บังกลาเทศประท้วงเดือด บุกผาสำนักงานหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ 2 แห่ง

บังกลาเทศประท้วงเดือด บุกผาสำนักงานหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ 2 แห่ง

19 ธ.ค. 2568 09:19 น.

บังกลาเทศประท้วงเดือด บุกผาสำนักงานหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ 2 แห่ง

สถานการณ์การเมืองบังกลาเทศตึงเครียดหนัก ผู้ประท้วงบุกสำนักงานหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ 2 แห่ง จุดไฟเผาอาคาร หลังนักกิจกรรมขบวนการลุกฮือปี 2567 เสียชีวิตจากเหตุถูกยิง

วันที่ 18 ธันวาคม 2568 สำนักข่าว BBC รายงานว่า เกิดเหตุประท้วงรุนแรงในกรุงธากา เมืองหลวงของบังกลาเทศ เมื่อกลุ่มผู้ประท้วงบุกเข้าไปยังสำนักงานของหนังสือพิมพ์รายใหญ่ที่สุดของประเทศ 2 แห่ง ได้แก่ หนังสือพิมพ์ภาษาท้องถิ่น “Prothom Alo” และหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ “Daily Star” หลังมีรายงานข่าวการเสียชีวิตของนายชารีฟ ออสมาน ฮาดี นักกิจกรรมทางการเมืองคนสำคัญจากเหตุถูกยิง

รายงานข่าวระบุว่า ผู้ประท้วงได้จุดไฟเผาอาคาร ในขณะที่ทหารและกองกำลังรักษาชายแดนถูกส่งมาประจำการโดยรอบ แต่ยังไม่เข้าควบคุมสถานการณ์ทันที 

โดยนายฮาดี ซึ่งเป็นโฆษกกลุ่มวัฒนธรรม “Inqilab Moncho”  เป็นนักวิจารณ์รัฐบาลอินเดียและอดีตนายกรัฐมนตรี เชค ฮาซินา อย่างรุนแรง และมีแผนลงสมัครรับเลือกตั้งในฐานะผู้สมัครอิสระในการเลือกตั้งทั่วไปที่รัฐบาลเฉพาะกาลประกาศจะจัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ แต่ล่าสุดเขาเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในสิงคโปร์ เมื่อคืนวันพฤหัสบดี ที่ผ่านมา หลังได้รับบาดเจ็บสาหัสจากเหตุถูกคนร้ายยิงขณะนั่งรถสามล้อกลางกรุงธากา เมื่อสัปดาห์ก่อน  โดยคนร้ายขี่รถจักรยานยนต์ตามประกบและยิงก่อนหลบหนี

ทางด้านนายมูฮัมหมัด ยูนุส ผู้นำรัฐบาลเฉพาะกาล  แถลงให้คำมั่นว่าจะนำตัวผู้ก่อเหตุยิงฮาดีมาลงโทษตามกฎหมาย พร้อมประกาศให้วันเสาร์เป็นวันไว้อาลัยทั่วประเทศ และเรียกร้องให้ประชาชนยับยั้งความรุนแรง ท่ามกลางความกังวลว่าความตึงเครียดทางการเมืองอาจลุกลามบานปลายอีกครั้ง.

ที่มา BBC 

ตำรวจชี้ตัวผู้ต้องสงสัยกราดยิงม.บราวน์ เร่งสอบเอี่ยวคดีฆ่าอาจารย์ MIT ด้วยหรือไม่

ตำรวจชี้ตัวผู้ต้องสงสัยกราดยิงม.บราวน์ เร่งสอบเอี่ยวคดีฆ่าอาจารย์ MIT ด้วยหรือไม่

19 ธ.ค. 2568 09:12 น.

ตำรวจชี้ตัวผู้ต้องสงสัยกราดยิงม.บราวน์ เร่งสอบเอี่ยวคดีฆ่าอาจารย์ MIT ด้วยหรือไม่

ตำรวจสหรัฐฯ ระบุตัวผู้ต้องสงสัยเหตุกราดยิงสะเทือนขวัญที่ ม.บราวน์เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว พร้อมเดินหน้าสอบว่าเชื่อมโยงกับคดีสังหารศาสตราจารย์ของMIT ในสองวันถัดมาด้วยหรือไม่

แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดการสอบสวนเปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่สามารถระบุตัวผู้ต้องสงสัยก่อเหตุกราดยิงภายในมหาวิทยาลัยบราวน์ได้แล้ว แต่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม โดยกำลังเดินหน้าสอบสวนถึงความเป็นไปได้ ว่าคนร้ายอาจจะเกี่ยวข้องกับคดีสังหารศาสตราจารย์ของสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ หรือ MIT ที่เกิดขึ้น 2 วันถัดมาด้วยหรือไม่

โดยเหตุกราดยิงเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ภายในอาคารเรียนของมหาวิทยาลัยบราวน์ เมืองพรอวิเดนซ์ รัฐโรดไอแลนด์ ส่งผลให้มีนักศึกษาเสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บอย่างน้อย 8 ราย ทำให้เมืองหลวงของรัฐตกอยู่ในความหวาดผวา และนำไปสู่การล่าตัวผู้ก่อเหตุครั้งใหญ่

