ออสเตรเลียลั่นปราบปราม “เฮทสปีช” หลังร่วมอำลา “มาทิลดา” เหยื่อเด็กเหตุยิงหาดบอนได

ออสเตรเลียลั่นปราบปราม "เฮทสปีช" หลังร่วมอำลา "มาทิลดา" เหยื่อเด็กเหตุยิงหาดบอนได

18 ธ.ค. 2568 13:11 น.

ออสเตรเลียลั่นปราบปราม “เฮทสปีช” หลังร่วมอำลา “มาทิลดา” เหยื่อเด็กเหตุยิงหาดบอนได

นายกรัฐมนตรีแอนโทนี อัลบาเนซี ของออสเตรเลีย ให้คำมั่นว่าจะเดินหน้าปราบปรามอาชญากรรมจากความเกลียดชังอย่างจริงจัง ขณะที่ชาวออสเตรเลียจำนวนมากได้ร่วมพิธีไว้อาลัยและส่งดวงวิญญาณของ “มาทิลดา” เด็กหญิงวัย 10 ปี ซึ่งเป็นเหยื่อที่อายุน้อยที่สุดจากเหตุการณ์กราดยิงกลางงานเทศกาลฮานุกกะห์ ที่ชายหาดบอนได ท่ามกลางกระแสความโกรธแค้นของประชาชนต่อปัญหาการเหยียดเชื้อชาติชาวยิวที่พุ่งสูงขึ้น

ชาวออสเตรเลียจำนวนมากได้ร่วมพิธีไว้อาลัยและส่งดวงวิญญาณของ “มาทิลดา” เด็กหญิงวัย 10 ปี ซึ่งเป็นเหยื่อที่อายุน้อยที่สุดจากเหตุการณ์กราดยิงสะเทือนขวัญกลางงานเทศกาลฮานุกกะห์ ที่ชายหาดบอนได โดยบรรยากาศภายในงานศพที่จัดขึ้นทางตะวันออกของนครซิดนีย์เต็มไปด้วยความโศกเศร้า หีบศพสีขาวขนาดเล็กของมาทิลดาถูกประดับด้วยตุ๊กตาผึ้งสีเหลือง ซึ่งมาจากชื่อกลางของเธอคือ “Bee” โดยผู้มาร่วมงานต่างพากันติดสติกเกอร์รูปผึ้งและนำลูกโป่งสีเหลืองมาเพื่อระลึกถึงเด็กหญิงผู้ถูกจดจำในฐานะ “รังสีแห่งแสงอาทิตย์” ผู้รักสัตว์และการเต้นรำ

นายกรัฐมนตรีแอนโธนี อัลบาเนซี ได้แถลงข่าวแสดงความเสียใจและยืนยันว่ารัฐบาลเตรียมเสนอมาตราการทางกฎหมายที่เข้มงวดขึ้น เพื่อจัดการกับ Hate Speech และความรุนแรง โดยมีประเด็นหลักคือการเพิ่มโทษทางอาญาสำหรับผู้ที่ส่งเสริมความเกลียดชังและความรุนแรง การปรับปรุงกฎหมายให้สามารถยกเลิกหรือปฏิเสธวีซ่าบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคมได้ง่ายขึ้น และการกวาดล้างองค์กรสุดโต่ง ที่มุ่งเป้าไปที่กลุ่มที่มีผู้นำเกี่ยวข้องกับการสร้างความเกลียดชัง

“ชาวออสเตรเลียกำลังโกรธแค้น ผมเองก็โกรธแค้นเช่นกัน ชัดเจนว่าเราต้องทำมากกว่านี้เพื่อกำจัดสิ่งชั่วร้ายนี้ให้หมดไป” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ในส่วนของคดีตำรวจระบุว่าผู้ก่อเหตุคือ นายซาจิด อัคราม วัย 50 ปี ซึ่งถูกวิสามัญในที่เกิดเหตุ และนายนาวีด อัคราม อายุ 24 ปี บุตรชาย ซึ่งขณะนี้ถูกตั้งข้อหาหนักถึง 59 กระทง รวมถึงข้อหาฆาตกรรมและก่อการร้าย โดยศาลได้เลื่อนการพิจารณาคดีไปจนถึงเดือนเมษายน 2026

ผลการสืบสวนเบื้องต้นพบว่า สองพ่อลูกคู่นี้อาจได้รับแรงบันดาลใจจากกลุ่มรัฐอิสลาม และมีการตรวจสอบความเชื่อมโยงกับกลุ่มติดอาวุธในประเทศฟิลิปปินส์ หลังจากพบข้อมูลว่าทั้งคู่เคยเดินทางไปยังฟิลิปปินส์เป็นเวลาหนึ่งเดือนเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ทางสภาความมั่นคงแห่งชาติของฟิลิปปินส์ยืนยันว่ายังไม่พบหลักฐานว่าทั้งคู่ได้รับการฝึกอาวุธในประเทศ

แม้รัฐบาลจะพยายามควบคุมสถานการณ์ แต่เหตุการณ์เหยียดเชื้อชาติยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดตำรวจซิดนีย์เพิ่งจับกุมชายวัย 19 ปีที่ข่มขู่และทำสัญลักษณ์รุนแรงใส่ชาวยิวบนเครื่องบินระหว่างเดินทางจากบาหลีมายังซิดนีย์ ซึ่งตอกย้ำถึงความเปราะบางของความขัดแย้งทางเชื้อชาติในออสเตรเลียที่พุ่งสูงขึ้นนับตั้งแต่เกิดสงครามในฉนวนกาซา.

ที่มา Reuters

ทรัมป์โวเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังพุ่ง โยนความผิดค่าครองชีพสูงให้ไบเดน

ทรัมป์โวเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังพุ่ง โยนความผิดค่าครองชีพสูงให้ไบเดน

18 ธ.ค. 2568 11:56 น.

