พม. ผนึกเครือข่าย จัดงานรณรงค์ต่อต้านการค้ามนุษย์ 2566 ‘Together We Can หยุด ค้า คน’

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/736249

พม. ผนึกเครือข่าย จัดงานรณรงค์ต่อต้านการค้ามนุษย์ 2566 'Together We Can หยุด ค้า คน'

พม. ผนึกเครือข่าย จัดงานรณรงค์ต่อต้านการค้ามนุษย์ 2566 ‘Together We Can หยุด ค้า คน’

วันศุกร์ ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2566, 14.16 น.

เมื่อเร็วๆนี้ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดงานวันรณรงค์ต่อต้านการค้ามนุษย์ ประจำปี 2566 ภายใต้แนวคิด “Together We Can หยุด ค้า คน” พร้อมมอบรางวัลดีเด่นด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และรางวัลการประกวดคลิปวีดีโอ TikTok รณรงค์ต่อต้านการค้ามนุษย์

อีกทั้งมีการจัดนิทรรศการผลงานของผู้รับรางวัล ผลการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย และหน่วยงานด้านการดําเนินคดี การป้องกัน และการคุ้มครอง รวมทั้งการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ของผู้เสียหายจากการค้ามนุษ์ โดยมีผู้เข้าร่วมงานรวมจํานวน 400 คน ณ ห้องฟีนิกซ์บอลรูม อาคารอิมแพค เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ จังหวัดนนทบุรี และผ่านระบบออนไลน์ จำนวน 400 คน ประกอบด้วย นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) พร้อมคณะผู้บริหาร หัวหน้าและเจ้าหน้าที่หน่วยงานทั้งส่วนกลางและภูมิภาค ผู้ว่าราชการจังหวัด คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ คณะกรรมการประสานและกํากับการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ผู้แทนองค์กรภาคประชาสังคม องค์การระหว่างประเทศ และสถานเอกอัคราชทูตต่างประเทศประจําประเทศไทย

นายจุติ กล่าวว่า งานวันรณรงค์ต่อต้านการค้ามนุษย์ ประจำปี 2566 ภายใต้แนวคิด “Together We Can หยุด ค้า คน” เป็นการแสดงเจตนารมณ์ความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทย หรือ Zero Tolerance โดยรณรงค์เผยแพร่การดำเนินงานต่อต้านการค้ามนุษย์ของประเทศไทย และสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการต่อต้านการค้ามนุษย์ให้แก่ประชาชน ภาคีเครือข่ายทั้งหน่วยงานภาครัฐในส่วนกลางและภูมิภาค องค์กรพัฒนาเอกชน องค์การระหว่างประเทศ รวมทั้งสื่อมวลชน เพื่อผนึกกําลังในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์และได้รับการยอมรับในเวทีระดับสากล ทั้งนี้ มีการมอบโล่เกียรติยศ ลายมือชื่อนายกรัฐมนตรี ให้แก่บุคคลต้นแบบ บุคคลดีเด่น หน่วยงานดีเด่น ด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และจังหวัดต้นแบบตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติและสร้างขวัญกําลังใจในการเป็นแบบอย่างการทำงานเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ รวมทั้งสิ้น 26 รางวัล อาทิ พลตํารวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ  นายประวิทย์ ร้อยแก้ว รองอธิบดีอัยการสํานักงานคดีค้ามนุษย์ สํานักงานอัยการสูงสุด เป็นต้น

นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้ เป็นการส่งสัญญาณความจริงจังของรัฐบาล ว่าตั้งใจทำทุกงานด้วยความเหนื่อยยากมาหลายปี และขอให้กำลังใจกับทุกคนและทุกหน่วยงานที่ทำหน้าที่ได้ดี ทั้งเป็นองค์กรตัวอย่าง บุคคลตัวอย่างที่ทุ่มเททำงาน เพื่อต้องการส่งสัญญาณว่าคนที่ค้ามนุษย์และเห็นมนุษย์ด้วยกันเป็นสินค้า คุณจะไม่มีที่ยืนในสังคม จะต้องได้รับโทษ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ประเทศไทยจะต้องไม่มีธุรกิจการค้ามนุษย์ ทุกคนต้องได้รับการคุ้มครองและป้องกันตามความเหมาะสม

สำหรับเรื่องการจัดระดับ Tier ของประเทศไทย ขึ้นอยู่กับสหรัฐอเมริกา แต่สิ่งที่ประเทศไทยทำนั้น ทำจากสิ่งที่เชื่อมั่นว่าธุรกิจผิดกฎหมายเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งคือการค้ามนุษย์ การจัดระดับ Tier คือการวัดประสิทธิภาพของการทำงาน เปรียบเสมือนกระจกเงาที่สะท้อนให้เห็นตัวเอง แต่ต้องคำนึงถึงผลที่เราต้องการทำมากกว่า ซึ่งเห็นได้จากการจัดงานวันนี้ ทุกภาคีเครือข่ายร่วมกันทำงาน เพราะต้องการขุดรากถอนโคนการค้ามนุษย์ให้หมดไปจากประเทศไทย และจะทำอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เบื้องหลังความสำเร็จของประเทศไทยในประเด็นนี้ ทุกคน ทุกภาคีเครือข่ายเหนื่อยยากเป็นอย่างมาก เพื่อประเทศไทย เพื่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียม

-(016)

9 โรงเรียนใน จ.นครสวรรค์ MOU กับ 13 สถาบันการศึกษาจากเขตภูมิภาคแคนเทอร์เบอรี นิวซีแลนด์

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/736248

9 โรงเรียนใน จ.นครสวรรค์ MOU กับ 13 สถาบันการศึกษาจากเขตภูมิภาคแคนเทอร์เบอรี นิวซีแลนด์

9 โรงเรียนใน จ.นครสวรรค์ MOU กับ 13 สถาบันการศึกษาจากเขตภูมิภาคแคนเทอร์เบอรี นิวซีแลนด์

วันศุกร์ ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2566, 14.10 น.

9 โรงเรียนจากจังหวัดนครสวรรค์ ประเทศไทย ร่วมลงนามในบันทึกความร่วมมือทางการศึกษากับ 13 สถาบันการศึกษาจากเขตภูมิภาคแคนเทอร์เบอรี ประเทศนิวซีแลนด์ โดยมี นายชยันต์ ศิริมาศ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ เป็นประธานในพิธี ร่วมด้วย นางสเตฟี่ พอร์ตเตอร์ (Stefi Porter) ผู้จัดการฝ่ายพันธมิตร จากหน่วยงาน Christchurch Educated, นางสาวช่อทิพย์ ประมูลผล ผู้อำนวยการ ประจำประเทศไทยและฟิลิปปินส์ หน่วยงานการศึกษานิวซีแลนด์ สถานทูตนิวซีแลนด์ ประจำประเทศไทย พร้อมด้วย นายณรงค์ นาคชัยยะ ศึกษาธิการจังหวัดนครสวรรค์ ตลอดจนผู้อำนวยเขตการศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษาและหน่วยงานการศึกษาต่างๆในจังหวัดนครสวรรค์ รวมทั้งผู้บริหารสถาบันการศึกษาจากเขตภูมิภาคแคนเทอร์เบอรี ประเทศนิวซีแลนด์ ร่วมลงนามและเป็นสักขีพยาน ณ หอประชุมโรงเรียนสตรีนครสวรรค์ เมื่อเร็วๆนี้

นายชยันต์ ศิริมาศ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ เปิดเผยว่า  พิธีลงนามความร่วมมือระหว่าง สถาบันการศึกษาเขตภูมิภาคแคนเทอร์เบอรี ประเทศนิวซีแลนด์ และสถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์ ประเทศไทยในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่สถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์จะได้มีเครือข่ายร่วมพัฒนาการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพัฒนาทักษะความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาสากลที่สามารถช่วยให้ผู้เรียนแสวงหาองค์ความรู้ที่เผยแพร่โดยทั่วไปได้อย่างหลากหลายตามความสนใจ เป็นการสร้างโอกาสให้นักเรียนได้มีประสบการณ์ในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร ตลอดจนเชื่อมไมตรีของทั้งสองประเทศ โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานการศึกษา สถานทูตนิวซีแลนด์ ประจำประเทศไทย ในการสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ อีกทั้งเป็นเครือข่ายร่วมพัฒนาการศึกษากับสถานศึกษา ในจังหวัดนครสวรรค์ในครั้งนี้ด้วย

ด้าน นางสาวช่อทิพย์ ประมูลผล ผู้อำนวยการ ประจำประเทศไทยและฟิลิปปินส์ หน่วยงานการศึกษานิวซีแลนด์ สถานทูตนิวซีแลนด์ ประจำประเทศไทย กล่าวว่า หน่วยงานการศึกษานิวซีแลนด์ (Education New Zealand) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลนิวซีแลนด์ มีความมุ่งมั่นในการประสานความร่วมมือด้านการศึกษากับหน่วยงาน องค์กรและสถาบันการศึกษาของไทยมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเสริมสร้างโอกาสทางการศึกษาและความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศนิวซีแลนด์และประเทศไทย รวมถึงการแลกเปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศ

โดยการร่วมลงนามในบันทึกความร่วมมือทางการศึกษาในครั้งนี้ รวมทั้งสิ้น 22 โรงเรียน ประกอบไปด้วย สถาบันการศึกษาเขตภูมิภาคแคนเทอร์เบอรี ประเทศนิวซีแลนด์ จำนวน 13 โรงเรียน และสถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์ ประเทศไทย จำนวน 9 โรงเรียน ได้แก่  โรงเรียนสตรีนครสวรรค์,โรงเรียนนครสวรรค์, โรงเรียนอนุบาลนครสวรรค์,โรงเรียนนวมินทราชูทิศ มัชฌิม,โรงเรียนตาคลีประชาสรรค์,โรงเรียนชุมแสงชนูทิศ, โรงเรียนเซนต์โยเซฟ นครสวรรค์, โรงเรียนยุวพัฒน์นครสวรรค์ และโรงเรียนปรียาโชติ

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการศึกษานิวซีแลนด์ ดูได้ที www.studywithnewzealand.govt.nz

-(016)

กสศ.เปิดเวทีนโยบายพัฒนาเยาวชนและประชากรวัยแรงงานให้มีรายได้สูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำ

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/736244

กสศ.เปิดเวทีนโยบายพัฒนาเยาวชนและประชากรวัยแรงงานให้มีรายได้สูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำ

กสศ.เปิดเวทีนโยบายพัฒนาเยาวชนและประชากรวัยแรงงานให้มีรายได้สูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำ

วันศุกร์ ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2566, 14.04 น.

กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับ ธนาคารโลก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ สำนักงานสถิติแห่งชาติ จัดเวทีเสวนาวิชาการนานาชาติ ‘ทักษะพื้นฐานของทุนมนุษย์แห่งโลกยุคใหม่: การพัฒนาพื้นฐานทักษะและบทบาทในระดับจังหวัด’ เพื่อร่วมกันหาแนวทางยกระดับทักษะพื้นฐานของทุนมนุษย์ในประเทศไทย และออกแบบนโยบายสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานในยุคดิจิทัล เพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันให้ประเทศพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง

วิทยากรร่วมเสวนาในครั้งนี้ประกอบไปด้วย นายพัฒนะพงษ์ สุขมะดัน ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) นพ.สุภกร บัวสาย ที่ปรึกษาเครือข่ายองค์กรนานาชาติเพื่อการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา และอดีตผู้จัดการ กสศ. นางสาวธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนานวัตกรรมเพื่อสร้างโอกาสการเรียนรู้ กสศ. ร่วมด้วย คุณโคจิ มิยาโมโตะ (Mr. Koji Miyamoto) นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส (Senior Economist) ด้าน Global Practice จากธนาคารโลก (World Bank) นายเศรษฐ์ อัลยุฟรี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี ผศ.ดร.วิยดา เหล่มตระกูล คณบดีคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง นายสมศักดิ์ พะเนียงทอง คณะกรรมการขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดระยอง และ นายเจริญลักษณ์ เพ็ชรประดับ เลขาธิการมูลนิธิชุมชนขอนแก่นทศวรรษหน้าจังหวัดขอนแก่น

พัฒนาทักษะพื้นฐานของทุนมนุษย์ไทยให้ตรงจุด เพิ่มโอกาสก้าวพ้นประเทศรายได้ปานกลาง

นางสาวธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนานวัตกรรมเพื่อสร้างโอกาสการเรียนรู้ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กล่าวว่า เวทีพัฒนานโยบายครั้งนี้ เป็นความร่วมมือทางวิชาการในการพัฒนาทุนมนุษย์ไทยให้พร้อมรับมือกับการแข่งขันในศตวรรษที่ 21 ผ่าน ‘การวิจัยสำรวจทักษะและความพร้อมกลุ่มประชากรวัยแรงงานในประเทศไทย (Adult Skills Assessment in Thailand)’ ที่ธนาคารโลกร่วมกับ กสศ. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ สำนักงานสถิติแห่งชาติ วิเคราะห์ผลสำรวจระดับทักษะพื้นฐานของประชากรอายุ 15-64 ปี ซึ่งเป็นการสำรวจในวงกว้างเป็นครั้งแรกของประเทศไทย

นางสาวธันว์ธิดา กล่าวว่า  ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและเศรษฐกิจ โดยไทยมีกลุ่ม Not in Education, Employment, or Training (NEET) หรือเป็นที่รู้จักกลุ่มเยาวชนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้อยู่ในการทำงาน การศึกษา หรือการฝึกอบรม ในประเทศไทยที่ถูกจัดทำโดยวิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และองค์การยูนิเซฟ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา ค้นพบว่า จำนวน NEET ในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 1.28 ล้านคน โดยร้อยละ 68.2 ไม่พร้อมที่จะทำงาน และไม่มีความประสงค์ที่จะพัฒนาทักษะเพิ่ม ส่วนใหญ่เป็นเยาวชนที่เพียงจบการศึกษาภาคบังคับ เนื่องจากปัญหา NEET เป็นปัญหาที่ควบคู่กับปัญหานักเรียนที่หลุดจากระบบการศึกษา และปัญหาการว่างงานของเยาวชน หากไม่เร่งพาเยาวชนกลุ่มนี้กลับเข้าตลาดแรงงานจะส่งผลต่อการดำรงชีวิตของตัวเยาวชน และการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับพื้นที่ และระดับประเทศ

นางสาวธันว์ธิดา เน้นย้ำว่า การพัฒนาทักษะพื้นฐานของทุนมนุษย์ (Foundational Skills) จะช่วยให้ไทยเป็นประเทศที่มีรายได้สูงขึ้น และสามารถลดความเหลื่อมล้ำในมิติต่าง ๆ ซึ่งมีความท้าทายเนื่องจากปัจจุบันพบว่ามีกลุ่มแรงงานนอกระบบสูงถึง 20.2 ล้านคน โดยร้อยละ 67 มีการศึกษาต่ำกว่าชั้นมัธยมต้น นอกจากนี้ยังพบว่ามีวัยแรงงานซึ่งเป็นกลุ่มเยาวชนรุ่นใหม่ประมาณ 1.4 ล้านคนกำลังว่างงาน และมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปีประมาณปีละร้อยละ 1 แรงงานกลุ่มนี้ถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งในระดับพื้นที่และระดับประเทศ

“การลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาจำเป็นต้องมองกว้างกว่าในรั้วโรงเรียน หากประเทศไทยต้องการหลุดออกจากกับดับรายได้ปานกลาง เยาวชนและแรงงานที่อยู่ในตลาดแรงงานจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาทักษะพื้นฐานของทุนมนุษย์ โดยเป็นงานที่มีความซับซ้อนและจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ มาช่วยกันขับเคลื่อนแนวทางในการแก้ไขทั้งด้านการศึกษา เศรษฐกิจ และสังคม จังหวัดถือเป็นพื้นที่และกลไกการทำงานที่สำคัญ โดยจำนวนอย่างน้อย 12 จังหวัดได้ริเริ่มการทำงานตามแนวคิดจังหวัดจัดการศึกษาเชิงพื้นที่ ที่จะมีการวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาของเด็ก เยาวชนและประชากรวัยแรงงาน การจัดทำฐานข้อมูล การค้นหาและพัฒนานวัตกรรมมที่ตอบโจทย์บริบทพื้นที่ ผ่านความร่วมมือทางวิชาการและการขับเคลื่อน โดยที่ผ่านมา กสศ. ธนาคารโลก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สำนักงานสถิติแห่งชาติ และจังหวัดต่าง ๆ ได้ร่วมมือกันเพื่อหาแนวทางในการจัดการให้สอดคล้องกับปัญหาที่กำลังประสบอยู่ในแต่ละพื้นที่และนำมาเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนเชิงโครงสร้างต่อไป” คุณธันว์ธิดา กล่าว

การศึกษาที่มีทางเลือกและตอบโจทย์ชีวิต เครื่องมือสำคัญในการพัฒนาทักษะพื้นฐานของทุนมนุษย์

คุณโคจิ มิยาโมโตะ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสด้าน Global Practice จากธนาคารโลก กล่าวว่า ทักษะดิจิทัล เป็น 1 ในทักษะพื้นฐานที่สำคัญของการทำงานในศตวรรษที่ 21 จากการสำรวจโดย Amazon พบว่าร้อยละ 50 ของแรงงานไทยยังขาดความสามารถด้านนี้ จึงจำเป็นจะต้องถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อนำไปต่อยอดในการทำงานและประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ต้นทุนมนุษย์ที่สำคัญ ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งอีกส่วนหนึ่งคือจะต้องพัฒนาทักษะด้านสังคม อารมณ์ ทักษะในการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ทักษะในการคิดวิเคราะห์และทักษะในการแก้ปัญหา ทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งจะเอามาใช้ในการทำงานและการคิดแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง

“ทักษะพื้นฐานของทุนมนุษย์ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยเพิ่มผลผลิตในระบบอุตสาหกรรมและมีบทบาทอย่างยิ่งในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ โดยที่ผ่านมามีผลสำรวจที่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าการศึกษาและทักษะด้านต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้น มีส่วนทำให้รายได้ของประชากรสูงขึ้นตามไปด้วย การพัฒนาทักษะพื้นฐานของทุนมนุษย์จำเป็นที่จะต้องเริ่มในการศึกษาทุกระดับชั้นตั้งแต่ชั้นอนุบาลไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัย รวมถึงสร้างกลไกการศึกษาตลอดชีวิต สร้างบรรยากาศให้มีการถ่ายโอนการเรียนรู้และมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน เช่น นำผู้ที่มีประสบการณ์ที่โดดเด่นหรือมีทักษะในเรื่องนั้น ๆ มาพูดคุยแนะนำหรือฝึกอบรมเสริมแรงบวกให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดแรงจูงใจในการทำงานและการเรียนรู้ด้านต่าง ๆ ในงานที่ถนัดเพิ่มขึ้น”

คุณโคจิ กล่าวอีกว่า การพัฒนาทักษะพื้นฐานของทุนมนุษย์ สามารถเกิดขึ้นได้จากแนวทางต่าง ๆ โดยเฉพาะการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่ ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างในพื้นที่ต่าง ๆ และชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมกับรัฐในการจัดการศึกษาเพื่อมุ่งแก้ปัญหาโดยใช้โจทย์จากพื้นที่เป็นฐาน ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพ สอดคล้องตามบริบทความต้องการของพื้นที่ในการสร้างผลสัมฤทธิ์ให้กับสถานศึกษาขั้นพื้นฐานได้อย่างมีประสิทธิผลเพิ่มมากขึ้น รวมถึงตอบโจทย์ความต้องการแรงงานในแต่ละท้องถิ่น

“การจัดการในส่วนนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ในหลักสูตรการศึกษาในห้องเรียนเท่านั้น หลายประเทศพบว่าการเรียนนอกห้องเรียนผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ก็มีส่วนในการพัฒนาทักษะด้านนี้เช่นกัน ไม่เพียงแต่ภาครัฐเท่านั้นที่สามารถพัฒนาทักษะด้านนี้ ภาคเอกชนหรือผู้ประกอบการ ก็มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาทักษะแรงงานให้ตรงกับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้ สิ่งที่ต้องพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องก็คือการกำหนดมาตรฐานการเรียนรู้ให้เชื่อมโยงกัน ให้สามารถทำงานอย่างต่อเนื่องสอดคล้องกับสถานการณ์การเรียนรู้ที่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยผู้ใหญ่ ขณะเดียวกันการพัฒนาครูผู้สอนก็ถือเป็นกลไกสำคัญอย่างยิ่งในการถ่ายทอดแนวทางการพัฒนาทักษะพื้นฐานของทุนมนุษย์ โดยเฉพาะบทบาทในการพัฒนาทักษะด้านสังคมและอารมณ์ และเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาเครื่องมือช่วยครูในด้านนี้”

นพ.สุภกร บัวสาย ที่ปรึกษาเครือข่ายองค์กรนานาชาติเพื่อการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา และอดีตผู้จัดการ กสศ. กล่าวถึงโจทย์การทำงานที่สอดคล้องกับข้อเสนอแนะของนักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจากธนาคารโลก คือการพัฒนาเยาวชนและประชากรวัยแรงงาน เป็นโจทย์การศึกษาที่ใหญ่กว่าในระบบโรงเรียน โดยต้องหาวิธีช่วยให้คนที่ทำงานอยู่มีโอกาสเรียนรู้โดยไม่ต้องกลับเข้าไปในโรงเรียนอย่างเดียว

นพ.สุภกร กล่าวว่า หลายจังหวัดได้พยายามสร้างระบบนิเวศการของการเรียนรู้ไว้รองรับแนวคิดและรูปแบบการเรียนรู้ที่จะสร้างทักษะใหม่ ๆ ด้วยตัวเอง ซึ่งจะเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นในช่วงวัยไหน เป็นการศึกษาเรียนรู้ที่ไม่ได้จบแค่ในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ไม่ว่าคุณจะเป็นวัยผู้ใหญ่หรือวัยชราก็ยังสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิตเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการทำงานในแต่ละช่วงเวลาของชีวิต

