน ซูจี เสียชีวิต” ย้ำยังมีชีวิต แต่ไร้หลักฐานยืนยัน

รัฐบาลทหารเมียนมาปฏิเสธข่าว “อองซาน ซูจี เสียชีวิต” ย้ำยังมีชีวิต แต่ไร้หลักฐานยืนยัน

18 ธ.ค. 2568 10:58 น.

รัฐบาลทหารเมียนมาปฏิเสธข่าว “อองซาน ซูจี เสียชีวิต” ย้ำยังมีชีวิต แต่ไร้หลักฐานยืนยัน

รัฐบาลทหารเมียนมาปฏิเสธกระแสข่าว “อองซาน ซูจี” อาจเสียชีวิต ยืนยันยังมีสุขภาพดี ท่ามกลางเสียงกังขาจากนักสิทธิมนุษยชนและฝ่ายค้าน ชี้ถูกกักขังตัดขาดโลกภายนอกกว่า 2 ปี ไร้หลักฐานพิสูจน์

วันที่ 17 ธันวาคม 2568 รัฐบาลทหารเมียนมาออกแถลงการณ์ปฏิเสธกระแสข่าวนางอองซาน ซูจี อดีตผู้นำรัฐบาลพลเรือนและเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ อาจเสียชีวิตในระหว่างถูกควบคุมตัว โดยยืนยันว่าเธอยังมีชีวิตและมีสุขภาพดี  อย่างไรก็ตามแถลงการณ์ฉบับนี้ไม่ได้แสดงหลักฐานหรือข้อมูลใดๆ ประกอบคำกล่าวอ้าง

คำชี้แจงของรัฐบาลทหารมีขึ้นหลังนายคิม แอริส บุตรชายของนางซูจี แสดงความหวั่นวิตกว่า มารดาอาจเสียชีวิตไปแล้ว เนื่องจากครอบครัวไม่ได้รับการติดต่อหรือพบตัวเธอมานานกว่า 2 ปี โดยระบุว่า ซูจีมีปัญหาสุขภาพเรื้อรังหลายด้าน ทั้งหัวใจ กระดูก และเหงือก และที่ผ่านมาไม่เคยได้รับอนุญาตให้ติดต่อกับทีมกฎหมายหรือสมาชิกครอบครัวเลย พร้อมย้ำว่าตราบใดที่ไม่มีใครได้เห็นตัวเธอจริงๆ ก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่

ทางด้านองค์กรสิทธิมนุษยชนและฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารตั้งคำถามว่า หากซูจียังมีสุขภาพดีจริง รัฐบาลควรอนุญาตให้ครอบครัว หรือบุคคลที่น่าเชื่อถือ เช่น เจ้าหน้าที่สิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ เข้าพบเพื่อคลายความกังวลของสาธารณชน

ขณะเดียวกันนายอู ตุน เมียะ แกนนำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือเอ็นแอลดี ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา ไม่มีหลักฐานที่ตรวจสอบได้เกี่ยวกับสถานที่ควบคุมตัวหรือสภาพของซูจี โดยกล่าวหาว่ารัฐบาลทหารใช้เพียงการโฆษณาชวนเชื่อ ปล่อยให้ข่าวลือแพร่สะพัด และควรออกมาแสดงความจริงอย่างชัดเจน

โดยที่ผ่านมา ภาพสาธารณะล่าสุดของซูจี คือภาพกล้องวงจรปิดเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2565 ระหว่างถูกนำตัวขึ้นศาล ส่วนการพบปะครั้งล่าสุดที่มีการยืนยัน คือการพบกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศไทย เมื่อเดือนกรกฎาคม 2566 เป็นเวลาราว 90 นาที

ทั้งนี้ นางอองซาน ซูจี ถูกควบคุมตัวตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 และถูกพิพากษาจำคุกรวม 33 ปี จาก 19 ข้อหา ซึ่งนานาชาติมองว่ามีแรงจูงใจทางการเมือง โดยนับตั้งแต่นั้น เธอถูกควบคุมตัวโดยไม่ให้ติดต่อกับโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง.

ที่มา Irrawaddy

นายกฯ ฟินแลนด์ขอโทษชาติเอเชีย เซ่นปมเหยียดเชื้อชาติ “ตาตี่” นางงาม-ส.ส.ขวาจัดลามวิกฤต

นายกฯ ฟินแลนด์ขอโทษชาติเอเชีย เซ่นปมเหยียดเชื้อชาติ “ตาตี่” นางงาม-ส.ส.ขวาจัดลามวิกฤต

18 ธ.ค. 2568 10:14 น.

