สหรัฐฯ ‘เอาคืน’ โจมตีทางอากาศถล่มฐานที่มั่นกองกำลังหนุนอิหร่านในซีเรีย

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

https://www.thairath.co.th/news/foreign/2663551

 สหรัฐฯ 'เอาคืน' โจมตีทางอากาศถล่มฐานที่มั่นกองกำลังหนุนอิหร่านในซีเรีย

25 มี.ค. 2566 17:39 น.

สหรัฐฯ ‘เอาคืน’ โจมตีทางอากาศถล่มฐานที่มั่นกองกำลังหนุนอิหร่านในซีเรีย

(ภาพประกอบ)

สหรัฐฯ ตอบโต้ทันที ส่งเครื่องบินขับไล่โจมตีทางอากาศถล่มฐานที่มั่นกองกำลังสนับสนุนอิหร่านในซีเรีย เจ็บตายหลายราย หลังมีโดรนกามิกาเซ่ของอิหร่านถูกส่งมาถล่มฐานทัพทหารสหรัฐฯ ในซีเรีย ชาวอเมริกันตาย 1

เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2566 กองทัพสหรัฐฯ ตอบโต้แบบ ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’ ส่งเครื่องบินขับไล่ F-15 ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศถล่มเป้าหมายฐานที่มั่นของกองกำลังนักรบที่สนับสนุนอิหร่าน ทางภาคตะวันออกของซีเรีย เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายราย เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ทำให้ต่อมา กองกำลังสนับสนุนอิหร่านในซีเรีย ได้ออกแถลงการณ์เตือนสหรัฐฯ ผ่านทางออนไลน์ ว่ามีศักยภาพที่จะสามารถโจมตีฐานทัพของทหารสหรัฐฯ ในซีเรีย 

‘พวกเรามีศักยภาพที่จะตอบโต้ หากศูนย์บัญชาการและกองกำลังนักรบของเราในซีเรียตกเป็นเป้าหมายโจมตี’ กองกำลังสนับสนุนอิหร่านในซีเรียซึ่งลงนามโดยคณะกรรมการที่ปรึกษาอิหร่านในซีเรีย ออกแถลงการณ์ ผ่านทางออนไลน์

สำหรับปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ ถล่มฐานที่มั่นกองกำลังสนับสนุนอิหร่านในซีเรียนั้น เกิดขึ้นภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง หลังจากสหรัฐฯ สงสัยว่ามีโดรนกามิกาเซ่ ของอิหร่านลำหนึ่งถูกส่งมาโจมตีฐานทัพกองกำลังพันธมิตรนำโดยสหรัฐฯ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรีย เมื่อ 23 มีนาคม ที่ผ่านมา ทำให้มีชาวอเมริกันซึ่งเป็นบุคคลสัญญาจ้างของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เสียชีวิต 1 ศพ และทหารสหรัฐฯ ได้รับบาดเจ็บ 5 นาย

ในขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งสหรัฐฯ กล่าวขณะเยือนกรุงออตตาวา ประเทศแคนาดาว่า สหรัฐฯ ไม่พยายามที่จะเกิดความขัดแย้งกับอิหร่าน แต่ก็ถูกบังคับให้ตอบโต้เมื่อกองทหารสหรัฐฯ ในซีเรียถูกโจมตี

ที่มา : Aljazeera

ราหุล คานธี ผู้นำฝ่ายค้านอินเดีย ถูกตัดสิทธิ์ ส.ส. จากปมหมิ่นนามสกุลนายกฯ โมดี

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

https://www.thairath.co.th/news/foreign/2663475

ราหุล คานธี ผู้นำฝ่ายค้านอินเดีย ถูกตัดสิทธิ์ ส.ส. จากปมหมิ่นนามสกุลนายกฯ โมดี

25 มี.ค. 2566 15:22 น.

ราหุล คานธี ผู้นำฝ่ายค้านอินเดีย ถูกตัดสิทธิ์ ส.ส. จากปมหมิ่นนามสกุลนายกฯ โมดี

ราหุล คานธี หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านอินเดีย ถูกตัดสิทธิ์การเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หลังจากเขาถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาหมิ่นประมาทนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี และต้องรับโทษจำคุก 2 ปี

เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2566 สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า สภาผู้แทนราษฎรอินเดีย ออกแถลงการณ์ระบุว่า นายราหุล คานธี หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน “คองเกรส” ได้ถูกตัดสิทธิ์การเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หลังจากเขาถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาหมิ่นประมาทนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี แห่งอินเดีย และต้องรับโทษจำคุก 2 ปี

ด้านพรรคคองเกรส ระบุว่า ถ้อยคำปราศรัยของนายคานธีต้องการสื่อถึงปัญหาคอร์รัปชัน และไม่ได้โจมตีฝ่ายใดโดยตรง และเชื่อว่าการตัดสิทธิ์ทางการเมืองครั้งนี้มีแรงจูงใจทางการเมือง โดยนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี กำลังบ่อนทำลายประชาธิปไตยด้วยการปิดปากผู้เห็นต่าง และโจมตีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

ก่อนหน้านี้ นายปูร์เนช โมดี หัวหน้าพรรครัฐบาล “ภารติยะ ชนตะ” หรือพรรคบีเจพี
เป็นผู้ยื่นฟ้องคดีหมิ่นประมาทกับนายคานธี จากการปราศรัยช่วงการเลือกตั้งซึ่งเขากล่าวพาดพิงถึงนามสกุลโมดี ว่าเป็นนามสกุลโจร.