“สิงคโปร์มีโปรแกรม SkillsFuture ที่ตอบโจทย์การพัฒนาทุนมนุษย์คนกลุ่มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมสำหรับนักเรียนหรือพนักงานที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน พนักงานระดับกลาง นายจ้างผู้ให้บริการฝึกอบรมและโปรแกรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต โปรแกรมสำหรับนักเรียนก็จะให้คำแนะนำการตัดสินใจเลือกการศึกษาและเส้นทางอาชีพที่เหมาะสมกับการวางแผนอนาคต ช่วยให้เกิดการค้นพบสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเอง โดยสะท้อนจากจุดแข็งและความสนใจในแต่ละช่วงชีวิตช่วยให้มีโอกาสทำงานที่เสริมต่อทักษะและความสามารถสำหรับพนักงานมีหลักสูตรทักษะใหม่ ๆ ทักษะแห่งอนาคต รวมถึงมีโปรแกรมสำหรับวัยก่อนเกษียณหรือคนที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปสำหรับเตรียมความพร้อมหลังจากเกษียณจากงานเดิม การพัฒนาเรื่องนี้โดยเริ่มต้นจากจังหวัดซึ่งทราบมิติของปัญหาและจุดอ่อนจุดแข็งของพื้นที่ จึงน่าจะเป็นการเริ่มต้นที่เหมาะสม”

การพัฒนาพื้นฐานทักษะด้วยบทบาทในระดับจังหวัดของประเทศไทย

นายพัฒนะพงษ์ สุขมะดัน ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ระบุว่า ความร่วมมือทางวิชาการในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาของ กสศ. กับธนาคารโลก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสำนักงานสถิติแห่งชาติ จะถูกนำไปขยายผลสู่สาธารณะและความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยจะสร้างการมีส่วนร่วมพัฒนาทักษะที่สำคัญผ่านกลไกที่มีอยู่ เช่น นักเรียนทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง และกลไกการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ขยายไปสู่วัยแรงงานกลุ่มต่าง ๆ เพื่อให้มีเยาวชนและประชากรวัยแรงงานที่เท่าทันโลกยุคใหม่ โดยมีผู้เกี่ยวข้องที่สำคัญส่วนหนึ่งมาร่วมเวทีในครั้งนี้

นายพัฒนะพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมถึงการดำเนินการโครงการระยะถัดไป โดยธนาคารจะนำเครื่องมือ กับชุดคำถามที่ได้พัฒนากับนักวิชาการ มาสำรวจในจังหวัดที่เข้าร่วม โครงการการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ของกสศ. เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกที่ระดับจังหวัด นอกจากนี้ทางธนาคารจะดำเนินกิจกรรมพัฒนาทักษะสังคมอารมณ์ ให้แก่นักศึกษาในสถานศึกษาอาชีวะ ที่เข้าร่วมโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง ซึ่งผมหวังว่ากิจกรรมในโครงการระยะถัดไปนั้น จะเป็นการทำงานร่วมกับภาคท้องถิ่น และสถานศึกษาเพื่อให้สามารถใช้แนวทางในการพัฒนาแรงงานของประเทศโดยเฉพาะกับกลุ่มแรงงานที่ด้อยโอกาสที่ต้องเร่งช่วยเหลือ

นายเศรษฐ์ อัลยุฟรี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี กล่าวว่าจังหวัดปัตตานีได้เดินหน้าส่งเสริมการศึกษาให้สอดคล้องกับตำแหน่งงานที่มีอยู่ในจังหวัด โดยค้นหาตัวตนของเด็กว่ามีความถนัดในด้านใด ค้นหาต้นทุนของเด็ก ทักษะการทำงานของเด็กโดยทำงานร่วมกับผู้ปกครองให้มีช่องทางส่งไม้ต่อในทุกช่วงชั้นการศึกษา มีแนวทางในการพัฒนาทักษะผ่านกลไกที่มี เช่น อาชีวศึกษา มีช่องทางในการช่วยยกระดับอาชีพผ่านการทำงานของ อบจ. เพื่อลดตัวเลขเด็กออกจากการศึกษากลางคัน

ผศ.ดร.วิยดา เหล่มตระกูล คณบดีคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง กล่าวว่าการพัฒนาทักษะพื้นฐานของทุนมนุษย์เป็นงานที่ต้องวางแผนอย่างรอบคอบ ให้ครอบคลุมการแก้ไขปัญหาตั้งแต่ประถมวัยจนถึงวัยทำงาน การจัดการศึกษาสำหรับศตวรรษที่ 21 เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ระบบการศึกษาจำเป็นต้องปรับตัว ปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของเยาวชน สังคมและตลาดแรงงานทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยงานนี้ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 จนเกิดกลไกระดับจังหวัด ที่สามารถระดมเครือข่ายการพัฒนาบุคลากรจากหน่วยงานต่าง ๆ โดยเฉพาะครูในพื้นที่ร่วมกัน และสามารถส่งต่อการจัดการเรียนรู้ที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับบริบทโรงเรียน สามารถสร้างแนวโน้มการศึกษาในระบบที่ดีขึ้น สร้างแนวทางในการปรับมาตรฐานการเรียนรู้ในทุกระดับให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ จนเกิดโมเดลการพัฒนาชุมชนที่ประสบความสำเร็จในการสร้างระบบนิเวศชีวิตที่เหมาะกับคนทุกช่วงวัยโดยไม่เพิ่มภาระงานให้กับหน่วยงานหลัก สามารถช่วยประสานและแบ่งเบาภาระการทำงานผ่านการเชื่อมโยงฐานข้อมูลให้สอดคล้องกับปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่

นายสมศักดิ์ พะเนียงทอง คณะกรรมการขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดระยอง กล่าวว่า จังหวัดได้มีการส่งเสริมการจัดการศึกษาสำหรับคนระยองทุกช่วงวัยให้ตอบโจทย์บริบทของจังหวัด ซึ่งอยู่กับภาคการเกษตร การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรม ด้วยแนวคิดเท่าเทียมทั่วถึงเท่าทันและสมดุล สร้างระบบบริหารจัดการศึกษาทุกระดับ เพื่อผลิตและพัฒนากำลังคนในจังหวัดทุกช่วงวัย สร้างเครือข่ายความร่วมมือในการจัดการศึกษาระหว่างสถานศึกษา สถานประกอบการ องค์กรภาครัฐและเอกชน พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้เป็นแหล่งเรียนรู้และศูนย์สร้างสรรค์ปัญญาเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตและการสร้างศักยภาพของคนในจังหวัดโดยเฉพาะวัยทำงาน มีนโยบายพัฒนาเด็กทุกช่วงวัย แต่ยังขาดส่วนกลางประสานการทำงานให้สอดคล้องกัน

นายเจริญลักษณ์ เพ็ชรประดับ เลขาธิการมูลนิธิชุมชนขอนแก่นทศวรรษหน้า กล่าวว่าจังหวัดขอนแก่นได้พยายามออกแบบการพัฒนาทุนมนุษย์ โดยร่วมกับภาคีเครือข่ายภาคประชาชน ภาคประชาสังคม ภาครัฐและเอกชนในจังหวัด ผ่านกิจกรรมและเครื่องมือต่าง ๆ เช่น มีการออกแบบแพลตฟอร์มที่มีศักยภาพในการช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ ยกระดับการศึกษาและหนุนเสริมการทำงานของภาครัฐ จัดกิจกรรมวันแห่งการให้ขอนแก่นเพื่อสร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน ช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายคนเปราะบาง จนสามารถช่วยลดจำนวนเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษาได้บ้างแล้ว

เวทีเสวนาวิชาการนานาชาติเพื่อพัฒนานโยบายส่งเสริมเยาวชนและประชากรวัยแรงงานสู่ความพร้อมรับมือตลาดแรงงานยุคใหม่ครั้งนี้ จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 โดยภายในปลายปี 2566 จะมีการเปิดเผยผลสำรวจจากโครงการ ‘การวิจัยสำรวจทักษะและความพร้อมกลุ่มประชากรวัยแรงงานในประเทศไทย’ (Adult Skills Assessment in Thailand) อย่างเป็นทางการ เพื่อสร้างความเข้าใจในยุทธศาสตร์และความท้าท้ายใหม่ในการพัฒนาเยาวชนและประชากรวัยแรงงาน และให้ความสำคัญกับบทบาทของทักษะการเรียนรู้ที่มีความจำเป็น เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม พร้อมรับข้อเสนอแนะ ความร่วมมือเชิงนโยบายในการพัฒนาทักษะ และการเรียนรู้ของเยาวชนและประชากรวัยแรงงานต่อไป

อ้างอิง วิดีโอเวทีเสวนาวิชาการนานาชาติ ‘ทักษะพื้นฐานของทุนมนุษย์แห่งโลกยุคใหม่: การพัฒนาพื้นฐานทักษะและบทบาทในระดับจังหวัด’ ที่นี่

ศศินทร์ และ SCGCเปิดเวที’SCG Bangkok Business Challenge @ Sasin 2023 Global Competition’

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/736242

ศศินทร์ และ SCGCเปิดเวที'SCG Bangkok Business Challenge @ Sasin 2023 Global Competition'

ศศินทร์ และ SCGCเปิดเวที’SCG Bangkok Business Challenge @ Sasin 2023 Global Competition’

วันศุกร์ ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2566, 13.56 น.

สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Sasin School of Management)และบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC ธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน ร่วมจัดการแข่งขัน SCG Bangkok Business Challenge @ Sasin 2023Global Competition การแข่งขันแผนธุรกิจสตาร์ตอัประดับโลกภาคภาษาอังกฤษสำหรับนิสิต นักศึกษา ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องยาวนานที่สุดในเอเชีย ภายใต้แนวคิด Growing Impactful Ventures”สำหรับปีนี้ มีทีมจากทั่วโลกสมัครเข้าร่วมแข่งขันทั้งสิ้น172 ทีม จาก42 สถาบันอุดมศึกษาใน16ประเทศ ครอบคลุม5 ทวีป และมีทีมที่ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศทั้งสิ้น 19 ทีม พร้อมด้วยทีมชนะเลิศจากการแข่งขันรอบประเทศไทยอีก 1 ทีม รวมทั้งสิ้น 20 ทีม ซึ่งจะทำการแข่งขันในวันที่ 22-24มิถุนายน 2566ที่สถาบันบัณฑิตฯศศินทร์

ศาสตราจารย์ ดร. เอียน เฟนวิค ผู้อำนวยการสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์กล่าวว่า “ศศินทร์จัดการแข่งขันSCG Bangkok Business Challenge @ Sasin อย่างต่อเนื่อง โดยมี SCGCธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับภูมิภาคร่วมเป็นเจ้าภาพที่แข็งแกร่งตลอดมา ร่วมกันส่งเสริมแพลตฟอร์มให้กับสตาร์ตอัปเสริมสร้าง ecosystem ความคิดสร้างสรรค์ และขับเคลื่อนนวัตกรรมด้วยกรอบแนวคิดแบบผู้ประกอบการมอบโอกาสเพื่อสร้างผลกระทบ(impact) ที่จะเปลี่ยนโลกให้ยั่งยืนซึ่งการแข่งขันที่ผ่านมาผมคิดว่าสตาร์ตอัปเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากแน่นอนว่าเราเห็นธุรกิจสตาร์ตอัปหันไปสู่ด้านดิจิทัลมากขึ้นและมุ่งไปสู่ความยั่งยืนมากขึ้น”