นายกฯ ฟินแลนด์ขอโทษชาติเอเชีย เซ่นปมเหยียดเชื้อชาติ “ตาตี่” นางงาม-ส.ส.ขวาจัดลามวิกฤต

นายกรัฐมนตรีฟินแลนด์แถลงขอโทษประเทศในเอเชีย หลังนางงาม “มิสฟินแลนด์” และสมาชิกพรรคขวาจัดโพสต์ภาพ “ดึงหางตาเฉียง” ล้อเลียนคนเอเชีย จุดกระแสวิจารณ์รุนแรง หวั่นกระทบภาพลักษณ์ประเทศและธุรกิจการบิน

วันที่ 18 ธันวาคม 2568 สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า นายเปตเตรี ออร์โป นายกรัฐมนตรีฟินแลนด์ ออกแถลงขอโทษต่อประเทศในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น หลังเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากกรณีภาพและโพสต์ที่ถูกมองว่าเหยียดเชื้อชาติของนางงาม มิสฟินแลนด์ และสมาชิกพรรค ฟินส์ ปาร์ตี้ พรรคขวาจัดซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล

ก่อนหน้านี้ สื่อฟินแลนด์ขนานนามว่าเป็นคดีอื้อฉาว “ตาเฉียง” (Slanted Eyes) หรือการล้อเลียนดวงตาคนเอเชีย โดยนายกฯ ออร์โป ผู้นำพรรคพันธมิตรแห่งชาติ (National Coalition Party) ซึ่งนำรัฐบาลผสม 4 พรรค ได้ออกแถลงการณ์ผ่านสถานทูตฟินแลนด์ในจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ระบุว่า ขอโทษอย่างจริงใจต่อประเทศในเอเชีย พร้อมย้ำว่า การกระทำที่ออกมาไม่ได้สะท้อนคุณค่าความเท่าเทียมและการไม่แบ่งแยกของฟินแลนด์

นายกรัฐมนตรีฟินแลนด์ระบุว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ และยืนยันต่อมิตรประเทศว่า ฟินแลนด์จะดำเนินการอย่างจริงจังกับปัญหานี้

โดยต้นตอของกระแสดรามาเริ่มขึ้นเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา หลังนางงาม มิสฟินแลนด์ ถูกเผยแพร่ภาพในโซเชียลมีเดีย ขณะดึงหางตาพร้อมคำบรรยายว่า “กำลังกินข้าวกับคนจีน” แม้เจ้าตัวจะออกมาขอโทษและอ้างว่าไม่ได้ตั้งใจดูหมิ่น แต่สุดท้ายก็ถูกปลดจากตำแหน่ง และต่อมา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2 คน และสมาชิกรัฐสภายุโรปอีก 1 คน จากพรรคฟินส์ ปาร์ตี้ ได้โพสต์ภาพล้อเลียนในลักษณะเดียวกัน ยิ่งจุดกระแสวิจารณ์ให้ลุกลาม

ขณะที่สายการบินแห่งชาติ ฟินแอร์ เปิดเผยว่า ภาพที่ออกมาได้สร้างกระแสต่อต้านในตลาดเอเชีย ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของเที่ยวบินระยะไกล ขณะที่พรรคฟินส์ ปาร์ตี้ เตรียมหารือเรื่องนี้ในการประชุมพรรคประจำสัปดาห์.

ที่มา Reuters

กรุงนิวเดลีคุมเข้ม จำกัดรถยนต์–ลดคนเข้าออฟฟิศ หวังสกัดวิกฤตฝุ่นพิษรุนแรง

กรุงนิวเดลีคุมเข้ม จำกัดรถยนต์–ลดคนเข้าออฟฟิศ หวังสกัดวิกฤตฝุ่นพิษรุนแรง

18 ธ.ค. 2568 09:01 น.

กรุงนิวเดลีคุมเข้ม จำกัดรถยนต์–ลดคนเข้าออฟฟิศ หวังสกัดวิกฤตฝุ่นพิษรุนแรง

กรุงนิวเดลีของอินเดีย ออกมาตรการเข้มรับมือปัญหามลพิษทางอากาศและฝุ่นพิษ PM2.5 ที่ทวีความรุนแรง ห้ามรถยนต์ที่ไม่ผ่านมาตรฐานเข้าพื้นที่ พร้อมจำกัดการเข้าออฟฟิศของทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชน

ทางการกรุงนิวเดลีของอินเดีย ออกมาตรการคุมเข้มเมื่อวันพุธที่ 17 ธันวาคม เพื่อรับมือกับปัญหามลพิษทางอากาศและฝุ่นพิษ PM2.5 ที่ทวีความรุนแรง โดยประกาศห้ามรถยนต์ที่ไม่ผ่านมาตรฐานควบคุมการปล่อยมลพิษครั้งล่าสุดเข้าพื้นที่ พร้อมจำกัดการเข้าออฟฟิศของทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชน

โดยดัชนีคุณภาพอากาศ (Air Quality Index – AQI) ในเขตกรุงนิวเดลี ซึ่งมีประชากรราว 30 ล้านคน อยู่ในระดับรุนแรงมาก (Severe) ต่อเนื่องหลายวัน และหลายครั้งพุ่งเกินระดับ 450 ทั้งที่ระดับที่อยู่ในเกณฑ์ดีควรต่ำกว่า 50 เท่านั้น สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงจากหมอกควันบางๆ ในหลายพื้นที่ ส่งผลให้ทัศนวิสัยลดลง กระทบการเดินทางของเที่ยวบินและรถไฟ

สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ คณะกรรมาธิการบริหารจัดการคุณภาพอากาศ ตัดสินใจบังคับใช้ แผนรับมือมลพิษขั้นที่ 4 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของ Graded Response Action Plan (GRAP) ครอบคลุมกรุงนิวเดลีและพื้นที่โดยรอบ ตั้งแต่วันเสาร์ที่ผ่านมา

โดยมาตรการดังกล่าวรวมถึงห้ามรถบรรทุกดีเซลรุ่นเก่าเข้าพื้นที่เมือง, ระงับงานก่อสร้างทุกประเภท รวมถึงโครงการภาครัฐ, ใช้ระบบการเรียนแบบผสม เพื่อลดการเดินทาง

นายกาปิล มิชรา รัฐมนตรีในรัฐบาลท้องถิ่นกรุงนิวเดลี แถลงว่าตั้งแต่วันพุธนี้เป็นต้นไป สำนักงานทั้งภาครัฐและเอกชนจะทำงานแบบเข้าออฟฟิศเพียง 50% ส่วนที่เหลือให้ทำงานจากที่บ้าน เพื่อลดการปล่อยมลพิษจากการเดินทาง

นอกจากนี้ รัฐบาลจะจ่ายเงินชดเชย 10,000 รูปี ให้แก่แรงงานก่อสร้างที่ขึ้นทะเบียนไว้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานรายวัน ที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งหยุดงานก่อสร้าง

ก่อนหน้านี้หนึ่งวัน ทางการกรุงนิวเดลีได้เริ่มบังคับใช้มาตรการควบคุมรถยนต์อย่างเข้มงวด โดยห้ามรถที่ไม่ผ่านมาตรฐานการปล่อยมลพิษล่าสุดวิ่งบนท้องถนนในเมือง

ด้านนายมันจินเดอร์ สิงห์ เซอร์ซา รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมกรุงเดลี กล่าวว่ารัฐบาลมีความมุ่งมั่นอย่างจริงจังในการแก้ปัญหาอากาศเป็นพิษ โดยรัฐบาลมุ่งมั่นที่จะทำให้อากาศในเดลีสะอาดขึ้น และจะดำเนินมาตรการที่เข้มงวดอย่างต่อเนื่องในช่วงวันข้างหน้า

ทั้งนี้ มลพิษทางอากาศในกรุงเดลีถือเป็นปัญหาซ้ำซากในช่วงฤดูหนาวของทุกปี เมื่ออากาศเย็นและหนาแน่นกักเก็บมลพิษจากรถยนต์ ไซต์ก่อสร้าง และการเผาพื้นที่เกษตรในรัฐใกล้เคียง ส่งผลให้ระดับฝุ่นพิษพุ่งสูงติดอันดับรุนแรงที่สุดในโลก และสร้างความเสี่ยงร้ายแรงต่อสุขภาพระบบทางเดินหายใจของประชาชน

พื้นที่ที่มีประชากรกว่า 30 ล้านคนแห่งนี้ มักถูกปกคลุมด้วยหมอกควันหนาทึบ โดยค่าดัชนีคุณภาพอากาศแตะระดับกว่า 450 เป็นประจำ ขณะที่ระดับ AQI ต่ำกว่า 50 เท่านั้นที่ถือว่าอยู่ในเกณฑ์อากาศดี.

ที่มา : channelnewsasia

คลิกอ่านข่าวเกี่ยวกับ มลพิษทางอากาศ

ทหารกัมพูชาใช้สื่อต่างชาติเป็นเครื่องมือ อ้างไทยใช้แก๊สพิษ ทำให้ล้มป่วยจนต้องเข้ารพ.

ทหารกัมพูชาใช้สื่อต่างชาติเป็นเครื่องมือ อ้างไทยใช้แก๊สพิษ ทำให้ล้มป่วยจนต้องเข้ารพ.

18 ธ.ค. 2568 08:16 น.

ทหารกัมพูชาใช้สื่อต่างชาติเป็นเครื่องมือ อ้างไทยใช้แก๊สพิษ ทำให้ล้มป่วยจนต้องเข้ารพ.

ทหารกัมพูชา ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์ส อ้างว่าเครื่องบินรบของไทยใช้แก๊สพิษโจมตี จนทำให้ตัวเองหายใจไม่ออกและต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล ด้านไทยย้ำชัดไม่เคยใช้อาวุธเคมีในการโจมตี

นายกุน ยง ทหารกัมพูชา ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ส ขณะนอนรักษาตัวอยู่บนเตียงคนไข้ โดยมีภรรยานั่งอยู่ข้าง ๆ ฃโดยกล่าวอ้างว่าเขามีอาการหายใจติดขัด เหมือนกำลังจะขาดอากาศหายใจ ภายหลังเครื่องบินของไทยปฏิบัติการบินโจมตีในพื้นที่

โดยรอยเตอร์สรายงานว่าในโรงพยาบาลในจังหวัดบันเตียเมียนเจย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของกัมพูชา ทหารและตำรวจหลายรายต่างอ้างว่า พวกเขาประสบปัญหาระบบทางเดินหายใจ หลังจากเครื่องบินของไทยโปรยสิ่งที่พวกเขาอ้างว่าเป็นของเหลวมีพิษ

