สกู๊ปพิเศษ : ‘ไทย – จีน’ เป็นครอบครัวเดียวกัน สัญลักษณ์สะท้อนมิตรภาพ 2 ประเทศ

สกู๊ปพิเศษ : ‘ไทย – จีน’ เป็นครอบครัวเดียวกัน สัญลักษณ์สะท้อนมิตรภาพ 2 ประเทศ

สกู๊ปพิเศษ : ‘ไทย – จีน’ เป็นครอบครัวเดียวกัน สัญลักษณ์สะท้อนมิตรภาพ 2 ประเทศ

วันอาทิตย์ ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

คำกล่าวที่ว่า “ไทย-จีนเป็นครอบครัวเดียวกัน” ไม่ได้เป็นเพียงคำขวัญในเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น หากแต่สะท้อนถึงมิตรภาพอันลึกซึ้งระหว่างสองประเทศ ปีนี้เป็นวาระครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและจีน พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ เยือนจีนอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 13 – 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2568 ซึ่งนับเป็นการเสด็จเยือนจีนอย่างเป็นทางการครั้งแรกนับตั้งแต่ทรงขึ้นครองราชย์

การเยือนครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการเฉลิมฉลองหมุดหมายสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติ แต่ยังบ่งบอกถึงการยกระดับความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ของไทย-จีนสู่ระยะใหม่ ผู้นำจีนระบุว่า จะเสริมสร้างการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์ สนับสนุนโครงการสาธารณประโยชน์ของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย และส่งเสริมความร่วมมือด้านวัฒนธรรมพุทธศาสนาและอวกาศให้ลึกซึ้งขึ้น

ตลอดปีที่ผ่านมา ไทยและจีนได้ลงนามในความตกลงความร่วมมือหลายฉบับเพื่อกระชับความสัมพัมพันธ์ทวิภาคีในเดือนกุมภาพันธ์ ทั้งสองฝ่ายออกแถลงการณ์ร่วมเพื่อผลักดันความร่วมมือด้านพลังงานสะอาด เศรษฐกิจดิจิทัล และการพัฒนาคุณภาพสูง ต่อมาในเดือนเมษายนได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) จำนวน 14 ฉบับ ครอบคลุมปัญญาประดิษฐ์ เทคโน โลยีอวกาศ เกษตรกรรม และเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งล้วนช่วยยกระดับอุตสาหกรรมไทยและเสริมขีดความสามารถในการแข่งชันระหว่างประเทศ

นอกจากนี้ โครงการรถไฟความเร็วสูง ระยะที่สองยังมีความคืบหน้าราบรื่น พร้อมให้ความสำคัญกับการใช้วัสดุก่อสร้างภายในประเทศเป็นหลักสอดคล้องกับนโยบาย “ไทยต้องมาก่อน” และส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของไทยอย่างเป็นรูปธรรม

โครงการ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” นำประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมมาสู่ประเทศไทย ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐานและความร่วมมือทางการค้า โครงการรถไฟจีน-ไทยซึ่งเป็นโครงการสำคัญของความริเริ่มนี้ จะเชื่อมไทยลาว และจีนเข้าด้วยกัน เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ เวลาขนส่งสินค้าจะลดจากหลายวันเหลือเพียงไม่กี่ชั่วโมง และคาดว่าจะช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ลงอย่างน้อย 20% ซึ่งไม่เพียงช่วยให้ราคาสินค้าน้ำเข้าจากจีนมีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคไทยได้รับประโยชน์จากสินค้าประจำวัน เช่น โทรศัพท์มือถือถือและเสื้อผ้าในราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น แต่ยังสร้างงานหลายหมื่นตำแหน่ง และกระตุ้นการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมเกษตรในพื้นที่ตามแนวเส้นทาง

ข้อมูลการค้าช่วยยืนยันแนวโน้มเชิงบวกนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ในปี 2024 มูลค่าการส่งออกของไทยไปจีนอยู่ที่ 11.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยส่วนใหญ่มาจากผลไม้เมืองร้อน เช่น ทุเรียนและมะม่วง ซึ่งมีปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากปีก่อน ช่วยให้รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้นกว่า 30% ด้านการนำเข้าจากจีนส่วนใหญ่เป็นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องจักร รวมมูลค่ากว่า 80 พันล้านดอลลาร์ การค้ารวมระหว่างสองประเทศเติบโต 10.3% เมื่อเทียบปีต่อปี โดยมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้น 13.8% นอกจากนี้ ข้อมูลระบุว่าในช่วงเก้าเดือนแรกของปี ไทยนำเช้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้น 11.1% เมื่อเทียบปีต่อปี

ในด้านเศรษฐกิจดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน โครงการ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” ก็มีบทบาทสำคัญเช่นเดียวกัน จีนให้คำมั่นว่าจะผลักดันความร่วมมือไทย-จีนสู่ “ยุคทอง” และในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 การลงทุนและมูลค่าสัญญาจากจีนในไทยยังเติบโตต่อเนื่อง ช่วยเสริมพลังนวัดกรรมแก่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของ ไทย นอกเหนือจากด้านเศรษฐกิจแล้ว โครงการนี้ยังส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและการศึกษา เยาวชนไทยจำนวนมากเดินทางไปศึกษาต่อที่จีนเพื่อเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีและธุรกิจ และนำความรู้กลับมาพัฒนาประเทศ ขณะเดียว กัน นักท่องเที่ยวและนักลงทุนชาวจีนก็เดินทางเข้าสไทยเพิ่มขึ้น ส่งเสริมความเข้าใจและการเชื่อมโยงสองทางโดยตรง

โดยสรุป โครงการ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นหลง” ไม่เพียงสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่ยังยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนไทย ทั้งในด้านโอกาสการจ้างงานที่มั่นคงขึ้น ตัวเลือกสินค้าและบริการที่หลากหลายขึ้นและความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมที่แน่นแฟ้นยิ่ง สะท้อนให้เห็นถึงผลลัพธ์เชิงบวกในความร่วมมือภายใต้โลกาภิวัตน์

สกู๊ปพิเศษ : ผ่าแผนการบริหารจัดการน้ำในฤดูแล้งปี 2568/69

สกู๊ปพิเศษ : ผ่าแผนการบริหารจัดการน้ำในฤดูแล้งปี 2568/69

สกู๊ปพิเศษ : ผ่าแผนการบริหารจัดการน้ำในฤดูแล้งปี 2568/69

วันอังคาร ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 07.30 น.

ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่การบริหารจัดการน้ำในฤดูแล้งประจำปี 2568/69  มาตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งในปีนี้กรมชลประทานได้วางแผนบริหารจัดการน้ำแบบยั่งยืนตามนโยบายของรัฐบาล โดยจัดสรรน้ำให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุนของอ่างเก็บน้ำ เพื่อสนับสนุนการใช้น้ำในทุกกิจกรรมในพื้นที่ต่างๆ ตามลำดับความสำคัญ โดยลำดับแรกเป็นการจัดสรรเพื่อการอุปโภค บริโภค และการประปา  รองลงมาเป็นการจัดสรรเพื่อการรักษาระบบนิเวศทางน้ำ เช่น การผลักดันน้ำเค็ม การขับไล่น้ำเสีย บรรเทาสาธารณภัย จารีตประเพณี และคมนาคม เป็นต้น  อันดับถัดมาเป็นการสำรองน้ำไว้สำหรับการใช้น้ำในช่วงต้นฤดูฝนซึ่งจะนำไปใช้สำหรับการอุปโภค บริโภค และรักษาระบบนิเวศในช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2569  จากนั้นถึงจะเป็นการจัดสรรเพื่อการเกษตร การอุตสาหกรรม พาณิชยกรรมและการท่องเที่ยวตามลำดับ

สำหรับปริมาณน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศปีนี้ ณ วันที่ 1 พฤศิกายน 2568  มีปริมาณรวมกันถึง 67,568 ลบ.ม. คิดเป็น 88% ของปริมาณการกักเก็บมากกว่าปีที่แล้ว  4,194 ล้าน ลบ.ม. โดยส่วนของลุ่มน้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจ “อู่ข้าวอู่น้ำ” ของประเทศมีปริมาณน้ำต้นทุนจาก 4 เขื่อนหลักคือ เขื่อนภูมิพล  เขื่อนสิริกิติ์  เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์  มีปริมาณรวมกัน 23,941 ล้านลบ.ม. คิดเป็น 96% ของปริมาณการกักเก็บ มากกว่าปีที่ผ่านมาถึง 2,253 ล้านลบ.ม.  

ดร.ธเนศร์ สมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา กรมชลประทาน กล่าวว่า   ในปีนี้แม้จะเข้าสู่ช่วงการบริหารจัดการน้ำในฤดูแล้งประจำปี 2568/69  แล้วก็ตามแต่ก็ยังมีพายุโซนร้อนเกิดขึ้น คือ พายุ “คัลแมกี” (Kalmaegi) ได้เคลื่อนผ่านภาคกลางตอนบน และภาคเหนือ ส่งผลให้ในช่วงวันที่8-9 พ.ย.68 ประเทศไทยบริเวณด้านตะวันตกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางตอนบน  และภาคเหนือ มีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปริมาณน้ำในเขื่อนหลายแห่งเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเขื่อนที่เป็นแหล่งน้ำต้นทุนของลุ่มน้ำเจ้าพระยา

ล่าสุด ณ เมื่อวันที่ 20 พ.ย.68 อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ มีปริมาณรวมกันเพิ่มขึ้นเป็น 69,517 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 91% ของปริมาณการกักเก็บมากกว่าปีที่แล้ว 5,932 ล้าน ลบ.ม. โดยส่วนของลุ่มน้ำเจ้าพระยามีปริมาณน้ำต้นทุนจาก 4 เขื่อนหลักเพิ่มขึ้นรวมกันเป็น 24,581 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 99% ของปริมาณการกักเก็บ มากกว่าปีที่ผ่านมาถึง 2,550 ล้านลบ.ม.   