พอล รูเซซาบากินา ฮีโร่ ‘โฮเทล รวันดา’ ได้อิสรภาพ ออกจากเรือนจำแล้ว

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

https://www.thairath.co.th/news/foreign/2663425

พอล รูเซซาบากินา ฮีโร่ 'โฮเทล รวันดา' ได้อิสรภาพ ออกจากเรือนจำแล้ว

25 มี.ค. 2566 15:08 น.

พอล รูเซซาบากินา ฮีโร่ ‘โฮเทล รวันดา’ ได้อิสรภาพ ออกจากเรือนจำแล้ว

พอล รูเซซาบากินา วีรบุรุษ ช่วยผู้คนกว่าพันจากการถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ จนเรื่องราวของเขาได้ถูกนำมาสร้างหนังเรื่อง ‘โฮเทล รวันดา’ ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำแล้ว

เมื่อ 25 มีนาคม 2566  สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน นายพอล รูเซซาบากินา อดีตผู้จัดการโรงแรมในรวันดา วัย 68 ปี ซึ่งได้รับการยกย่องชื่นชมในฐานะวีรบุรุษช่วยชีวิตผู้คนกว่า 1,200 คนจากการโดนฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา ในที่สุด ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำในกรุงคิกาลี เมืองหลวงของรวันดาแล้ว จนสร้างความยินดีให้แก่ครอบครัวและผู้สนับสนุนเขาอย่างมาก หลังจากนายรูเซซาบากินาได้ถูกคุมขังในเรือนจำมาเป็นเวลา 2 ปี นับตั้งแต่ถูกศาลตัดสินจำคุก 25 ปีในข้อหาก่อการร้ายเมื่อกันยายน 2564

โฆษกรัฐบาลรวันดา กล่าวถึงการปล่อยตัวนายรูเซซาบากินา วีรบุรุษแห่งรวันดา เพียงว่า ‘การตัดสินลงโทษนายรูเซซาบากินาได้ถูกเปลี่ยนแปลงโดยคำสั่งประธานาธิบดี’

ด้านประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งสหรัฐฯ ได้เรียกข่าวการปล่อยตัวนายรูเซซาบากินาออกจากเรือนจำในครั้งนี้ว่า เป็นผลลัพธ์ที่มีความสุข หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ได้พยายามกดดันอย่างหนักให้รัฐบาลรวันดาปล่อยตัวนายรูเซซาบากินา ซึ่งพำนักอยู่ในสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2552 และนายรูเซซาบากินาได้ถูกทางการรวันดาจับกุมในปี 2563 เนื่องจากครื่องบินส่วนตัวลำหนึ่งซึ่งเขาเชื่อว่าจะพาไปยังประเทศบุรุนดี กลับไปลงจอดที่กรุงคิกาลี

พอล รูเซซาบากินา ฮีโร่ 'โฮเทล รวันดา'ขณะถูกทางการรวันดาควบคุมตัวในปี 2563
พอล รูเซซาบากินา ฮีโร่ ‘โฮเทล รวันดา’ขณะถูกทางการรวันดาควบคุมตัวในปี 2563

รัฐบาลสหรัฐฯ ชี้ว่าการควบคุมตัวนายรูเซซาบากินา ถือเป็นการควบคุมตัวที่ผิด โดยรัฐบาลรวันดาได้ตั้งข้อหานายรูเซซาบากินา ถึง 9 ข้อหา อันเกี่ยวข้องกับสนับสนุนกลุ่มกบฏแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติ (เอฟแอลเอ็น) ที่ก่อเหตุโจมตีเมื่อปี 2561 และ 2562 กระทั่งศาลรวันดาได้ตัดสินจำคุกนายรูเซซาบากินาเป็นเวลา 25 ปีในปี 2564

ก่อนหน้านี้ เรื่องราวของนายรูเซซาบากินา อดีตผู้จัดการโรงแรมมิลล์คอลลินส์  ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นฮีโร่ ผู้ช่วยชีวิตผู้คนถึง 1,200 คนจาการถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา เมื่อปี 2537 ได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูด เรื่อง Hotel Rwanda (โฮเทล รวันดา) ซึ่งการที่เขาถูกศาลตัดสินจำคุกเป็นเวลา 25 ปีในข้อหาก่อการร้ายนั้น จึงทำให้บรรดาผู้คนที่สนับสนุนนายรูเซซาบากินา เรียกว่าเป็นการดำเนินคดีที่น่าอับอาย

ที่มา : BBC

อาลัย “ดาร์เซลล์ ฟิฟทีน” แดร็กควีนอายุมากที่สุดในโลก เสียชีวิตในวัย 92 ปี

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

https://www.thairath.co.th/news/foreign/2663465

อาลัย "ดาร์เซลล์ ฟิฟทีน" แดร็กควีนอายุมากที่สุดในโลก เสียชีวิตในวัย 92 ปี

25 มี.ค. 2566 14:42 น.

อาลัย “ดาร์เซลล์ ฟิฟทีน” แดร็กควีนอายุมากที่สุดในโลก เสียชีวิตในวัย 92 ปี

เธอมันตัวแม่ “ดาร์เซล ฟิฟทีน” ผู้เป็นตำนานในวงการแดร็กควีน เจ้าของสถิติกินเนสส์บุ๊ก “แดร็กควีนอายุมากที่สุดในโลกที่ยังทำการแสดงอยู่” เสียชีวิตในวัย 92 ปี

เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2566 สำนักข่าวเอพี รายงานว่า “วอลเตอร์ ซี โคล” หรือ “ดาร์เซล ฟิฟทีน” (Darcelle XV) แดร็กควีนผู้เป็นตำนานในวงการนางโชว์ผู้ชายแต่งหญิงที่ได้รับการบันทึกสถิติจากกินเนสส์บุ๊ก เมื่อปี 2559 ว่าเป็น “แดร็กควีนอายุมากที่สุดในโลกที่ยังทำการแสดงอยู่” เสียชีวิตแล้วขณะมีอายุ 92 ปี