ก่อนหน้านี้ กระทรวงกลาโหมกัมพูชาออกแถลงการณ์กล่าวอ้างเกือบทุกวันว่า กองทัพไทยใช้แก๊สพิษ ในการสู้รบ โดยล่าสุดเมื่อวันพุธที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมา ระบุว่ามีการใช้สารดังกล่าวในหมู่บ้านที่นายกุน ยง ประจำการอยู่ด้วย

ในแถลงการณ์ กระทรวงกลาโหมกัมพูชาระบุว่า การใช้แก๊ส รวมถึงยุทธวิธีอื่น ๆ ลักษณะนี้ ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ทางกระทรวงไม่ได้ระบุว่าเป็นแก๊สชนิดใด ไม่ได้นำเสนอหลักฐานประกอบ และไม่ได้ระบุว่าได้ยื่นประท้วงอย่างเป็นทางการต่อองค์กรระหว่างประเทศหรือไม่ ขณะที่โฆษกของกระทรวงกลาโหมและรัฐบาลกัมพูชาไม่รับสายโทรศัพท์ของผู้สื่อข่าวรอยเตอร์สที่พยายามติดต่อเพื่อขอความเห็นเพิ่มเติม ทางสำนักข่าวรอยเตอร์สจึงระบุว่า ไม่สามารถตรวจสอบหรือยืนยันคำกล่าวอ้างดังกล่าวได้อย่างอิสระ

ขณะที่โฆษกกองทัพอากาศไทย พลอากาศโท จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์สว่า กองทัพอากาศไทย ไม่เคยใช้หรือมีการใช้อาวุธเคมีแต่อย่างใด และระบุว่ารายงานที่กล่าวอ้างเช่นนั้นเป็นข่าวปลอม ที่มีเป้าหมายเพื่อบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของการปฏิบัติการทางทหารของไทย

“หากเป็นอาวุธเคมีจริง ผู้ที่ได้รับผลกระทบคงไม่ได้มีเพียงอาการหายใจติดขัด แต่คงเสียชีวิตไปแล้ว” เขากล่าว

ทั้งนี้ นับตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ไทยและกัมพูชาตกอยู่ในสถานการณ์ความขัดแย้งตามแนวชายแดน ซึ่งมีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 40 คน และทำให้ประชาชนในทั้งสองประเทศต้องอพยพมากกว่า 500,000 คน ถือเป็นการสู้รบที่รุนแรงที่สุดระหว่างสองประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในรอบหลายทศวรรษ

ที่มา : Reuters

คลิกอ่านข่าวเกี่ยวกับ ไทยกัมพูชา

จาเรด ไอแซกแมน พันธมิตร อีลอน มัสก์ ได้เป็น ผอ.นาซาคนใหม่

จาเรด ไอแซกแมน พันธมิตร อีลอน มัสก์ ได้เป็น ผอ.นาซาคนใหม่

18 ธ.ค. 2568 05:32 น.

จาเรด ไอแซกแมน พันธมิตร อีลอน มัสก์ ได้เป็น ผอ.นาซาคนใหม่

วุฒิสภาสหรัฐฯ อนุมัติการแต่งตั้งนาย จาเรด ไอแซกแมน มหาเศรษฐีนักลงทุน เป็นผู้อำนวยการใหญ่ของนาซาคนใหม่แล้ว หลังจากการเสนอชื่อยืดเยื้อมานานเกือบปี

เมื่อวันพุธที่ 17 ธ.ค. 2568 วุฒิสภาสหรัฐฯ อนุมัติการแต่งตั้งนาย จาเรด ไอแซกแมน มหาเศรษฐีนักลงทุน ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์กรการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือ นาซา ของสหรัฐฯ ปิดฉากการเสนอชื่ออันยุ่งเหยิง หลังโดนัลด์ ทรัมป์ เสนอชื่อของเขาเป็น ผอ. ก่อนจะถอนชื่อ แล้วเสนอชื่อใหม่อีกครั้ง

ไอแซกแมน วัย 42 ปี เป็นนักบินเครื่องบินเจ็ตสมัครเล่นผู้สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักบินอวกาศที่ไม่ใช่ระดับมืออาชีพคนแรกที่ออกไปปฏิบัติภารกิจนอกยานอวกาศ (Spacewalk) และเขายังเป็นผู้อำนวยการนาซาคนแรกในรอบหลายทศวรรษที่ก้าวเข้ามาดำรงตำแหน่งโดยมาจากภาคเอกชนโดยตรง

หลายฝ่ายมองว่า การดำรงตำแหน่ง ผอ.นาซาของไอแซกแมนจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว จะถูกตัดสินด้วยบททดสอบสำคัญหนึ่งเดียวคือ สหรัฐฯ จะสามารถส่งมนุษย์กลับไปยังดวงจันทร์ได้ก่อนประเทศจีนหรือไม่