และเพียงสองวันหลังเหตุกราดยิง ศาสตราจารย์ นูโน ลูเรย์โร วัย 47 ปี อาจารย์ประจำภาควิชานิวเคลียร์ ฟิสิกส์ และศูนย์วิจัยพลาสมาและฟิวชันของ MIT ถูกยิงเสียชีวิตภายในบ้านพักที่เมืองบรูคลิน รัฐแมสซาชูเซตส์ เมื่อเย็นวันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม

เมืองบรูคลินอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยบราวน์ราว 79 กิโลเมตร ทำให้เกิดคำถามถึงความเป็นไปได้ของความเชื่อมโยงระหว่างสองคดี แม้ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ FBI จะระบุว่ายังไม่พบหลักฐานชัดเจนว่าทั้งสองเหตุการณ์เกี่ยวข้องกัน

ตำรวจเมืองพรอวิเดนซ์ระบุว่า ผู้ต้องสงสัยในคดีกราดยิงมหาวิทยาลัยบราวน์หลบหนีออกจากที่เกิดเหตุด้วยการเดินเท้าเข้าสู่ย่านที่พักอาศัยใกล้เคียง ทำให้การติดตามตัวต้องพึ่งพาภาพจากกล้องวงจรปิดตามบ้านเรือนประชาชนเป็นหลัก เนื่องจากอาคารเรียนและพื้นที่รอบข้างแทบไม่มีกล้องเฝ้าระวัง

เจ้าหน้าที่ได้เผยแพร่ภาพและวิดีโอของชายสวมหน้ากากซึ่งเชื่อว่าเป็นมือปืน โดยอ้างอิงจากคำให้การของผู้รอดชีวิต ภาพดังกล่าวแสดงให้เห็นชายคนดังกล่าวเดินอยู่ในละแวกใกล้มหาวิทยาลัย ทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุ รวมถึงช่วงเวลาที่รถตำรวจมาถึงพร้อมสัญญาณไฟฉุกเฉิน

ขณะที่นายกเทศมนตรีเมืองพรอวิเดนซ์ เบรตต์ สมายลีย์ กล่าวว่า ชาวเมืองและนักศึกษาต่างเริ่มรู้สึก กระวนกระวายและกดดัน เมื่อการล่าตัวผู้ต้องสงสัยยืดเยื้อมาหลายวันโดยยังไม่มีการจับกุม

นอกจากนี้ตำรวจยังเผยแพร่ภาพชายอีกคนหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้จุดเกิดเหตุ โดยระบุว่าเป็นพยานสำคัญที่อาจมีข้อมูลเป็นประโยชน์ต่อการสอบสวน

ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่เคยประกาศว่ามีผู้ต้องสงสัยถูกควบคุมตัวแล้ว แต่ภายหลังได้ปล่อยตัวออกมา หลังพบว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุกราดยิง.

ที่มา : channelnewsasia

คลิกอ่านข่าวเกี่ยวกับ เหตุกราดยิง

ทรัมป์ลงนามคำสั่ง ขยายการเข้าถึงกัญชา เพิ่มขอบเขตการวิจัย

ทรัมป์ลงนามคำสั่ง ขยายการเข้าถึงกัญชา เพิ่มขอบเขตการวิจัย

19 ธ.ค. 2568 06:12 น.

ทรัมป์ลงนามคำสั่ง ขยายการเข้าถึงกัญชา เพิ่มขอบเขตการวิจัย

โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร ขยายการเข้าถึงกัญชา ปรับเป็นยาเสพติดประเภทที่ 3 เพิ่มขอบเขตการศึกษาวิจัยประโยชน์ของกัญชา

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 ธ.ค. 2568 โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อขยายโอกาสในการเข้าถึงกัญชา ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่หลายฝ่ายคาดการณ์มานานแล้ว และนี่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดในนโยบายยาเสพติดของสหรัฐฯ ในรอบหลายทศวรรษ

คำสั่งดังกล่าวสั่งการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ปรับประเภทกัญชาจาก “ยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1” (Schedule I) มาเป็น “ยาเสพติดประเภทที่ 3” (Schedule III) ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับยาไทเลนอลที่มีส่วนผสมของโคเดอีน

ถึงแม้ว่า กัญชาจะยังคงเป็นสิ่งผิดกฎหมายในระดับรัฐบาลกลาง แต่การจัดประเภทให้เป็นยาเสพติดประเภทที่ 3 จะช่วยให้สามารถขยายขอบเขตการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับประโยชน์ที่กัญชาอาจจะมีได้มากขึ้น

แต่สมาชิกพรรครีพับลิกันหลายคนออกมาเตือนเรื่องการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ โดยบางส่วนให้เหตุผลว่าการกระทำดังกล่าวอาจทำให้การใช้กัญชากลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาในสังคม

สำนักงานปราบปรามยาเสพติดสหรัฐฯ (DEA) ระบุว่า ยาเสพติดประเภทที่ 3 (ซึ่งรวมถึงเคตามีนและสเตียรอยด์ด้วย) มีความเสี่ยงต่อ “การเสพติดทางร่างกายและจิตใจในระดับปานกลางถึงต่ำ” เท่านั้น

ในระหว่างพิธีลงนาม ณ ห้องทำงานรูปไข่เมื่อวันพฤหัสบดี ทรัมป์กล่าวว่ามีผู้คนมากมายที่ “อ้อนวอน” ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องเผชิญกับ “ความเจ็บปวดอย่างรุนแรง” จากอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ รวมถึง “ความเจ็บปวดที่รักษาไม่หาย” ทั้ง โรคมะเร็ง โรคลมชัก และกลุ่มทหารผ่านศึกที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่