ทรัมป์โวเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังพุ่ง โยนความผิดค่าครองชีพสูงให้ไบเดน

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวสุนทรพจน์ถึงชาวอเมริกัน ให้คำมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังมุ่งสู่การขยายตัวครั้งใหญ่ พร้อมกล่าวโทษนายโจ ไบเดน อดีตประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาราคาสินค้าที่พุ่งสูง พร้อมประกาศแจกเช็คโบนัส “Warrior Dividend” ให้ทหารคนละ 1,776 ดอลลาร์ ท่ามกลางคะแนนนิยมที่ดิ่งเหวจากปัญหาสินค้าราคาแพง

ทรัมป์ วัย 79 ปี กล่าวจากทำเนียบขาวในโอกาสครบหนึ่งปีของการกลับมาดำรงตำแหน่งว่า เขา “รับช่วงปัญหามหาศาลมาแก้ไข” และยืนยันว่าราคาน้ำมันและสินค้าอุปโภคบริโภคที่ประชาชนกังวลนั้น “กำลังลดลงอย่างรวดเร็ว” แม้จะยอมรับว่ายังไม่จบสิ้น แต่ย้ำว่าความคืบหน้ามีให้เห็นชัดเจน

ท่ามกลางความประหลาดใจ ทรัมป์ประกาศมอบ “เงินปันผลนักรบ” ให้กำลังพลสหรัฐ 1.45 ล้านนาย คนละ 1,776 ดอลลาร์สหรัฐ  (ราว 55,909 บาท) ก่อนเทศกาลคริสต์มาส โดยใช้งบจากรายได้ภาษีศุลกากร พร้อมระบุว่าตัวเลขดังกล่าวเป็นการยกย่องปี ค.ศ.1776 ซึ่งเป็นปีสถาปนาประเทศ และสหรัฐฯ จะฉลองครบรอบ 250 ปีในปีหน้า

ผู้นำสหรัฐยังย้ำว่า ปี 2026 สหรัฐจะเผชิญ “การเติบโตทางเศรษฐกิจที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อน” ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่สหรัฐร่วมเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกกับแคนาดาและเม็กซิโก อย่างไรก็ดี แม้ทำเนียบขาวจะโปรโมตสุนทรพจน์นี้ว่าเป็นการวางทิศทางเศรษฐกิจตลอดวาระที่สอง แต่เนื้อหาส่วนใหญ่ยังคงมุ่งโจมตีคู่ขัดแย้งทางการเมือง โดยเฉพาะนายโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต และผู้อพยพ ที่ทรัมป์กล่าวหาว่าแย่งงานชาวอเมริกัน

ฝ่ายเดโมแครตตอบโต้ทันที โดยวุฒิสมาชิกชัค ชูเมอร์ ระบุว่า ทรัมป์ “อยู่ในโลกที่ตัดขาดจากความเป็นจริงของคนอเมริกัน” พร้อมชี้ว่าข้อเท็จจริงคือราคาสินค้ายังเพิ่มขึ้น อัตราว่างงานสูงขึ้น และไม่เห็นสัญญาณยุติ

สุนทรพจน์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังปีที่ทรัมป์ใช้อำนาจประธานาธิบดีอย่างเข้มข้น ตั้งแต่การปราบปรามผู้อพยพ ไปจนถึงการเล่นงานฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง

ผลสำรวจหลายสำนักสะท้อนว่า ประเด็นที่ชาวอเมริกันกังวลมากที่สุดคือค่าครองชีพที่สูงขึ้น ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่ามีส่วนมาจากนโยบายภาษีศุลกากรต่อคู่ค้าทั่วโลกของทรัมป์ ผลโพล PBS News/NPR/Marist ที่เผยแพร่วันเดียวกัน ระบุว่าทรัมป์ได้คะแนนนิยมด้านการจัดการเศรษฐกิจต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ โดย 57% ไม่เห็นด้วย และกังวลค่าครองชีพ ขณะที่โพล YouGov ชี้ว่า 52% มองว่าเศรษฐกิจแย่ลงภายใต้การนำของเขา

ทรัมป์ยังเผชิญเสียงวิจารณ์จากฐานเสียง MAGA ว่าให้ความสำคัญกับการทูตต่างประเทศ เช่น ยูเครน กาซา และความตึงเครียดกับเวเนซุเอลา มากกว่าปัญหาในประเทศ แม้สุนทรพจน์ครั้งนี้จะไม่กล่าวถึงยูเครนหรือเวเนซุเอลา แต่เขาอ้างผลงานเรื่องการหยุดยิงในกาซา การโจมตีโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน และการทำสงครามกับเครือข่ายค้ายาเสพติด

สัญญาณการปรับยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจเริ่มชัดขึ้น เมื่อการเลือกตั้งกลางเทอมปีหน้าใกล้เข้ามา หลังรีพับลิกันพ่ายแพ้หนักในการเลือกตั้งท้องถิ่นสำคัญเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ขณะที่ทรัมป์เร่งเดินสายภายในประเทศเพื่อสื่อสารนโยบายเศรษฐกิจ โดยสัปดาห์ก่อนเขาสัญญาที่เพนซิลเวเนียว่าจะ “ทำให้อเมริกามีค่าครองชีพที่เอื้อมถึงอีกครั้ง” และมีกำหนดจัดเวทีปราศรัยในนอร์ทแคโรไลนาในวันศุกร์นี้

ด้านรองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ ซึ่งถูกจับตาในฐานะผู้สืบทอดทางการเมืองในปี 2028 ก็ออกมาเรียกร้องให้ประชาชนอดทนต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในช่วงเปลี่ยนผ่าน.

ที่มา AFP

สหรัฐฯ อนุมัติขายอาวุธให้ไต้หวัน ล็อตใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ มูลค่ากว่า 3.49 แสนล้านบาท

สหรัฐฯ อนุมัติขายอาวุธให้ไต้หวัน ล็อตใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ มูลค่ากว่า 3.49 แสนล้านบาท

18 ธ.ค. 2568 11:06 น.