ทรัมป์ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า เขาต้องการให้สหรัฐฯ สร้างฐานที่มั่นถาวรบนดวงจันทร์ เพื่อเปิดทางให้กับการขุดเจาะทรัพยากร และเพื่อใช้เป็นฐานที่ตั้งสำคัญสำหรับการเดินทางต่อไปยังดาวอังคารในอนาคต

อนึ่ง สมาชิกวุฒิสภาลงคะแนนเสียงท่วมท้น 67 ต่อ 30 เสียง เพื่อยืนยันการแต่งตั้งนายไอแซกแมนให้ดำรงตำแหน่ง ผอ.นาซา โดยเขาจะเข้ารับตำแหน่งต่อจาก ชอน ดัฟฟี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งทำหน้าที่เป็นรักษาการผู้อำนวยการนาซามาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม

เดิมทีนายทรัมป์ประกาศความตั้งใจที่จะเสนอชื่อไอแซกแมนเมื่อเดือนธันวาคม 2567 แต่เขาได้ถอนการเสนอชื่อในเดือนพฤษภาคม ท่ามกลางความขัดแย้งกับนาย อีลอน มัสก์ ซึ่งเป็นพันธมิตรของนายไอแซกแมน โดยผู้นำสหรัฐฯ อ้างว่า ต้องตรวจสอบความสัมพันธ์ในอดีตอย่างถี่ถ้วน

นายมัสก์ หนึ่งในผู้บริจาคทางการเมืองรายใหญ่ที่สุดของทรัมป์และประธานบริหารของ SpaceX เคยปรากฏตัวในห้องทำงานรูปไข่เคียงข้างทรัมป์อยู่เป็นประจำ แต่ทั้งคู่ได้เกิดความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงในประเด็นเรื่องการใช้จ่ายของรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม ในเดือนพฤศจิกายน นายทรัมป์เสนอชื่อนายไอแซกแมนใหม่อีกครั้ง โดยในระหว่างการพิจารณาเพื่อรับรองตำแหน่งเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา นายไอแซกแมนกล่าวว่าเขาพร้อมรับภารกิจของทรัมป์ในการทำเหมืองบนดวงจันทร์ ในขณะที่นานาชาติต่างกำลังแข่งขันกันเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากพื้นผิวดวงจันทร์

“นี่ไม่ใช่เวลาสำหรับการรีรอ แต่เป็นเวลาสำหรับการลงมือทำ เพราะหากเราตามหลัง หรือหากเราทำผิดพลาด เราอาจไม่สามารถไล่ตามได้ทันอีกเลย และผลที่ตามมาอาจเปลี่ยนขั้วอำนาจบนโลกใบนี้ได้” ไอแซกแมนกล่าวต่อสมาชิกวุฒิสภา

ทั้งนี้ นายไอแซกแมนมองว่าการดึงภาคเอกชนเข้ามาแข่งขันกันมากขึ้น คือกุญแจสำคัญในการชิงชัยในศึกชิงอวกาศ

แต่การเปิดกว้างต่อการแข่งขันเชิงพาณิชย์ของเขาอาจทำให้เกิดความขัดแย้งกับนายมัสก์ได้ โดยเมื่อสัปดาห์ก่อน ไอแซกแมนได้กล่าวชื่นชมการมอบสัญญาจ้างรายใหญ่ให้กับบริษัท บลู ออริจิน (Blue Origin) ของ เจฟฟ์ เบซอส เจ้าของ Amazon ซึ่งเป็นคู่แข่งรายสำคัญของ SpaceX ของ อีลอน มัสก์

เขายังเสนอด้วยว่านาซาควรเป็นพันธมิตรกับมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาให้มากขึ้น โดยวางบทบาทให้หน่วยงานนี้เป็น “ตัวทวีคูณศักยภาพทางวิทยาศาสตร์” และว่าเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อผลักดันนวัตกรรมให้ก้าวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “หากเราใกล้จะบรรลุบางสิ่งที่พิเศษสุด”

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : bbc

ครอบครัว ร็อบ ไรเนอร์ เปิดใจครั้งแรกหลังเหตุฆาตกรรม ลูกชายถูกจับกุม

ครอบครัว ร็อบ ไรเนอร์ เปิดใจครั้งแรกหลังเหตุฆาตกรรม ลูกชายถูกจับกุม

18 ธ.ค. 2568 04:35 น.

ครอบครัว ร็อบ ไรเนอร์ เปิดใจครั้งแรกหลังเหตุฆาตกรรม ลูกชายถูกจับกุม

ครอบครัวของ ร็อบ ไรเนอร์ ออกมาเปิดใจเป็นครั้งแรก เกี่ยวกับโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังรายนี้และภรรยา ขณะที่ นิก ลูกชายขึ้นศาลครั้งแรกแล้ว

เมื่อวันพุธที่ 17 ธ.ค. 2568 เหล่าทายาทของนาย ร็อบ ไรเนอร์ ผู้กำกับภาพยนตร์ฮอลลีวูดระดับตำนานผู้ล่วงลับ ออกมาเปิดใจเป็นครั้งแรก เกี่ยวกับเหตุฆาตกรรมที่เกิดขึ้นกับนายไรเนอร์กับภรรยา และเรื่องที่นาย นิก ไรเนอร์ ลูกคนกลางของทั้งคู่ถูกจับกุมตัวในข้อหาฆาตกรรมบิดาและมารดาของตัวเอง

ทั้งนี้ ร่างของสามีภรรยาไรเนอร์ถูกพบเสียชีวิตเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (14 ธ.ค.) ภายในบ้านพักของพวกเขาในลอสแอนเจลิส ขณะที่นิก ไรเนอร์ ถูกควบคุมตัวในคืนที่เกิดเหตุ และถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมเมื่อวันอังคาร (16 ธ.ค.)