รายงานข่าวระบุว่า “ดาร์เซล ฟิฟทีน” เสียชีวิตด้วยสาเหตุธรรมชาติ ที่บ้านพักในเมืองพอร์ทแลนด์ รัฐโอเรกอน ขณะมีชีวิตอยู่เขาทำงานแสดงโชว์แดร็กควีนที่ไนต์คลับ “ดาร์เซล ฟิฟทีน โชว์เพลส” ของเขา จวบจนวาระสุดท้าย รวมเป็นระยะเวลายาวนานถึง 57 ปี

นอกเหนือจากเวลาทำงานในฐานะแดร็กควีน วอลเตอร์ ซี โคล เป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องสิทธิกลุ่ม “LGBTQ+” และอุทิศตนทำงานด้านการกุศลในชุมชนเมืองพอร์ตแลนด์มาอย่างยาวนาน

โดยคำว่า “แดร็กควีน” มาจากคำว่า Dressed Resembling As a Girl หรือ DRAG หมายถึงผู้ที่นิยามตนเองว่าเป็นชาย แต่แต่งตัวเป็นผู้หญิง แต่ปัจจุบันแดร็กควีนอาจเป็นบุคคลเพศใดก็ได้ที่นิยมการแต่งตัวและแต่งหน้าแบบจัดเต็ม

ขณะเดียวกันไนต์คลับ “ดาร์เซล ฟิฟทีน โชว์เพลส” ในย่านใจกลางเมืองพอร์ตแลนด์ เปิดให้บริการมานานกว่า 50 ปี และกลายเป็นสถานที่แห่งวัฒนธรรมเมืองพอร์ตแลนด์ตั้งแต่ยุคปี ค.ศ. 1970 จนถึงปัจจุบัน โดยได้รับการรับรองให้เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์แห่งชาติ เมื่อปี 2563 และเป็นสถานที่แห่งความทรงจำของชุมชน LGBTQ+

หลังจากทราบข่าวการเสียชีวิตของ “ดาร์เซล ฟิฟทีน” บรรดาแฟนๆ ต่างออกมาร่วมไว้อาลัย โดยนายรอน วีเดน นายกเทศมนตรีเมืองพอร์ตแลนด์และสมาชิกวุฒิสภาพรรคเดโมแครต กล่าวยกย่องว่า ดาร์เซล ฟิฟทีน เป็นผู้บุกเบิก และเป็นบุคคลในหน้าประวัติศาสตร์ของพอร์ตแลนด์ที่จะไม่มีใครลืมเลือน.

สุดอึ้ง 2 นักโทษในสหรัฐฯ ‘มาเหนือเมฆ’ ใช้แปรงสีฟันแงะกำแพง แหกคุก

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

https://www.thairath.co.th/news/foreign/2663356

สุดอึ้ง 2 นักโทษในสหรัฐฯ 'มาเหนือเมฆ' ใช้แปรงสีฟันแงะกำแพง แหกคุก

25 มี.ค. 2566 12:33 น.

สุดอึ้ง 2 นักโทษในสหรัฐฯ ‘มาเหนือเมฆ’ ใช้แปรงสีฟันแงะกำแพง แหกคุก

สองนักโทษในสหรัฐฯ คิดวิธีแหกคุกแบบเหนือชั้น ใช้แปรงสีฟันทำอุปกรณ์งัดแงะกะเทาะกำแพง จนสามารถหลบหนีออกจากเรือนจำในรัฐเวอร์จิเนีย ออกไปกินแพนเค้กได้หลายชั่วโมง

สื่อต่างประเทศรายงานเกิดเหตุการณ์แหกคุกแบบเหนือชั้นในสหรัฐอเมริกา จนทำให้เจ้าหน้าที่เรือนจำนิวพอร์ต นิวส์ เจล เอนเน็กซ์ รัฐเวอร์จิเนีย ต้องประสานไปยังสำนักงานนายอำเภอนิวพอร์ต นิวส์ เพื่อออกประกาศตามจับกุมนักโทษชายสองคน คือ นายอาร์ลีย์ วี.นีโม วัย 43 ปี และนายจอห์น เอ็ม.การ์ซา วัย 37 ปี หลังมารู้ว่านักโทษชายทั้งสองคนนี้ได้หายไปในระหว่างเจ้าหน้าที่นับจำนวนนักโทษ เมื่อช่วงค่ำ ประมาณ 19.00 น. ของวันจันทร์ที่ 20 มีนาคม ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น

สำนักงานนายอำเภอนิวพอร์ต นิวส์ รัฐเวอร์จิเนีย ได้เผยแพร่รูปถ่ายของนายอาร์ลีย์ วี.นีโม วัย 43 ปี และจอห์น เอ็ม.การ์ซา วัย 37 ปี เพื่อให้ประชาชนที่พบเห็นนักโทษทั้งสองคนนี้แจ้งมายังสำนักงานนายอำเภอเพื่อจะได้ติดตามจับกุมสองนักโทษแหกคุกให้กลับมาเข้าคุกตามเดิม

ทางการสหรัฐฯประกาศตามจับสองนักโทษแหกคุกในรัฐเวอร์จิเนีย
ทางการสหรัฐฯประกาศตามจับสองนักโทษแหกคุกในรัฐเวอร์จิเนีย