สำหรับแผนการจัดสรรน้ำและการปลูกพืชฤดูแล้งปี 2568/69 ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.68 นั้นได้วางแผนจัดสรรน้ำจากปริมาณน้ำต้นทุนจากอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และแหล่งน้ำอื่นๆ ทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 47,516 ล้านลบ.ม. ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยในส่วนนี้จะสำรองน้ำไว้ใช้ในช่วงต้นฤดูฝนปี 2569  จำนวน 17,953 ล้าน ลบ.ม. ดังนั้นจะมีปริมาณน้ำต้นทุนเพื่อจัดสรรใช้ในกิจกรรมต่างๆในช่วงฤดูแล้งปี 2568/69 จำนวน 29,563 ล้าน ลบ.ม. โดยวางแผนจัดสรรเพื่อการอุปโภคบริโภค 2,748 ล้านลบ.ม. คิดเป็น 9% ของปริมาณน้ำต้นทุน เพื่อรักษาระบบนิเวศ 8,090 ล้าน ลบ.ม. คิด 27% ของปริมาณน้ำต้นทุน เพื่อเกษตรกรรม 18,247 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 62%ของปริมาณน้ำต้นทุน ที่เหลือจะจัดสรรเพื่ออุตสาหกรรมและอื่นๆจำนวน 478 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 2% ของปริมาณน้ำต้นทุน

ในส่วนของลุ่มน้ำเจ้าพระยา มีปริมาณน้ำต้นทุนจาก 4 เขื่อนหลักที่ใช้การได้ในการจัดสรรช่วงฤดูแล้งปี 2568/69 จำนวน 17,745 ล้าน ลบ.ม.(รวมปริมาณน้ำที่จะผันมาจากลุ่มน้ำแม่กลอง 500 ล้านลบ.ม.)  และคาดการณ์ว่าจะมีปริมาณน้ำไหลเข้ามาอีก 2,045 ล้านลบ.ม. โดยจะสำรองไว้ใช้ในช่วงต้นฤดูฝนปี 2569  จำนวน 6,100 ล้าน ลบ.ม. และใช้ในการระบายน้ำ 4,190 ล้านลบ.ม.  เหลือปริมาณน้ำจัดสรรเพื่อใช้ในกิจกรรมต่างๆจำนวน 9,500  ล้าน ลบ.ม.  โดยวางแผนจัดสรรเพื่อการอุปโภคบริโภค 1,150 ล้านลบ.ม. คิดเป็น 13% ของปริมาณน้ำต้นทุน เพื่อรักษาระบบนิเวศ 1,305ล้าน ลบ.ม. คิด 14%  ของปริมาณน้ำต้นทุน เพื่อเกษตรกรรม 6,910 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 71%ของปริมาณน้ำต้นทุน ที่เหลือจะจัดสรรเพื่ออุตสาหกรรมและอื่นๆจำนวน 135ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 2%  ของปริมาณน้ำต้นทุน

สำหรับการปลูกพืชฤดูแล้งในเขตชลประทาน ได้กำหนดเป้าหมายสอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุน ในปีนี้กำหนดเป้าหมายทั่วประเทศไว้ที่ 10.73 ล้านไร่ แบ่งเป็นข้าวนาปรัง 10.05 ล้านไร่ และพืชไร่-พืชผัก 670,000 ไร่ เฉพาะพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยากำหนดเป้าหมายไว้ที่ 6.35 ล้านไร่ แบ่งเป็นข้าวนาปรัง 6.27 ล้านไร่  และพืชไร่-พืชผัก 8,000ไร่  

ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา กรมชลประทาน ยังกล่าวถึงสถานการณ์น้ำในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ ครอบคลุมพิื้นที่ 3 จังหวัดคือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง ว่า ปริมาณในอ่างเก็บน้ำทั้งขนาดใหญ่ 4 แห่ง และขนาดกลาง 12 แห่ง มีปริมาณน้ำรวมกัน ณ วันที่ 20 พ.ย.68 จำนวน 1,177 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 90.75% ของปริมาณการกักเก็บ ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดี เพียงพอที่จะใช้ในช่วงฤดูแล้งทั้งการผลิตน้ำประปา รักษาระบบนิเวศน์ การเกษตรและภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำประแสร์ จ.ระยอง ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำที่เป็นศูนย์กลางในการกระจายน้ำ ขณะนี้มีปริมาณน้ำเต็มความจุ 100% คือ  294 ล้านลบ.ม. เช่นเดียวกับอ่างกับน้ำบางพระ จ.ชลบุรี  มีปริมาณน้ำถึง 116 ล้านลบ.ม. คิดเป็น 99% ของปริมาณการกักเก็บ

นอกจากนี้พื้นที่ EEC ยังมีโครงข่ายน้ำเชื่อมโยงกัน ไม่ว่าจะเป็นการสูบผันน้ำจากคลองพระองค์ไชยานุชิต-อ่างเก็บน้ำบางพระ   การสูบผันน้ำจากแม่น้ำบางปะกง-อ่างเก็บน้ำบางพระ การสูบผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแสร์-อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล การสูบน้ำจากสถานีสูบน้ำคลองสะพาน – อ่างเก็บน้ำประแสร์ การสูบผันน้ำจากคลองวังโตนด – อ่างเก็บน้ำประแสร์ และการสูบผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแสร์ – อ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ ซึ่งจะสร้างความมั่นคงเรื่องน้ำให้กับพื้นที่ EEC  ในฤดูแล้งปี 2568/69 และช่วงต้นฤดูฝน 2569 ปริมาณน้ำในพื้นที่ EEC จะเพียงพอกับความต้องการทุกภาคส่วนอย่างแน่นอน

 “กรมชลประทานจะติดตามและควบคุมการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล่้งปี 2568/69 ให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ พร้อมทั้งจะปฏิบัติตาม 8 มาตรการรับมือฤดูแล้งปี 2568/69 ที่ได้มาจากการถอดบทเรียนจากมาตรการรับมือฤดูแล้งปี 2567/68 และการเปิดรับฟังความคิดเห็นตลอดจนข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบอย่างเคร่งครัด ดังนี้ 1.คาดการณ์ชี้เป้าและแจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ 2.สร้างความมั่นคงน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพ 3.กำหนดแผนจัดสรรน้ำและปลูกพืชฤดูแล้ง 4.เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ ประหยัดน้ำและลดการสูญเสียน้ำในทุกภาคส่วน 5.เฝ้าระวังและแก้ไขคุณภาพน้ำ 6.เสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการบริหารจัดการน้ำของชุมชน-องค์กรผู้ใช้น้ำ 7.สร้างการรับรู้ ประชาสัมพันธ์ และ8.ติดตามประเมินผลการดำเนินงาน”  ดร.ธเนศร์ กล่าว

ทั้งนี้ จากปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่ ผนวกกับแผนบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพ ปีนี้ประเทศไทยจะมีน้ำเพียงพอใช้ในฤดูแล้งปี 2568/69 และช่วงต้นฤดูฝนปี 2569 อย่างแน่นอน

สกู๊ปพิเศษ : ผ่าแผนการบริหารจัดการน้ำในฤดูแล้งปี 2568/69

สกู๊ปพิเศษ : ผ่าแผนการบริหารจัดการน้ำในฤดูแล้งปี 2568/69

สกู๊ปพิเศษ : ผ่าแผนการบริหารจัดการน้ำในฤดูแล้งปี 2568/69

วันจันทร์ ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 13.48 น.

ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่การบริหารจัดการน้ำในฤดูแล้งประจำปี 2568/69  มาตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งในปีนี้กรมชลประทานได้วางแผนบริหารจัดการน้ำแบบยั่งยืนตามนโยบายของรัฐบาล โดยจัดสรรน้ำให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุนของอ่างเก็บน้ำ เพื่อสนับสนุนการใช้น้ำในทุกกิจกรรมในพื้นที่ต่างๆ ตามลำดับความสำคัญ โดยลำดับแรกเป็นการจัดสรรเพื่อการอุปโภค บริโภค และการประปา  รองลงมาเป็นการจัดสรรเพื่อการรักษาระบบนิเวศทางน้ำ เช่น การผลักดันน้ำเค็ม การขับไล่น้ำเสีย บรรเทาสาธารณภัย จารีตประเพณี และคมนาคม เป็นต้น  อันดับถัดมาเป็นการสำรองน้ำไว้สำหรับการใช้น้ำในช่วงต้นฤดูฝนซึ่งจะนำไปใช้สำหรับการอุปโภค บริโภค และรักษาระบบนิเวศในช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2569  จากนั้นถึงจะเป็นการจัดสรรเพื่อการเกษตร การอุตสาหกรรม พาณิชยกรรมและการท่องเที่ยวตามลำดับ

สำหรับปริมาณน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศปีนี้ ณ วันที่ 1 พฤศิกายน 2568  มีปริมาณรวมกันถึง 67,568 ลบ.ม. คิดเป็น 88% ของปริมาณการกักเก็บมากกว่าปีที่แล้ว  4,194 ล้าน ลบ.ม. โดยส่วนของลุ่มน้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจ “อู่ข้าวอู่น้ำ” ของประเทศมีปริมาณน้ำต้นทุนจาก 4 เขื่อนหลักคือ เขื่อนภูมิพล  เขื่อนสิริกิติ์  เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์  มีปริมาณรวมกัน 23,941 ล้านลบ.ม. คิดเป็น 96% ของปริมาณการกักเก็บ มากกว่าปีที่ผ่านมาถึง 2,253 ล้านลบ.ม.  

ดร.ธเนศร์ สมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา กรมชลประทาน กล่าวว่า   ในปีนี้แม้จะเข้าสู่ช่วงการบริหารจัดการน้ำในฤดูแล้งประจำปี 2568/69  แล้วก็ตามแต่ก็ยังมีพายุโซนร้อนเกิดขึ้น คือ พายุ “คัลแมกี” (Kalmaegi) ได้เคลื่อนผ่านภาคกลางตอนบน และภาคเหนือ ส่งผลให้ในช่วงวันที่8-9 พ.ย.68 ประเทศไทยบริเวณด้านตะวันตกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางตอนบน  และภาคเหนือ มีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปริมาณน้ำในเขื่อนหลายแห่งเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเขื่อนที่เป็นแหล่งน้ำต้นทุนของลุ่มน้ำเจ้าพระยา

ล่าสุด ณ เมื่อวันที่ 20 พ.ย.68 อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ มีปริมาณรวมกันเพิ่มขึ้นเป็น 69,517 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 91% ของปริมาณการกักเก็บมากกว่าปีที่แล้ว 5,932 ล้าน ลบ.ม. โดยส่วนของลุ่มน้ำเจ้าพระยามีปริมาณน้ำต้นทุนจาก 4 เขื่อนหลักเพิ่มขึ้นรวมกันเป็น 24,581 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 99% ของปริมาณการกักเก็บ มากกว่าปีที่ผ่านมาถึง 2,550 ล้านลบ.ม.   