สหรัฐฯ อนุมัติขายอาวุธให้ไต้หวัน ล็อตใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ มูลค่ากว่า 3.49 แสนล้านบาท

รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศอนุมัติการขายอาวุธให้แก่ไต้หวันอย่างเป็นทางการ โดยมีมูลค่ารวมสูงถึง 1.11 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.49 แสนล้านบาท) ซึ่งถือเป็นแพ็กเกจความช่วยเหลือทางทหารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่สหรัฐฯ เคยมีมา เพื่อตอบโต้การขยายอิทธิพลและการกดดันทางทหารจากจีน

กระทรวงกลาโหมไต้หวันระบุว่า อาวุธสำคัญในรายการจัดซื้อครั้งนี้มีทั้งหมด 8 รายการหลัก ที่มุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพในการป้องปราม และการทำสงครามอสมมาตร (Asymmetric Warfare) ได้แก่ ระบบจรวดหลายลำกล้อง HIMARS ซึ่งพิสูจน์ประสิทธิภาพมาแล้วในสมรภูมิยูเครน, ปืนใหญ่ขับเคลื่อนด้วยตัวเอง, ขีปนาวุธต่อต้านรถถัง Javelin, โดรนกามิกาเซ่ รุ่น Altius, อะไหล่และอุปกรณ์สนับสนุนอื่นๆ สำหรับยุทโธปกรณ์เดิมที่มีอยู่

เพนตากอนระบุในแถลงการณ์ว่า การขายอาวุธครั้งนี้เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของสหรัฐฯ โดยจะช่วยให้ไต้หวันสามารถปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัย และสร้าง “ขีดความสามารถในการป้องกันตนเองที่น่าเชื่อถือ”

ขณะที่โฆษกสำนักประธานาธิบดีไต้หวัน แถลงขอบคุณสหรัฐฯ พร้อมย้ำว่าไต้หวันจะเดินหน้าปฏิรูปกองทัพและเสริมสร้างความเข้มแข็งของสังคมในการป้องกันตนเอง เพื่อปกป้องสันติภาพผ่านความแข็งแกร่ง 

การประกาศครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่นายหลิน เจียหลง รัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวัน เดินทางเยือนสหรัฐฯอย่างลับๆ เมื่อสัปดาห์ก่อน และสอดคล้องกับนโยบายของประธานาธิบดีไล่ ชิงเต๋อ ที่เพิ่งประกาศงบประมาณป้องกันประเทศเพิ่มเติมสูงถึง 4 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยยืนยันว่า “เรื่องความมั่นคงของชาติไม่มีพื้นที่สำหรับการประนีประนอม”

แม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะมีแผนเดินทางไปเยือนประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนในปีหน้า จนทำให้เกิดความกังวลว่าความสัมพันธ์สหรัฐฯ-ไต้หวันอาจสั่นคลอน แต่การอนุมัติอาวุธล็อตใหญ่นี้สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลทรัมป์สมัยที่ 2 ตั้งเป้าที่จะรักษาสมดุลอำนาจในภูมิภาค และกดดันให้พันธมิตรต้องพึ่งพาตนเองมากขึ้นตามนโยบายเดิมของเขา

ปัจจุบัน แผนการขายอาวุธนี้อยู่ในขั้นตอนการแจ้งต่อสภาคองเกรส ซึ่งคาดว่าจะผ่านความเห็นชอบได้อย่างราบรื่น เนื่องจากไต้หวันได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากทั้งสองพรรครัฐบาลในสหรัฐฯ.

ที่มา Reuters

รัฐบาลทหารเมียนมาปฏิเสธข่าว “อองซาน ซูจี เสียชีวิต” ย้ำยังมีชีวิต แต่ไร้หลักฐานยืนยัน

รัฐบาลทหารเมียนมาปฏิเสธข่าว “อองซาน ซูจี เสียชีวิต” ย้ำยังมีชีวิต แต่ไร้หลักฐานยืนยัน

18 ธ.ค. 2568 10:58 น.

รัฐบาลทหารเมียนมาปฏิเสธข่าว “อองซาน ซูจี เสียชีวิต” ย้ำยังมีชีวิต แต่ไร้หลักฐานยืนยัน

รัฐบาลทหารเมียนมาปฏิเสธกระแสข่าว “อองซาน ซูจี” อาจเสียชีวิต ยืนยันยังมีสุขภาพดี ท่ามกลางเสียงกังขาจากนักสิทธิมนุษยชนและฝ่ายค้าน ชี้ถูกกักขังตัดขาดโลกภายนอกกว่า 2 ปี ไร้หลักฐานพิสูจน์

วันที่ 17 ธันวาคม 2568 รัฐบาลทหารเมียนมาออกแถลงการณ์ปฏิเสธกระแสข่าวนางอองซาน ซูจี อดีตผู้นำรัฐบาลพลเรือนและเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ อาจเสียชีวิตในระหว่างถูกควบคุมตัว โดยยืนยันว่าเธอยังมีชีวิตและมีสุขภาพดี  อย่างไรก็ตามแถลงการณ์ฉบับนี้ไม่ได้แสดงหลักฐานหรือข้อมูลใดๆ ประกอบคำกล่าวอ้าง

คำชี้แจงของรัฐบาลทหารมีขึ้นหลังนายคิม แอริส บุตรชายของนางซูจี แสดงความหวั่นวิตกว่า มารดาอาจเสียชีวิตไปแล้ว เนื่องจากครอบครัวไม่ได้รับการติดต่อหรือพบตัวเธอมานานกว่า 2 ปี โดยระบุว่า ซูจีมีปัญหาสุขภาพเรื้อรังหลายด้าน ทั้งหัวใจ กระดูก และเหงือก และที่ผ่านมาไม่เคยได้รับอนุญาตให้ติดต่อกับทีมกฎหมายหรือสมาชิกครอบครัวเลย พร้อมย้ำว่าตราบใดที่ไม่มีใครได้เห็นตัวเธอจริงๆ ก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่

ทางด้านองค์กรสิทธิมนุษยชนและฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารตั้งคำถามว่า หากซูจียังมีสุขภาพดีจริง รัฐบาลควรอนุญาตให้ครอบครัว หรือบุคคลที่น่าเชื่อถือ เช่น เจ้าหน้าที่สิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ เข้าพบเพื่อคลายความกังวลของสาธารณชน

ขณะเดียวกันนายอู ตุน เมียะ แกนนำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือเอ็นแอลดี ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา ไม่มีหลักฐานที่ตรวจสอบได้เกี่ยวกับสถานที่ควบคุมตัวหรือสภาพของซูจี โดยกล่าวหาว่ารัฐบาลทหารใช้เพียงการโฆษณาชวนเชื่อ ปล่อยให้ข่าวลือแพร่สะพัด และควรออกมาแสดงความจริงอย่างชัดเจน

โดยที่ผ่านมา ภาพสาธารณะล่าสุดของซูจี คือภาพกล้องวงจรปิดเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2565 ระหว่างถูกนำตัวขึ้นศาล ส่วนการพบปะครั้งล่าสุดที่มีการยืนยัน คือการพบกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศไทย เมื่อเดือนกรกฎาคม 2566 เป็นเวลาราว 90 นาที

ทั้งนี้ นางอองซาน ซูจี ถูกควบคุมตัวตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 และถูกพิพากษาจำคุกรวม 33 ปี จาก 19 ข้อหา ซึ่งนานาชาติมองว่ามีแรงจูงใจทางการเมือง โดยนับตั้งแต่นั้น เธอถูกควบคุมตัวโดยไม่ให้ติดต่อกับโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง.