กระทั่งต่อมา ได้มีพลเมืองดีโทร.แจ้งเข้ามายังสำนักงานนายอำเภอว่า เห็นนักโทษชายสองคนนี้กำลังอยู่ในร้านขายแพนเค้ก IHOP ในเมืองแฮมป์ตัน เมื่อเวลาประมาณ 4.20 น. ของเช้าวันอังคารที่ 21 มีนาคม จึงทำให้เจ้าหน้าที่สามารถตามจับกุมนักโทษสองคนนี้กลับมาเข้าคุกได้สำเร็จ หลังจากสามารถหลบหนีออกจากคุกแบบเหนือชั้นได้เพียง 9 ชั่วโมง

สองนักโทษในสหรัฐฯใช้อุปกรณ์ทำมือประกอบด้วยแปรงสีฟันและโลหะ งัดแงะกำแพง จนแหกคุกได้สำเร็จ
สองนักโทษในสหรัฐฯใช้อุปกรณ์ทำมือประกอบด้วยแปรงสีฟันและโลหะ งัดแงะกำแพง จนแหกคุกได้สำเร็จ


จากการสอบสวนนักโทษสองคนนี้ในเบื้องต้น ทราบว่า พวกเขาได้พบจุดอ่อนแอที่สุดของเรือนจำแห่งนี้ จากนั้นจึงได้ทำอุปกรณ์ทำมือขึ้นมา โดยใช้แปรงสีฟัน และโลหะอย่างหนึ่งในการงัดแงะกำแพง กระทั่งสามารถกะเทาะมาถึงส่วนที่เป็นเหล็กเส้น จึงได้ใช้เหล็กเส้นนี้งัดกะเทาะกำแพงจนเป็นรูขนาดใหญ่พอที่จะลอดออกมาได้

นักโทษชายสองคนนี้สามารถหลบหนีไปได้ไกลจากเรือนจำนิวพอร์ต นิวส์ เจล เอนเน็กซ์ ประมาณ 6.6 ไมล์ หรือราว 10.6 กิโลเมตร ก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่ตามจับกุมกลับเข้าคุกได้ในที่สุด เนื่องจากมีพลเมืองดีช่วยแจ้งเบาะแส โดยเจ้าหน้าที่จะต้องสอบสวนนักโทษชายสองคนนี้ต่อไปว่าใช้แปรงสีฟันงัดกำแพงคุกนานกี่วัน จนสามารถหนีออกมาได้

ที่มา : Dailymail

ยูเครนนับถอยหลังตีโต้ทวงดินแดน

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

https://www.thairath.co.th/news/foreign/2663265

ยูเครนนับถอยหลังตีโต้ทวงดินแดน

25 มี.ค. 2566 08:03 น.

ยูเครนนับถอยหลังตีโต้ทวงดินแดน

เมื่อวันที่ 24 มี.ค. กองทัพยูเครนประกาศจุดยืนว่า อีกไม่นานยูเครนจะเริ่มปฏิบัติการตีโต้ครั้งใหญ่ หลังประเมินว่าหน่วยรบรับจ้างวากเนอร์ของรัสเซียเริ่มอ่อนกำลังและสูญเสียกำลังพลไปเป็นจำนวนมากจากการสู้รบในพื้นที่เมืองบาคห์มุท ยูเครนจะใช้โอกาสนี้เหมือนกับที่เคยทำมาปีก่อนและสามารถทวงคืนดินแดนกลับคืนมาได้ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่กรุงเคียฟและจังหวัดคาร์คิฟ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ขณะที่สื่อความมั่นคงบางกระแสระบุว่า ยูเครนได้แสดงจุดยืนว่าจะเริ่มปฏิบัติการตีโต้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่จะถึงนี้หรือรอไปจนถึงช่วงฤดูร้อน และอาจระดมกำลังพลเตรียมไว้ 200,000 นายเพื่อการนี้ แต่ปฏิบัติการใช้ช่วงเวลาดังกล่าวย่อมหมายความว่าจะยังไม่ได้รับรถถังรุ่นใหม่จากชาติตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นเลพเพิร์ด 2 ของเยอรมนี หรือเอบรัมส์ของสหรัฐฯ ส่วนนายดมิทรี เมดเวเดฟ อดีตประธานาธิบดีรัสเซีย ให้สัมภาษณ์สื่อรัสเซียว่า ความพยายามใดๆในการทวงคืนคาบสมุทรไครเมียจะเป็น เหตุผลที่เพียงพอให้กองทัพรัสเซียใช้อาวุธทุกรูปแบบ แต่เชื่อว่าการทวงคืนไครเมียเป็นเพียงโฆษณาชวนเชื่อของยูเครน พร้อมเตือนว่า หากเกิดการเผชิญหน้ากันโดยตรงระหว่างรัสเซีย-สหรัฐฯ ย่อมหมายถึงหายนะ และจะไม่มีผู้ชนะจากศึกครั้งนี้.

สโลวาเกีย ชาติที่ 2 ของนาโต ส่งเครื่องบินขับไล่ 4 ลำ ไปช่วยยูเครนแล้ว

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

https://www.thairath.co.th/news/foreign/2662935

สโลวาเกีย ชาติที่ 2 ของนาโต ส่งเครื่องบินขับไล่ 4 ลำ ไปช่วยยูเครนแล้ว

24 มี.ค. 2566 18:51 น.