“ความสูญเสียที่น่าสยดสยองและสะเทือนใจจากการจากไปของ ร็อบ และ มิเชล ไรเนอร์ พ่อแม่ของเรา เป็นสิ่งที่ไม่มีใครควรต้องประสบพบเจอ” เจค กับ โรมี ไรเนอร์ ลูกชายคนโตกับลูกสาวของร็อบ ไรเนอร์ ระบุในแถลงการณ์ “พวกท่านไม่ได้เป็นเพียงแค่พ่อแม่ แต่ยังเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเราด้วย”

“พวกเราขอขอบคุณสำหรับคำไว้อาลัย ความเมตตา และกำลังใจที่หลั่งไหลเข้ามา ซึ่งเราได้รับไม่เพียงแค่จากครอบครัวและมิตรสหายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้คนจากทุกสาขาอาชีพด้วย”

พวกเขายังขอให้สังคมให้ความเป็นส่วนตัวและความเคารพต่อครอบครัวของพวกเขา พร้อมทั้งขอให้ คาดเดาเรื่องต่างๆ ด้วยความเห็นอกเห็นใจและอยู่บนหลักความเป็นมนุษย์ “และขอให้ทุกคนจดจำพ่อแม่ของเราในฐานะผู้ที่ใช้ชีวิตได้อย่างยอดเยี่ยมและมอบความรักให้กับผู้อื่นเสมอมา” โดยไม่ได้กล่าวถึงข้อกล่าวหาที่มีต่อนิกผู้เป็นพี่ชายโดยตรง

นิก ไรเนอร์ วัย 32 ปี ได้ปรากฏตัวต่อศาลเป็นครั้งแรกเมื่อวันพุธ และได้สละสิทธิ์ในการให้การ (ว่ารับสารภาพหรือปฏิเสธ) ต่อข้อหาฆาตกรรมระดับ 1 จำนวน 2 กระทงที่เขาถูกฟ้องร้อง

ในการพิจารณาคดีดังกล่าว อัยการและทีมทนายความฝ่ายจำเลยของนายไรเนอร์เห็นพ้องให้เลื่อนการ ฟ้องให้การ (Arraignment) ออกไปจนถึงวันที่ 7 มกราคม ซึ่งจะเป็นวันที่เขามีโอกาสเข้าให้การต่อศาลอีกครั้ง และจนกว่าจะถึงวันนั้น นิกจะถูกควบคุมตัวอยู่ที่ทัณฑสถาน ทวิน ทาวเวอร์ ในลอสแอนเจลิส

อัยการระบุว่า หากนิกให้การปฏิเสธและถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง เขาอาจต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิตโดยไม่มีสิทธิ์ขอทัณฑ์บน หรืออาจได้รับโทษประหารชีวิต ซึ่งทางอัยการระบุว่าในขณะนี้ยังไม่มีการตัดสินใจว่าจะมีการเรียกร้องให้นิกมีโทษถึงขั้นประหารชีวิตหรือไม่

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : bbc

เวเนซุเอลาลั่น ยังส่งออกน้ำมันปกติ แม้ทรัมป์ประกาศปิดกั้น

เวเนซุเอลาลั่น ยังส่งออกน้ำมันปกติ แม้ทรัมป์ประกาศปิดกั้น

18 ธ.ค. 2568 04:03 น.

เวเนซุเอลาลั่น ยังส่งออกน้ำมันปกติ แม้ทรัมป์ประกาศปิดกั้น

ทางการเวเนซุเอลายืนยัน ยังสามารถส่งออกน้ำมันได้เป็นปกติ หลังจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศปิดล้อมเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

เมื่อวันพุธที่ 17 ธ.ค. 2568 เวเนซุเอลายังคงแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อสหรัฐฯ โดยยืนกรานว่าการส่งออกน้ำมันดิบของพวกเขา ไม่ได้รับผลกระทบจากการประกาศปิดล้อมของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งประกาศเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เพื่อเพิ่มแรงกดดันทั้งทางทหารและเศรษฐกิจต่อรัฐบาลของประธานาธิบดี นิโคลัส มาดูโร

เวเนซุเอลาซึ่งเป็นประเทศที่มีปริมาณน้ำมันสำรองที่พิสูจน์แล้วมากที่สุดในโลก ไม่แยแสต่อคำขู่ว่าจะได้รับความยากลำบากที่เพิ่มมากขึ้น โดยยืนยันว่าการดำเนินงานต่างๆ ยังคงเป็นไปตามปกติ