สำหรับแผนการจัดสรรน้ำและการปลูกพืชฤดูแล้งปี 2568/69 ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.68 นั้นได้วางแผนจัดสรรน้ำจากปริมาณน้ำต้นทุนจากอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และแหล่งน้ำอื่นๆ ทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 47,516 ล้านลบ.ม. ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยในส่วนนี้จะสำรองน้ำไว้ใช้ในช่วงต้นฤดูฝนปี 2569  จำนวน 17,953 ล้าน ลบ.ม. ดังนั้นจะมีปริมาณน้ำต้นทุนเพื่อจัดสรรใช้ในกิจกรรมต่างๆในช่วงฤดูแล้งปี 2568/69 จำนวน 29,563 ล้าน ลบ.ม. โดยวางแผนจัดสรรเพื่อการอุปโภคบริโภค 2,748 ล้านลบ.ม. คิดเป็น 9% ของปริมาณน้ำต้นทุน เพื่อรักษาระบบนิเวศ 8,090 ล้าน ลบ.ม. คิด 27% ของปริมาณน้ำต้นทุน เพื่อเกษตรกรรม 18,247 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 62%ของปริมาณน้ำต้นทุน ที่เหลือจะจัดสรรเพื่ออุตสาหกรรมและอื่นๆจำนวน 478 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 2% ของปริมาณน้ำต้นทุน

ในส่วนของลุ่มน้ำเจ้าพระยา มีปริมาณน้ำต้นทุนจาก 4 เขื่อนหลักที่ใช้การได้ในการจัดสรรช่วงฤดูแล้งปี 2568/69 จำนวน 17,745 ล้าน ลบ.ม.(รวมปริมาณน้ำที่จะผันมาจากลุ่มน้ำแม่กลอง 500 ล้านลบ.ม.)  และคาดการณ์ว่าจะมีปริมาณน้ำไหลเข้ามาอีก 2,045 ล้านลบ.ม. โดยจะสำรองไว้ใช้ในช่วงต้นฤดูฝนปี 2569  จำนวน 6,100 ล้าน ลบ.ม. และใช้ในการระบายน้ำ 4,190 ล้านลบ.ม.  เหลือปริมาณน้ำจัดสรรเพื่อใช้ในกิจกรรมต่างๆจำนวน 9,500  ล้าน ลบ.ม.  โดยวางแผนจัดสรรเพื่อการอุปโภคบริโภค 1,150 ล้านลบ.ม. คิดเป็น 13% ของปริมาณน้ำต้นทุน เพื่อรักษาระบบนิเวศ 1,305ล้าน ลบ.ม. คิด 14%  ของปริมาณน้ำต้นทุน เพื่อเกษตรกรรม 6,910 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 71%ของปริมาณน้ำต้นทุน ที่เหลือจะจัดสรรเพื่ออุตสาหกรรมและอื่นๆจำนวน 135ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 2%  ของปริมาณน้ำต้นทุน

สำหรับการปลูกพืชฤดูแล้งในเขตชลประทาน ได้กำหนดเป้าหมายสอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุน ในปีนี้กำหนดเป้าหมายทั่วประเทศไว้ที่ 10.73 ล้านไร่ แบ่งเป็นข้าวนาปรัง 10.05 ล้านไร่ และพืชไร่-พืชผัก 670,000 ไร่ เฉพาะพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยากำหนดเป้าหมายไว้ที่ 6.35 ล้านไร่ แบ่งเป็นข้าวนาปรัง 6.27 ล้านไร่  และพืชไร่-พืชผัก 8,000ไร่  

ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา กรมชลประทาน ยังกล่าวถึงสถานการณ์น้ำในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ ครอบคลุมพิื้นที่ 3 จังหวัดคือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง ว่า ปริมาณในอ่างเก็บน้ำทั้งขนาดใหญ่ 4 แห่ง และขนาดกลาง 12 แห่ง มีปริมาณน้ำรวมกัน ณ วันที่ 20 พ.ย.68 จำนวน 1,177 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 90.75% ของปริมาณการกักเก็บ ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดี เพียงพอที่จะใช้ในช่วงฤดูแล้งทั้งการผลิตน้ำประปา รักษาระบบนิเวศน์ การเกษตรและภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำประแสร์ จ.ระยอง ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำที่เป็นศูนย์กลางในการกระจายน้ำ ขณะนี้มีปริมาณน้ำเต็มความจุ 100% คือ  294 ล้านลบ.ม. เช่นเดียวกับอ่างกับน้ำบางพระ จ.ชลบุรี  มีปริมาณน้ำถึง 116 ล้านลบ.ม. คิดเป็น 99% ของปริมาณการกักเก็บ

นอกจากนี้พื้นที่ EEC ยังมีโครงข่ายน้ำเชื่อมโยงกัน ไม่ว่าจะเป็นการสูบผันน้ำจากคลองพระองค์ไชยานุชิต-อ่างเก็บน้ำบางพระ   การสูบผันน้ำจากแม่น้ำบางปะกง-อ่างเก็บน้ำบางพระ การสูบผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแสร์-อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล การสูบน้ำจากสถานีสูบน้ำคลองสะพาน – อ่างเก็บน้ำประแสร์ การสูบผันน้ำจากคลองวังโตนด – อ่างเก็บน้ำประแสร์ และการสูบผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแสร์ – อ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ ซึ่งจะสร้างความมั่นคงเรื่องน้ำให้กับพื้นที่ EEC  ในฤดูแล้งปี 2568/69 และช่วงต้นฤดูฝน 2569 ปริมาณน้ำในพื้นที่ EEC จะเพียงพอกับความต้องการทุกภาคส่วนอย่างแน่นอน

 “กรมชลประทานจะติดตามและควบคุมการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล่้งปี 2568/69 ให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ พร้อมทั้งจะปฏิบัติตาม 8 มาตรการรับมือฤดูแล้งปี 2568/69 ที่ได้มาจากการถอดบทเรียนจากมาตรการรับมือฤดูแล้งปี 2567/68 และการเปิดรับฟังความคิดเห็นตลอดจนข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบอย่างเคร่งครัด ดังนี้ 1.คาดการณ์ชี้เป้าและแจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ 2.สร้างความมั่นคงน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพ 3.กำหนดแผนจัดสรรน้ำและปลูกพืชฤดูแล้ง 4.เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ ประหยัดน้ำและลดการสูญเสียน้ำในทุกภาคส่วน 5.เฝ้าระวังและแก้ไขคุณภาพน้ำ 6.เสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการบริหารจัดการน้ำของชุมชน-องค์กรผู้ใช้น้ำ 7.สร้างการรับรู้ ประชาสัมพันธ์ และ8.ติดตามประเมินผลการดำเนินงาน”  ดร.ธเนศร์ กล่าว

ทั้งนี้ จากปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่ ผนวกกับแผนบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพ ปีนี้ประเทศไทยจะมีน้ำเพียงพอใช้ในฤดูแล้งปี 2568/69 และช่วงต้นฤดูฝนปี 2569 อย่างแน่นอน

สกู๊ปพิเศษ : สกสว.ผนึกเชียงรายจัดแพคเกจวาระแห่งชาติ ‘โซ่ข้อกลาง’ จัดทัพสู้ภัยพิบัติ 3 ประเด็นใหญ่

สกู๊ปพิเศษ : สกสว.ผนึกเชียงรายจัดแพคเกจวาระแห่งชาติ ‘โซ่ข้อกลาง’ จัดทัพสู้ภัยพิบัติ 3 ประเด็นใหญ่

สกู๊ปพิเศษ : สกสว.ผนึกเชียงรายจัดแพคเกจวาระแห่งชาติ ‘โซ่ข้อกลาง’ จัดทัพสู้ภัยพิบัติ 3 ประเด็นใหญ่

วันอาทิตย์ ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

สกสว.ผนึกกำลังจังหวัดเชียงราย กางแผน ววน. สู้ภัยพิบัติ 3 ประเด็นใหญ่ รับหน้าที่ ‘โซ่ข้อกลาง’  รวมแพคเกจวาระแห่งชาติแก้ปัญหาน้ำ-แผ่นดินไหว-สารพิษแม่น้ำกก ทำงานเชื่อมโยงกับจังหวัดและทุกภาคส่วน หวังลดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินให้ได้มากที่สุด

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) นำโดย ศ. ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการ สกสว. ร่วมกับนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย พร้อมผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมและแถลงข่าวทิศทางการใช้ระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) เพื่อรับมือและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติในพื้นที่จังหวัดเชียงรายอย่างบูรณาการ โดยเน้นแพคเกจวาระแห่งชาติใน 3 ประเด็นหลัก คือ การแก้ปัญหาน้ำท่วม/น้ำแล้ง การสร้างองค์ความรู้ด้านแผ่นดินไหว และปัญหาเร่งด่วนคือ สารพิษในแม่น้ำกก เพื่อผลักดันให้เชียงรายเป็นต้นแบบการจัดการภัยพิบัติด้วยองค์ความรู้และเทคโนโลยี โดย สกสว.จะเป็น “โซ่ข้อกลาง” สำคัญในการขับเคลื่อนระบบ ววน. ให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เพื่อป้องกันและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติใน จ.เชียงราย ถ่ายทอดองค์ความรู้ เสริมอาวุธให้กับประชาชน และเป็นพี่เลี้ยงให้คนที่อยู่หน้างานเตรียมพร้อมสำหรับการแก้ปัญหา รับมือภัยพิบัติ สร้างทักษะที่จำเป็นให้ทุกภาคส่วนและประชาชนมีความพร้อมและปลอดภัยจากภัยพิบัติ เพื่อเป็นส่วนสำคัญในการต่อยอดจากระบบ ววน. โดยมีปัญหาของพื้นที่เป็นตัวตั้ง สู่การปฏิบัติของจังหวัดเชียงรายต่อไปเพื่อเป้าหมาย “Disaster Resilient City” (เมืองแห่งการปรับตัวเพื่อรับมือภัยพิบัติ)