สโลวาเกีย ชาติที่ 2 ของนาโต ส่งเครื่องบินขับไล่ 4 ลำ ไปช่วยยูเครนแล้ว

สโลวาเกีย ส่งมอบเครื่องบินขับไล่ มิก-29 จำนวน 4 ลำ ไปช่วยยูเครนแล้ว กลายเป็นชาติสมาชิกนาโตชาติที่ 2 ต่อจากโปแลนด์ ที่ตัดสินใจส่งเครื่องบินขับไล่ไปให้ยูเครนสู้กับรัสเซีย

เมื่อ 24 มี.ค. 2566 สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานความคืบหน้าของ สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ดำเนินมาถึงวันที่ 393 แล้วว่า เครื่องบินขับไล่ Mig-29 (มิก-29) ยุคอดีตสหภาพโซเวียต ของสโลวาเกีย จำนวน 4 ลำ ได้ทะยานจากสโลวาเกียมุ่งหน้าสู่ยูเครนแล้ว เพื่อใช้ในการต่อสู้กับรัสเซียที่มารุกราน หลังจากประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน เปิดฉากทำสงครามในยูเครน ตั้งแต่ 24 ก.พ. 2565

นักบินกองทัพอากาศยูเครน ได้ทำหน้าที่ขับเครื่องบินขับไล่ มิก-29 จำนวน 4 ลำ ออกจากสโลวาเกีย เมื่อวันพฤหัสฯ ที่ 23 มีนาคม ตามเวลาท้องถิ่น มุ่งหน้าสู่ยูเครน ในขณะที่กระทรวงกลาโหมสโลวาเกียระบุว่า เครื่องบินขับไล่อีก 9 ลำ จะถูกส่งมอบให้แก่ยูเครนในสัปดาห์ต่อๆ ไป

ทั้งนี้ เมื่อวันศุกร์สัปดาห์ที่แล้ว (17 มี.ค. 2566) รัฐบาลสโลวาเกียได้อนุมัติแผนส่งเครื่องบินขับไล่ มิก-29 ไปเสริมกำลังให้กับกองทัพอากาศยูเครนเป็นจำนวนถึง 13 ลำ ทำให้สโลวาเกียกลายเป็นชาติที่ 2 ที่เป็นสมาชิกขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ต่อจากโปแลนด์ ที่ส่งเครื่องบินขับไล่ไปช่วยยูเครนป้องกันการถูกรุกรานจากรัสเซีย.

ที่มา : Aljazeera

‘อูมัวมัว’ คืออะไรกันแน่ ใช่ยานแม่เอเลี่ยน? ผ่านมา 5 ปี มีผลศึกษาใหม่

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

https://www.thairath.co.th/news/foreign/2662141

'อูมัวมัว' คืออะไรกันแน่ ใช่ยานแม่เอเลี่ยน? ผ่านมา 5 ปี มีผลศึกษาใหม่

24 มี.ค. 2566 16:33 น.

‘อูมัวมัว’ คืออะไรกันแน่ ใช่ยานแม่เอเลี่ยน? ผ่านมา 5 ปี มีผลศึกษาใหม่

  • ‘อูมัวมัว’ วัตถุระหว่างดวงดาว (Interstellar) จากนอกระบบสุริยะที่มาเยือนโลกเป็นครั้งแรก เมื่อ 5 ปีก่อนคืออะไรกันแน่ ยังคงเป็นคำถามที่บรรดานักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ และเหล่านักวิทยาศาสตร์พยายามไขคำตอบ
  • ล่าสุด ทีมนักวิจัยจาก 2 มหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐฯ ทั้งม.แคลิฟอร์เนีย, เบิร์กลีย์ และ ม.คอร์เนล ได้ข้อสรุปว่า อูมัวมัว อาจเป็น ‘ดาวหางนอกระบบสุริยะ’
  • ขณะที่ตามความเห็นของเหล่านักฟิสิกส์ดาราศาสตร์จำนวนไม่น้อยยังคงเชื่อว่า อูมัวมัว อาจเป็น ‘ยานแม่ของเอเลี่ยน’ และมีนักดาราศาสตร์อีกมากที่คิดว่า อูมัวมัว น่าจะเป็น ‘ดาวเคราะห์น้อย’

การมาเยือนโลก ของวัตถุระหว่างดวงดาวนอกระบบสุริยะครั้งแรก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ตั้งชื่อให้ว่า ‘อูมัวมัว’ (Oumaumau) ยังคงเป็นปริศนา และไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัด แม้เวลาจะล่วงเลยมานานกว่า 5 ปี แล้ว

ด้วยรูปร่างหน้าตาที่แปลกประหลาดของ อูมัวมัว ซึ่งมีลักษณะคล้าย ซิการ์ และไม่ได้มีขนาดใหญ่โตอะไร ประกอบกับสามารถเร่งความเร็ว จนเคลื่อนที่ด้วยความเร็วได้สูงถึง 196,000 ไมล์ต่อชั่วโมง ทำให้บรรดานักดาราศาสตร์และนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ทั่วโลกให้ความสนใจกันอย่างมาก และพยายามไขปริศนาของวัตถุระหว่างดวงดาวนอกระบบสุริยะนี้

'อูมัวมัว' วัตถุระหว่างดวงดาวจากนอกระบบสุริยะที่โคจรเข้ามาในระบบสุริยะของเราเป็นครั้งแรก
‘อูมัวมัว’ วัตถุระหว่างดวงดาวจากนอกระบบสุริยะที่โคจรเข้ามาในระบบสุริยะของเราเป็นครั้งแรก

‘อูมัวมัว’ ผู้มาเยือนลึกลับเมื่อกว่า 5 ปีก่อน

เวลาผ่านไปเร็ว จนถึงขณะนี้ อูมัวมัว ยังคงเป็นวัตถุลึกลับปริศนา หลังจากได้มาเยือนโลกตั้งแต่กว่า 5 ปีที่แล้ว นับตั้งแต่ทีมนักดาราศาสตร์ที่รัฐฮาวาย ในสหรัฐอเมริกา ต้องตื่นตะลึง เมื่อพบโดยกล้องโทรทรรศน์ Pan-STARRS1 ว่ามีวัตถุระหว่างดวงดาวที่มาจากนอกสุริยะกำลังเคลื่อนผ่านโลกของเรา ในวันที่ 19 ตุลาคม 2560  ขณะที่นักดาราศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยฮาวายได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ชนิดนี้ในการค้นหาดาวเคราะห์น้อยที่เป็นอันตรายต่อโลก 