ดร.สุรชา อุดมศักดิ์ รองผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่สายงานนวัตกรรม บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC กล่าวถึงการแข่งขันนี้ว่า “SCG Bangkok Business Challenge @ Sasin เป็นการแข่งขันระดับนานาชาติที่มุ่งสร้างสร้างเครือข่ายและให้ความสำคัญกับการสร้างธุรกิจใหม่ๆ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลกSCGC ร่วมสนับสนุนโดยมีเป้าหมายผลักดันผู้ประกอบการสตาร์ตอัปให้เติบโตสอดคล้องกับเมกะเทรนด์โลก ด้วยแนวคิดนวัตกรรมและโซลูชันที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Innovation & Solutions)อีกทั้งเพิ่มพูนทักษะให้สามารถก้าวไปเทียบในระดับสากลได้ ผ่านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้การทำแผนธุรกิจทั้งระดับประเทศไทยและระดับสากลที่ผ่านมา SCGC ได้เปิดโอกาสให้ทีมสตาร์ตอัปชนะเลิศ และรองชนะเลิศ จากการแข่งขันฯ เข้าพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมและโซลูชันที่ศูนย์ “i2P” (Ideas to Products) ศูนย์รวมไอเดียเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของทั้ง ลูกค้า–ผู้บริโภค–สิ่งแวดล้อม เปิดโอกาสให้ได้ร่วมพัฒนาสินค้าและเทคโนโลยีกับเครือข่ายพันธมิตรของ SCGC เพื่อให้สตาร์ตอัปมีทักษะและมุมมองในการสร้างนวัตกรรมที่พร้อมใช้งานจริงสามารถขยายธุรกิจและมีการเข้าถึงการตลาดเพิ่มมากขึ้น ปลดล็อกศักยภาพสตาร์ตอัปไทย ให้ก้าวไกลไปในระดับสากล”

โดยการแข่งขันในปีนี้ เป็นความร่วมมือของสถาบันบัณฑิตฯ ศศินทร์ กับ SCGCอีกทั้งยังได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิมากประสบการณ์จากหลากหลายภาคส่วน อาทิRobert Lomnitz,Partner – Xpdite Capital Partners, Director of Bangkok Venture Club, Paul Ark,Partner & Head of ESG – Gobi Partnersและ Dr. Andrew Stotz,CEO – A. Stotz Investment Researchมาร่วมเป็นกรรมการตัดสิน คัดเลือกเฟ้นหาสุดยอดทีมที่ดีที่สุดที่คู่ควรกับรางวัลเกียรติคุณพระราชทานH.M. The King’s Awardจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รางวัลเกียรติคุณพระราชทานH.R.H. Princess Maha Chakri Sirindhorn’s Sustainability Award จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และรางวัลเงินสดรวมมูลค่า 46,000เหรียญสหรัฐ หรือราว 1,500,000บาท

สำหรับ 20ทีมสุดท้ายที่ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ Global Competition ได้แก่

  1. ทีมAquaSnacksจาก Bangladesh University of Engineering and Technologyประเทศบังกลาเทศ
  2. ทีม Bone Voyage จาก National Yang Ming Chiao Tung University ประเทศไต้หวัน
  3. ทีม Castomize Technologies จาก Singapore University of Technology and Design ประเทศสิงคโปร์
  4. ทีม cWalletจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประเทศไทย
  5. ทีม DolFinnจาก American University of Phnom Penh ประเทศกัมพูชา
  6. ทีม ENENT  จาก Institute of Business Administration, Karachi ประเทศปากีสถาน
  7. ทีม FactCertifiedจาก University of Tsukuba ประเทศญี่ปุ่น
  8. ทีม FISHYU จาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประเทศไทย
  9. ทีม GreeneAcres Processing จาก Cornell University ประเทศสหรัฐอเมริกา
  10. ทีม Headfirst จาก University of Waterloo ประเทศแคนนาดา
  11. ทีม Reborn+ จาก Georgia Institute of Technology ประเทศสหรัฐอเมริกา
  12. ทีม RingMasterจาก National Yang Ming Chiao Tung University ประเทศไต้หวัน
  13. ทีม SERICAELจาก National Chengchi University ประเทศไต้หวัน
  14. ทีม Surety จาก Singapore University of Social Sciencesประเทศสิงคโปร์
  15. ทีม Team Washwagonจาก Nanyang Business Schoolประเทศสิงคโปร์
  16. ทีม the moonbeam co. จาก National University of Singaporeประเทศสิงคโปร์
  17. ทีม Thrifty  จาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประเทศไทย
  18. ทีม UNCL Co จากUniversity of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา
  19. ทีม Vision X จากNational Yang Ming Chiao Tung University ประเทศไต้หวัน
  20. ทีม Zeuron.ai จาก Indian Institute of Science ประเทศอินเดีย

สำหรับผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ทางhttps://bbc.sasin.edu/2023/และร่วมเป็นกำลังใจให้ทีมตัวแทนประเทศไทยผ่านทางไลฟ์สตรีมมิ่งบนแพลตฟอร์ม Facebook: SCG Bangkok Business Challenge at Sasin (www.facebook.com/bangkokbusinesschallenge)

NIA ผนึก 4 ภาคส่วน จัดงาน ‘SITE 2023’ ขับเคลื่อนไทยสู่ชาตินวัตกรรม

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/736241

NIA ผนึก 4 ภาคส่วน จัดงาน ‘SITE 2023’ ขับเคลื่อนไทยสู่ชาตินวัตกรรม

NIA ผนึก 4 ภาคส่วน จัดงาน ‘SITE 2023’ ขับเคลื่อนไทยสู่ชาตินวัตกรรม

วันศุกร์ ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2566, 13.55 น.

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาขน) หรือ NIA แถลงข่าวการจัดงาน “สตาร์ทอัพและอินโนเวชันไทยแลนด์ เอ็กซ์โป 2023” (STARTUP x INNOVATION THAILAND EXPO 2023: SITE 2023) งานมหกรรมนวัตกรรมและเครือข่ายสตาร์ทอัพไทยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ ภายใต้แนวคิด INNOVATION PARTNERSHIP – TOGETHER WE GROW ร่วมสร้าง “หุ้นส่วนนวัตกรรม” เพื่อนำไทยสู่ชาตินวัตกรรม ผนึกกำลัง 4 ภาคส่วนของประเทศ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้สตาร์ทอัพและผู้ประกอบการธุรกิจนวัตกรรม พร้อมรวมพลนักรบเศรษฐกิจใหม่อีกครั้งอย่างเต็มรูปแบบ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 22-24 มิถุนายน 2566 พร้อมเปิดให้เข้าร่วมฟรีทุกกิจกรรม!

ดร. พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กล่าวว่า นับจากปี 2020 ที่ NIA ได้รวมการจัดสองงานยิ่งใหญ่ระดับประเทศ STARTUP THAILAND และ INNOVATION THAILAND EXPO เข้าด้วยกัน  นับเป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญของเหล่าสตาร์ทอัพและนวัตกรชั้นนำของไทย มาร่วมสร้างโลกนวัตกรรมเสมือนจริง (Virtual World) ครั้งแรกของประเทศ เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ประเทศผ่านพ้นจากวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 และเพื่อปรับกระบวนทัศน์ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมสำหรับรับมือกับภาวะวิกฤต ต่อมาในปี 2021 งาน Startup x Innovation Thailand Expo (SITE) ได้มุ่งเน้นการถ่ายทอดแนวทางการส่งเสริม พัฒนา และสร้างโอกาสการเติบโตในเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech) เพราะเชื่อมั่นว่าเทคโนโลยีเชิงลึกจะเป็นอาวุธสำคัญในการต่อยอดนวัตกรรมและเทคโนโลยีอื่น เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวสู่โลกอนาคตได้อย่างทัดเทียมประเทศชั้นนำของโลก จนมาถึงปี 2022 ที่แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดี แต่ยังไม่สามารถวางใจได้เต็มร้อย งาน SITE จึงเริ่มสร้างสะพานเชื่อมผู้คนในแวดวงนวัตกรรมจากประเทศไทยและทั่วโลกมาเจอ และมีปฏิสัมพันธ์กันอีกครั้ง เพื่อรองรับการเปิดเมืองหลังวิกฤตโควิดคลี่คลาย

หลังจากงาน SITE 2022 เราได้เห็นการพัฒนาศักยภาพด้านนวัตกรรมของไทยเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และหลากหลายสาขามากขึ้น  ผลสำเร็จของงาน SITE2022 มีส่วนส่งเสริมให้ไทยมีระบบนิเวศเหมาะกับการลงทุนด้านนวัตกรรมยิ่งขึ้นด้วย  เราพบว่าแทบทุกองค์กรกระโดดลงมาทำธุรกิจเชิงลึกเพิ่มขึ้น  กรุงเทพมหานครกลายเป็นเมืองที่ดึงดูดต่างชาติให้เข้ามาจัดตั้งธุรกิจ มี Digital Nomad เป็นอันดับ 2 ของโลก  เกิดการตื่นตัวของมหาวิทยาลัยที่มีหน่วยบ่มเพาะ และจัดตั้งกองทุนเพื่อส่งเสริมสตาร์ทอัพ  รวมถึงผลักดันให้มีกฎเกณฑ์และกฎหมายที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจสตาร์ทอัพมากขึ้น และการลงทุนในสตาร์ทอัพยังคงคึกคักอย่างต่อเนื่อง  ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการผลักดันการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่นำไปสู่การพัฒนาบริการของภาครัฐที่ดีขึ้น เกิดการลงทุนในสตาร์ทอัพทั้งนักลงทุนอิสระและบริษัทขนาดใหญ่ เพื่อดึงดูดการลงทุนในระดับสากล และสุดท้ายคือการผลักดันให้เกิด พรบ. ส่งเสริมสตาร์ทอัพ

จะเห็นได้ว่าภายใต้สภาวะความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน สิ่งหนึ่งที่อยากเห็นสังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงคือ Innovation Mindset หรือการมีทัศนคติที่ดีต่อนวัตกรรม คือการพร้อมรับความท้าทายและการเปลี่ยนแปลง การมองหาโอกาสและแนวทางใหม่จากความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ และการเร่งเสร้างการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เกิดการใช้และขยายผลนวัตกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องสร้างและปลูกฝังให้กับหน่วยงานและบุคลากร ทั้งในระดับภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ตลอดจนภาคประชาชน เพื่อให้สังคมไทยเป็นสังคมที่เปิดรับนวัตกรรมและพร้อมต่อความเปลี่ยนแปลงในอนาคต ไปจนถึงการร่วมมือกันสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับโลก”

ดังนั้น งาน SITE ในปีนี้ คือการกลับมาอีกครั้งของอีเว้นท์เต็มรูปแบบ เป็นการกลับมาของงาน Tech Conference ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมหกรรมนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปี  ที่รวมเหล่านักรบเศรษฐกิจใหม่ทั้งรุ่นใหญ่รุ่นเล็ก กูรูด้านนวัตกรรมจากทั่วโลก ผู้ประกอบการธุรกิจนวัตกรรม นักลงทุน ภาครัฐ ภาคเอกชน ภายใต้แนวคิด INNOVATION PARTNERSHIP – TOGETHER WE GROW ร่วมสร้าง “หุ้นส่วนนวัตกรรม” เพื่อนำไทยสู่ชาตินวัตกรรม เป็นความร่วมมือทางนวัตกรรมครั้งสำคัญของ 4 ภาคส่วน ได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา และภาคประชาสังคม เพื่อรองรับการเติบโตของสตาร์ทอัพและธุรกิจนวัตกรรม สร้างความเข้มแข็งในระบบนิเวศนวัตกรรมไทยและขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นชาตินวัตกรรม”