นายทรัมป์เปรียบเทียบกัญชากับยาแก้ปวดที่จ่ายตามใบสั่งแพทย์ ซึ่งมีการนำมาใช้ในทางที่ถูกต้อง “แต่ก็สามารถก่อให้เกิดความเสียหายที่ไม่อาจแก้ไขได้เช่นกัน”

การจัดประเภทใหม่นี้ยังมีผลผูกพันทางภาษีต่อสถานจำหน่ายกัญชาที่ได้รับอนุญาตจากรัฐ เนื่องจากกฎระเบียบในปัจจุบันสั่งห้ามไม่ให้ร้านค้าเหล่านี้หักลดหย่อนภาษีบางรายการหากพวกเขาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มประเภทที่ 1

นอกจากการปรับเปลี่ยนประเภทกัญชาแล้ว ทรัมป์ยังได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวประสานงานกับรัฐสภาเพื่ออนุญาตให้ชาวอเมริกันบางกลุ่มสามารถเข้าถึงสารแคนนาบิไดออล หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ CBD ได้

เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขยังได้รับมอบหมายให้พัฒนา “วิธีการและรูปแบบ” เพื่อตรวจสอบคุณประโยชน์และความเสี่ยงต่อสุขภาพจากการใช้ CBD ในโลกแห่งความเป็นจริงด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่บางคนมองว่า คำสั่งนี้เป็น “การดำเนินการที่สมเหตุสมผล ซึ่งจะช่วยให้เราเข้าใจและศึกษาวิจัย” กัญชาและ CBD ได้ดียิ่งขึ้น

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รัฐส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ ได้อนุมัติให้มีการใช้กัญชาทางการแพทย์ และเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งหมด (24 รัฐ) ได้อนุญาตให้มีการใช้เพื่อสันทนาการอย่างถูกกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี 2514 เป็นต้นมา กัญชาถูกจัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 มาตลอด ซึ่งหมายความว่าเป็นสารที่ไม่มีการยอมรับให้นำมาใช้ทางการแพทย์ และมีโอกาสสูงที่จะถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลภายใต้การนำของโจ ไบเดน ได้เคยเสนอให้มีการปรับประเภทในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน และในเดือนเมษายน 2567 สำนักงานปราบปรามยาเสพติด (DEA) ก็ได้เสนอร่างกฎหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงข้อบังคับ แต่กลับประสบปัญหาล่าช้าจากขั้นตอนทางปกครองและประเด็นทางกฎหมาย

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : bbc

สส.เดโมแครต เผยภาพจากกรุ “เอปสตีน” ลอตใหม่ รวมภาพ บิล เกตส์

สส.เดโมแครต เผยภาพจากกรุ “เอปสตีน” ลอตใหม่ รวมภาพ บิล เกตส์

19 ธ.ค. 2568 05:30 น.

สส.เดโมแครต เผยภาพจากกรุ “เอปสตีน” ลอตใหม่ รวมภาพ บิล เกตส์

เดโมแครตแพร่ภาพจากกรุของ เจฟฟรีย์ เอปสตีน ลอตใหม่ มีภาพคนดังหลายคน รวมถึง บิล เกตส์ กับอดีตที่ปรึกษาของนายทรัมป์ และข้อความว่า “จะส่งผู้หญิงไปให้” ซึ่งยังไม่รู้ว่าใครคือผู้รับ-ผู้ส่ง

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 ธ.ค. 2568 สมาชิกพรรคเดโมแครตในคณะกรรมาธิการกำกับดูแลของสภาผู้แทนราษฎร เผยแพร่ภาพถ่ายจากทรัพย์สินของนาย เจฟฟรีย์ เอปสตีน อดีตนักการเงิน ผู้ถูกตัดสินความผิดคดีทางเพศเพิ่มเติมอีก 68 ภาพ โดยบางภาพมีการเซนเซอร์ข้อมูลบางส่วน และปิดบังใบหน้าของคนที่อาจเป็นผู้เสียหาย

ภาพดังกล่าวรวมถึงภาพของบุคคลที่มีชื่อเสียงอย่าง บิล เกตส์ ผู้ร่วมก่อตั้งไมโครซอฟท์ ขณะยืนอยู่ร่วมกับผู้หญิงที่ใบหน้าถูกพรางไว้จำนวน 2 ภาพ โดยยังไม่แน่ชัดว่าผู้หญิงในภาพเป็นใคร หรือเป็นคนเดียวกันหรือไม่ แต่ก่อนหน้านี้เกตส์เคยกล่าวว่าเขาได้ทำ “ความผิดพลาดครั้งใหญ่” ที่ไปใช้เวลาร่วมกับเอปสตีน

บิล เกตส์ กับผู้หญิงปริศนา
บิล เกตส์ กับผู้หญิงปริศนา

เกตส์เคยให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNN ว่า ทั้งคู่เคย “รับประทานอาหารค่ำร่วมกันหลายครั้ง” เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับโครงการการกุศล แต่โครงการดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นจริง และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ได้สิ้นสุดลง