ก่อนต่อมานักดาราศาสตร์ได้มีการประกาศการค้นพบวัตถุอวกาศปริศนานี้ในวันที่ 25 ตุลาคม 2560 จนถือเป็นการค้นพบวัตถุระหว่างดวงดาวที่มาจากระบบสุริยะอื่นที่มาเยือนโลกเป็นครั้งแรก และตั้งชื่อเรียกว่า อูมัวมัว ซึ่งเป็นภาษาฮาวาย หมายถึง ‘หน่วยสอดแนม กองหน้าในการรบ’ หรือผู้ส่งสาร

ดาวหาง C/2022 E3 (ZTF) โคจรผ่านโลกและดวงอาทิตย์ที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า เป็นครั้งแรกในรอบ 50,000 ปี เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2566
ดาวหาง C/2022 E3 (ZTF) โคจรผ่านโลกและดวงอาทิตย์ที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า เป็นครั้งแรกในรอบ 50,000 ปี เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2566

นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์จำนวนไม่น้อยยังเชื่อว่า คือ ‘ยานแม่ของเอเลี่ยน’

ท่ามกลางข้อสันนิษฐานในเบื้องต้นของนักดาราศาสตร์จำนวนมากที่คิดว่า อูมัวมัว น่าจะเป็นดาวเคราะห์น้อย แต่ก็มีนักฟิสิกส์จำนวนไม่น้อยที่ยังคงเชื่อว่า อูมัวมัว อาจเป็นยานแม่ของมนุษย์ต่างดาว

นอกจากรูปร่างหน้าตาของอูมัวมัวที่คล้ายกับซิการ์ มีความยาวราว 400 เมตร แต่มีความกว้างเพียง 40 เมตรแล้ว อูมัวมัว ถือเป็นเทหวัตถุที่มีลักษณะแปลกประหลาด ซึ่งนักดาราศาสตร์ทั่วโลกไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน

ที่สำคัญ อูมัวมัว ยังมีลักษณะสำคัญที่ทำให้นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์จำนวนไม่น้อยเชื่อว่า มันไม่ใช่ดาวเคราะห์น้อย หรือดาวหาง ด้วยเหตุผลดังนี้

-อูมัวมัว ไม่ใช่ดาวหาง เพราะไม่มีส่วนที่ระเหิดเป็นแก๊สขณะโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ ทำให้ไม่มีลักษณะคล้ายหางแต่อย่างใด

-สามารถเร่งความเร็วในการเคลื่อนที่ได้

-อูมัวมัว มีขนาดเล็กกว่าดางหางอื่นๆ ทั่วไป และอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ ซึ่งด้วยเหตุปัจจัยเหล่านี้จึงทำให้อูมัวมัวไม่สามารถที่จะมีไอน้ำที่ระเหิดออกมาเพียงพอที่จะก่อให้เกิดแรงขับที่มากขนาดนี้ และอูมัวมัวไม่ได้เคลื่อนที่จากแรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์

-อูมัวมัว มาจากห้วงอวกาศอื่น ไม่ใช่เทหวัตถุในระบบสุริยะของเรา ซึ่งมันเหมือนกับ ‘ท่อนไม้ลอย’ ได้ในอวกาศ และไม่ได้เกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์

'อูมัวมัว' วัตถุระหว่างดวงดาวจากนอกระบบสุริยะที่โคจรเข้ามาในระบบสุริยะของเราเป็นครั้งแรก
‘อูมัวมัว’ วัตถุระหว่างดวงดาวจากนอกระบบสุริยะที่โคจรเข้ามาในระบบสุริยะของเราเป็นครั้งแรก

ล่าสุด ทีมนักวิจัย 2 มหา’ลัยชั้นนำในสหรัฐฯ เผยผลการศึกษาใหม่

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางปริศนาของอูมัวมัว ผู้มาเยือนลึกลับที่ไม่สามารถได้คำตอบแน่ชัดว่ามันคืออะไร ปรากฏว่าเมื่อ 23 มี.ค. 2566 มีรายงานจากสื่อต่างประเทศ ระบุว่า นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ทั้งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย, เบิร์กลีย์ และคอร์เนล ในสหรัฐอเมริกา ได้เสนอรายงานผลการศึกษาใหม่ในการพยายามไขปริศนาอูมัวมัว โดยเชื่อว่า อูมัวมัว น่าจะเป็น ‘ดาวหางนอกระบบสุริยะ

สาเหตุที่ทำให้ทีมนักวิจัยในสหรัฐฯ กลุ่มนี้เชื่อว่า อูมัวมัว คือ ดาวหางจากนอกระบบสุริยะ ได้มีการอธิบายอย่างง่ายๆ ว่า เป็นเพราะอูมัวมัว ถึงแม้ไม่มีกลุ่มแก๊สฯที่ดูแล้วมีลักษณะคล้ายหางที่พ่นออกมาเป็นหางยาว แต่เนื่องจากอูมัวมัวเป็นดาวหางขนาดเล็กจากนอกระบบสุริยะ ซึ่งเปลือกบางของแก๊สไฮโดรเจนไม่สามารถถูกตรวจจับจนมองเห็นได้โดยกล้องโทรทรรศน์

เรียกว่าผลการศึกษาใหม่ของทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ และคอร์เนล ที่มีความเห็นว่า อูมัวมัว คือ ดาวหางนอกระบบสุริยะนั้น แตกต่างจากความเห็นของนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์จำนวนหนึ่งที่เชื่อกันว่า อูมัวมัว อาจเป็นยานแม่ของเอเลี่ยน 

จึงทำให้ความสนุกตื่นเต้นในการไขปริศนา อูมัวมัว ผู้มาเยือนลึกลับ ยังคงดำเนินต่อไป จนกว่าจะมีข้อสรุปที่ไม่สามารถหักล้างด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ได้อีกว่า อูมัวมัว สุดท้ายแล้วคืออะไร.