“สกสว.ในฐานะเลขานุการของกองทุน ววน. จะเชื่อมโยงหน่วยนโยบายและหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ พร้อมนำองค์ความรู้ที่มีอยู่มาสร้างแพลตฟอร์มให้ประชาชนนำไปใช้ประโยชน์ เช่น สนับสนุนข้อมูลจากกรมประมง งานวิจัยด้านสารพิษ และการซื้อขาย เพื่อสร้างแอปพลิเคชัน “ปลาปลอดภัย” ที่ประชาชนสามารถรับรู้ระดับสารปนเปื้อนในลำน้ำสาขา และจะสามารถบริโภคปลาชนิดใดได้อย่างปลอดภัยหรือมีความเสี่ยง เพื่อสร้างความมั่นใจในการบริหารจัดการสารพิษในแม่น้ำ นอกจากนี้จะขับเคลื่อนการทำงานแบบบูรณาการโดยกำหนดทิศทางและนโยบายของกองทุน ววน. รวมถึงจัดทำแผนปฏิบัติการกลางแบบบูรณาการ ประสานงานกับทุกภาคส่วน เพื่อปฏิบัติการอย่างรวดเร็วและทันท่วงที โดยตั้งงบประมาณเพื่อการรับมือภัยพิบัติทั้งการสร้างองค์ความรู้และหน้างานไม่ต่ำกว่าพันล้านบาทต่อปี” ศ. ดร.สมปองกล่าว

ขณะที่ นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จ.เชียงรายประสบปัญหาภัยพิบัติต่างๆ ค่อนข้างมาก ทั้งน้ำท่วม น้ำแล้ง แผ่นดินไหว และสารปนเปื้อนในลำน้ำต่างๆ ซึ่งแผนเตรียมการป้องกันที่ผ่านมายังไม่สมบูรณ์ คณะวิจัยจึงนำประเด็นเหล่านี้ไปศึกษาวิจัยเพื่อเป็นข้อมูลทางวิชาการของเชียงรายและขยายสู่ระดับภาคเหนือ ซึ่งจังหวัดจะนำมาเป็นข้อมูลในการบริหารจัดการภัยเพื่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด โดยข้อมูลทั้งหมดจะถูกรวบรวมเข้าสู่ศูนย์ข้อมูล PDOSS (ศูนย์บริหารจัดการภัยพิบัติ) เพื่อให้การบริหารงานในปีต่อไปมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ ระบบแจ้งเตือนภัยของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ผ่าน Cell Broadcast ครอบคลุมเกือบทุกภัยแล้ว แต่หากจังหวัดมีระบบแจ้งเตือนภัยของเราเองจะใกล้ชิดและเข้าถึงประชาชนได้มากขึ้น ซึ่งมูลค่าความเสียหายจากน้ำท่วมที่เคยเกิดขึ้นประเมินไว้สูงถึง 3 พันกว่าล้านบาท และอาจเกินแสนล้านหากรวมสิ่งปลูกสร้างและถนนหนทางทั้งหมด

ด้าน นายก อบจ.เชียงราย เผยว่า การบูรณาการร่วมกับนักวิจัยและ สกสว. ทำให้เห็นภาพ One Plan One Map ที่นำไปสู่การวิจัยสาเหตุของปัญหาต่างๆ และจัดทำแผนแก้ไขปัญหาส่งให้ภาครัฐแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน โดย อบจ.จะนำแผนภาพรวมนี้ไปจัดทำ Master Plan ระดับจังหวัด เพื่อนำส่งต่อภาครัฐในการจัดสรรงบประมาณได้อย่างถูกต้อง และนำข้อมูลส่งต่อให้พี่น้องประชาชนผ่านศูนย์ PDOSS ที่ อบจ. ร่วมดำเนินการกับจังหวัดผ่านแอปพลิเคชันเพื่อการแจ้งเตือนภัย การดูแล และการเยียวยาอย่างทันท่วงที

ในส่วนของภาควิชาการ ศ.ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หลังน้ำท่วมปลายปี 2567 ได้นำวิศวกรอาสาเข้าสำรวจพื้นที่พบว่ามีความเสียหายของอาคารบ้านเรือนกว่า 1,700 หลัง ช่วยให้การเบิกจ่ายเงินเยียวยาเป็นไปอย่างทันท่วงที แต่สิ่งที่ต้องเรียนรู้คือรูปแบบความเสียหายจากภัยพิบัติ เพื่อปรับปรุงยกระดับมาตรฐานการก่อสร้างให้ทนทานต่อน้ำ รวมถึงระบบเตือนภัยจากข้อมูลที่ดี และมีเซนเซอร์ตรวจจับที่ช่วยให้ชี้เป้าได้

ขณะที่ รศ.ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ ผู้อำนวยการแผนงานการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยและนวัตกรรมตามเป้าหมายสำคัญตามยุทธศาสตร์ ววน. น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง กล่าวเสริมว่า แม้จะมีแผนแม่บททรัพยากรน้ำ แต่การวิจัยจะเข้ามาเสริมให้การแก้ปัญหาให้ครบวงจรโดยเฉพาะการพยากรณ์ล่วงหน้า ซึ่งปัญหาภัยพิบัติทั้งหมดจะต้องถูกกำหนดทิศทางและวงเงินในการรับมือควบคู่กับโอกาสที่จะเกิดภัยพิบัติ ภายใต้ขอบเขตที่ ววน. จะสามารถนำไปขับเคลื่อนได้เพื่อป้องกันอุบัติภัยที่อาจเกิดขึ้นได้ดียิ่งขึ้น

สกู๊ปพิเศษ : ‘สระบุรีกินได้’ โมเดลต้นแบบ ขยายผลพัฒนาคนสู่การมีอาชีพยั่งยืน

สกู๊ปพิเศษ : ‘สระบุรีกินได้’ โมเดลต้นแบบ ขยายผลพัฒนาคนสู่การมีอาชีพยั่งยืน

สกู๊ปพิเศษ : ‘สระบุรีกินได้’ โมเดลต้นแบบ ขยายผลพัฒนาคนสู่การมีอาชีพยั่งยืน

วันอาทิตย์ ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 06.15 น.

แนวคิด “Learn to Earn เรียนรู้เพื่ออยู่รอด” คือหัวใจสำคัญที่มูลนิธิเอสซีจีผลักดันมาอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีเพื่อเชื่อมโยง “การเรียนรู้” กับ “การมีอาชีพและรายได้ที่มั่นคง” ให้เยาวชนคนรุ่นใหม่สามารถพึ่งพาตนเองได้จริง และเมื่อแนวคิดนี้ถูกนำมาขยายผลในระดับพื้นที่ผ่านโครงการ Learn to Earn Sandbox จังหวัดสระบุรี ซึ่งได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการขับเคลื่อนที่เป็นรูปธรรม

สระบุรีเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพโดดเด่น ทั้งด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม เกษตรกรรม และการท่องเที่ยว ที่สำคัญยังมีภาคีเครือข่ายที่เข้มแข็ง ทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม ที่ต่างมีหัวใจเดียวกันในการพัฒนาคน มูลนิธิเอสซีจีจึงได้ร่วมมือกับจังหวัดสระบุรี ขับเคลื่อนโครงการ Learn to Earn Sandbox เพื่อสร้างต้นแบบ “สระบุรีกินได้” ที่สามารถต่อยอดและขยายผลได้จริง

ภายใต้โครงการนี้ มูลนิธิฯ ร่วมกับภาคีในจังหวัด สร้างอาชีพที่ตอบโจทย์ความต้องการแรงงานในพื้นที่ โดยเริ่มต้นจากการอบรม 5 อาชีพ “Quick Win” ได้แก่ พยาบาล พนักงานขับรถบรรทุก พนักงานขับรถโฟล์คลิฟท์ ช่างล้างแอร์ ช่างท่อประปา และไกด์ป่าชุมชน อาชีพเหล่านี้ล้วนเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ได้ทันทีและตรงกับศักยภาพของคนในพื้นที่ โดยมีผู้เข้าร่วมอบรมกว่า 100 คน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างคนให้มีกิน มีใช้ มีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง

นายบัญชา เชาวรินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี กล่าวถึงความสำเร็จของโครงการนี้ว่า สระบุรีไม่ใช่เพียงพื้นที่ต้นแบบ แต่คือพื้นที่ที่ทุกภาคส่วนร่วมลงมือทำจริง โครงการ Learn to Earn Sandbox แสดงให้เห็นว่าการพัฒนา ‘คน’ ต้องอาศัยพลังแห่งความร่วมมือที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ภาครัฐที่สนับสนุนเชิงนโยบายและจัดตั้งคณะทำงาน ภาคเอกชนและภาคประชาสังคมที่ร่วมผลิตคนและเปิดโอกาสการจ้างงาน ตลอดจนภาคการศึกษา ที่ช่วยขยายแนวคิดสู่เยาวชน เพื่อให้ผู้เรียนไม่เพียงมีงานทำ แต่ยังสามารถพัฒนาทักษะและต่อยอดอาชีพได้อย่างต่อเนื่อง เราภาคภูมิใจที่ได้เห็นชาวสระบุรี โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง มีอาชีพ มีรายได้ และสามารถยืนบนลำแข้งของตนเองได้ ที่สำคัญนี่คือโมเดลที่เราจะต่อยอดให้คนสระบุรี ‘มีกินได้’ อย่างยั่งยืน และขยายผลสู่พื้นที่อื่นต่อไป

หลังจากดำเนินงานตลอดหนึ่งปี มูลนิธิเอสซีจีและคณะทำงานจังหวัดได้ร่วมกันถอดบทเรียนโครงการ โดยใช้กรอบคิด “2P2S” เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยแห่งความสำเร็จ และหาแนวทางต่อยอดให้การขับเคลื่อนเกิดขึ้นอย่างยั่งยืนในระยะยาว

หัวใจสำคัญของการถอดบทเรียนนี้ประกอบด้วย 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1.ความร่วมมือของภาคีเครือข่าย , 2.การพัฒนาอาชีพที่ตอบโจทย์ตลาดแรงงานจริง , 3.ระบบข้อมูลการจ้างงานที่เชื่อมโยงและติดตามผลได้ต่อเนื่อง และ 4.มีหน่วยงานที่ขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง เพื่อความยั่งยืน

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า ความสำเร็จของการพัฒนาคนไม่ได้เกิดจากการฝึกอาชีพระยะสั้นเท่านั้น แต่ต้องอาศัยระบบที่บูรณาการทุกมิติ ทั้ง คน กระบวนการ ระบบ และโครงสร้าง เพื่อให้ผลลัพธ์เกิดขึ้นจริงและต่อเนื่อง

นายยุทธนา เจียมตระการ กรรมการบริหารมูลนิธิเอสซีจี กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในสระบุรีไม่ใช่เพียงการฝึกอาชีพ แต่คือการสร้างต้นแบบการพัฒนาคนอย่างเป็นระบบ ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน มูลนิธิฯ มีความตั้งใจจะส่งมอบโมเดลนี้ให้จังหวัดนำไปขยายผลสู่พื้นที่อื่นๆ เพื่อให้ Learn to Earn กลายเป็นแนวคิดที่จับต้องได้ และสร้างผลลัพธ์จริงต่อสังคมไทยอย่างยั่งยืน