นอกจากนั้นยังมีภาพของ โนม ชอมสกี นักภาษาศาสตร์ชื่อดัง ซึ่งแสดงให้เห็นเขานั่งอยู่บนเครื่องบินลำหนึ่งและดูเหมือนกำลังคุยกับนายเอปสตีน

ศาสตราจารย์และปัญญาชนสาธารณะวัย 97 ปีผู้นี้ เคยมีชื่อปรากฏในเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเอปสตีนมาก่อน รวมถึงเอกสารโต้ตอบเกี่ยวกับเรื่องทางวิชาการหรือเรื่องส่วนตัว

ชอมสกีเคยให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว วอลล์สตรีทเจอร์นัล ว่า เอปสตีนเคยช่วยเขาในการโอนย้ายเงินระหว่างบัญชีของเขาเอง ซึ่งการทำธุรกรรมดังกล่าวไม่มี “เงินของเอปสตีนแม้แต่เซนต์เดียว” เข้ามาเกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ชอมสกียังได้กล่าวถึงเอปสตีนว่า “ผมรู้จักเขา และเราก็พบกันเป็นครั้งคราว”

โนม ชอมสกี กับ เจฟฟรีย์ เอปสตีน
โนม ชอมสกี กับ เจฟฟรีย์ เอปสตีน

ภาพหลายใบยังแสดงให้เห็นนาย สตีฟ แบนนอน อดีตที่ปรึกษาของทรัมป์ โดยจากสถานที่และเสื้อผ้าที่ปรากฏในภาพบ่งชี้ว่า ภาพเหล่านี้อาจถูกถ่ายในช่วงเวลาเดียวกับภาพที่เผยแพร่ไปเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม เพียงแต่เป็นภาพจากคนละมุมกล้อง

อย่างไรก็ตาม การที่บุคคลปรากฏอยู่ในภาพถ่ายเหล่านี้ ไม่ได้เป็นการบ่งชี้ว่ามีการกระทำความผิดใดๆ และบุคคลจำนวนมากที่ปรากฏในภาพต่างก็ได้ปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดใดๆ ในกรณีของเอปสตีน

นอกจากภาพบุคคลแล้ว ยังมีภาพถ่ายแสดงให้เห็นหนังสือเดินทาง และภาพถ่ายหน้าจอโทรศัพท์ (screenshot) ที่ดูเหมือนจะเป็นข้อความต่อเนื่องในแอปพลิเคชัน WhatsApp จากผู้ส่งที่ไม่ระบุตัวตน

ข้อความหนึ่งอ้างถึง “เพื่อนแมวมอง” ที่เป็นผู้หญิง ซึ่งเรียกเงินจำนวน 1,000 ดอลลาร์ต่อเด็กสาวหนึ่งคน ข้อความถัดมาของผู้ส่งคนเดียวกันระบุว่า “ฉันจะส่งสาวๆ (girls) ไปให้คุณเดี๋ยวนี้” และตามด้วยอีกข้อความที่เขียนว่า “บางทีอาจจะมีใครบางคนที่เหมาะกับ J นะ?”

ทั้งนี้ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าข้อความเหล่านี้ถูกส่งมาจากโทรศัพท์ของใคร ใครเป็นผู้รับ หรือบุคคลที่ชื่อ “J” คือใคร

การสนทนาระหว่างบุคคลปริศนา
การสนทนาระหว่างบุคคลปริศนา

ในชุดข้อความดังกล่าวยังมีการระบุรายละเอียดส่วนบุคคล ทั้งชื่อ ส่วนสูง สัดส่วน และน้ำหนัก ซึ่งทั้งหมดถูกเซนเซอร์ไว้ โดยข้อความระบุว่าบุคคลนี้กำลังจะเดินทางมาจากเมืองหนึ่งในประเทศรัสเซีย

อนึ่ง ข้อมูลจำนวนมหาศาลที่ถูกนำออกมาเผยแพร่ในวันนี้ ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่า “เอกสารเอปสตีน” (Epstein files) ซึ่งรัฐสภาได้บังคับให้กระทรวงยุติธรรมเปิดเผยต่อสาธารณะภายในวันศุกร์ที่ 19 ธันวาคมนี้

สมาชิกพรรคเดโมแครตระบุว่า พวกเขานำภาพถ่ายเหล่านี้จากทรัพย์สินของเอปสตีนออกมาเผยแพร่เพื่อความโปร่งใส โดยที่ภาพเหล่านี้ ไม่ได้มีข้อมูลบริบทอื่นประกอบเพิ่มเติม ในขณะที่สมาชิกพรรครีพับลิกันออกมากล่าวหาฝ่ายเดโมแครตว่า “คัดเลือกเฉพาะบางรูปภาพ และจงใจเซนเซอร์ข้อมูลแบบเจาะจงเป้าหมาย”

เอปสตีนกับผู้หญิงปริศนา
เอปสตีนกับผู้หญิงปริศนา

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : bbc

เครื่องบินเล็กตกขณะลงจอดที่นอร์ทแคโรไลนา ดับยกลำ 6 ศพ

เครื่องบินเล็กตกขณะลงจอดที่นอร์ทแคโรไลนา ดับยกลำ 6 ศพ

19 ธ.ค. 2568 03:52 น.