ผู้เขียน : อรัญญา ศรีจันทรนิตย์

ที่มา : DailymailCNN

ม็อบฝรั่งเศสวางเพลิงศาลาว่าการเมืองบอร์กโดซ์

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

https://www.thairath.co.th/news/foreign/2662585

ม็อบฝรั่งเศสวางเพลิงศาลาว่าการเมืองบอร์กโดซ์

24 มี.ค. 2566 12:14 น.

ม็อบฝรั่งเศสวางเพลิงศาลาว่าการเมืองบอร์กโดซ์

ศาลาว่าการเมืองบอร์กโดซ์ถูกลอบวางเพลิงเสียหายหนัก ขณะที่ชาวฝรั่งเศสแสดงการต่อต้านการที่รัฐบาลของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ผ่านกฎหมายปฏิรูประบบบำนาญโดยไม่ผ่านสภา ที่ขยายเพดานอายุเกษียณจาก 62 ปี เป็น 64 ปี 

เหตุวุ่นวายดังกล่าวเกิดขึ้นขณะที่กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 พร้อมด้วยราชินีคามิลลา เสด็จเยือนฝรั่งเศส โดยพระองค์มีกำหนดจะเดินทางเยือนบอร์กโดซ์ ในวันที่ 2 ของการเสด็จฯ

โดยภาพที่เผยแพร่ตามสื่อโซเชียลต่างๆ เป็นภาพเปลวไฟที่กำลังลุกท่วมประตูหน้าศาลากลางในเมืองบอร์กโดซ์ ในช่วงเย็นวันพฤหัสบดีตามเวลาท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม ยังคงไม่ชัดเจนว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบต่อการจัดไฟเผาครั้งนี้ ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถดับเพลิงได้ดับอย่างรวดเร็ว

กระทรวงมหาดไทยฝรั่งเศสเปิดเผยว่า มีผู้ชุมประท้วงทั่วประเทศมากกว่า 1 ล้านคน เฉพาะในกรุงปารีสมีมากถึง 119,000 คน โดยมีผู้ถูกจับกุมอย่างน้อย 172 คนทั่วประเทศ และเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 149 นาย ขณะที่การประท้วงนัดหยุดงานดำเนินมาเป็นวันที่ 9

โดยในกรุงปารีส โดยทั่วไปแล้วการชุมนุมเป็นไปอย่างสงบ แต่มีกลุ่มอันธพาลที่มีชื่อว่า “แบล็ก บล็อก” ได้ตระเวนก่อความไม่สงบ และทำลายทรัพย์สมบัติสาธารณะ ตามสถานที่หลายแห่งในกรุงปารีส และเกิดการปะทะระหว่างตำรวจกับผู้ก่อการจลาจลที่สวมหน้ากาก ซึ่งทุบทำลายหน้าต่างร้านค้าจำนวนมาก ตำรวจต้องใช้แก๊สน้ำตาและระเบิดแสงเพื่อสลายการชุมนุม และถูกขว้างกลับด้วยวัตถุต่างๆ และดอกไม้ไฟ

การประท้วงยังส่งผลกระทบต่อการเดินทางด้วยรถไฟ โรงกลั่นน้ำมัน โรงเรียน การเดินทางด้วยเครื่องบินต้องหยุดชะงัก หลังเจ้าหน้าที่สนามบินชาร์ลส์ เดอ โกล ในกรุงปารีส นัดหยุดงานประท้วง

ผลสำรวจชี้ว่าชาวฝรั่งเศสส่วนใหญ่คัดค้านการเพิ่มอายุเกษียณดังกล่าว แม้ประธานาธิบดี เอมมานูเอล มาครง จะยืนยันว่าแผนการเพิ่มอายุบำนาญมีความจำเป็น เพื่อรักษาระบบบำเหน็จบำนาญของฝรั่งเศสให้สามารถคงอยู่ต่อไปได้ พร้อมยืนยันว่าจะต้องมีการบังคับใช้การขยายอายุเกษียณภายในปีนี้

ขณะที่สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม เช่น หอไอเฟลและพระราชวังแวร์ซาย ซึ่งเป็นสถานที่จัดอาหารค่ำสำหรับกษัตริย์ชาร์ลส์และประธานาธิบดีฝรั่งเศสในสัปดาห์หน้า ก็ถูกปิดเช่นกันในวันพฤหัสบดี

ในเมืองรูออง ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส มีหญิงสาวคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังเธอสูญเสียนิ้วหัวแม่มือหลังจากที่เธอถูกระเบิดที่เรียกว่า “แฟลชบอล” โดยตำรวจเพื่อสลายผู้ชุมนุม นอกจากนั้นยังมีการปะทะกันในเมืองนองต์, แรนส์ และลอริยองต์ ทางตะวันตกของประเทศ

โดยนับตั้งแต่เดือนมกราคม มีการจัดการประท้วงมาแล้ว 9 วัน และสหภาพแรงงานฝรั่งเศสได้เรียกร้องให้มีการประท้วงครั้งที่ 10 ในวันอังคารหน้า ขณะที่พนักงานเก็บขยะในปารีสที่เริ่มประท้วงต่อต้านการปฏิรูปเงินบำนาญเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ได้ประท้วงต่อไปจนถึงวันจันทร์หน้า

ความไม่สงบเกิดขึ้นหลังจากการตัดสินใจของรัฐบาลในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อเพิ่มอายุเกษียณในการรับเงินบำนาญ ผ่านสภาผู้แทนราษฎร โดยไม่มีการลงคะแนนเสียง ด้านนายกรัฐมนตรีเอลิซาเบธ บอร์น ของฝรั่งเศส กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงนี้มีความจำเป็นเพื่อป้องกันผลกระทบครั้งใหญ่ต่อระบบในอนาคต.