“นอกจากการพัฒนาอาชีพ เรายังให้ความสำคัญกับการพัฒนา Soft Skills โดยเฉพาะ 3Cs ได้แก่ การสื่อสาร (Communication) การทำงานเป็นทีม (Collaboration) และความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ซึ่งมูลนิธิฯ ได้ร่วมทำกิจกรรมกับกลุ่มคุณครู ผู้ปกครอง และนักเรียน ในโรงเรียนนำร่องได้แก่ โรงเรียนสระบุรีวิทยาคม โรงเรียนแก่งคอย และวิทยาลัยเทคนิคสระบุรี เพื่อปลูกฝังให้เด็กรุ่นใหม่ตระหนักรู้ (Aware) และมี Mindset ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเรียนรู้ทักษะเหล่านี้ ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญของการทำงานและการดำรงชีวิตในอนาคต”

จากสระบุรีกินได้วันนี้ กำลังเติบโตเป็น “สระบุรีโมเดล” ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าหัวใจการพัฒนาคนอยู่ที่ ความร่วมมือของทุกภาคส่วนเมื่อทุกฝ่ายเดินไปในทิศทางเดียวกัน พลังของ การเรียนรู้เพื่ออยู่รอด จะกลายเป็น การอยู่รอดด้วยการเรียนรู้ อย่างแท้จริง ต้นแบบที่พร้อมต่อยอดสู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ

สกู๊ปพิเศษ : สทน.เปิดตัวนวัตกรรมฆ่าเชื้อระดับนาโน ‘Electron Beam Irradiation’ ยกระดับสมุนไพรไทยสู่มาตรฐานสากล

สกู๊ปพิเศษ : สทน.เปิดตัวนวัตกรรมฆ่าเชื้อระดับนาโน ‘Electron Beam Irradiation’ ยกระดับสมุนไพรไทยสู่มาตรฐานสากล

สกู๊ปพิเศษ : สทน.เปิดตัวนวัตกรรมฆ่าเชื้อระดับนาโน ‘Electron Beam Irradiation’ ยกระดับสมุนไพรไทยสู่มาตรฐานสากล

วันพฤหัสบดี ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

สทน. เปิดตัว ‘ลำอิเล็กตรอน’ ฆ่าเชื้อระดับนาโน ปฏิวัติวงการสมุนไพรไทยสู่ Medical Grade เทคโนโลยีรังสีขั้นสูง ปลอดเชื้อ 100% โดย ‘ไม่ใช้ความร้อน’ แก้ปัญหาเชื้อดื้อความร้อน ยกระดับ สมุนไพรไทยสู่มาตรฐานสากล

รศ.ดร.ธวัชชัย อ่อนจันทร์ ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทน.  ประกาศความพร้อมในการนำ “เทคโนโลยีลำอิเล็กตรอน (Electron Beam Irradiation)” ซึ่งเปรียบเสมือน นวัตกรรมฆ่าเชื้อระดับนาโน มาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ในผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย โดยชี้ว่านี่คือ ทางออกเดียวที่ดีที่สุดในปัจจุบัน ที่จะช่วยผลักดันสมุนไพรไทยให้ก้าวสู่ระดับ Medical Grade

รศ.ดร.ธวัชชัย อ่อนจันทร์ ผู้อำนวยการ สทน. เปิดเผยถึงศักยภาพของตลาดสมุนไพรไทย ซึ่งก้าวขึ้นเป็น อันดับ 1 ในอาเซียน และมีมูลค่าตลาดเมื่อปี 2567 กว่า 60,000 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นไปถึง 100,000 ล้านบาท ภายในปี 2570 เพื่อคว้าโอกาสทางเศรษฐกิจนี้ สถาบันฯ เน้นย้ำว่า การยกระดับความปลอดภัยคือหัวใจสำคัญ

“เราต้องยอมรับว่า วัตถุดิบสมุนไพรมีความเสี่ยงในการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์สูง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการส่งออก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากการตรวจวิเคราะห์เชื้อในห้องปฏิบัติการของ สทน. เราพบว่าปัญหาหลักคือการพบเชื้อทนทานต่อความร้อนสูง (Heat-Resistant Spores) เช่น Clostridium spp. และ Bacillus spp. ซึ่งเป็นเชื้อที่ฆ่าไม่ตายด้วยวิธีการแบบดั้งเดิม การยกระดับมาตรฐานจึงเป็นวาระแห่งชาติ” รศ.ดร. ธวัชชัย กล่าว

ทั้งนี้ สทน. ได้เน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของ ห้องปฏิบัติการจุลชีววิทยา ภายในศูนย์ฉายรังสี ที่ให้บริการตรวจวิเคราะห์เชื้ออย่างแม่นยำทั้งก่อนและหลังการฉายรังสี ข้อมูลเชิงลึกจากการตรวจวิเคราะห์พบว่า ปัญหาที่พบบ่อยและเป็นอุปสรรคต่อการผ่านเกณฑ์มาตรฐาน ได้แก่ จำนวนเชื้อจุลินทรีย์ทั้งหมด (Total Plate Count) , จำนวนยีสต์และราทั้งหมด, และ จำนวนเชื้อชนิด Coliform ที่เกินค่ามาตรฐาน

สิ่งที่น่ากังวลที่สุด คือ การพบเชื้อทนทานต่อความร้อนสูง ซึ่งได้แก่ เชื้อก่อโรคชนิด Clostridium spp. และ Bacillus spp. ที่มักพบมากในสมุนไพร รศ.ดร. ธวัชชัย ชี้ว่า เชื้อเหล่านี้มีความสามารถในการอยู่รอดภายใต้กระบวนการฆ่าเชื้อทั่วไปแบบดั้งเดิม เช่น การตากแดด การอบด้วยความร้อน หรือการฆ่าเชื้อด้วยยูวี ซึ่งวิธีการเหล่านี้ ไม่สามารถกำจัดสปอร์ของเชื้อเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือแม้แต่ในบางกรณีที่ผลการตรวจวิเคราะห์พบค่าจำนวนเชื้อจุลินทรีย์ทั้งหมดต่ำ (น้อยกว่า 10 CFU/g) แต่ยังคงตรวจพบเชื้อชนิด Clostridium spp. อยู่ ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความจำเป็นของการใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า เช่น การฉายรังสี มาใช้เพื่อฆ่าเชื้อในผลิตภัณฑ์สมุนไพร

“เทคโนโลยีการลำอิเล็กตรอน คือวิธีที่ดีที่สุดและมีประสิทธิภาพที่สุด ณ ปัจจุบันสำหรับการฆ่าเชื้อสมุนไพร เพราะได้เปรียบเหนือกว่าทุกเทคโนโลยีที่มีอยู่” ผู้อำนวยการ สทน. กล่าวและว่า

รักษาคุณภาพได้ 100% : เป็นการฆ่าเชื้อแบบ “ไม่ใช้ความร้อน” ทำให้ไม่ทำลายคุณค่าทางยา สี กลิ่น และสารสำคัญของสมุนไพร ซึ่งแตกต่างจากการใช้ความร้อนแบบดั้งเดิม , ไม่มีรังสีตกค้าง/ปลอดภัยสูง กระบวนการนี้สะอาดและปลอดภัยเหมือนกับการฆ่าเชื้อด้วยรังสี X-ray ไม่มีสารเคมี หรือรังสีตกค้างใดๆในผลิตภัณฑ์ ผู้บริโภคจึงมั่นใจได้อย่างแท้จริง , ใบเบิกทางสู่ตลาดโลก การฆ่าเชื้อด้วยลำอิเล็กตรอนเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลายจากองค์การระดับโลก เช่น WHO, FAO และ IAEA การใช้เทคโนโลยีนี้จึงเป็นการรับประกันมาตรฐานสากลให้แก่ผู้ซื้อทั่วโลก และต้นทุนคุ้มค่าต่อผลตอบแทน  การลงทุนเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและยกระดับมาตรฐานสินค้าส่งออกนี้ เพิ่มต้นทุนเพียงเล็กน้อย (ไม่เกิน 5%) แต่เพิ่มความเชื่อมั่นและโอกาสทางธุรกิจได้มหาศาล

ปัจจุบันผลการดำเนินงานของ สทน. ปัจจุบัน ศูนย์ฉายรังสี สทน. ให้บริการฉายรังสีสมุนไพรอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยปีละ 200–500 ตัน ครอบคลุมผลิตภัณฑ์สำคัญ เช่น ฟ้าทะลายโจร ขมิ้นชัน และยาดมสมุนไพร โดยมีการใช้ปริมาณรังสีที่ผ่านการวิจัยมาแล้ว (อย่างน้อย 15–20 kGy) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด

“ตนเชื่อมั่นว่า เทคโนโลยีลำอิเล็กตรอนนี้คือทางเลือกที่ดีที่สุดในปัจจุบัน ที่จะช่วยให้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยมีความปลอดภัยและมีมาตรฐานระดับโลก ผมจึงขอเชิญชวนผู้ประกอบการทุกท่านมาใช้บริการ หากท่านยังไม่ทราบว่าจะเริ่มต้นอย่างไร หรือมีข้อสงสัยใดๆ สามารถปรึกษาหารือกับทีมผู้เชี่ยวชาญของเราได้ทันที เรามีห้องปฏิบัติการจุลชีววิทยาที่พร้อมให้บริการตรวจวิเคราะห์เชื้ออย่างแม่นยำ และสามารถฉายรังสีด้วยลำอิเล็กตรอนได้ปริมาณมากกว่า 5 ตันต่อวัน สทน. พร้อมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจของท่าน และสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับสมุนไพรไทย” รศ.ดร.ธวัชชัย อ่อนจันทร์ กล่าวทิ้งท้าย

สกู๊ปพิเศษ : ชู ‘Amazing Thailand Innovation Gadget’ สร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวใหม่แบบรู้ใจ

สกู๊ปพิเศษ : ชู ‘Amazing Thailand Innovation Gadget’ สร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวใหม่แบบรู้ใจ

สกู๊ปพิเศษ : ชู ‘Amazing Thailand Innovation Gadget’ สร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวใหม่แบบรู้ใจ

วันอาทิตย์ ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 07.16 น.