ที่มา Irrawaddy

นายกฯ ฟินแลนด์ขอโทษชาติเอเชีย เซ่นปมเหยียดเชื้อชาติ “ตาตี่” นางงาม-ส.ส.ขวาจัดลามวิกฤต

นายกฯ ฟินแลนด์ขอโทษชาติเอเชีย เซ่นปมเหยียดเชื้อชาติ “ตาตี่” นางงาม-ส.ส.ขวาจัดลามวิกฤต

18 ธ.ค. 2568 10:14 น.

นายกฯ ฟินแลนด์ขอโทษชาติเอเชีย เซ่นปมเหยียดเชื้อชาติ “ตาตี่” นางงาม-ส.ส.ขวาจัดลามวิกฤต

นายกรัฐมนตรีฟินแลนด์แถลงขอโทษประเทศในเอเชีย หลังนางงาม “มิสฟินแลนด์” และสมาชิกพรรคขวาจัดโพสต์ภาพ “ดึงหางตาเฉียง” ล้อเลียนคนเอเชีย จุดกระแสวิจารณ์รุนแรง หวั่นกระทบภาพลักษณ์ประเทศและธุรกิจการบิน

วันที่ 18 ธันวาคม 2568 สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า นายเปตเตรี ออร์โป นายกรัฐมนตรีฟินแลนด์ ออกแถลงขอโทษต่อประเทศในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น หลังเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากกรณีภาพและโพสต์ที่ถูกมองว่าเหยียดเชื้อชาติของนางงาม มิสฟินแลนด์ และสมาชิกพรรค ฟินส์ ปาร์ตี้ พรรคขวาจัดซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล

ก่อนหน้านี้ สื่อฟินแลนด์ขนานนามว่าเป็นคดีอื้อฉาว “ตาเฉียง” (Slanted Eyes) หรือการล้อเลียนดวงตาคนเอเชีย โดยนายกฯ ออร์โป ผู้นำพรรคพันธมิตรแห่งชาติ (National Coalition Party) ซึ่งนำรัฐบาลผสม 4 พรรค ได้ออกแถลงการณ์ผ่านสถานทูตฟินแลนด์ในจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ระบุว่า ขอโทษอย่างจริงใจต่อประเทศในเอเชีย พร้อมย้ำว่า การกระทำที่ออกมาไม่ได้สะท้อนคุณค่าความเท่าเทียมและการไม่แบ่งแยกของฟินแลนด์

นายกรัฐมนตรีฟินแลนด์ระบุว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ และยืนยันต่อมิตรประเทศว่า ฟินแลนด์จะดำเนินการอย่างจริงจังกับปัญหานี้

โดยต้นตอของกระแสดรามาเริ่มขึ้นเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา หลังนางงาม มิสฟินแลนด์ ถูกเผยแพร่ภาพในโซเชียลมีเดีย ขณะดึงหางตาพร้อมคำบรรยายว่า “กำลังกินข้าวกับคนจีน” แม้เจ้าตัวจะออกมาขอโทษและอ้างว่าไม่ได้ตั้งใจดูหมิ่น แต่สุดท้ายก็ถูกปลดจากตำแหน่ง และต่อมา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2 คน และสมาชิกรัฐสภายุโรปอีก 1 คน จากพรรคฟินส์ ปาร์ตี้ ได้โพสต์ภาพล้อเลียนในลักษณะเดียวกัน ยิ่งจุดกระแสวิจารณ์ให้ลุกลาม

ขณะที่สายการบินแห่งชาติ ฟินแอร์ เปิดเผยว่า ภาพที่ออกมาได้สร้างกระแสต่อต้านในตลาดเอเชีย ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของเที่ยวบินระยะไกล ขณะที่พรรคฟินส์ ปาร์ตี้ เตรียมหารือเรื่องนี้ในการประชุมพรรคประจำสัปดาห์.

ที่มา Reuters

กรุงนิวเดลีคุมเข้ม จำกัดรถยนต์–ลดคนเข้าออฟฟิศ หวังสกัดวิกฤตฝุ่นพิษรุนแรง

กรุงนิวเดลีคุมเข้ม จำกัดรถยนต์–ลดคนเข้าออฟฟิศ หวังสกัดวิกฤตฝุ่นพิษรุนแรง

18 ธ.ค. 2568 09:01 น.

กรุงนิวเดลีคุมเข้ม จำกัดรถยนต์–ลดคนเข้าออฟฟิศ หวังสกัดวิกฤตฝุ่นพิษรุนแรง

กรุงนิวเดลีของอินเดีย ออกมาตรการเข้มรับมือปัญหามลพิษทางอากาศและฝุ่นพิษ PM2.5 ที่ทวีความรุนแรง ห้ามรถยนต์ที่ไม่ผ่านมาตรฐานเข้าพื้นที่ พร้อมจำกัดการเข้าออฟฟิศของทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชน

ทางการกรุงนิวเดลีของอินเดีย ออกมาตรการคุมเข้มเมื่อวันพุธที่ 17 ธันวาคม เพื่อรับมือกับปัญหามลพิษทางอากาศและฝุ่นพิษ PM2.5 ที่ทวีความรุนแรง โดยประกาศห้ามรถยนต์ที่ไม่ผ่านมาตรฐานควบคุมการปล่อยมลพิษครั้งล่าสุดเข้าพื้นที่ พร้อมจำกัดการเข้าออฟฟิศของทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชน

โดยดัชนีคุณภาพอากาศ (Air Quality Index – AQI) ในเขตกรุงนิวเดลี ซึ่งมีประชากรราว 30 ล้านคน อยู่ในระดับรุนแรงมาก (Severe) ต่อเนื่องหลายวัน และหลายครั้งพุ่งเกินระดับ 450 ทั้งที่ระดับที่อยู่ในเกณฑ์ดีควรต่ำกว่า 50 เท่านั้น สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงจากหมอกควันบางๆ ในหลายพื้นที่ ส่งผลให้ทัศนวิสัยลดลง กระทบการเดินทางของเที่ยวบินและรถไฟ

สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ คณะกรรมาธิการบริหารจัดการคุณภาพอากาศ ตัดสินใจบังคับใช้ แผนรับมือมลพิษขั้นที่ 4 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของ Graded Response Action Plan (GRAP) ครอบคลุมกรุงนิวเดลีและพื้นที่โดยรอบ ตั้งแต่วันเสาร์ที่ผ่านมา

โดยมาตรการดังกล่าวรวมถึงห้ามรถบรรทุกดีเซลรุ่นเก่าเข้าพื้นที่เมือง, ระงับงานก่อสร้างทุกประเภท รวมถึงโครงการภาครัฐ, ใช้ระบบการเรียนแบบผสม เพื่อลดการเดินทาง

นายกาปิล มิชรา รัฐมนตรีในรัฐบาลท้องถิ่นกรุงนิวเดลี แถลงว่าตั้งแต่วันพุธนี้เป็นต้นไป สำนักงานทั้งภาครัฐและเอกชนจะทำงานแบบเข้าออฟฟิศเพียง 50% ส่วนที่เหลือให้ทำงานจากที่บ้าน เพื่อลดการปล่อยมลพิษจากการเดินทาง

นอกจากนี้ รัฐบาลจะจ่ายเงินชดเชย 10,000 รูปี ให้แก่แรงงานก่อสร้างที่ขึ้นทะเบียนไว้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานรายวัน ที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งหยุดงานก่อสร้าง

ก่อนหน้านี้หนึ่งวัน ทางการกรุงนิวเดลีได้เริ่มบังคับใช้มาตรการควบคุมรถยนต์อย่างเข้มงวด โดยห้ามรถที่ไม่ผ่านมาตรฐานการปล่อยมลพิษล่าสุดวิ่งบนท้องถนนในเมือง

ด้านนายมันจินเดอร์ สิงห์ เซอร์ซา รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมกรุงเดลี กล่าวว่ารัฐบาลมีความมุ่งมั่นอย่างจริงจังในการแก้ปัญหาอากาศเป็นพิษ โดยรัฐบาลมุ่งมั่นที่จะทำให้อากาศในเดลีสะอาดขึ้น และจะดำเนินมาตรการที่เข้มงวดอย่างต่อเนื่องในช่วงวันข้างหน้า

ทั้งนี้ มลพิษทางอากาศในกรุงเดลีถือเป็นปัญหาซ้ำซากในช่วงฤดูหนาวของทุกปี เมื่ออากาศเย็นและหนาแน่นกักเก็บมลพิษจากรถยนต์ ไซต์ก่อสร้าง และการเผาพื้นที่เกษตรในรัฐใกล้เคียง ส่งผลให้ระดับฝุ่นพิษพุ่งสูงติดอันดับรุนแรงที่สุดในโลก และสร้างความเสี่ยงร้ายแรงต่อสุขภาพระบบทางเดินหายใจของประชาชน

พื้นที่ที่มีประชากรกว่า 30 ล้านคนแห่งนี้ มักถูกปกคลุมด้วยหมอกควันหนาทึบ โดยค่าดัชนีคุณภาพอากาศแตะระดับกว่า 450 เป็นประจำ ขณะที่ระดับ AQI ต่ำกว่า 50 เท่านั้นที่ถือว่าอยู่ในเกณฑ์อากาศดี.

ที่มา : channelnewsasia

คลิกอ่านข่าวเกี่ยวกับ มลพิษทางอากาศ

ทหารกัมพูชาใช้สื่อต่างชาติเป็นเครื่องมือ อ้างไทยใช้แก๊สพิษ ทำให้ล้มป่วยจนต้องเข้ารพ.

ทหารกัมพูชาใช้สื่อต่างชาติเป็นเครื่องมือ อ้างไทยใช้แก๊สพิษ ทำให้ล้มป่วยจนต้องเข้ารพ.

18 ธ.ค. 2568 08:16 น.

ทหารกัมพูชาใช้สื่อต่างชาติเป็นเครื่องมือ อ้างไทยใช้แก๊สพิษ ทำให้ล้มป่วยจนต้องเข้ารพ.

ทหารกัมพูชา ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์ส อ้างว่าเครื่องบินรบของไทยใช้แก๊สพิษโจมตี จนทำให้ตัวเองหายใจไม่ออกและต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล ด้านไทยย้ำชัดไม่เคยใช้อาวุธเคมีในการโจมตี

นายกุน ยง ทหารกัมพูชา ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ส ขณะนอนรักษาตัวอยู่บนเตียงคนไข้ โดยมีภรรยานั่งอยู่ข้าง ๆ ฃโดยกล่าวอ้างว่าเขามีอาการหายใจติดขัด เหมือนกำลังจะขาดอากาศหายใจ ภายหลังเครื่องบินของไทยปฏิบัติการบินโจมตีในพื้นที่

โดยรอยเตอร์สรายงานว่าในโรงพยาบาลในจังหวัดบันเตียเมียนเจย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของกัมพูชา ทหารและตำรวจหลายรายต่างอ้างว่า พวกเขาประสบปัญหาระบบทางเดินหายใจ หลังจากเครื่องบินของไทยโปรยสิ่งที่พวกเขาอ้างว่าเป็นของเหลวมีพิษ

ก่อนหน้านี้ กระทรวงกลาโหมกัมพูชาออกแถลงการณ์กล่าวอ้างเกือบทุกวันว่า กองทัพไทยใช้แก๊สพิษ ในการสู้รบ โดยล่าสุดเมื่อวันพุธที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมา ระบุว่ามีการใช้สารดังกล่าวในหมู่บ้านที่นายกุน ยง ประจำการอยู่ด้วย