เครื่องบินเล็กตกขณะลงจอดที่นอร์ทแคโรไลนา ดับยกลำ 6 ศพ

เครื่องบินเล็กตกในนอร์ทแคโรไลนา ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายราย โดยสมาชิกสภาสหรัฐฯ ยืนยันว่า รวมถึงนาย เกร็ก บิฟเฟิล อดีตนักแข่งรถแนสคาร์กับครอบครัวของเขาด้วย

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เกิดเหตุเครื่องบินเล็กรุ่น เซสนา ซี550 (Cessna C550) ซึ่งมีผู้โดยสารทั้งหมด 6 คน ตกขณะลงจอดที่สนามบินภูมิภาค สเตตส์วิลล์ (Statesville) รัฐนอร์ทแคโรไลนา เมื่อเวลาประมาณ 10.20 น. วันพฤหัสบดีที่ 18 ธ.ค. 2568 ตามเวลาท้องถิ่น

ดาร์เรน แคมป์เบลล์ นายอำเภอเขตไอเดรลล์ เคาน์ตี ยืนยันกับสำนักข่าว Associated Press ว่ามีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้จริง แต่ยังปฏิเสธที่จะระบุจำนวนตัวเลขที่แน่นอน แต่สำนักข่าว CNN รายงานอ้างการเปิดเผยของแหล่งข่าวว่า ทั้ง 6 คนบนเครื่องซึ่งประกอบด้วย นักบิน 1 คน กับผู้โดยสาร 5 คน เสียชีวิตทั้งหมด

ส่วนสถานีโทรทัศน์ WBTV รายงานว่า ข้อมูลการจดทะเบียนของเครื่องบินระบุว่าเครื่องบินลำนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่มีความเชื่อมโยงกับ เกร็ก บิฟเฟิล อดีตนักแข่งรถแนสคาร์ (NASCAR) ผู้เกษียณอายุแล้ว

นายริชาร์ด ฮัดสัน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ยืนยันว่า เกร็ก บิฟเฟิล พร้อมด้วยภรรยาและบุตรอีกสองคน เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้

ข่าวระบุว่า เครื่องเล็กลำนี้ขึ้นบินจากรันเวย์เมื่อเวลาประมาณ 10:06 น. ตามเวลาท้องถิ่น และลอยตัวอยู่ในอากาศได้เพียงชั่วครู่ก่อนจะพยายามลงจอดและประสบอุบัติเหตุตก บริเวณสุดปลายรันเวย์ฝั่งตะวันออก โดยทางเจ้าหน้าที่ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุการตกแต่อย่างใด

จอห์น เฟอร์กูสัน ผู้อำนวยการสนามบินสเตตส์วิลล์ บอกกับผู้สื่อข่าวว่า สนามบินสเตตส์วิลล์จะยังคงปิดทำการจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการเก็บกวาดเศษซากปรักหักพังออกจากรันเวย์

ด้านคณะกรรมการความปลอดภัยการขนส่งแห่งชาติ (NTSB) ซึ่งเป็นผู้นำในการสืบสวนระบุว่า กำลังส่งทีมเจ้าหน้าที่เข้ามาสืบสวนอุบัติเหตุร้ายแรงในครั้งนี้ โดยคาดว่าทีมงานจะเดินทางถึงที่เกิดเหตุภายในคืนวันพฤหัสบดีตามเวลาสหรัฐฯ

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : bbc , cnn , NYpost

ไฟไหม้ซาวน่าญี่ปุ่น สามีภรรยาติดในห้อง เสียชีวิตสลด

ไฟไหม้ซาวน่าญี่ปุ่น สามีภรรยาติดในห้อง เสียชีวิตสลด

19 ธ.ค. 2568 00:58 น.

ไฟไหม้ซาวน่าญี่ปุ่น สามีภรรยาติดในห้อง เสียชีวิตสลด

(ภาพประกอบข่าว)

สามีภรรยาคู่หนึ่งในญี่ปุ่น ติดอยู่ในห้องซาวน่าที่เกิดไฟลุกไหม้และไม่สามารถออกมาได้ สุดท้ายทั้งคู่เสียชีวิต ขณะเจ้าหน้าที่ตรวจพบว่า กลอนประตูหลุดอยู่บนพื้น และสัญญาณแจ้งเหตุฉุกเฉินก็ไม่ทำงาน

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สามีภรรยาคู่หนึ่งเสียชีวิตหลังติดอยู่ภายในห้องซาวน่าส่วนตัวที่เกิดเพลิงไหม้ในเขตอากาซากะ ของกรุงโตเกียว เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (15 ธ.ค.) โดยตำรวจกำลังเร่งสืบสวนว่า ลูกบิดประตูที่ชำรุดเป็นสาเหตุที่ทำให้ทั้งคู่ติดอยู่ภายในห้องของสถานบริการ “ซาวน่า ไทเกอร์” (Sauna Tiger) หรือไม่

สื่อท้องถิ่นของญี่ปุ่นระบุว่าผู้เสียชีวิตคือนาง โยโกะ มัตสึดะ ช่างทำเล็บอายุ 37 ปี และนาย มาซานาริ สามีวัย 36 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของร้านเสริมสวย