สะพรึง เกาหลีเหนือทดสอบโดรนโจมตีใต้น้ำนิวเคลียร์ โวก่อสึนามิกัมมันตรังสี

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

https://www.thairath.co.th/news/foreign/2662506

สะพรึง เกาหลีเหนือทดสอบโดรนโจมตีใต้น้ำนิวเคลียร์ โวก่อสึนามิกัมมันตรังสี

24 มี.ค. 2566 11:14 น.

สะพรึง เกาหลีเหนือทดสอบโดรนโจมตีใต้น้ำนิวเคลียร์ โวก่อสึนามิกัมมันตรังสี

เกาหลีเหนือขู่หนัก ทดสอบโดรนโจมตีใต้น้ำนิวเคลียร์ แล่นใต้น้ำนานกว่า 59 ชม. โวสามารถก่อให้เกิดระเบิดทำลายล้าง และสึนามิกัมมันตรังสีทำลายเรือรบและท่าเรือศัตรูได้ทุกที่


เมื่อ 24 มีนาคม 2566 สำนักข่าว KCNA ของทางการเกาหลีเหนือรายงานข่าวที่สร้างความหวาดหวั่นพรั่นพรึงต่อชาวโลกและเพื่อนบ้านบนคาบสมุทรเกาหลี และญี่ปุ่นอีก โดยเปิดเผยว่า เกาหลีเหนือได้ดำเนินการทดสอบโดรนโจมตีติดหัวรบนิวเคลียร์ใต้น้ำชนิดใหม่ ที่สามารถก่อให้เกิดคลื่นยักษ์ สึนามิกัมมันตรังสี ที่มีอานุภาพทำลายล้างเรือรบของฝ่ายศัตรูและท่าเรือต่างๆ ได้ทั่วโลก

สำนักข่าว KCNA ยังรายงานข่มขวัญว่า ในระหว่างที่เกาหลีเหนือได้มีการซ้อมรบในสัปดาห์นี้ ภายใต้คำแนะนำของคิม จอง อึน ผู้นำประเทศเกาหลีเหนือนั้น กองทัพเกาหลีเหนือได้มีการนำโดรนโจมตีใต้น้ำชนิดใหม่มาทดสอบระบบด้วย ซึ่งโดรนพิฆาตใต้น้ำนี้สามารถก่อให้เกิดแรงระเบิด รวมทั้งคลื่นยักษ์ สึนามิท่ีมีอานุภาพทำลายล้างระดับสูง

สำนักข่าว KCNA เผยแพร่ภาพเกาหนีเหนือทดสอบโดรนโจมตีใต้น้ำที่สามารถติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ รุ่นใหม่ เมื่อ 21-23 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา
สำนักข่าว KCNA เผยแพร่ภาพเกาหนีเหนือทดสอบโดรนโจมตีใต้น้ำที่สามารถติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ รุ่นใหม่ เมื่อ 21-23 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา

‘ในระหว่างเกาหลีเหนือมีการซ้อมรบในสัปดาห์นี้ ภายใต้คำแนะนำของคิม จอง อึน ผู้นำประเทศนั้น กองทัพเกาหลีเหนือได้มีการนำโดรนโจมตีใต้น้ำชนิดใหม่มาทดสอบระบบด้วย ซึ่งโดรนพิฆาตใต้น้ำรุ่นใหม่นี้สามารถก่อให้เกิดแรงระเบิด รวมทั้งคลื่นยักษ์ สึนามิท่ีมีอานุภาพทำลายล้างระดับสูง อีกทั้งโดรนใต้น้ำติดหัวรบนิวเคลียร์นี้ยังสามารถถูกนำไปใช้ในภารกิจได้ทุกชายฝั่งและท่าเรือทุกแห่งด้วยเรือที่ปฏิบัติการบนผิวน้ำ’ สำนักข่าว KCNA รายงาน

คิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือติดตามดูการทดสอบโดรนโจมตีใต้น้ำที่สามารถติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ได้อย่างใกล้ชิด
คิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือติดตามดูการทดสอบโดรนโจมตีใต้น้ำที่สามารถติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ได้อย่างใกล้ชิด

KCNA ระบุว่า มีการนำโดรนโจมตีชนิดใหม่นี้ไปทดสอบใต้น้ำนอกชายฝั่งจังหวัดฮัมกย็องใต้ เมื่อวันอังคารที่ 21 มีนาคม ที่ผ่านมา และโดรนใต้น้ำนำวิถีนี้ได้แล่นใต้น้ำเป็นเวลานานถึง 59 ชั่วโมง 12 นาทีที่ระดับความลึก 260-490 ฟุต (ราว 80-150 เมตร) ก่อนจะมีการนำโดรนโจมตีนี้ไปทดสอบการจุดระเบิดใต้น้ำนอกชายฝั่งภาคตะวันออกของเกาหลีเหนือเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม สำนักข่าว KCNA กระบอกเสียงเกาหลีเหนือไม่ได้อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ของโดรนโจมตีนำวิถีใต้น้ำรุ่นใหม่นี้ เพียงแต่ขู่ว่าโดรนโจมตีใต้น้ำนี้สามารถทำลายกองเรือและท่าเรือปฏิบัติการใหญ่ของฝ่ายข้าศึกได้ทุกหนทุกแห่งทั่วโลก

ที่มา : Aljazeera