ในแถลงการณ์ กระทรวงกลาโหมกัมพูชาระบุว่า การใช้แก๊ส รวมถึงยุทธวิธีอื่น ๆ ลักษณะนี้ ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ทางกระทรวงไม่ได้ระบุว่าเป็นแก๊สชนิดใด ไม่ได้นำเสนอหลักฐานประกอบ และไม่ได้ระบุว่าได้ยื่นประท้วงอย่างเป็นทางการต่อองค์กรระหว่างประเทศหรือไม่ ขณะที่โฆษกของกระทรวงกลาโหมและรัฐบาลกัมพูชาไม่รับสายโทรศัพท์ของผู้สื่อข่าวรอยเตอร์สที่พยายามติดต่อเพื่อขอความเห็นเพิ่มเติม ทางสำนักข่าวรอยเตอร์สจึงระบุว่า ไม่สามารถตรวจสอบหรือยืนยันคำกล่าวอ้างดังกล่าวได้อย่างอิสระ

ขณะที่โฆษกกองทัพอากาศไทย พลอากาศโท จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์สว่า กองทัพอากาศไทย ไม่เคยใช้หรือมีการใช้อาวุธเคมีแต่อย่างใด และระบุว่ารายงานที่กล่าวอ้างเช่นนั้นเป็นข่าวปลอม ที่มีเป้าหมายเพื่อบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของการปฏิบัติการทางทหารของไทย

“หากเป็นอาวุธเคมีจริง ผู้ที่ได้รับผลกระทบคงไม่ได้มีเพียงอาการหายใจติดขัด แต่คงเสียชีวิตไปแล้ว” เขากล่าว

ทั้งนี้ นับตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ไทยและกัมพูชาตกอยู่ในสถานการณ์ความขัดแย้งตามแนวชายแดน ซึ่งมีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 40 คน และทำให้ประชาชนในทั้งสองประเทศต้องอพยพมากกว่า 500,000 คน ถือเป็นการสู้รบที่รุนแรงที่สุดระหว่างสองประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในรอบหลายทศวรรษ

ที่มา : Reuters

คลิกอ่านข่าวเกี่ยวกับ ไทยกัมพูชา

จาเรด ไอแซกแมน พันธมิตร อีลอน มัสก์ ได้เป็น ผอ.นาซาคนใหม่

จาเรด ไอแซกแมน พันธมิตร อีลอน มัสก์ ได้เป็น ผอ.นาซาคนใหม่

18 ธ.ค. 2568 05:32 น.

จาเรด ไอแซกแมน พันธมิตร อีลอน มัสก์ ได้เป็น ผอ.นาซาคนใหม่

วุฒิสภาสหรัฐฯ อนุมัติการแต่งตั้งนาย จาเรด ไอแซกแมน มหาเศรษฐีนักลงทุน เป็นผู้อำนวยการใหญ่ของนาซาคนใหม่แล้ว หลังจากการเสนอชื่อยืดเยื้อมานานเกือบปี

เมื่อวันพุธที่ 17 ธ.ค. 2568 วุฒิสภาสหรัฐฯ อนุมัติการแต่งตั้งนาย จาเรด ไอแซกแมน มหาเศรษฐีนักลงทุน ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์กรการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือ นาซา ของสหรัฐฯ ปิดฉากการเสนอชื่ออันยุ่งเหยิง หลังโดนัลด์ ทรัมป์ เสนอชื่อของเขาเป็น ผอ. ก่อนจะถอนชื่อ แล้วเสนอชื่อใหม่อีกครั้ง

ไอแซกแมน วัย 42 ปี เป็นนักบินเครื่องบินเจ็ตสมัครเล่นผู้สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักบินอวกาศที่ไม่ใช่ระดับมืออาชีพคนแรกที่ออกไปปฏิบัติภารกิจนอกยานอวกาศ (Spacewalk) และเขายังเป็นผู้อำนวยการนาซาคนแรกในรอบหลายทศวรรษที่ก้าวเข้ามาดำรงตำแหน่งโดยมาจากภาคเอกชนโดยตรง

หลายฝ่ายมองว่า การดำรงตำแหน่ง ผอ.นาซาของไอแซกแมนจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว จะถูกตัดสินด้วยบททดสอบสำคัญหนึ่งเดียวคือ สหรัฐฯ จะสามารถส่งมนุษย์กลับไปยังดวงจันทร์ได้ก่อนประเทศจีนหรือไม่

ทรัมป์ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า เขาต้องการให้สหรัฐฯ สร้างฐานที่มั่นถาวรบนดวงจันทร์ เพื่อเปิดทางให้กับการขุดเจาะทรัพยากร และเพื่อใช้เป็นฐานที่ตั้งสำคัญสำหรับการเดินทางต่อไปยังดาวอังคารในอนาคต

อนึ่ง สมาชิกวุฒิสภาลงคะแนนเสียงท่วมท้น 67 ต่อ 30 เสียง เพื่อยืนยันการแต่งตั้งนายไอแซกแมนให้ดำรงตำแหน่ง ผอ.นาซา โดยเขาจะเข้ารับตำแหน่งต่อจาก ชอน ดัฟฟี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งทำหน้าที่เป็นรักษาการผู้อำนวยการนาซามาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม

เดิมทีนายทรัมป์ประกาศความตั้งใจที่จะเสนอชื่อไอแซกแมนเมื่อเดือนธันวาคม 2567 แต่เขาได้ถอนการเสนอชื่อในเดือนพฤษภาคม ท่ามกลางความขัดแย้งกับนาย อีลอน มัสก์ ซึ่งเป็นพันธมิตรของนายไอแซกแมน โดยผู้นำสหรัฐฯ อ้างว่า ต้องตรวจสอบความสัมพันธ์ในอดีตอย่างถี่ถ้วน

นายมัสก์ หนึ่งในผู้บริจาคทางการเมืองรายใหญ่ที่สุดของทรัมป์และประธานบริหารของ SpaceX เคยปรากฏตัวในห้องทำงานรูปไข่เคียงข้างทรัมป์อยู่เป็นประจำ แต่ทั้งคู่ได้เกิดความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงในประเด็นเรื่องการใช้จ่ายของรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม ในเดือนพฤศจิกายน นายทรัมป์เสนอชื่อนายไอแซกแมนใหม่อีกครั้ง โดยในระหว่างการพิจารณาเพื่อรับรองตำแหน่งเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา นายไอแซกแมนกล่าวว่าเขาพร้อมรับภารกิจของทรัมป์ในการทำเหมืองบนดวงจันทร์ ในขณะที่นานาชาติต่างกำลังแข่งขันกันเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากพื้นผิวดวงจันทร์