ภายในงานประกอบด้วย 4 กิจกรรมหลัก คือ 1) FORUM จากวิทยากรระดับท๊อปทั้งชาวไทยและต่างประเทศกว่า 20 ท่าน ตลอด 3 วันเต็ม ภายใต้ 3 หัวข้อหลัก คือ BRIDGING PUBLIC & PRIVATE PARTNERSHIP, ACCELERATING INNOVATION BUSINESS & PARTNERSHIP และ HACKING FOR NEW INVESTMENT & GROWTH MODEL ซึ่งประกอบด้วยหัวข้อสัมมนาที่น่าสนใจในหลากหลายประเด็น กว่า 30 หัวข้อ เช่น

– “Digital Innovation in Public Sector – What made Estonia becoming a leader in digital living” โดย Mr. Siim Sikkut, Former Chief Information Officer, Government of Estonia

– “นวัตกรรมด้านสังคมเพื่อโลกในอนาคต” (Social Innovation: Shaping the Future) โดย Mr. Renaud Meyer, Resident Representative, UNDP

– ความคิดสร้างสรรค์และทุนทางวัฒนธรรม : ขุมพลังขับเคลื่อนนวัตกรรมไทย (Creativity & Cultural Capital as Thailand’s Innovation Powerhouse

– Unlocking the Power of Festivals: Driving Economic Growth and Cultural Engagement โดย สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน)

– “Predicting the Unpredictable for Resilient Transformation” โดย Prof. Rene Rohrbeck, Director of Chair for Foresight, Innovation and Transformation, EDHEC Business School

– Keys to success for innovative organizations “ถอดรหัสความสำเร็จองค์กรนวัตกรรม”

– การเชื่อมโยงกลไกสนับสนุนทุนนวัตกรรมของภาครัฐสำหรับผู้ประกอบการไทย”

2) BUSINESS OPPORTUNITY โอกาสในการพบปะ แลกเปลี่ยนความรู้ ต่อยอดธุรกิจ ตลาดสินค้านวัตกรรมจากสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการธุรกิจนวัตกรรมชั้นนำกว่า 250 ราย พร้อมด้วยกิจกรรม PITCHING เพื่อนำเสนอแผนธุรกิจจากสตาร์ทอัพและธุรกิจนวัตกรรมกว่า 50 ราย, INTERNATIONAL ZONE ของหน่วยงานต่างชาติกว่า 10 หน่วยงานจาก 5 ประเทศ กิจกรรมจับคู่ธุรกิจใน  BUSINESS MATCHING และ NETWORKING สานสัมพันธ์และสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ 3) SHOW การแสดงนวัตกรรมที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในอนาคต และ 4) AWARD พิธีประกาศผลรางวัลอันทรงเกียรติให้แก่ผู้มีส่วนร่วมในการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาระบบนิเวศสตาร์ทอัพและเอสเอ็มอีของประเทศ และเสริมสร้างศักยภาพทางธุรกิจให้แก่สตาร์ทอัพและเอสเอ็มอีให้ก้าวสู่ตลาดต่างประเทศ พร้อมด้วยรางวัลสำหรับนวัตกรรมรับมือวิกฤตเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

ภายในงานแถลงข่าวยังได้จัดการเสวนาจาก 4 หน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ เอกชนและสมาคม โดยคุณอารีย์พันธ์ เจริญสุข รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) กล่าวว่า “กพร. ได้รวบรวมนวัตกรรม 11 หน่วยงานภาครัฐเพื่อจัดนิทรรศการภายในงาน SITE2023 รวมถึงมีเวทีบรรยายประเด็นที่น่าสนใจ เช่น “Better Data, Better Decision” ที่ทำให้เห็นว่าปัจจุบันดาต้าจะเป็นตัวเปลี่ยนแปลงการทำงานของภาครัฐและจะส่งผลไปถึงภาคเอกชนด้วย”

คุณวรกาญจน์ โกศลพิศิษฐ์กุล ผู้อำนวยการกองเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวว่า “บทบาทหน้าที่หลักของ BOI คือการเป็นหน่วยงานส่งเสริมการลงทุน เราได้ออกมาตรการส่งเสริมสตาร์ทอัพโดยเฉพาะ ภายใต้ พรบ. การเพิ่มขีดความสามารถของประเทศในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เราต้องการให้ระบบนิเวศของสตาร์ทอัพมีความเข้มแข็ง เพื่อให้เกิดเป็นฐานรากของเศรษฐกิจต่อไปในอนาคต และเป็นเสาหลักในการที่จะพัฒนาเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืนด้วยนวัตกรรม ในงาน SITE2023 เราจะรวบรวมเป็นพื้นที่การเรียนรู้ สตาร์ทอัพ หรือผู้ประกอบการก็สามารถเข้ามาขอคำแนะ และคำปรึกษาได้”

คุณศุภชัย สัจไพบูลย์กิจ กรรมการคณะกรรมการส่งเสริมนวัตกรรมและวิจัย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “หอการค้าไทยมีพันธกิจสำคัญในการส่งเสริมผู้ประกอบการร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ โดยยึดหลัก CCS คือ Connect, Competitive และ Sustainable สำหรับงาน SITE2023 หอการค้าได้มีส่วนร่วมในการส่งเสริมผู้ประกอบการที่มาจากความร่วมมือของหน่วยงานเป็นเมล็ดพันธุ์ในการบ่มเพาะ และกลุ่มเอสเอ็มอีที่ทรานสฟอร์มและปรับ mindset ตัวเองเข้าสู่โหมดสตาร์ทอัพซึ่งจะมาร่วมแสดงออกบูธในงานที่ SITE 2023 ด้วย”

และ คุณประภาศิริ อรรถจินต์ Head of Ecosystem บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด กล่าวว่า ”เราเชื่อมั่นว่าสตาร์ทอัพและนวัตกรรมจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจไทยก้าวไปสู่ 4.0 กรุงศรี ฟินโนเวต เรามีภารกิจที่จะช่วยส่งเสริมระบบนิเวศของสตาร์ทอัพของไทยและของภูมิภาคด้วย นอกจากเรื่องของเงินทุนในการสนับสนุนแล้ว อีกส่วนหนึ่งก็คือเรื่องหุ้นส่วน หรือ partnership ซึ่งสำคัญมากในการที่จะต่อยอดให้สตาร์ทอัพเติบโตได้”

นอกจากนี้ ยังมี การเปิดตัว Startup Universe 2023 Update เพื่อแสดงถึงโอกาสและการเข้มแข็งของระบบนิเวศสตาร์ทอัพของไทย งาน SITE 2023 พร้อมกลับมาให้ทุกคนได้พบปะกันอีกครั้ง NIA จึงอยากเชิญชวนผู้ที่สนใจด้านความก้าวหน้าทางนวัตกรรม บุคลากรภาครัฐ ผู้ประกอบการภาคเอกชน ทั้งองค์กรขนาดใหญ่ SMEs และ Startups บุคลากรภาคสถาบันการศึกษา กลุ่มนักลงทุน บริษัทร่วมลงทุน เข้าร่วมชมงาน STARTUP THAILAND x INNOVATION THAILAND 2023 ระหว่างวันที่ 22-24 มิถุนายนนี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยลงทะเบียนได้ที่ site/nia.or.th

-(016)

‘รมว.สุชาติ’ส่งผู้ช่วย รมว.เปิดงาน JOB EXPO THAILAND 2023 ‘คนไทยมีงานทำ คนหางาน งานหาคน’

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/736214

'รมว.สุชาติ'ส่งผู้ช่วย รมว.เปิดงาน JOB EXPO THAILAND 2023 'คนไทยมีงานทำ คนหางาน งานหาคน'

‘รมว.สุชาติ’ส่งผู้ช่วย รมว.เปิดงาน JOB EXPO THAILAND 2023 ‘คนไทยมีงานทำ คนหางาน งานหาคน’

วันศุกร์ ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2566, 12.38 น.

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายนายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีเปิดงาน JOB EXPO THAILAND 2023 โดยมีนายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ร่วมพิธีเปิด ท่ามกลางผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคีเครือข่ายที่ร่วมกันจัดงาน  ณ บริเวณเวทีกลาง Hall EH 100 -102 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพมหานคร

นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน ได้กล่าวเปิดงาน JOB EXPO THAILAND 2023 ว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันของประเทศไทยที่ต้องเผชิญกับความท้าทายในการพัฒนาหลายมิติ และการแพร่ระบาดของโรค COVID – 19 ถือเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาด้านเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างก้าวกระโดด ส่งผลต่อโครงสร้างพื้นฐานและระบบเศรษฐกิจยุคใหม่ โดยเฉพาะในภาคแรงงานที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จุดมุ่งหมายของการจัดงาน JOB EXPO THAILAND 2023 ในวันนี้ เป็นการตอบสนองกับยุทธศาสตร์ชาติ ทั้งในด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์และด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ โดยการพัฒนาแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคบริการและท่องเที่ยว ทำให้คนในวัยแรงงานสามารถทำงานได้ในภูมิลำเนาของตนเอง นอกจากนี้ยังมีโครงสร้างพื้นฐานที่อำนวยความสะดวกต่อการทำงานและเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ทำให้วัยแรงงานได้รับการยกระดับจากผู้ใช้แรงงาน เป็นผู้ใช้พลังสมอง ที่สามารถเข้าถึงแหล่งทุน นวัตกรรม เทคโนโลยี และข่าวสารข้อมูลได้สะดวก ทำให้ประชาชนทุกช่วงวัยและทุกคนอยู่อาศัยร่วมกันในประเทศอย่างมีความสุขที่ยั่งยืน มีทักษะในการทำงาน มีอาชีพ มีรายได้ที่มั่นคง ยั่งยืน และในขณะเดียวกันก็มีภาครัฐที่ทำงานเพื่อประชาชนอย่างสุจริต โปร่งใส่ และใส่ใจการบริการทำงานรวดเร็ว

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน ได้กล่าวรายงานว่าวัตถุประสงค์ของการจัดงาน JOB EXPO THAILAND 2023 ภายใต้ธีมงาน “คนไทยมีงานทำ คนหางาน งานหาคน” เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล ที่ตระหนักถึงความสำคัญของการมีงานทำของประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายในทุกช่วงวัย ไม่ว่าจะเป็นผู้จบการศึกษาใหม่  ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ทหารเตรียมปลดประจำการ ผู้พ้นโทษ ผู้ว่างงาน และทุกคนที่ประสงค์มีงานทำ มีรายได้ โดยส่งเสริมการมีงานทำ และการจ้างงาน ยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน ด้วยการเร่งรัดและผลักดันการขยายตลาดแรงงานไทยในต่างประเทศ กระตุ้น ส่งเสริม รักษาการจ้างงาน รวมถึงบริการจัดหางานออนไลน์ ส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระให้กลุ่มเป้าหมายที่มีความหลากหลายมากขึ้น สนับสนุนการรับงานไปทำที่บ้านแก่ผู้ว่างงาน โดยเน้นในสาขาที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 การพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานทั้งแรงงานในระบบและนอกระบบ สอดคล้องกับกิจกรรมภายในงาน ที่ประกอบด้วย กิจกรรมเทิดพระเกียรติศาสตร์พระราชาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โครงการจิตอาสา 904 (โคก หนอง นา) กิจกรรมขับเคลื่อนการจัดทำฐานช่องทางรวบรวมข้อมูลการจ้างงานและการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน ด้วย Platform ไทยมีงานทำ กิจกรรมนัดพบแรงงานด้วยการนำตำแหน่งงาน จากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศมารองรับความต้องการมีงานทำของประชาชน กิจกรรมสร้างงาน พัฒนาอาชีพ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาประชาชนให้ก้าวไปสู่การเป็น Start Up และการเป็นเจ้าของกิจการ