“ปฏิบัติการส่งออกน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์พลอยได้ยังคงดำเนินไปอย่างปกติ เรือบรรทุกน้ำมันที่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการของ PDVSA ยังคงเดินเรือด้วยความปลอดภัยอย่างเต็มที่” บริษัทน้ำมันแห่งชาติเวเนซุเอลา (PDVSA) ระบุในแถลงการณ์

นายทรัมป์กล่าวเมื่อวันอังคารว่าเขากำลังบังคับใช้ การปิดล้อมอย่างเบ็ดเสร็จและสมบูรณ์ต่อเรือบรรทุกน้ำมันที่ถูกคว่ำบาตรทุกลำที่เดินทางเข้าและออกจากเวเนซุเอลา

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังพูดถึงการวางกำลังทหารสหรัฐฯ อย่างหนาแน่นในทะเลแคริบเบียน ซึ่งรวมถึงเรือบรรทุกเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย พร้อมเตือนว่า เวเนซุเอลาถูกโอบล้อมอย่างสมบูรณ์โดยกองเรือรบ (Armada) ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการจัดตั้งขึ้นในประวัติศาสตร์ของอเมริกาใต้

ข่าวการปิดล้อมดังกล่าวส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นในการซื้อขายช่วงเช้าวันพุธที่กรุงลอนดอน โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่กองกำลังสหรัฐฯ ได้เข้ายึดเรือบรรทุกน้ำมันที่ถูกคว่ำบาตรลำหนึ่งใกล้ชายฝั่งเวเนซุเอลา

ทั้งนี้ สหรัฐฯ ยกระดับความเคลื่อนไหวทางทหารในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเพิ่มขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยยิงเรือที่อ้างว่าขนยาเสพติดไปนับสิบลำ จนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก อ้างว่าเป็นปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติด ขณะที่ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวโจมตีเวเนซุเอลาอย่างชัดเจนว่าเป็นองค์กรก่อการร้ายข้ามชาติ

ฝ่ายรัฐบาลเวเนซุเอลาเชื่อว่า ปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดดังกล่าวเป็นเพียงฉากบังหน้าเพื่อพยายามโค่นล้มอำนาจของนายมาดูโร ผู้ซึ่งถูกกล่าวหาว่าโกงการเลือกตั้งเมื่อปีที่ผ่านมา และเพื่อเข้ายึดครองทรัพยากรน้ำมันของเวเนซุเอลา

โดนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณกำกวมมาตลอดว่าจะเข้าแทรกแซงในเวเนซุเอลาหรือไม่ แต่เขากล่าวว่าเขาเชื่อว่าเวลาในอำนาจของนายมาดูโรนั้น “ใกล้จะหมดลงแล้ว”

อนึ่ง เศรษฐกิจที่บอบช้ำของเวเนซุเอลาต้องพึ่งพาการส่งออกน้ำมันเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม กองทัพของเวเนซุเอลาซึ่งให้การสนับสนุนนายมาดูโร ผู้นำฝ่ายซ้ายจัด กล่าวว่าพวกเขา “ไม่เกรงกลัว” ต่อการข่มขู่ของนายทรัมป์

“เราขอบอกกับรัฐบาลสหรัฐฯ และประธานาธิบดีของพวกเขาว่า เราไม่เกรงกลัวต่อคำขู่ที่หยาบคายและจองหองของพวกเขา” นายวลาดิเมียร์ ปาดริโน โลเปซ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวในงานซึ่งเต็มไปด้วยผู้บัญชาการระดับสูงที่ย้ำคำสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อมาดูโรมาโดยตลอด

ทางด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักสำหรับน้ำมันของเวเนซุเอลา กล่าวปกป้องรัฐบาลมาดูโรระหว่างการต่อสายโทรศัพท์พูดคุยกับรัฐมนตรีต่างประเทศเวเนซุเอลา ต่อกรณีที่พวกเขาเรียกว่าเป็น “การข่มเหง” ของสหรัฐฯ

“จีนคัดค้านการข่มเหงฝ่ายเดียวในทุกรูปแบบ และสนับสนุนทุกประเทศในการปกป้องอธิปไตยและศักดิ์ศรีของชาติ” เขากล่าว พร้อมเสริมว่าเวเนซุเอลา “มีสิทธิ์ที่จะพัฒนาความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันกับประเทศอื่นๆ อย่างเป็นอิสระ”

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : cna

จีนเตรียมส่ง ทูตพิเศษเยือนไทย-กัมพูชา หวังลดตึงเครียด-ฟื้นสันติภาพ

จีนเตรียมส่ง ทูตพิเศษเยือนไทย-กัมพูชา หวังลดตึงเครียด-ฟื้นสันติภาพ

18 ธ.ค. 2568 00:43 น.