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญในการร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) พัฒนาแพลตฟอร์ม “Amazing Thailand Innovation Gadget” ซึ่งจะรวมนวัตกรรมด้านท่องเที่ยวไว้ในแพลตฟอร์มเดียว โดยมีเป้าหมายหลักในการยกระดับคุณภาพ และขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยอย่างยั่งยืน พร้อมส่งมอบประสบการณ์ใหม่ที่เหนือกว่าให้นักท่องเที่ยว และสนับสนุนผู้ประกอบการทุกระดับให้เข้าถึงและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีได้อย่างเป็นรูปธรรม

น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า “Amazing Thailand Innovation Gadget” จะเป็นแพลตฟอร์มที่สร้างสรรค์และรวบรวมนวัตกรรมด้านท่องเที่ยว ทั้งนวัตกรรมจาก Travel Tech Startup ของผู้ประกอบการภายใต้โครงการของ ททท. และข้อมูลนวัตกรรมจาก สนช. ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจสามารถนำนวัตกรรมที่พร้อมใช้เข้าไปช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างมาตรฐานบริการใหม่ ๆ ให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย และทำหน้าที่เชื่อมผู้ประกอบการที่มีศักยภาพเข้ากับนักพัฒนานวัตกรรม รวมถึงอำนวยความสะดวกเพื่อส่งต่อประสบการณ์การท่องเที่ยวที่น่าประทับใจให้กับนักท่องเที่ยว โดยการท่องเที่ยวนับจากนี้ไป จะไม่เป็นเพียงแค่การเดินทาง แต่เป็นการส่งมอบประสบการณ์รู้ใจผ่านเทคโนโลยี ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญสู่การท่องเที่ยวคุณภาพและยั่งยืน

ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการ NIA กล่าวว่า การร่วมมือระหว่าง NIA และ ททท. ในครั้งนี้สะท้อนบทบาทของนวัตกรรม ในฐานะพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งมีศักยภาพสูงในการต่อยอดเทคโนโลยีสู่การใช้งานจริง แพลตฟอร์ม Amazing Thailand Innovation Gadget จะเป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงผู้ประกอบการ นักพัฒนา และนักสร้างสรรค์นวัตกรรมจากทั่วประเทศให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การทดลองใช้เทคโนโลยี และการสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ เพื่อขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทยสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง

ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ ทั้งสองหน่วยงานจะร่วมกันขับเคลื่อน “Amazing Thailand Innovation Gadget” เพื่อรวบรวม เชื่อมโยง และต่อยอดโซลูชันด้านนวัตกรรมจากผู้ประกอบการทั่วประเทศ ผลักดันให้เกิดการใช้งานจริงในพื้นที่และห่วงโซ่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยมุ่งสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมการท่องเที่ยวที่เข้มแข็งผ่านการบูรณาการความร่วมมือกับพันธมิตรจากทุกภาคส่วน และให้ความสำคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับบริบทพื้นที่มาประยุกต์ใช้ การยกระดับคุณภาพประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ตลอดจนการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างยั่งยืน

พิธีลงนาม MOU ในครั้งนี้ยังครอบคลุมถึงการเชื่อมโยงนวัตกรรมสู่การใช้งานจริงในพื้นที่นำร่อง การเสริมสร้างศักยภาพผู้ประกอบการด้วยองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล การพัฒนากลไกเพื่อเร่งการเติบโต ทั้งด้านการเงินและการบ่มเพาะธุรกิจ  รวมถึงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ในแต่ละพื้นที่

ผลลัพธ์ที่คาดหวังคือ ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เหมาะสมได้สะดวกยิ่งขึ้น และเกิดการใช้งานจริงอย่างเป็นรูปธรรม นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้น ตั้งแต่ก่อนเดินทาง ระหว่างการเดินทาง จนถึงหลังการเดินทาง ขณะที่ประเทศไทยจะมีคลังนวัตกรรมท่องเที่ยวที่สามารถต่อยอดได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว โดยพิธีลงนามดังกล่าวมีผู้บริหารระดับสูงจากทั้งสองหน่วยงานเข้าร่วมเป็นสักขีพยาน สะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันในการผลักดันนวัตกรรมให้เป็นพลังขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยอย่างยั่งยืน

สกู๊ปพิเศษ : Gistda เผยเหตุผล…ทำไม? ไทยต้องมี ‘ดาวเทียม’ สำรวจโลก

สกู๊ปพิเศษ : Gistda เผยเหตุผล…ทำไม? ไทยต้องมี ‘ดาวเทียม’ สำรวจโลก

สกู๊ปพิเศษ : Gistda เผยเหตุผล…ทำไม? ไทยต้องมี ‘ดาวเทียม’ สำรวจโลก

วันอาทิตย์ ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 07.15 น.

ในอดีตกว่า 20 ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีดาวเทียม ถือว่าเป็นเรื่องใหม่มากสำหรับประเทศไทย แม้จะมีการการตื่นตัวและให้ความสำคัญกับการนำข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมมาใช้ประโยชน์ด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านภัยพิบัติมากขึ้น แต่ประเทศไทยยังคงอยู่ในบทบาทของ ผู้รับข้อมูลดาวเทียม จากต่างประเทศเป็นหลัก และยังขาดองค์ความรู้หรือประสบการณ์ในด้านการพัฒนาดาวเทียมและเทคโนโลยีอวกาศด้วยตนเอง

สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ซึ่งได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2543 เพื่อให้บริการภาพถ่ายจากดาวเทียมในขณะนั้นได้ริเริ่มโครงการพัฒนา ดาวเทียม THOES-1” หรือ ดาวเทียมไทยโชต ขึ้น ด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลฝรั่งเศส โดยเป็นดาวเทียมสำรวจทรัพยากรดวงแรกของไทยที่ขึ้นสู่วงโคจรครั้งแรกเมื่อ 1 ตุลาคม 2551 และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศครั้งแรกในประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม

หลังจากดาวเทียมไทยโชตผ่านการปฏิบัติภารกิจมาแล้วมากมาย ในการติดตามและสำรวจเชิงพื้นที่ร่วมกับดาวเทียมสำรวจจากทั่วโลก โดยเฉพาะการติดตามพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ อย่างเช่น ในช่วงเหตุการณ์น้ำท่วมปี 2554 และการติดตามสถานการณ์ไฟป่าหมอกควันตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบัน

15 ปีต่อมา… ดาวเทียม THOES – 2 ดาวเทียมสำรวจทรัพยากรดวงที่ 2 ของประเทศไทย ถูกส่งขึ้นสู่วงโคจรเมื่อ 9 ตุลาคม 2566 เพื่อทดแทนดาวเทียม ไทยโชตที่ปฏิบัติงานมานานจนใกล้จะหมดอายุการใช้งาน โดย THOES- 2 เป็นดาวเทียมที่ติดตั้งกล้องแบบออปติคัล “สามารถถ่ายภาพที่มีความละเอียดสูงมากในระดับ 50 เซนติเมตร รองรับการใช้งานที่หลากหลาย โดยเฉพาะการติดตามสถานการณ์ต่างๆ ที่ต้องการข้อมูลเชิงพื้นที่ที่มีรายละเอียดสูง” และในโครงการ THOES- 2 นี้เอง ได้มีการพัฒนา ดาวเทียม THOES- 2A” ดาวเทียมขนาดเล็ก ควบคู่ไปด้วย โดยเปิดโอกาสให้ทีมวิศวกรชาวไทย ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาและรับการถ่ายทอดองค์ความรู้ในการจัดสร้างดาวเทียม ปัจจุบันการสร้างดาวเทียม THOES- 2A แล้วเสร็จ และอยู่ระหว่างรอการนำส่งขึ้นสู่วงโคจรในเร็วๆนี้

ขณะเดียวกัน GISTDA กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาดาวเทียม THOES- 3 ซึ่งเป็นดาวเทียมสำรวจทรัพยากรขนาดเล็ก ดวงที่ 4 ของประเทศไทย เพื่อมุ่งเน้นสนับสนุนภารกิจด้านการเกษตร โดยเป็นดาวเทียมดวงแรกที่ประกอบขึ้นในประเทศไทย ด้วยฝีมือการออกแบบของทีมวิศวกรไทยที่ต่อยอดองค์ความรู้จากการร่วมพัฒนา THOES- 2A อีกทั้งยังมีการใช้ชิ้นส่วนบางส่วนที่ผลิตโดยผู้ประกอบการไทย คาดว่าดาวเทียม THOES- 3 นี้จะสามารถพัฒนาแล้วเสร็จ พร้อมขึ้นสู่วงโคจรได้ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า

เรียกว่าเกือบ 20 ปี กับการที่ประเทศไทยเป็นเจ้าของดาวเทียม 3 ดวง ทั้งดาวเทียมหลัก ดาวเทียมขนาดเล็ก และดาวเทียมที่ใกล้หมดอายุ รวมถึงยังมีดาวเทียมที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอีก 1 ดวง

แต่ด้วย ความต้องการในการนำข้อมูลจากดาวเทียมไปใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งภาครัฐและเอกชน ดาวเทียมที่มีอยู่ในปัจจุบัน ถือว่ายัง ไม่เพียงพอ ที่จะตอบสนองต่อความจำเป็นในการใช้ประโยชน์ของประเทศทั้งในเชิงพื้นที่และเชิงเวลา นอกจากนี้ดาวเทียมที่มีอยู่ยังมีข้อจำกัดด้านการถ่ายภาพ เช่น ถ่ายภาพได้เฉพาะเวลากลางวัน และไม่สามารถถ่ายทะลุเมฆได้ ทำให้ประเทศไทยยังต้องพึ่งพาข้อมูลจากดาวเทียมต่างประเทศ เช่น เรดาร์ (SAR Sensors ) ซึ่งอาจไม่ตอบโจทย์ด้านความต่อเนื่องและทันท่วงที

เพื่อตอบโจทย์ปัญหาเหล่านี้ จำเป็นต้องมีการพัฒนา ดาวเทียมสํารวจโลกของประเทศไทย GISTDA จึง ขับเคลื่อน โครงการพัฒนากลุ่มดาวเทียมสำรวจโลกของประเทศไทย” หรือ “THAILAND’S EARTH OBSERVATION SATELLITE CONSTELLATION” ขึ้น โดยมีเป้าหมาย ประเทศไทยควรมีกลุ่มดาวเทียมเพิ่มขึ้นอีก 12 ดวง ในระยะเวลา 6 ปี 