ภายในงาน ยังมีกิจกรรมต่างๆ ที่จะเป็นการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ให้พร้อมรับมือกับอุตสาหกรรม S-curve และ New-curve ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้จะมีการจัดงานในพื้นที่ภูมิภาคอีก 3 แห่ง คือจังหวัดชลบุรี ภูเก็ต และนครราชสีมาสลับหมุนเวียนตลอดช่วงเดือนมิถุนายนพร้อมกันนี้ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นำคณะผู้บริหารเดินเยี่ยมชมโซนต่างๆ ภายในงาน อาทิ โซนนิทรรศการเทิดพระเกียรติศาสตร์พระราชาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โครงการจิตอาสา 904 (โคก หนอง นา) โซนประกันสังคม กับกิจกรรมฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี สำหรับประชาชนทุกกลุ่ม โซนไทยมีงานทำ รวบรวมตำแหน่งงานว่างทั่วประเทศ และลงทะเบียนสมัครงาน พร้อมสัมภาษณ์ผ่านทางออนไลน์

        สำหรับกิจกรรมเด่นๆ ภายในงาน ตั้งแต่เวลา 10.00 น. – 20.00 น.ที่มีตลอด 3 วันงานนี้

วันที่ 8 มิถุนายน 2566

  • เสวนาในหัวข้อเปลี่ยนสิ่งที่ชอบให้กลายเป็นอาชีพได้อย่างไรในยุคดิจิทัล” โดยคุณนิววรรณรัชต์เจ้าของเพจGoAloneAround
  • มินิคอนเสิร์ตจากYOURMOOD

วันที่ 9 มิถุนายน 2566

  • เสวนาในหัวข้อการสร้างตัวตนสู่การสร้างรายได้บน TIKTOKแพลทฟอร์มยอดนิยมในปัจจุบัน”  โดยคุณชาติศักดิ์มหาทาหรือเป็นที่รู้จักในชื่อเอแคลร์จือปาก
  • มินิคอนเสิร์ตจากมีนตราอินทิรา

วันที่ 10 มิถุนายน 2566

  • เสวนาในหัวข้อ การเกษตรเพื่อความยั่งยืนโดยดร.เกริก มีมุ่งกิจปราชญ์ชาวบ้านเทพแห่งเกษตร
  • และ “สมัครงานอย่างไรถึงได้งาน”โดย คุณทัศไนย เหมือนเสน
  • มินิคอนเสิร์ตจากปราง ปรางทิพย์

สามารถไปร่วมงานกับ โครงการดีๆ จากรัฐบาล จัดงานโดยกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน “Job Expo Thailand 2023 มหกรรมการจัดหางานครั้งยิ่งใหญ่ “คนไทยมีงานทำ คนหางาน งานหาคน” วันที่ 8-10 มิถุนายนนี้ ณ ไบเทค บางนา ฮอลล์EH100-102”

นานมีบุ๊คส์ ร่วมกับ B2S จัดเสวนา ‘สร้างภูมิคุ้มกันใจในวัยรุ่น’ เจาะปัญหาสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น ที่ผู้ปกครองไม่ควรมองข้าม

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/736055

นานมีบุ๊คส์ ร่วมกับ B2S จัดเสวนา ‘สร้างภูมิคุ้มกันใจในวัยรุ่น’  เจาะปัญหาสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น ที่ผู้ปกครองไม่ควรมองข้าม

นานมีบุ๊คส์ ร่วมกับ B2S จัดเสวนา ‘สร้างภูมิคุ้มกันใจในวัยรุ่น’ เจาะปัญหาสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น ที่ผู้ปกครองไม่ควรมองข้าม

วันศุกร์ ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2566, 06.00 น.

สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ ร่วมกับ B2S จัดงานเสวนาในหัวข้อ “สร้างภูมิคุ้มกันใจในวัยรุ่น” ที่ B2S สาขา Central World นำเสนอสถานการณ์ปัญหาสุขภาพจิตของวัยรุ่นในปัจจุบัน สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหา วิธีป้องกัน รับมือ พร้อมแนะแนวทางในการดูแลจิตใจตนเองและคนใกล้ชิด โดยได้รับ

เกียรติจาก ดร.นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกรมสุขภาพจิต แพทย์หญิงวิมลรัตน์ วันเพ็ญ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น ราชนครินทร์ ญา-ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญา ผู้ก่อตั้ง Mental Me และผู้เขียนหนังสือ Changemaker เสียงเล็กๆ ของเด็กเปลี่ยนโลก มาร่วมพูดคุย โดยมีมิ่งขวัญ เหล่าบุศณ์อนันต์ เจ้าของเพจเลี้ยงลูกวัยรุ่นให้ถูกทาง by แม่มิ่ง เป็นผู้ดำเนินการเสวนา

แพทย์หญิงวิมลรัตน์ วันเพ็ญ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กล่าวว่า เมื่อก่อนปัญหาที่คุณพ่อคุณแม่มาปรึกษาส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับเรื่องพฤติกรรมของเด็ก เช่น ความซน หรือปัญหาเกี่ยวกับพัฒนาการของเด็ก แต่ปัจจุบันพบว่าเรื่องที่ผู้ปกครองมาปรึกษามากเป็นอันดับ 2 คือ เรื่องโรคซึมเศร้า สถิติจากเด็กและวัยรุ่นที่เข้ามาทำแบบประเมินสุขภาพจิตที่ http://www.วัดใจ.com ประมาณ 200,000 คน พบว่ามีเด็กและวัยรุ่น เสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าสูงถึง 10% และในจำนวนนี้มีผู้เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายหรือทำร้ายตัวเองมากกว่า 16%

ดร.นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกรมสุขภาพจิต กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันสื่อโซเชียลค่อนข้างมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมและอารมณ์ของวัยรุ่นอย่างมาก เนื่องจากมักถูกใช้เป็นที่ระบายอารมณ์หรือแสดงความคิดเห็น ทำให้เด็กได้ซึมซับอารมณ์เหล่านั้นมา อีกทั้งความเข้าถึงง่ายและเชื่อมต่อกันแบบไร้พรมแดนของสื่อโซเชียล ทำให้ทุกคนสามารถเชื่อมถึงกันได้หมดไม่ว่าจะรู้จักหรือไม่ก็ตาม ทำให้เด็กๆ เห็นชีวิตของผู้อื่นและเกิดการเปรียบเทียบจนเกิดปัญหาสุขภาพจิตตามมา

ญา-ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญา ผู้ก่อตั้ง Mental Me และผู้เขียนหนังสือ Changemaker เสียงเล็กๆ ของเด็กเปลี่ยนโลก ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า เด็กวัยรุ่นที่ประสบปัญหาต้องการคนรับฟัง แต่บางครั้งไม่มีใครรับฟัง เขาจึงหาวิธีระบายโดยโพสต์ลงสื่อโซเชียล แต่สื่อโซเชียลไม่ใช่เซฟโซนที่ใครจะโพสต์อะไรก็ได้วิธีแก้ปัญหา คือ ครอบครัวควรเป็นผู้รับฟังอย่างเข้าใจ และต้องไม่ตัดสิน เพื่อให้เด็กไว้วางใจ ผ่อนคลาย และมีที่พึ่ง ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพจิตและป้องกันความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้

สำหรับผู้ที่สนใจและต้องการหาข้อมูลเพิ่มเติม ทั้ง 3 วิทยากร ยังได้แนะนำหนังสือที่กล่าวถึงปัญหาสุขภาพจิตของเด็กและวัยรุ่นของสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ไว้หลายเล่ม โดย แพทย์หญิงวิมลรัตน์ ได้ยกตัวอย่างหนังสือ “รับมือให้ไหวเมื่อใจลูกพัง” ว่า ถ้าอ่านเล่มนี้จะเข้าใจความเปราะบางทางอารมณ์ของเด็กว่ามีอะไรบ้าง เกิดจากสาเหตุอะไร และจะสังเกตได้อย่างไรว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์โดยทั่วไปหรือเข้าข่ายต้องเฝ้าระวัง ทำให้เข้าใจกระบวนการเกิดโรค การดำเนินไปของโรค และต้องเตรียมตัวอย่างไรเมื่อต้องไปพบจิตแพทย์ พร้อมแนะนำให้รู้จักปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ ที่มักพบในเด็ก นอกจากนี้ คุณหมอยังได้แนะนำหนังสือ “จัดการวิตกกังวลวัยรุ่น”ซึ่งกล่าวถึงปัญหาความวิตกกังวลในเด็กวัยรุ่นที่พบมากเป็นอันดับ 1 ของวัยรุ่นในปัจจุบัน บางคนอาจยังไม่ถึงขั้นป่วยจนกระทบต่อชีวิตประจำวันก็ตาม โดยเล่มนี้จะมีเทคนิควิธีการจัดการกับความวิตกกังวลที่คัดสรรมาเพื่อดูแลจิตใจวัยรุ่นโดยเฉพาะ อธิบายเป็นขั้นตอนเข้าใจง่าย ปฏิบัติได้จริง พร้อมยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม

ด้าน ดร.นพ.วรตม์ ได้ยกตัวอย่างหนังสือ “คู่มือเอาชนะสภาวะสติแตก”ที่กล่าวถึงโรควิตกกังวลหรือที่รู้จักกันในนามแพนิก ว่าเป็นโรคที่ยังถูกพูดถึงน้อยในสังคม ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นปัญหาสุขภาพจิตที่พบมากเป็นอันดับ 1 โดยในหนังสือเล่มนี้จะสอนเทคนิคการฝึกจิตที่สามารถเอาชนะความวิตกกังวลอย่างได้ผลชะงัดทั้งแบบชั่วคราวและถาวรโดยไม่ต้องพึ่งยา อีกเล่มที่ ดร.นพ.วรตม์แนะนำคือ หนังสือ “ซึมเศร้าใครว่าไม่อันตราย” รีบรักษาอย่าเพิกเฉย ชื่อเรื่องอาจดูน่ากลัว แต่เนื้อหากลับพูดถึงโรคซึมเศร้าแบบอบอุ่น ให้กำลังใจ ทำให้รู้จักและเข้าใจโรคซึมเศร้าในทุกแง่มุมพร้อมแนะนำวิธีป้องกัน รักษา ดูแลตนเองและคนใกล้ตัวเพื่อให้ปลอดภัยและห่างไกลโรค โดยหนังสือเล่มนี้สามารถอ่านได้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยแล้ว สงสัยว่ากำลังป่วย หรือมีคนใกล้ตัวป่วย