หน่วยดับเพลิงได้รับแจ้งเหตุเมื่อเวลาประมาณ 12:25 น. ของวันจันทร์ตามเวลาท้องถิ่น เมื่อสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ของอาคารดังขึ้น โดยพนักงานสอบสวนให้ข้อมูลกับสื่อญี่ปุ่นว่า เมื่อเจ้าหน้าที่ดับเพลิงไปถึงก็พบว่าลูกบิดประตูห้องซาวน่าตกอยู่ที่พื้นแล้ว

จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็พบร่างของสามีภรรยาคู่นี้นอนล้มทับกันอยู่บนพื้น โดยศีรษะอยู่ใกล้กับประตู ซึ่งทั้งคู่ถูกเร่งนำตัวส่งโรงพยาบาล แต่เสียชีวิตในเวลาต่อมา

ตำรวจระบุด้วยว่า พบผ้าขนหนูที่มีรอยไหม้อยู่ภายในห้องซาวน่า ซึ่งบ่งชี้ว่าสาเหตุของเพลิงไหม้อาจเกิดจากการที่ผ้าขนหนูไปสัมผัสกับหินร้อนในเตาซาวน่า

ภายในห้องซาวน่ามีสัญญาณเตือนฉุกเฉินติดตั้งไว้ที่ผนังเพื่อให้พนักงานทราบหากต้องการความช่วยเหลือ แต่พนักงานสอบสวนพบว่ามันถูกปิดใช้งานอยู่ อย่างไรก็ตาม กองบัญชาการตำรวจนครบาลระบุว่า ฝาครอบสัญญาณเตือนถูกถอดออก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคู่สามีภรรยาน่าจะพยายามกดปุ่มเพื่อขอความช่วยเหลือแล้ว

นอกจากนี้ สื่อท้องถิ่นรายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อเจ้าหน้าที่สอบปากคำพนักงานเกี่ยวกับระบบเตือนภัยดังกล่าว พนักงานอ้างว่าระบบนี้ไม่ได้ถูกเปิดใช้งานมาตั้งแต่ช่วงปี 2566

ศูนย์สาธารณสุขเขตมินาโตะให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์อาซาฮี ชิมบุน ว่าสถานบริการซาวน่าแห่งนี้เปิดดำเนินกิจการมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2565 และได้รับการตรวจสอบครั้งล่าสุดเมื่อเดือนเมษายน 2566 ซึ่งในขณะนั้นไม่พบข้อบกพร่องร้ายแรงในส่วนของอุปกรณ์

หลังเกิดเหตุ ซาวน่า ไทเกอร์ ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อผู้เสียชีวิต โดยยืนยันว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “อย่างจริงจังที่สุด” และกำลังให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ โดยพวกเขาจะปิดทำการชั่วคราว และคืนเงินให้กับลูกค้าที่จองไว้ล่วงหน้าทั้งหมด

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : bbc

หวัง อี้ คุยไทย-กัมพูชา อ้าง 2 ฝ่ายพร้อมลดตึงเครียด-หยุดยิง

หวัง อี้ คุยไทย-กัมพูชา อ้าง 2 ฝ่ายพร้อมลดตึงเครียด-หยุดยิง

18 ธ.ค. 2568 22:55 น.

หวัง อี้ คุยไทย-กัมพูชา อ้าง 2 ฝ่ายพร้อมลดตึงเครียด-หยุดยิง

นายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีนเผย คุยกับรัฐมนตรีไทยกับกัมพูชาแล้ว และทั้งสองฝ่ายแสดงความเต็มใจที่จะลดความตึงเครียด และบังคับใช้การหยุดยิง

เมื่อ 18 ธ.ค. 2568 นายกั๊ว เจี่ยคุน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊กอย่างเป็นทางการของตนเองว่า นายหวัง อี้ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของจีน ได้ต่อสายโทรศัพท์พูดคุยแยกกันกับ นายปรัก สุคน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา และนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยแล้ว

นายหวัง อี้ ระบุว่า ทั้งฝ่ายกัมพูชาและไทยต่างแสดงความเต็มใจที่จะลดระดับความตึงเครียดและบังคับใช้การหยุดยิง

รัฐมนตรีต่างประเทศของจีนบอกอีกว่า ในประเด็นชายแดนกัมพูชา-ไทยนั้น จีนสนับสนุนการเจรจาอย่างสันติมาโดยตลอด และยังคงรักษาจุดยืนที่ยุติธรรมและเป็นกลาง พร้อมทั้งสนับสนุนความพยายามในการเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยของอาเซียน (ASEAN)

กระทรวงการต่างประเทศของจีนได้ส่งทูตพิเศษด้านกิจการเอเชียเดินทางไปยังกัมพูชาและไทยเพื่อดำเนิน “การทูตแบบไปกลับ” (Shuttle Diplomacy) โดยจีนจะยังคงทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมและใช้ความพยายามอย่างสร้างสรรค์เพื่อเกื้อหนุนให้เกิดการฟื้นฟูสันติภาพระหว่างทั้งสองประเทศต่อไป

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : facebook

สภาบราซิลผ่านกฎหมาย ลดโทษจำคุก อดีต ปธน.โบลโซนาโร

สภาบราซิลผ่านกฎหมาย ลดโทษจำคุก อดีต ปธน.โบลโซนาโร

18 ธ.ค. 2568 22:21 น.