“นี่ไม่ใช่เวลาสำหรับการรีรอ แต่เป็นเวลาสำหรับการลงมือทำ เพราะหากเราตามหลัง หรือหากเราทำผิดพลาด เราอาจไม่สามารถไล่ตามได้ทันอีกเลย และผลที่ตามมาอาจเปลี่ยนขั้วอำนาจบนโลกใบนี้ได้” ไอแซกแมนกล่าวต่อสมาชิกวุฒิสภา

ทั้งนี้ นายไอแซกแมนมองว่าการดึงภาคเอกชนเข้ามาแข่งขันกันมากขึ้น คือกุญแจสำคัญในการชิงชัยในศึกชิงอวกาศ

แต่การเปิดกว้างต่อการแข่งขันเชิงพาณิชย์ของเขาอาจทำให้เกิดความขัดแย้งกับนายมัสก์ได้ โดยเมื่อสัปดาห์ก่อน ไอแซกแมนได้กล่าวชื่นชมการมอบสัญญาจ้างรายใหญ่ให้กับบริษัท บลู ออริจิน (Blue Origin) ของ เจฟฟ์ เบซอส เจ้าของ Amazon ซึ่งเป็นคู่แข่งรายสำคัญของ SpaceX ของ อีลอน มัสก์

เขายังเสนอด้วยว่านาซาควรเป็นพันธมิตรกับมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาให้มากขึ้น โดยวางบทบาทให้หน่วยงานนี้เป็น “ตัวทวีคูณศักยภาพทางวิทยาศาสตร์” และว่าเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อผลักดันนวัตกรรมให้ก้าวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “หากเราใกล้จะบรรลุบางสิ่งที่พิเศษสุด”

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : bbc

ครอบครัว ร็อบ ไรเนอร์ เปิดใจครั้งแรกหลังเหตุฆาตกรรม ลูกชายถูกจับกุม

ครอบครัว ร็อบ ไรเนอร์ เปิดใจครั้งแรกหลังเหตุฆาตกรรม ลูกชายถูกจับกุม

18 ธ.ค. 2568 04:35 น.

ครอบครัว ร็อบ ไรเนอร์ เปิดใจครั้งแรกหลังเหตุฆาตกรรม ลูกชายถูกจับกุม

ครอบครัวของ ร็อบ ไรเนอร์ ออกมาเปิดใจเป็นครั้งแรก เกี่ยวกับโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังรายนี้และภรรยา ขณะที่ นิก ลูกชายขึ้นศาลครั้งแรกแล้ว

เมื่อวันพุธที่ 17 ธ.ค. 2568 เหล่าทายาทของนาย ร็อบ ไรเนอร์ ผู้กำกับภาพยนตร์ฮอลลีวูดระดับตำนานผู้ล่วงลับ ออกมาเปิดใจเป็นครั้งแรก เกี่ยวกับเหตุฆาตกรรมที่เกิดขึ้นกับนายไรเนอร์กับภรรยา และเรื่องที่นาย นิก ไรเนอร์ ลูกคนกลางของทั้งคู่ถูกจับกุมตัวในข้อหาฆาตกรรมบิดาและมารดาของตัวเอง

ทั้งนี้ ร่างของสามีภรรยาไรเนอร์ถูกพบเสียชีวิตเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (14 ธ.ค.) ภายในบ้านพักของพวกเขาในลอสแอนเจลิส ขณะที่นิก ไรเนอร์ ถูกควบคุมตัวในคืนที่เกิดเหตุ และถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมเมื่อวันอังคาร (16 ธ.ค.)

“ความสูญเสียที่น่าสยดสยองและสะเทือนใจจากการจากไปของ ร็อบ และ มิเชล ไรเนอร์ พ่อแม่ของเรา เป็นสิ่งที่ไม่มีใครควรต้องประสบพบเจอ” เจค กับ โรมี ไรเนอร์ ลูกชายคนโตกับลูกสาวของร็อบ ไรเนอร์ ระบุในแถลงการณ์ “พวกท่านไม่ได้เป็นเพียงแค่พ่อแม่ แต่ยังเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเราด้วย”

“พวกเราขอขอบคุณสำหรับคำไว้อาลัย ความเมตตา และกำลังใจที่หลั่งไหลเข้ามา ซึ่งเราได้รับไม่เพียงแค่จากครอบครัวและมิตรสหายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้คนจากทุกสาขาอาชีพด้วย”

พวกเขายังขอให้สังคมให้ความเป็นส่วนตัวและความเคารพต่อครอบครัวของพวกเขา พร้อมทั้งขอให้ คาดเดาเรื่องต่างๆ ด้วยความเห็นอกเห็นใจและอยู่บนหลักความเป็นมนุษย์ “และขอให้ทุกคนจดจำพ่อแม่ของเราในฐานะผู้ที่ใช้ชีวิตได้อย่างยอดเยี่ยมและมอบความรักให้กับผู้อื่นเสมอมา” โดยไม่ได้กล่าวถึงข้อกล่าวหาที่มีต่อนิกผู้เป็นพี่ชายโดยตรง

นิก ไรเนอร์ วัย 32 ปี ได้ปรากฏตัวต่อศาลเป็นครั้งแรกเมื่อวันพุธ และได้สละสิทธิ์ในการให้การ (ว่ารับสารภาพหรือปฏิเสธ) ต่อข้อหาฆาตกรรมระดับ 1 จำนวน 2 กระทงที่เขาถูกฟ้องร้อง

ในการพิจารณาคดีดังกล่าว อัยการและทีมทนายความฝ่ายจำเลยของนายไรเนอร์เห็นพ้องให้เลื่อนการ ฟ้องให้การ (Arraignment) ออกไปจนถึงวันที่ 7 มกราคม ซึ่งจะเป็นวันที่เขามีโอกาสเข้าให้การต่อศาลอีกครั้ง และจนกว่าจะถึงวันนั้น นิกจะถูกควบคุมตัวอยู่ที่ทัณฑสถาน ทวิน ทาวเวอร์ ในลอสแอนเจลิส

อัยการระบุว่า หากนิกให้การปฏิเสธและถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง เขาอาจต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิตโดยไม่มีสิทธิ์ขอทัณฑ์บน หรืออาจได้รับโทษประหารชีวิต ซึ่งทางอัยการระบุว่าในขณะนี้ยังไม่มีการตัดสินใจว่าจะมีการเรียกร้องให้นิกมีโทษถึงขั้นประหารชีวิตหรือไม่

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : bbc

เวเนซุเอลาลั่น ยังส่งออกน้ำมันปกติ แม้ทรัมป์ประกาศปิดกั้น

เวเนซุเอลาลั่น ยังส่งออกน้ำมันปกติ แม้ทรัมป์ประกาศปิดกั้น

18 ธ.ค. 2568 04:03 น.