ด้าน ญา-ปราชญา ผู้เขียนหนังสือ “Changemaker เสียงเล็กๆ ของเด็กเปลี่ยนโลก” ซึ่งเป็นหนังสือที่สร้างแรงบันดาลใจ ทำให้ผู้อ่านรู้ว่ายังมีเด็กๆ อีกหลายคนที่ประสบปัญหาเดียวกัน ทำให้ได้พบเจอกับคนที่เข้าใจเรามากขึ้น และทำไมเด็กและวัยรุ่นจึงควรไปพบจิตแพทย์ได้เองโดยไม่ต้องขออนุญาตผู้ปกครอง อีกเล่มที่ขาดไม่ได้คือ หนังสือ “คุณคางคกไปพบนักจิตบำบัด” ที่ถ่ายทอดเรื่องราวมิตรภาพในหมู่เพื่อนที่พยายามช่วยคุณคางคกที่กำลังเป็นโรคซึมเศร้า และสะท้อนปัญหาครอบครัวว่าแท้จริงแล้วปัญหาหลักที่ส่งผลให้เด็กและวัยรุ่นมีสุขภาพจิตไม่ดีนั้นอาจไม่ได้มาจากสังคมภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่เริ่มมาจากปัญหาภายในครอบครัวเอง หนังสือเล่มนี้ได้ตอกย้ำให้เห็นว่าครอบครัวมีอิทธิพลต่อสภาพจิตใจของเด็กและวัยรุ่นมากเพียงใด หากสังเกตเห็นว่าเด็กๆ เริ่มมีภาวะผิดปกติทางอารมณ์ ควรรีบพาไปปรึกษาจิตแพทย์ทันที

ทั้งนี้ หากใครกำลังมีความวิตกกังวล สงสัยว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดกำลังมีปัญหาด้านสุขภาพจิต สามารถสำรวจตนเองได้ง่ายๆ โดยการหาความรู้เพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เช่นหนังสือของนานมีบุ๊คส์ที่ยกตัวอย่างไปข้างต้น รวมทั้งสามารถหาซื้อได้ที่ ร้านแว่นแก้ว B2S และร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่Nanmeebooks Call Center 02-6623000 กด 1 http://www.nanmeebooks.com

เซ็นทรัล โรบินสัน ผนึกกำลัง กรมป่าไม้ เพิ่มพื้นที่สีเขียว ชวนคนไทย ‘ปลูกต้นไม้ 100,000 ต้น’ กว่า 490 ไร่ทั่วประเทศ

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/736057

เซ็นทรัล โรบินสัน ผนึกกำลัง กรมป่าไม้ เพิ่มพื้นที่สีเขียว  ชวนคนไทย ‘ปลูกต้นไม้ 100,000 ต้น’ กว่า 490 ไร่ทั่วประเทศ

เซ็นทรัล โรบินสัน ผนึกกำลัง กรมป่าไม้ เพิ่มพื้นที่สีเขียว ชวนคนไทย ‘ปลูกต้นไม้ 100,000 ต้น’ กว่า 490 ไร่ทั่วประเทศ

วันศุกร์ ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2566, 06.00 น.

คิกออฟแคมเปญ “CENTRAL / ROBINSON LOVE THE EARTH 2023”

ฉลองวันสิ่งแวดล้อมโลก5 มิถุนายน ที่ผ่านมา ห้างเซ็นทรัล และห้างโรบินสัน ในเครือเซ็นทรัล รีเทล คิกออฟแคมเปญ “CENTRAL /
ROBINSON LOVE THE EARTH 2023” (เซ็นทรัล / โรบินสัน เลิฟ ดิ เอิร์ธ 2023) ผนึกกำลัง กรมป่าไม้ชวนคนไทยทั่วประเทศร่วมภารกิจเพิ่มพื้นที่สีเขียว “ปลูกต้นไม้ 100,000 ต้น”ในพื้นที่ราว 490 ไร่ เพื่อคืนสมดุลให้กับสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดและยั่งยืนที่สุด เดินหน้าสานต่อ4 กรีนมิชชั่นรักษ์โลก 1)SAY NO TO PLASTIC BAGS งดการแจกถุงพลาสติก 2)รณรงค์ใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในห้างทั่วประเทศ 3)ร่วมกับ CENTRAL THAM เปิดพื้นที่สนับสนุน จำหน่ายสินค้าชุมชนที่ผลิตจากวัสดุในพื้นถิ่นและสินค้าที่มีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ 4)ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเซ็นทรัลกรุ๊ป เพิ่มพื้นที่สีเขียว 50,000 ไร่ ทั่วประเทศ ภายในปี 2573

รวิศรา จิราธิวัฒน์ ประธานบริหารฝ่ายการตลาด บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด และบริษัท โรบินสัน จำกัด(มหาชน) ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่าทางห้างฯ มุ่งมั่นที่จะสานต่อพันธกิจด้านสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนทั้งของเซ็นทรัลกรุ๊ป ในการเพิ่มพื้นที่สีเขียว 50,000 ไร่ทั่วประเทศ ภายในปี 2573 รวมถึงพันธกิจของเซ็นทรัล รีเทล ในฐานะค้าปลีกแรกของไทยที่เป็นองค์กรต้นแบบเพื่อความยั่งยืน ภายใต้กลยุทธ์ “CRC ReNEW” ซึ่งประกอบด้วย Reduce Greenhouse Gases ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินธุรกิจ Navigate Well-being Society สร้างสังคมให้น่าอยู่ Eco-friendly Packagingใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ Waste Management การจัดการขยะมูลฝอย

(ซ้าย) เต้ย-จรินทร์พร จุนเกียรติ,เถลิงศักดิ์ เพ็ชรสุวรรณ,รวิศรา จิราธิวัฒน์ และ อสิตา วิมลไชยจิต

“ที่ผ่านมาทางห้างฯ มีโปรเจกท์เพื่อสิ่งแวดล้อมที่สำคัญและประสบความสำเร็จในการดำเนินการจนถึงปัจจุบันมากมาย เช่น Say No to Plastic Bags ที่สามารถงดการแจกถุงพลาสติกได้สำเร็จ 100% การสนับสนุนสินค้าที่มีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่าง Central Edition ที่รวบรวมผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสร้างสรรค์โดยชุมชนต่างๆ ในไทย พร้อมจับมือกับ 24 ไทยดีไซเนอร์รุ่นใหม่นำวัสดุเหลือใช้กลับมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ให้เกิดประโยชน์ ควบคู่กับการใช้ทักษะของคนในชุมชน เพื่อสร้างและกระจายรายได้สู่ชุมชน และล่าสุดกับโปรเจกท์ Organic Zone ในแผนกบิวตี้ที่ห้างเซ็นทรัลชิดลม ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของห้างฯ ในไทยที่สนับสนุนผลิตภัณฑ์ความงามที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง การประหยัดพลังงานขานรับกับเทรนด์การบริโภค-อุปโภคในห้างฯ อย่างที่จอดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าพร้อม EV Charger การติด Solar Rooftop และการใช้ไฟ LED เพื่อลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึง การตกแต่งห้างฯ ที่มุ่งเน้นใช้วัสดุท้องถิ่นและธรรมชาติเพื่อลดการใช้พลาสติกให้ได้มากที่สุด

อีกทั้ง แคมเปญ Recycling ต่างๆ ที่ช่วยลดแนวโน้มการเกิดปริมาณขยะ เช่นล่าสุดกับแคมเปญ Beauty Waste Corner Separation ที่ลูกค้าสามารถนำบรรจุภัณฑ์ความงามที่ใช้แล้วมาบริจาคเพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้งการ Recycle และแปรรูปเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งจะเริ่มในช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2566 นี้และโปรเจกท์สำคัญในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องในปีนี้กับ “CENTRAL / ROBINSON LOVE THE EARTH 2023” ที่ห้างฯ มุ่งมั่นในการเป็นเครือข่ายร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนคืนสมดุลให้กับสิ่งแวดล้อมด้วยสองมือของทุกคน เพื่อส่งต่อโลกในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดให้กับลูกหลานเราในอนาคต”

กิจกรรม Workshop DIY รักษ์โลก ภายในงาน

การจัดงานคิกออฟแคมเปญฯ ด้วยการจัดเสวนา “CENTRAL / ROBIN SON LOVE THE EARTH 2023 TALKS”ซึ่งได้รับเกียรติจาก พิชัย จิราธิวัฒน์กรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล และผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายวงการที่มาร่วมแชร์ประสบการณ์และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ได้แก่รวิศรา จิราธิวัฒน์ ประธานบริหารฝ่ายการตลาด ห้างเซ็นทรัลและห้างโรบินสันเถลิงศักดิ์ เพ็ชรสุวรรณ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อสิตา วิมลไชยจิต เจ้าของ Asita Eco Resort ฐาปนีย์ พัววรานุเคราะห์ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ล็อกซิทาน
ประเทศไทย ธีรชัย ศุภเมธีกูลวัฒน์ ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบ และผู้ก่อตั้งแบรนด์ Qualy พิไลภรณ์ นำศิริวิวัฒน์ Nameco Marketing Manager และ เต้ย-จรินทร์พร จุนเกียรติ นักแสดง / ผู้ร่วมก่อตั้ง EEC Thailand รวมทั้งยังได้รับเกียรติจาก รุ่งนิภา ศรีวิริยะเลิศกุลประธานบริหาร ฝ่ายบริหารสินค้ากลุ่มบ้าน แม่และเด็ก สเตฟาน จูเบิร์ทผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโสฝ่ายสื่อสารการตลาด ห้างเซ็นทรัลและห้างโรบินสัน ในเครือเซ็นทรัลรีเทลพร้อมด้วยลูกค้าคนสำคัญ นิดา ดารารัตน์กิตติคุณ โชติกันตะ กันต์สินี รุ่งอนันต์ชัยเทพิน พาราพิบูลย์ ร่วมงาน โดยมีอีกหนึ่งนักแสดงรักษ์โลก ท็อป-พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร รับหน้าที่พิธีกร (ซึ่งสามารถรับชม LIVE ย้อนหลังได้ที่ Facebook Fanpage และ Youtube: Central Department Store และRobinson Department Store)

คอดนตรีคลาสสิกห้ามพลาด ‘ลูเซิร์น ซิมโฟนี ออร์เคสตรา’ อุ่นเครื่องงาน มหกรรมศิลปะการแสดงและดนตรีนานาชาติกรุงเทพฯ

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/736111

คอดนตรีคลาสสิกห้ามพลาด ‘ลูเซิร์น ซิมโฟนี ออร์เคสตรา’  อุ่นเครื่องงาน มหกรรมศิลปะการแสดงและดนตรีนานาชาติกรุงเทพฯ

คอดนตรีคลาสสิกห้ามพลาด ‘ลูเซิร์น ซิมโฟนี ออร์เคสตรา’ อุ่นเครื่องงาน มหกรรมศิลปะการแสดงและดนตรีนานาชาติกรุงเทพฯ

วันศุกร์ ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2566, 06.00 น.