สภาบราซิลผ่านกฎหมาย ลดโทษจำคุก อดีต ปธน.โบลโซนาโร

รัฐสภาบราซิลผ่านร่างกฎหมายลดโทษจำคุกของอดีตประธานาธิบดี ชาอีร์ โบลโซนาโร แล้ว เหลือเพียงให้ประธานาธิบดี ลูลา ดา ซิลวา ลงนามบังคับใช้

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อ 18 ธ.ค. 2568 รัฐสภาของประเทศบราซิลลงมติผ่านร่างกฎหมายเพื่อลดโทษจำคุกของนายชาอีร์ โบลโซนาโร อดีตประธานาธิบดีผู้ถูกตัดสินจำคุกนานถึง 27 ปี ในข้อหาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความพยายามก่อรัฐประหารเพื่อพลิกผลการเลือกตั้งปี 2565 แล้ว

ร่างกฎหมายดังกล่าวผ่านการรับรองจากสภาผู้แทนราษฎรเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาเมื่อช่วงดึกของวันพุธที่ผ่านมา (17 ธ.ค.) และขณะนี้ร่างกฎหมายถูกส่งต่อไปยังประธานาธิบดี ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ซึ่งมีเวลา 15 วันทำงาน เพื่อเลือกว่าจะลงนามบังคับใช้หรือใช้สิทธิยับยั้ง (Veto)

อย่างไรก็ตาม นายลูลา ดา ซิลวา ซึ่งตกเป็นเป้าหมายของแผนการลอบสังหาร อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการรัฐประหารดังกล่าว ส่งสัญญาณแล้วว่า เขาจะยับยั้งร่างกฎหมายฉบับนี้ แต่การตัดสินใจของเขาอาจถูกรัฐสภาซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอนุรักษ์นิยมตีกลับและยกเลิกในภายหลังได้เช่นกัน

ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายคาดการณ์ว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้จะช่วยลดระยะเวลาการจำคุกของนายโบลโซนาโร ซึ่งปัจจุบันกำหนดไว้ขั้นต่ำที่ 6 ปี ให้เหลือเพียง 2 ปีเศษเท่านั้น ไม่รวมกลไกการลดหย่อนโทษอื่นๆ เช่น ความประพฤติดี หรือการอ่านหนังสือที่ทางการยอมรับ

ขณะนี้นายโบลโซนาโร อดีตผู้นำขวาจัดของบราซิล กำลังรับโทษจำคุกอยู่ในห้องขังพิเศษ ณ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางในกรุงบราซีเลีย โดยทีมทนายความของเขากำลังขออนุมัติจากศาลฎีกาเพื่อให้เขาได้เข้ารับการผ่าตัดไส้เลื่อน

แม้ว่าข้อกฎหมายนี้จะยังห่างไกลจาก “การนิรโทษกรรมทั้งหมด” ตามที่โบลโซนาโรและบุตรชายเรียกร้องมาโดยตลอด แต่การที่ร่างกฎหมายนี้ผ่านการอนุมัติก็เป็นสิ่งที่ครอบครัวของอดีตประธานาธิบดีต่างร่วมยินดี

นายฟลาวิโอ โบลโซนาโร บุตรชายผู้เป็นวุฒิสมาชิกของบราซิล และเป็นตัวเลือกที่จะลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีกับนายลูลา ดา ซิลวา ในการเลือกตั้งปี 2569 โพสต์ข้อความว่า “มันอาจไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการเสียทีเดียว… แต่มันคือสิ่งที่เป็นไปได้ในขณะนี้”

ร่างกฎหมายฉบับนี้จะลดระยะเวลาจำคุกโดยใช้วิธีรวมโทษจากความผิดสองกระทงที่แตกต่างกัน เช่น “ความพยายามก่อรัฐประหาร” และ “การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยด้วยความรุนแรง” ทว่าให้นับเฉพาะโทษจากกระทงความผิดที่มีบทลงโทษสูงสุดเพียงกระทงเดียวเท่านั้น

ร่างกฎหมายนี้ไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อโบลโซนาโรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกลุ่มคนสนิททั้งหมดของเขา เช่น นายทหารระดับสูงที่ถูกตัดสินความผิดฐานพยายามก่อรัฐประหารในบราซิลเป็นครั้งแรก ตลอดจนคนอื่นๆ อีกหลายร้อยคนที่ร่วมกันบุกรุกทำลายทรัพย์สินในกรุงบราซีเลียเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2566

ด้วยเหตุนี้ การอนุมัติร่างกฎหมายดังกล่าวจึงถูกมองว่าเป็นความถดถอยครั้งสำคัญสำหรับกลุ่มคนที่เคยร่วมยินดีกับการพิพากษาลงโทษ ซึ่งถูกมองว่าเป็นสัญญาณของความก้าวหน้าทางประชาธิปไตยในบราซิล ขณะที่ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดระบุว่า ชาวบราซิลส่วนใหญ่คัดค้านการลดหย่อนโทษในครั้งนี้

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : the guardian

ไทม์ไลน์เลือกตั้ง 69 เช็กวันใช้สิทธิ-ประกาศผล

ไทม์ไลน์เลือกตั้ง 69 เช็กวันใช้สิทธิ-ประกาศผล

18 ธ.ค. 2568 17:51 น.