เวเนซุเอลาลั่น ยังส่งออกน้ำมันปกติ แม้ทรัมป์ประกาศปิดกั้น

ทางการเวเนซุเอลายืนยัน ยังสามารถส่งออกน้ำมันได้เป็นปกติ หลังจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศปิดล้อมเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

เมื่อวันพุธที่ 17 ธ.ค. 2568 เวเนซุเอลายังคงแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อสหรัฐฯ โดยยืนกรานว่าการส่งออกน้ำมันดิบของพวกเขา ไม่ได้รับผลกระทบจากการประกาศปิดล้อมของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งประกาศเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เพื่อเพิ่มแรงกดดันทั้งทางทหารและเศรษฐกิจต่อรัฐบาลของประธานาธิบดี นิโคลัส มาดูโร

เวเนซุเอลาซึ่งเป็นประเทศที่มีปริมาณน้ำมันสำรองที่พิสูจน์แล้วมากที่สุดในโลก ไม่แยแสต่อคำขู่ว่าจะได้รับความยากลำบากที่เพิ่มมากขึ้น โดยยืนยันว่าการดำเนินงานต่างๆ ยังคงเป็นไปตามปกติ

“ปฏิบัติการส่งออกน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์พลอยได้ยังคงดำเนินไปอย่างปกติ เรือบรรทุกน้ำมันที่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการของ PDVSA ยังคงเดินเรือด้วยความปลอดภัยอย่างเต็มที่” บริษัทน้ำมันแห่งชาติเวเนซุเอลา (PDVSA) ระบุในแถลงการณ์

นายทรัมป์กล่าวเมื่อวันอังคารว่าเขากำลังบังคับใช้ การปิดล้อมอย่างเบ็ดเสร็จและสมบูรณ์ต่อเรือบรรทุกน้ำมันที่ถูกคว่ำบาตรทุกลำที่เดินทางเข้าและออกจากเวเนซุเอลา

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังพูดถึงการวางกำลังทหารสหรัฐฯ อย่างหนาแน่นในทะเลแคริบเบียน ซึ่งรวมถึงเรือบรรทุกเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย พร้อมเตือนว่า เวเนซุเอลาถูกโอบล้อมอย่างสมบูรณ์โดยกองเรือรบ (Armada) ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการจัดตั้งขึ้นในประวัติศาสตร์ของอเมริกาใต้

ข่าวการปิดล้อมดังกล่าวส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นในการซื้อขายช่วงเช้าวันพุธที่กรุงลอนดอน โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่กองกำลังสหรัฐฯ ได้เข้ายึดเรือบรรทุกน้ำมันที่ถูกคว่ำบาตรลำหนึ่งใกล้ชายฝั่งเวเนซุเอลา

ทั้งนี้ สหรัฐฯ ยกระดับความเคลื่อนไหวทางทหารในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเพิ่มขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยยิงเรือที่อ้างว่าขนยาเสพติดไปนับสิบลำ จนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก อ้างว่าเป็นปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติด ขณะที่ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวโจมตีเวเนซุเอลาอย่างชัดเจนว่าเป็นองค์กรก่อการร้ายข้ามชาติ

ฝ่ายรัฐบาลเวเนซุเอลาเชื่อว่า ปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดดังกล่าวเป็นเพียงฉากบังหน้าเพื่อพยายามโค่นล้มอำนาจของนายมาดูโร ผู้ซึ่งถูกกล่าวหาว่าโกงการเลือกตั้งเมื่อปีที่ผ่านมา และเพื่อเข้ายึดครองทรัพยากรน้ำมันของเวเนซุเอลา

โดนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณกำกวมมาตลอดว่าจะเข้าแทรกแซงในเวเนซุเอลาหรือไม่ แต่เขากล่าวว่าเขาเชื่อว่าเวลาในอำนาจของนายมาดูโรนั้น “ใกล้จะหมดลงแล้ว”

อนึ่ง เศรษฐกิจที่บอบช้ำของเวเนซุเอลาต้องพึ่งพาการส่งออกน้ำมันเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม กองทัพของเวเนซุเอลาซึ่งให้การสนับสนุนนายมาดูโร ผู้นำฝ่ายซ้ายจัด กล่าวว่าพวกเขา “ไม่เกรงกลัว” ต่อการข่มขู่ของนายทรัมป์

“เราขอบอกกับรัฐบาลสหรัฐฯ และประธานาธิบดีของพวกเขาว่า เราไม่เกรงกลัวต่อคำขู่ที่หยาบคายและจองหองของพวกเขา” นายวลาดิเมียร์ ปาดริโน โลเปซ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวในงานซึ่งเต็มไปด้วยผู้บัญชาการระดับสูงที่ย้ำคำสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อมาดูโรมาโดยตลอด

ทางด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักสำหรับน้ำมันของเวเนซุเอลา กล่าวปกป้องรัฐบาลมาดูโรระหว่างการต่อสายโทรศัพท์พูดคุยกับรัฐมนตรีต่างประเทศเวเนซุเอลา ต่อกรณีที่พวกเขาเรียกว่าเป็น “การข่มเหง” ของสหรัฐฯ

“จีนคัดค้านการข่มเหงฝ่ายเดียวในทุกรูปแบบ และสนับสนุนทุกประเทศในการปกป้องอธิปไตยและศักดิ์ศรีของชาติ” เขากล่าว พร้อมเสริมว่าเวเนซุเอลา “มีสิทธิ์ที่จะพัฒนาความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันกับประเทศอื่นๆ อย่างเป็นอิสระ”

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : cna