ดร.พรเทพ นวกิจกนก ผู้อำนวยการศูนย์ผลิตดาวเทียมแห่งชาติ GISTDA กล่าวว่า โครงการดังกล่าวจัดทำขึ้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการเก็บข้อมูลเชิงพื้นที่ที่มีความละเอียดสูง เพิ่มประสิทธิภาพ ครอบคลุม ภารกิจ และเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมต่อเนื่องในประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรมใน 3 มิติ คือ Industrial Economy , Empowering Knowledge Economy และ Smart Data Economy

ทั้งนี้การพัฒนา ดาวเทียม 12 ดวงใน 6 ปีนับจากวันอนุมัติโครงการ ได้ผ่านการวางแผนที่พิจารณาภาพรวมการทำงานเป็นกลุ่มร่วมกับดาวเทียมที่มีอยู่ ณ เวลานั้นๆ ทั้งดาวเทียมของไทยและต่างประเทศ อย่างเช่น กลุ่มดาวเทียม THOES- 3 ซึ่งมีประมาณ 5 ดวง ถูกออกแบบให้ทำงานร่วมกับดาวเทียมกลุ่มอื่น ๆ เช่น ดาวเทียม Sentinel เพื่อให้ทำงานเสริมกัน ทำให้สามารถถ่ายภาพได้ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น

ด้วยข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ การออกแบบกลุ่มดาวเทียมดังกล่าว จึงเน้นที่ภารกิจเป้าหมายในแต่ละกลุ่มที่ชัดเจน โดยมีทั้งกลุ่มดาวเทียม แบบ ออปติคัล แบบเรดาร์และแบบตรวจจับความร้อน ขณะเดียวกันที่มาของดาวเทียมก็มีทั้งแบบทีมวิศวกรไทยเข้าร่วมพัฒนา เช่นเดียวกับดาวเทียม THOES- 2 การออกแบบเองแล้วจ้างผลิต และแบบจัดซื้อดาวเทียมจากต่างประเทศ ซึ่งจะมีเงื่อนไขต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาบุคลากรและอุตสาหกรรมอวกาศของประเทศไทย ดร.พรเทพ กล่าว

สำหรับดาวเทียมทั้ง 12 ดวง ถูกออกแบบเพื่อตอบโจทย์ 3 เรื่องหลักของประเทศ โดยกลุ่มดาวเทียม THOES-3 จำนวน 5 ดวงตอบโจทย์ภารกิจด้านการเกษตร กลุ่มดาวเทียม THOES-4 จำนวน 2 ดวง และ THOES-5 จำนวน 4 ดวงตอบโจทย์ภารกิจด้านภัยพิบัติและความมั่นคง ส่วนดาวเทียม THOES- 6 จำนวน 1 ดวง ตอบโจทย์ภารกิจด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ดร.พรเทพ บอกอีกว่า ภายใต้โครงการนี้วงเงินงบประมาณ อาจจะดูเหมือนสูงมาก เนื่องจากเป็นการพัฒนาพร้อมๆ กันทั้งระบบ ซึ่งในโครงการจะมีทั้งการจัดหากลุ่มดาวเทียมและปรับปรุงระบบสถานีรับสัญญาณ การเพิ่มศักยภาพของบุคลากรไทยผ่านการถ่ายทอดเทคโนโลยี การพัฒนาและส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมของประเทศในด้านดาวเทียม และเทคโนโลยีอวกาศ และการพัฒนาระบบประยุกต์ใช้ประโยชน์ภูมิสารสนเทศจากภาพถ่ายดาวเทียม

หากแผนการพัฒนาโครงการเป็นไปตามเป้าหมาย ดร.พรเทพ บอกว่า ประเทศไทยนอกจากจะได้กลุ่มดาวเทียมสำรวจโลกและโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีอวกาศแล้ว บุคลากรไทยจะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีในการร่วมสร้างดาวเทียมสมัยใหม่ สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ต่ำกว่า 3,000 คน ผู้ประกอบการในประเทศสามารถผลิตชิ้นส่วนหรือพัฒนาระบบย่อยเพื่อใช้งานในระบบ ดาวเทียมตาม มาตรฐานสากล ไม่น้อยกว่า 100 บริษัท ทำให้เกิดระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ และประยุกต์ใช้ประโยชน์ภูมิสารสนเทศจากภาพถ่ายดาวเทียมของหน่วยปฏิบัติตามภารกิจต่างๆ ได้อย่างประสิทธิภาพ และที่สำคัญ คือ การเป็นเจ้าของข้อมูลจากดาวเทียม ซึ่งเป็นหลักประกันได้ว่าประเทศไทย จะสามารถเข้าถึงข้อมูลในพื้นที่ที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที เพิ่มขีดความสามารถด้านอุตสาหกรรมอวกาศด้วยการเป็นเจ้าของเทคโนโลยีอย่างยั่งยืน ซึ่งจะสร้างโอกาสให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นําด้านการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สกู๊ปพิเศษ : ‘ปฏิวัติ’ อุดมศึกษา…ให้ทุกมหา’ลัย จัดการเรียน – สอน AI ทุกหลักสูตร

สกู๊ปพิเศษ : ‘ปฏิวัติ’ อุดมศึกษา...ให้ทุกมหา’ลัย จัดการเรียน - สอน AI ทุกหลักสูตร

สกู๊ปพิเศษ : ‘ปฏิวัติ’ อุดมศึกษา…ให้ทุกมหา’ลัย จัดการเรียน – สอน AI ทุกหลักสูตร

วันอาทิตย์ ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

การอุดมศึกษาไทยกำลังก้าวหน้าไปอีกขั้น เมื่อกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้ออกประกาศกระทรวง อว.เรื่อง แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในหลักสูตรการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ.2568” ลงนามโดยนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมว.กระทรวง อว.เมื่อวันที่ 9 ต.ค.2568 มีใจความว่า กระทรวง อว.ได้มีการสนับสนุนให้มีการพัฒนาบุคลากรและนักศึกษา การพัฒนาระบบนิเวศทางการศึกษา เพื่อสร้างกำลังคนที่มีทักษะรองรับกับตลาดแรงงานและวิถีชีวิตรูปแบบใหม่ในสังคมที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงให้มีการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อเพิ่มศักยภาพในระบบการเรียนการสอนและการวิจัย…จึงกำหนดแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนด้านปัญญาประดิษฐ์ในหลักสูตรการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษา ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ประกาศนี้เรียกว่า “ประกาศกระทรวง อว. เรื่อง แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนด้านปัญญาประดิษฐ์ในหลักสูตรการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2568” , ข้อ 2 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป ข้อ 3 ให้สถาบันอุดมศึกษาจัดทำการประเมินความพร้อมการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในสถาบันอุดมศึกษา ตามวิธีการและรูปแบบที่กระทรวง อว.กำหนด เพื่อประกอบการพิจารณาเข้าร่วมกิจกรรมกับศูนย์ให้คำปรึกษาด้านปัญญาประดิษฐ์ , ข้อ 4 ให้สถาบันอุดมศึกษาจัดการเรียนการสอน โดยให้หลักสูตรการศึกษามีกิจกรรมส่งเสริมผู้เรียนฝึกใช้เครื่องมือด้านปัญญาประดิษฐ์ ที่กระทรวง อว.สนับสนุน หรือที่สถาบันอุดมศึกษาจัดหาเอง ข้อ 5 ให้สถาบันอุดมศึกษาบรรจุรายวิชาหรือเนื้อหาที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในหลักสูตรการศึกษาไม่น้อยกว่าหกหน่วยกิตหรือไม่น้อยกว่าสองรายวิชา เว้นแต่เป็นหลักสูตรการศึกษาในสาชาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ วิทยาการคอมพิวเตอร์ วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ หรือวิทยาการข้อมูล ข้อ 6 ให้สถาบันอุดมศึกษาดำเนินการส่งเสริมการพัฒนาสมรรถนะสนับสนุนด้านปัญญาประดิษฐ์ให้กับคณาจารย์ของทุกหลักสูตรการศึกษา รวมถึงบุคลากรสายงานบริหาร และสายงานวิชาการของสถาบันอุดมศึกษา โดยจัดให้เข้าร่วมหลักสูตรการอบรมที่กระทรวง อว.สนับสนุน หรือหลักสูตรที่สถาบันอุดมศึกษาจัดขึ้นเอง หรือหลักสูตรที่หน่วยงานภายนอกจัดขึ้นและสถาบันอุดมศึกษาเห็นชอบ และ ข้อ 7 ให้สถาบันอุดมศึกษาจัดให้มีหน่วยงาน เพื่อทำหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านการใช้ปัญญาประดิษฐ์ ในการสนับสนุนการจัดการเรียนการสอน การบริหารการศึกษา และการบำรุงรักษาระบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้อง

นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมว.กระทรวง อว. กล่าวว่า ประกาศกระทรวง อว.ที่ออกมาเพื่อยกระดับการศึกษารองรับตลาดแรงงานและสังคมเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เป้าหมายคือสร้างบัณฑิตที่มีทักษะพร้อมใช้ AI เป็น ควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบนิเวศการศึกษาไทยให้ทันสมัย

นี่ไม่ใช่แค่การปรับหลักสูตร แต่คือการปฏิวัติการศึกษาไทยครั้งประวัติศาสตร์ เราลงทุนกับทรัพยากรที่ทรงค่าที่สุดนั่นก็คือ คน การเรียน AI จะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างนักคิด นักปฏิบัติ และนักนวัตกรรม ที่จะก้าวทันโลกและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยด้วยเทคโนโลยี และในไม่กี่ปีข้างหน้า เราจะเห็นบัณฑิตไทยไม่เพียงใช้ AI เป็น แต่สามารถออกแบบนวัตกรรมที่ตอบโจทย์สังคมไทยได้อย่างเป็นรูปธรรม ตั้งแต่การแพทย์อัจฉริยะ เกษตรแม่นยำ ไปจนถึงการยกระดับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี นี่คือเส้นทางสู่อนาคตที่เราจะร่วมสร้างไปด้วยกัน เพราะการจัดการศึกษาที่แท้จริงต้องไม่เพียงต้องตามโลกให้ทัน แต่ต้องกล้าที่จะนำการเปลี่ยนแปลงด้วย” นายสุรศักดิ์ กล่าว