เตรียมพบกับการแสดงดนตรีระดับโลกที่กำลังจะเกิดขึ้นในประเทศไทยที่คอดนตรีคลาสสิกไม่ควรพลาดเฉลิมฉลอง 25 ปี งานมหกรรมศิลปะการแสดงและดนตรีนานาชาติกรุงเทพฯ (Bangkok’s 25th International Festival of Dance & Music)พร้อมเปิดม่านอุ่นเครื่องด้วยการแสดงจากวงออร์เคสตราที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศสวิตเซอร์แลนด์“ลูเซิร์น ซิมโฟนี ออร์เคสตรา”ที่ตั้งใจนำบทเพลงยิ่งใหญ่สำหรับไวโอลินบทเดียวของเบโธเฟน ไวโอลินคอนแชร์โต (Violin Concerto in D major, Op. 61)ที่แต่งขึ้นในปี ค.ศ.1805 ซึ่งเป็นปีก่อตั้งวงลูเซิร์นฯ พร้อมกับอีกหนึ่งบทเพลงของ เบโธเฟน ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดเพลงหนึ่งของโลก ซิมโฟนี หมายเลข 5 (Symphony No.5 in C minor, Op.67) ในชื่อการแสดง “Lucerne Symphony Orchestra : A Night with Beethoven”

ไฮไลท์สุดพิเศษของการแสดงครั้งนี้ คือการได้รับเกียรติจาก ออกุสติน ฮาเดลลิกซ์ (Augustin Hadelich) นักไวโอลินชั้นแนวหน้าที่ได้รับการยกย่องให้เป็นอัจฉริยะด้านไวโอลินระดับ Top3 ของโลก กับการแสดงเทคนิคอันเหนือชั้นและน้ำเสียงไวโอลินสุดตราตรึง พาผู้ฟังล่องลอยและบีบเค้นอารมณ์จนแทบหยุดหายใจโดยมี มิชาเอล ซานเดอร์ลิง(Michael Sanderling) วาทยกรระดับโลกชาวเยอรมัน ผู้มีประสบการณ์คุมวงออร์เคสตราระดับโลกมาแล้วมากมายนานกว่า 20 ปี ร่วมแสดงในฐานะผู้อำนวยเพลง (chief conductor) ของวงลูเซิร์น ซิมโฟนี ออร์เคสตราโดยงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานมหกรรมศิลปะการแสดงและดนตรีนานาชาติ กรุงเทพฯ ครั้งที่ 25ได้รับการสนับสนุนมาเป็นเวลายาวนานและแน่นแฟ้นจากพันธมิตรหลายภาคส่วนทั้งภาครัฐ และเอกชน ไม่ว่าจะเป็น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน), กระทรวงวัฒนธรรม, บริษัท แอ็กซ่า ประกันภัย, ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน), บีกริมม์,บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย,บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด(มหาชน), บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), บริษัท สิงห์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด, โรงแรมสวิสโฮเต็ล กรุงเทพฯ รัชดา, เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ และ
ไทย ยูเนี่ยน กรุ๊ป

“Lucerne Symphony Orchestra : A Night with Beethoven” จะพาผู้ชมเดินทางย้อนเวลากลับไปในปี 1805 เมื่อครั้งที่บทเพลง ไวโอลิน คอนแชร์โตโดย ลุดวิค ฟาน เบโธเฟนถือกำเนิดกับความยากลำบาก เนื่องจากบทเพลงนี้ใช้เวลาเกือบ 40 ปี กว่าบทเพลงนี้จะประสบความสำเร็จกับผู้ฟังด้วยความสามารถของนักไวโอลินชื่อดังของยุคนั้น ในปี 1808 เบโธเฟน เขียนบทเพลง ซิมโฟนี หมายเลข 5 เพื่อตั้งใจล้อเลียนผลงานที่ยังคงหลงเหลือของนักแต่งเพลงรุ่นก่อนอย่าง“ไฮเดินและโมสาร์ท” (Haydn and Mozart) นักเขียนนาม E.T.A. Hoffmann กล่าวถึงบทเพลงซิมโฟนี หมายเลข 5 ว่า “เขาคือศิลปินผู้เปิดประตูสู่โลกใหม่ บนอาณาจักร อันยิ่งใหญ่อย่างไร้ขอบเขต” ให้ลองจินตนาการว่าบทเพลงซิมโฟนีนั้นประหนึ่งความฝันในค่ำคืนที่เบโธเฟนทำให้เราพบกับความสยดสยอง ความกลัว ความเศร้าโศกและเจ็บปวดอย่างที่ไม่อาจจินตนาการได้ และแม้เราจะได้รับชัยชนะในตอนจบแต่ก็ไม่อาจสงบใจ เพราะคอร์ด C-majorสุดท้ายกลับโหมสรรพสิ่งรอบตัวให้มอดไหม้ สะท้อนดังก้องในโสตและติดอยู่ในห้วงคำนึง

เพียงจินตนาการว่าบทเพลงเหล่านี้จะถูกอำนวยเพลงโดย วาทยกรชื่อดังระดับโลก มิชาเอล ซานเดอร์ลิง ที่มีผลงานอำนวยเพลงกับวงออร์เคสตราชั้นนำของยุโรปมากมาย อาทิ เบอร์ลินฟิลฮาร์โมนิกและมิวนิกฟิลฮาร์โมนิก ฯลฯ ร่วมด้วยนักไวโอลินเจ้าของรางวัลแกรมมี่ออกุสติน ฮาเดลลิกซ์ ที่ได้รับการโหวตให้เป็น “Instrumentalist of the Year” ในค.ศ.2018 และเป็นหนึ่งในนักไวโอลินอันดับต้นของโลก โดยไวโอลินที่ใช้แสดง “Leduc, ex Szeryng” อายุกว่า 300 ปี ผลิตโดยนักสร้างไวโอลินระดับตำนาน Guarneri del Gesù ก็อยากจะเร่งให้ถึงวันแสดงจริงเพื่อซึมซับอรรถรสความพิเศษในครั้งนี้

สำหรับการแสดงอุ่นเครื่องชุดพิเศษ “Lucerne Symphony Orchestra A Night with Beethoven” เพื่อฉลอง 25 ปีมหกรรม สนับสนุนโดยสถานเอกอัครราชทูตสวิตเซอร์แลนด์ และ Institut auf dem Rosenberg จัดแสดงใน วันเสาร์ที่ 24 มิถุนายนนี้ เวลา 19.00 น. ณ หอประชุมใหญ่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย บัตรราคา7,500/6,000/4,500/ 3,000/1,800 บาท สำรองที่นั่งได้แล้ววันนี้ที่ www.thaiticketmajor.com/bangkokfestivals หรือจุดจำหน่าย ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ ทั้ง 14 สาขา ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
www.bangkokfestivals.com

แว่นตา Emporio Armani คอลเลคชั่น SS 2023 มุ่งสู่วัสดุชีวภาพ

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/736051

แว่นตา Emporio Armani คอลเลคชั่น SS 2023 มุ่งสู่วัสดุชีวภาพ

แว่นตา Emporio Armani คอลเลคชั่น SS 2023 มุ่งสู่วัสดุชีวภาพ

วันศุกร์ ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2566, 06.00 น.

ความมุ่งมั่นของ Emporio Armani ในการลดปริมาณวัสดุจากฟอสซิลยังคงดำเนินต่อไป กับคอลเลคชั่นแว่นตารุ่นใหม่ล่าสุด ประจำฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อนปี 2023 ที่ผลิตจากวัสดุอะซิเตทชีวภาพ ซึ่งเป็นวัสดุที่มีปริมาณคาร์บอนจากชีวภาพอย่างน้อย 54% มาพร้อมบรรจุภัณฑ์พิเศษที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิล ที่มีส่วนประกอบจากโพลีเอสเตอร์ มีทั้งหมด 4 รุ่น โดยมีแว่นตากันแดดและแว่นสายตาอย่างละ 2 รุ่น ดีไซน์โดดเด่นแบบร่วมสมัย ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความสนใจของแบรนด์ต่อประเด็นการปกป้องสิ่งแวดล้อมที่ละเอียดอ่อน

แว่นตากันแดดสำหรับสุภาพบุรุษ โครงแว่นผลิตจากวัสดุอะซิเตทจากชีวภาพ (มีปริมาณคาร์บอนชีวภาพอย่างน้อย 54%) พร้อมเลนส์ที่เข้าชุดกันวัสดุไนลอนไฟเบอร์ซึ่งมีส่วนผสมจากวัสดุชีวภาพ (มีปริมาณคาร์บอนชีวภาพ 41%) โดยดีไซน์กรอบทรงสี่เหลี่ยมมอบลุคแมสคิวลิน กรอบด้านหน้าทรงตรงพร้อมสะพานแว่นแบบคู่และเลนส์ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทำให้หวนนึกถึงแว่นตาทรงนักบินที่มีความร่วมสมัย แว่นตารุ่นนี้วางจำหน่ายในรุ่นกรอบสีเทาใสมาพร้อมเลนส์สีเทาเข้ม และในรุ่นกรอบสีเหลืองฮาวาน่ามาพร้อมเลนส์โพลาไรซ์ สีน้ำตาล

แว่นตากันแดดสำหรับสุภาพสตรีทรงโอเวอร์ไซส์ ผลิตจากวัสดุอะซิเตทชีวภาพ (มีปริมาณคาร์บอนชีวภาพอย่างน้อย 54%) กรอบด้านหน้าดีไซน์ทรง cat-eye ตัดกับขาแว่นวัสดุไนลอนไฟเบอร์ที่ผลิตจากวัสดุชีวภาพ (มีปริมาณ คาร์บอนชีวภาพ 59%) มาในลวดลายโซ่พร้อมประดับด้วยโลโก้นกอินทรีวัสดุโลหะ กรอบแว่นรุ่นนี้เป็นผิวเคลือบมัน วางจำหน่ายในสองรุ่น คือ กรอบแว่นสีเหลืองฮาวาน่ามาพร้อมขาแว่นสีดำและเลนส์สีน้ำตาลไล่ระดับ และในรุ่นกรอบแว่นสีดำมาพร้อมขาแว่นและเลนส์ไล่ระดับสีเทาควันบุหรี่

แว่นสายตาสำหรับสุภาพบุรุษ ทรงสี่เหลี่ยมผลิตจากวัสดุอะซิเตทชีวภาพ (มีปริมาณคาร์บอนจากชีวภาพอย่างน้อย 54%) พร้อมการพิมพ์โลโก้ Emporio Armani บริเวณแกนโลหะ ความคลาสสิกเหนือกาลเวลา คือความพิเศษของกรอบแว่นนี้ ด้วยสีที่ตัดกันของกรอบด้านหน้าและขาแว่นสีตัดกัน มีวางจำหน่ายในรุ่นกรอบสีดำพร้อมขาแว่นสีเทาใส และในรุ่นกรอบสีเหลืองฮาวาน่าพร้อมขาแว่นสีน้ำตาลใส

แว่นสายตาสุภาพสตรี กรอบแว่นทรง cat-eye บริเวณกรอบด้านหน้าผลิตจากวัสดุอะซิเตทชีวภาพ (มีปริมาณคาร์บอนชีวภาพอย่างน้อย 54%) ขาแว่นผลิตจากวัสดุไนลอน ไฟเบอร์ซึ่งมีส่วนผสมจากวัสดุชีวภาพ (มีส่วนประกอบของสารอินทรีย์ 59%) มาพร้อมการออกแบบสายโซ่สุดโดดเด่น มีวงแหวนบริเวณกลางข้อต่อวัสดุโลหะเป็นรูปนกอินทรี ประดับโลโก้ Emporio Armani มีวางจำหน่ายในสองรุ่นแบบเคลือบเงา ได้แก่ ในรุ่นกรอบสีดำและในรุ่นกรอบสีเหลืองฮาวาน่ามาพร้อมขาแว่นสีดำ