จีนเตรียมส่ง ทูตพิเศษเยือนไทย-กัมพูชา หวังลดตึงเครียด-ฟื้นสันติภาพ

จีนเตรียมส่งทูตพิเศษเดินทางเยือนกัมพูชากับไทยอีกครั้งในวันพฤหัสบดีนี้ เพื่อหาทางลดความตึงเครียด และช่วยให้ทั้งสองฝ่ายฟื้นฟูสันติภาพกลับคืนมา

เมื่อคืนวันพุธที่ 17 ธ.ค. 2568 โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ประกาศว่า ทูตพิเศษด้านกิจการเอเชียจะเดินทางเยือนประเทศกัมพูชากับไทยอีกครั้งในวันพฤหัสบดีนี้ (18 ธ.ค.) เพื่อดำเนินการเจรจาทางการทูตแบบไปกลับ (shuttle diplomacy) เพื่อส่งเสริมการลดความตึงเครียด และช่วยให้ทั้งสองฝ่ายฟื้นฟูสันติภาพกลับคืนมา

“ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านและมิตรของกัมพูชาและไทย จีนมีความห่วงใยอย่างยิ่งกับสถานการณ์การปะทะบริเวณชายแดนระหว่างสองประเทศในปัจจุบัน โดยได้พยายามไกล่เกลี่ยและส่งเสริมการเจรจาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีบทบาทอย่างแข็งขันด้วยวิธีการของตนเพื่อช่วยคลี่คลายความตึงเครียดและบรรเทาสถานการณ์”

“ทูตพิเศษด้านกิจการเอเชียจะเดินทางไปกัมพูชาและไทยอีกครั้งในวันที่ 18 ธันวาคม เพื่อดำเนินการไกล่เกลี่ย ผลักดันให้ทั้งสองฝ่ายเดินหน้าเข้าหากัน และฟื้นฟูสันติภาพโดยเร็ว” แถลงการณ์ระบุ

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : facebook / ChineseEmbassyinBangkok

แอฟริกาใต้ช็อก ดีเจคนดังโดนยิงดับ กลางเมืองโจฮันเนสเบิร์ก

แอฟริกาใต้ช็อก ดีเจคนดังโดนยิงดับ กลางเมืองโจฮันเนสเบิร์ก

17 ธ.ค. 2568 23:51 น.

แอฟริกาใต้ช็อก ดีเจคนดังโดนยิงดับ กลางเมืองโจฮันเนสเบิร์ก

ดีเจชื่อดังชาวแอฟริกาใต้ถูกยิงดับกลางเมืองโจฮันเนสเบิร์ก โดยที่ตำรวจยังไม่ทราบแรงจูงใจในการก่อเหตุ และยังไม่สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยรายใดได้

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นาย วอร์ริก สต็อก หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “ดีเจ วอร์รัส” ดีเจวิทยุและดีเจคลับชื่อดังชาวแอฟริกาใต้ถูกยิงเสียชีวิตในย่านใจกลางเมืองโจฮันเนสเบิร์ก เมืองใหญ่ที่สุดของประเทศ เมื่อช่วงบ่ายวันอังคารที่ผ่านมา (16 ธ.ค. 2568) ตอกย้ำปัญหาอาชญากรรมที่ฝังรากลึกในแอฟริกาใต้

ตำรวจระบุว่า ผู้ต้องสงสัย 3 คนเดินตรงเข้าหาดีเจชื่อดังวัย 40 ปีรายนี้ซึ่งยืนอยู่นอกอาคาร “แซมเบซี เฮาส์” (Zambesi House) ใกล้กับตึก “คาร์ลตัน เซ็นเตอร์” (Carlton Centre) ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะเปิดฉากยิงปืนใส่เขา แล้วพากันวิ่งหนีไป โดยจนถึงตอนนี้ ตำรวจยังไม่ทราบแรงจูงใจในการก่อเหตุ และยังไม่สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยรายใดได้

ภาพจากกล้องวงจรปิดแสดงให้เห็นว่า ชายคนหนึ่งซึ่งไว้ผมทรงเดรดล็อก และแต่งกายด้วยชุดที่ดูเหมือนเครื่องแบบพนักงานรักษาความปลอดภัยเปิดฉากยิงใส่สต็อกก่อนจะหลบหนีไป ขณะที่ดีเจหนุ่มพยายามวิ่งหนีหลังจากถูกยิง ก่อนจะล้มลงที่ฝั่งตรงข้ามของถนน

ตำรวจบอกอีกว่า สต็อกมีอาวุธปืนติดตัวอยู่แต่ไม่ได้ถูกใช้งาน และไม่มีทรัพย์สินใดๆ ถูกขโมยไปในระหว่างการโจมตีครั้งนี้ ซึ่งตำรวจพบหลักฐานสำคัญอย่างปลอกกระสุนในที่เกิดเหตุ และเรียกร้องให้พยานที่เห็นเหตุการณ์และประชาชนที่อาจพบเห็นผู้ต้องสงสัยเข้ามาให้ข้อมูล

สถานีโทรทัศน์ SABC ของรัฐบาลแอฟริกาใต้รายงานว่า สต็อกใช้เวลาหลายชั่วโมงที่อาคารดังกล่าวเพื่อควบคุมดูแลการติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยภายในพื้นที่ โดยอาคารแห่งนี้กำลังมีข้อพิพาทเนื่องจากมีกลุ่มบุคคลปริศนาเข้าบุกรุกครอบครอง

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : bbc