ด้าน ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. กล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักปลัดกระทรวง อว.จะร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค – สวทช.)  จัดเตรียมเครื่องมือเสริมสมรรถนะและเตรียมความพร้อมเพื่อให้สถาบันอุดมศึกษานำไปประยุกต์ใช้งานได้ตามความเหมาะสมกับบริบทและความเชี่ยวชาญของแต่ละสถาบันอุดมศึกษา เริ่มตั้งแต่จัดทำแบบประเมินความพร้อมด้านการใช้งาน AI ของสถาบันอุดมศึกษา (University AI Readiness Assessment) เพื่อทำความเข้าใจระดับความสามารถขององค์ประกอบสำคัญที่สนับสนุนความสามารถในการเรียนการสอนด้าน AI ของสถาบันอุดมศึกษา สำหรับใช้เป็นแนวทางสำหรับการวางแผนของหน่วยงาน ภายใต้แนวคิดรูปแบบความสมบูรณ์ของความสามารถในการสอนด้าน AI (AI Teaching Capability Maturity Model) ซึ่งมี 6 มิติ ได้แก่ 1.มิติด้านกลยุทธ์ 2.มิติด้านบูรนาการหลักสูตร 3.มิติด้านความซื่อสัตย์เชิงวิชาการ 4.มิติด้านประสบการณ์ของผู้เรียน 5.มิติด้านการสนับสนุนคณาจารย์ และ 6.มิติด้านโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี

ขณะเดียวกันจะมีการฝึกอบรม “สร้างความตระหนักรู้การใช้ AI ในการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษา” เพื่อเปิดกว้างให้คณาจารย์และบุคลากรสถาบันอุดมศึกษา ด้านสังคมศาสตร์ มนุษย์ศาสตร์ หรือกลุ่มผู้ที่ไม่ได้ทำงานด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์โดยตรง ได้เข้าร่วมเรียนรู้และทดลองปฏิบัติการใช้งานแพลตฟอร์มด้านการศึกษาที่มี AI เป็นตัวช่วยในห้องเรียนดิจิทัล จัดทำตัวละครบทบาทสมมุติให้ผู้เรียนได้ผ่านกระบวนการเรียนรู้และแก้โจทย์ปัญหา นอกจากนี้ ยังจัดทำระบบบริการและบริหารจัดการเครื่องมือ AI เพื่อใช้ในการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษา โดยประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ 1.ระบบบริการ AI token ที่จัดสรรให้กับสถาบันอุดมศึกษา 2.โมเดล AI ที่พัฒนามาจากโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ของไทย และ 3.โมเดล LLM ที่พัฒนาจากต่างประเทศ ซึ่งจะมีบริการสำหรับสถาบันอุดมศึกษาที่เข้าร่วมการฝึกอบรม

โดยในปี 2569 จะมีการขยายผลกิจกรรมออกไปยังภูมิภาคต่างๆ เพื่อให้เกิดเครือข่ายความร่วมมือการส่งเสริมการใช้งาน AI ในสถาบันอุดมศึกษาตามภูมิภาค และสร้างกรณีศึกษาการประยุกต์ใช้งาน AI ในสาขาวิชาที่หลากหลายต่อไป

สกู๊ปพิเศษ : Quick Win อว. ‘โดรนคนละครึ่ง’ ‘แก้จน’ ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร

สกู๊ปพิเศษ : Quick Win อว. ‘โดรนคนละครึ่ง’ ‘แก้จน’ ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร

สกู๊ปพิเศษ : Quick Win อว. ‘โดรนคนละครึ่ง’ ‘แก้จน’ ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร

วันพฤหัสบดี ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

เมื่อโครงการ “โดรนเพื่อการเกษตรคนละครึ่ง” หรือ “โดรนคนละครึ่ง” หรือ “โดรนแก้จน” เป็นนโยบาย Quick Win ที่โดนใจประชาชน โดยเฉพาะภาคการเกษตรมากที่สุด หลังจากที่ นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้แถลงนโยบายการทำงานในระยะเวลา 4 เดือน

โดย นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมว.อว. ระบุว่า โครงการ “โดรนเพื่อการเกษตรคนละครึ่ง” หรือ “โดรนคนละครึ่ง” คือนโยบายเร่งด่วนในการช่วยเหลือภาคเกษตรกรรม ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ โดยเป็นการนำเอาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมไปรับใช้ประชาชน ไปรับใช้สังคม โครงการนี้จะช่วยให้เกษตรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลดการสัมผัสสารเคมี รวมทั้งเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ประหยัดเวลาและแรงงาน โดยมีรูปแบบของนโยบายเป็นการช่วยค่าบริการหรือค่าใช้จ่ายในการใช้บริการโดรนเพื่อการเกษตรคนละครึ่ง ถือเป็นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาแก้จนอย่างเป็นรูปธรรมและสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ส่งเสริมเกษตรกรให้มีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพื่อเปลี่ยนเกษตรแบบดั้งเดิมให้เป็นเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming)

“โครงการโดรนคนละครึ่ง จะนำร่องในพื้นที่ภาคกลางเป็นอันดับแรกก่อนจะขยายไปในพื้นที่อื่น ขณะเดียวกัน เราจะดึงเครือข่ายผู้ประกอบการ SMEs และสตาร์ทอัพด้านโดรนเพื่อการเกษตร ซึ่งเข้าร่วมโครงการกับอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคมาเป็นผู้ให้บริการเช่าโดรน นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการด้านให้บริการโดรนเพื่อการเกษตรรายย่อยอื่นๆ มาสามารถมาเข้าร่วมโครงการนี้ได้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมได้อีกด้วย” นายสุรศักดิ์ กล่าวและว่า

แน่นอนโครงการนี้ ถ้าเกิดขึ้นจริง ถือว่าจะเป็นการช่วยภาคการเกษตรให้มีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพราะที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันภาคการเกษตรต้องเจอกับปัญหาในเรื่องของการทำการเกษตร เช่น เรื่องของแหล่งน้ำ น้ำท่วม น้ำแล้ง การใช้สารเคมีในการทำการเกษตร เป็นต้น ดังนั้น การจัดหาเครื่องมือช่วยทำการเกษตรที่จัดอยู่ในกลุ่มเครื่องมือ อุปกรณ์อัจฉริยะและหุ่นยนต์ ซึ่งเป็นกลุ่มเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเป้าหมาย อย่างโครงการ “โดรนคนละครึ่ง” เพื่อลดความเสี่ยงในการสัมผัสหรือผลกระทบจากสารเคมีที่ใช้ในการเกษตร ลดต้นทุนให้กับเกษตรกร ประหยัดทั้งเวลาและแรงงาน ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น จึงถือว่าเหมาะสมกับกระทรวง อว.ที่มีสโลแกน “กระทรวงแห่งปัญญา โอกาสและอนาคต”

แน่นอน รูปแบบของโครงการดังกล่าวอาจจะใช้โดรนที่มีอยู่แล้วจากหน่วยงานในกระทรวง อว. เช่น ปัจจุบันกระทรวง อว.ก็มีนวัตกรรม “โดรนพ่นสารเคมีการเกษตรความแม่นยำสูง” ที่ผลิตโดยอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคที่มีอยู่ทั่วประเทศ รวมถึงการให้งบสนับสนุนการวิจัยหรือทุนแก่ผู้ประกอบการทั้งจาก บพท. เป็นต้น ซึ่งมีราคาถูกกว่า 10 เท่าจากท้องตลาด ลดการสัมผัสสารเคมีโดยตรง ได้งานมากกว่าแรงคน 40 เท่ามาสนับสนุนนโยบาย Quick Win “โดรนเพื่อการเกษตรคนละครึ่ง” ก็ได้ โดยอาจเป็นการช่วยค่าบริการหรือค่าใช้จ่ายในการใช้โดรนสำหรับพื้นที่ทำการเกษตรของเกษตรกรแต่ละคน รวมทั้งไปศึกษาระเบียบและวิธีการให้ถูกต้องและเป็นไปเพื่อประโยชน์ของพี่น้องเกษตรกรอย่างแท้จริงต่อไป เป็นต้น ที่สำคัญ กระทรวง อว.ยังมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่บริหารจัดการน้ำ นวัตกรรมเรื่องปุ๋ยและสารชีวภัณฑ์ เรื่องการเกษตรแม่นยำ เรื่องของนวัตกรรมเพื่อเกษตรอินทรีย์ เรื่องของชุดตรวจโรคพืชและสัตว์ เป็นต้น

“ถ้านำมาช่วยสนับสนุนและช่วยเหลือเกษตรกรให้ครอบคลุมทุกด้าน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของภาคการเกษตรให้กับเกษตรกรจะดียิ่งขึ้น ระยะเวลาของรัฐบาล อาจจะมีแค่ 4 เดือน แต่ 4 เดือนนี้ อาจจะเป็น 4 เดือนแห่งปัญญา 4 เดือนแห่งโอกาสและ 4 เดือนแห่งอนาคตของประชาชนและประเทศก็เป็นได้” รมว.อว ระบุ

นอกจากนี้ นายสุรศักดิ์ ยังกำชับอีกว่า ต่อไปนี้การลงพื้นที่ตรวจราชการของตนเองให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมาร่วมรับการตรวจราชการหรือตรวจเยี่ยม โดยให้มีการดำเนินการอย่างเรียบง่ายและประหยัด เช่น ไม่มีป้ายต้อนรับ ไม่รับของที่ระลึกหรือของฝาก ให้นำเวลาไปใช้ในประโยชน์ต่อราชการและต่อการพัฒนาองค์กรมากกว่าจะมาทำป้ายต้อนรับรัฐมนตรี

“เรื่องของที่ระลึกเป็นสิ่งไม่จำเป็นนะครับ แต่สามารถเอาสิ่งที่มีอยู่แล้ว พวกเทคโนโลยี นวัตกรรม สินค้าชุมชนมาโชว์ได้ ตนเองไม่ใช่นักวิชาการ หรือนักการศึกษา แต่ผมรู้ว่าหน้าที่ของนักการเมืองคืออะไร ถ้าไม่รู้หน้าที่ ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน ก็จะไม่เกิดประโยชน์ต่อองค์กร

ทั้งนี้ นักการเมืองต้องทำในสิ่งที่สมควรทำ ไม่เป็นตัวถ่วง ต้องทำหน้าที่สนับสนุนให้ข้าราชการทำงานอย่างได้ราบรื่น ผมมีเวลาไม่มากคือ 4 เดือน ตั้งใจว่านโยบาย Quick Win จะต้องสำเร็จให้ได้ เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชน ดังนั้น 4 เดือน เราอาจจะได้เห็น “แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” จากนโยบาย Quick Win โครงการ “โดรนเพื่อการเกษตรคนละครึ่ง” หรือ “โดรนคนละครึ่ง” เพื่อแก้จนให้กับเกษตรกร นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมว.อว. กล่าวทิ้งท้าย