ไทม์ไลน์เลือกตั้ง 69 เช็กวันใช้สิทธิ-ประกาศผล

เปิดไทม์ไลน์เลือกตั้ง 2569 เช็กวันใช้สิทธิล่วงหน้าทั้งในและนอกเขตเลือกตั้ง ก่อนเข้าคูหาเลือก สส.ในพื้นที่วันที่ 8 ก.พ. 2569 พร้อมลุ้นวันที่ กกต. ประกาศผลเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ

หลังนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ ประกาศยุบสภาอย่างเป็นทางการ จากนั้นคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ได้ประกาศวันในการจัดการเลือกตั้ง และกำหนดวันต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องดังนี้

20 ธ.ค. 68 – 5 ม.ค. 69

ลงทะเบียน ขอใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า

27-31 ธ.ค. 68

รับสมัคร สส.แบบแบ่งเขต

28-31 ธ.ค. 68

– ส่งรายชื่อ ผู้สมัคร สส. แบบบัญชีรายชื่อ

– แจ้งรายชื่อ แคนดิเดต นายกฯ

1 ก.พ. 69

– วันลงคะแนน เลือกตั้งล่วงหน้า ในเขต / นอกเขตเลือกตั้ง

– วันลงคะแนน ณ ที่เลือกตั้ง สำหรับคนพิการ ทุพพลภาพ ผู้สูงอายุ

1-7 ก.พ. 69

แจ้งเหตุ ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง

8 ก.พ. 69

วันเลือกตั้ง สส.

9-15 ก.พ. 69

แจ้งเหตุ ไม่ไปใช้สิทธิหลังเลือกตั้ง

9 เม.ย. 69

วันสุดท้าย กกต. ประกาศผลการเลือกตั้ง

ข้อมูล กกต.

จำคุกตลอดชีวิต อดีตวิสัญญีแพทย์ฝรั่งเศส วางยาคนไข้ 30 ราย ดับ 12 ศพ

จำคุกตลอดชีวิต อดีตวิสัญญีแพทย์ฝรั่งเศส วางยาคนไข้ 30 ราย ดับ 12 ศพ

18 ธ.ค. 2568 16:36 น.

จำคุกตลอดชีวิต อดีตวิสัญญีแพทย์ฝรั่งเศส วางยาคนไข้ 30 ราย ดับ 12 ศพ

ศาลในเมืองเบอซ็องซง จังหวัดดูส์ ประเทศฝรั่งเศส ได้มีคำพิพากษาตัดสินลงโทษจำคุกตลอดชีวิต นายเฟรเดริก เปชิเยร์ อดีตวิสัญญีแพทย์วัย 53 ปี ในข้อหาฆาตกรรมโดยการแอบใส่สารพิษในถุงน้ำเกลือหวังสร้างสถานการณ์ฉุกเฉินให้คนไข้หัวใจหยุดเต้นจำนวน 30 ราย ซึ่งในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิตถึง 12 ราย เหตุการณ์เกิดขึ้นระหว่างปี 2008 ถึง 2017

ศาลระบุว่านายเปชิเยร์มีความผิดจริงในการแอบใส่สารพิษลงในถุงน้ำเกลือหรือถุงให้สารน้ำสำหรับคนไข้ที่กำลังรอการผ่าตัด สารที่เขาใช้มีทั้ง โพแทสเซียม, ยาชาเฉพาะที่, อะดรีนาลีน และเฮพาริน เป้าหมายของเขาคือการจงใจทำให้คนไข้เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นหรือเลือดออกไม่หยุดในระหว่างที่แพทย์คนอื่นกำลังดูแลอยู่ เพื่อที่เขาจะได้เข้าไปมีบทบาทในการกู้ชีพและแสดงความสามารถเหนือเพื่อนร่วมงาน หรือสร้างภาพว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการคลี่คลายสถานการณ์วิกฤต

อัยการผู้ฟ้องคดีระบุว่านายเปชิเยร์คือ “หนึ่งในอาชญากรที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์” โดยใช้ความรู้ทางการแพทย์มาเป็นเครื่องมือในการฆ่าคน คริสติน เดอ กูแรซ อัยการโจทก์กล่าวในศาลว่า “คุณพยายามวางตัวเป็นเหยื่อมาตลอด แต่คุณไม่คู่ควรกับตำแหน่งนายแพทย์ คุณคือหมอมรณะ” 

นายเปชิเยร์ซึ่งเข้ารับฟังการพิจารณาคดีโดยไม่ได้ถูกคุมขังมาก่อนหน้านี้ ถูกนำตัวเข้าสู่เรือนจำทันทีหลังสิ้นสุดคำพิพากษา อย่างไรก็ตาม เขายังสามารถยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวในอนาคตผ่านทนายความได้ตามกฎหมาย

ด้านนายแรนดัล ชแวร์ดอร์เฟอร์ ทนายความส่วนตัวซึ่งยืนยันว่าลูกความของเขาคือ “แพะรับบาป” ที่ถูกชุมชนการแพทย์รุมทำลาย ได้ประกาศเตรียมยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดีในชั้นถัดไป โดยระบุว่าจะดึงตัวทนายความระดับแถวหน้าของประเทศมาร่วมทีมสู้คดีครั้งใหม่

คดีนี้ถือเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องทางการแพทย์ที่เขย่าขวัญชาวฝรั่งเศสมากที่สุดในรอบหลายสิบปี เนื่องจากเหยื่อมีจำนวนมากและผู้ก่อเหตุเป็นแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญสูง.

ที่มา France Info